ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dragon Sword อภินิหารดาบครองพิภพ

    ลำดับตอนที่ #7 : ตำนานและความสับสน

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 54


    บทที่ 7 ตำนานและความสับสน

     

              “คุณหมายความว่ายังไง!

    อลันกระชากเสียงด้วยความตกใจ แววตาของเขาแข็งกร้าวไปหมด

    เบนิซัสยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนที่อลันจะพูดอะไรมากกว่านี้ ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ชั่วอึดใจ

    ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งเบนิซัส จาเร็ต อลัน หรือแม้แต่แคทเทอรีน ทั้งสี่คนต่างเงียบและไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา

    จนกระทั่ง

               

                “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ไหน และพวกเจ้าเป็นใคร”เบนิซัสพูดด้วยเสียงนุ่มนวล ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่เขาจ้องหน้าอลัน “พวกเจ้าไม่ใช่คนของที่นี่ และไม่ใช่คนของโลกใบนี้ใช่ไหม?”

    “ผมมาจากแคลิฟอร์เนีย”อลันตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

    เบนิซัสเลิกคิ้ว “แคลิฟอร์เนียหรือ? เจ้าหมายถึงอะไรกัน? นั่นสินะ เจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่ที่โลกใบนี้จริงๆด้วย”

    อลันชักหัวเสีย เขากำหมัดและใช้เท้ากระทืบพื้นบ้าน โชคดีที่พื้นทำจากหิน ไม่เช่นนั้นแล้วพื้นกระท่อมหลังนี้คงแตกกระจายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “คุณหมายความว่ายังไง”เด็กหนุ่มทวนคำถามอีกครั้ง พยายามระงับอารมณ์ไว้

    เบนิซัสถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะไม้ตัวที่สี่ของห้อง ตัวที่มีหนังสือสี่เล่มวางอยู่

                ชายวัยกลางคนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกอง ก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่คั่นไว้ด้วยเศษไม้แผ่นเล็กๆ เขาก้มลงอ่านหน้านั้นด้วยแววตาหมกมุ่นพิจารณา เพียงหนึ่งนาที เบนิซัสก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปจากเดิม มันดูจริงจังมากขึ้น

                “เจ้าคงอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน” เบนิซัสพูดพร้อมกับจ้องมาตาอลัน เขาเริ่มอ่านบทความแรกที่เห็นทันที “สถานที่แห่งนี้คือมิติหนึ่งในจำนวนสามมิติที่เรียกว่า เวอร์นอน มิติเวอร์นอนซ้อนกับมิติอีกแห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า โลก และนอกจากนี้ยังมีมิติอีกแห่งซึ่งซ้อนอยู่เช่นเดียวกัน

              มิติเวอร์นอนจะปรากฏขึ้นในโลกเมื่อเกิดสภาวะดึงดูดกระแสของกาลเวลา สิ่งที่แสดงให้ผู้คนเห็นคือ ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าดุจแสงอาทิตย์ มันไร้ความร้อน และไร้สุ้มเสียง แต่มันสามารถดูดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดให้เข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ได้ ลำแสงนั้นมีชื่อเรียกว่า ประตูมิติ มันจะเปิดในวันที่เกิดหายนะหรือภัยพิบัติอันเป็นผลให้กระแสกาลเวลาเกิดการหมุนวน มีไม่กี่คนที่เคยมาจากต่างมิติ และมาอยู่ในมิติเวอร์นอนแห่งนี้ ตามคำทำนายของโอริฟรอสต์ระบุไว้ว่า เมื่อใดที่ประตูมิติเวลาเปิดขึ้น มันจะนำพาโลกคู่ขนานเข้ามาด้วย ซึ่งวันที่ประตูมิติจะเปิดครั้งที่เก้า จะเป็นวันเริ่มต้นของฤดูเหมันต์ ทั่วสารทิศจะไร้ซึ่งแสงสว่าง ไร้ซึ่งความงดงามของธรรมชาติอีกต่อไป

                เบนิซัสหยุดอ่านชั่วขณะ เขาวางหนังสือลง และหยิบหนังสืออีกเล่มหนึ่งออกมาจากบรรดากองหนังสือที่เหลือ ชายวัยกลางคนเปิดหน้ากระดาษไปยังหน้าสุดท้ายก่อนจะเอ่ยกับอลันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือวันที่มิติเวลาปรากฏขึ้นครั้งที่เก้า – ซึ่งข้ามั่นใจว่ามันจะต้องเปิดอีกครั้งอย่างแน่นอน”                                                                                  

    อลันพยักหน้า ในขณะที่แคทเทอรีนนึกย้อนไปถึงลำแสงสีขาวที่ไล่ตามเธอ

    เบนิซัสอ่านหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “ในโลกแห่งเวอร์นอนนี้จะเต็มไปด้วยเวทย์มนตร์คาถามากมายนับไม่ถ้วน และมีจอมเวทย์หลายท่านที่มีพลังในการเปิดประตูมิติเวลาตามใจชอบ แต่พวกเขาจะเปิดมันออกได้เพียงครั้งเดียว และจะต้องทำด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น แรงกล้า ซึ่งนักเวทย์เพียงไม่ถึงสิบคนบนพิภพนี้ที่สามารถทำได้ แต่ว่า

               

    ทันใดนั้นเอง เบนิซัสก็ก้มหน้าลงเมื่อสายตาของเขาอ่านมาจนถึงวรรคสำคัญ ในตอนนี้อลันและแคทเทอรีนเริ่มสังเกตเห็นว่าเขามีน้ำตาคลอหน่วย  แคทเทอรีนลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยความสนใจก่อนจะถาม “—มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ?”                                           

    “ปะ—เปล่า”เบนิซัสกล่าวห้วนๆ “ไม่มีอะไรหรอก”                                                                             

    “อ่านต่อเถอะครับ”อลันกระเซ้า ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนในจิตใจ

     

    เบนิซัสพยักหน้าอย่างซึมเศร้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “แต่ว่าเมื่อสิบห้าปีก่อน มีบุคคลหนึ่งซึ่งเปิดวาร์ปมันออกมาโดยไม่ใช้เวทย์มนตร์ นางเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก และในเวลานั้น นางและสามีรวมทั้งลูกชายของนางกำลังหมดสิ้นหนทาง โชคชะตาทำให้นางต้องตาย แต่ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป นางกลับเปิดมิติเวลาให้ปรากฏขึ้น และส่งสามีและลูกชายตัวน้อยไปสู่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า

     

    “ไร้สาระ”เสียงนี้ดังก้องขึ้นในความมืด จาเร็ตเป็นคนพูดคำนี้ออกมา ดูเหมือนเขาจะเก็บกดอารมณ์นี้มานาน แววตาของจาเร็ตเต็มไปด้วยความโกรธราวกับจะลุกเป็นไฟ หมัดของจาเร็ตกำแน่น ผมที่ยุ่งเหยิงของเขาปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดมาทางหน้าต่าง

     

    “มันไร้สาระสิ้นดี!จาเร็ตกระชากเสียง ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูบ้าน และพุ่งตัวออกไปจากบ้านเสมือนกับต้องการจะหลีกหนีอะไรบางอย่าง เบนิซัสไม่ส่งเสียงห้ามใดๆเนื่องจากเขารู้ดีว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น แต่คำพูดที่ทิ้งท้ายไว้ของผู้เป็นพ่อมีเพียงประโยคเดียว

     

    “เจ้าจงอย่าหนีจากชะตาชีวิตของตัวเอง! จาเร็ต! เจ้าอย่าหนีจากชะตาของตัวเอง”

                สายลมพัดแรงขึ้น มันรุนแรงจนกลบคำพูดของเบนิซัสไปจนหมดสิ้น

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×