คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เด็กสาวประหลาด
บทที่ 2
สิบห้าปีต่อมา
จาเร็ตลืมตาตื่นขึ้นในตอนสายของวันหนึ่งของอีกวันในชีวิตของเขา เขาหันไปมองฟูกข้างๆตัวก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
พ่อหายไปไหนอีกแล้วละนี่
หลังจากเสร็จหน้าที่ในการเก็บที่นอนแล้ว เขาก็ออกไปเดินรอบๆบ้านโดยตะโกนร้องเรียกพ่อของตน
แต่เฮมุสดูเหมือนจะอยากออกไปเดินเล่น
พ่อออกไปไหนทุกเช้า เขาคิดในใจ ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้าน
หมู่บ้านแห่งใหม่ของเขานี้มีชื่อว่า
ติตัส ฟอร์ หรือ หมู่บ้านแห่งติตัส ซึ่งมีทั้งเอลฟ์และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด
หมู้บ้านนี้ไม่เคยมีผู้ใดหรือสิ่งใดสามารถบุกรุกได้เนื่องจากมนตราที่ได้ร่ายไว้เมื่อแปดร้อยปีก่อนโดยกษัตริย์เวอร์ซิงเกโตริก
ซึ่งพระองค์ได้ใช้เวทย์มนตร์ที่กล่าวยากที่สุดในการสร้างกำแพงอากาศห้อมล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ เพราะถือว่านี่คือดินแดนส่วนพระองค์ที่พระองค์จะมาเยี่ยมทุกปี จาเร็ตกลับจากหมู่บ้านหลังจากนั้นไม่นานเมื่อแดดเริ่มแรงขึ้นและอากาศก็ร้อนขึ้นทุกที เขาต้องดีใจเมื่อพบเฮมุสกำลังตอกตะปูกระท่อมที่สองพ่อลูกอยู่อยู่หลังบ้าน บิดาของเขาเปลี่ยนไปมากนับแต่วันที่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นในหมู่บ้านทิฟฟาลอน ซึ่งตนได้มีส่วนรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้สูญเสียภรรยาไปต่อหน้าต่อตา ด้วยผมสีดอกเลา และดวงตาสีดำขลับไร้ชีวิตชีวา กอปรกับเสื้อผ้าสกปรกของเขาทำให้เขาดูโง่งมยิ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมกระท่อมที่เขาได้สร้างจากเศษไม้ผุๆจากป่านั้นถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ ค้อนไม้ตอกตะปุที่ตรึงกับฝาผนังบ้านที่ทำด้วยไม้อย่างบ้าคลั่ง แต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นบุตรชายของตนกำลังจ้องมองอยู "หวัดดีพ่อ"จาเร็ตทักทาย " "ข้าไปเดินเล่นจ๊ะ พ่อ"จาเร็ตตอบ แล้วเสิร์มว่า "ก็ข้าเห็นพ่อไม่อยู่" "อะไรนะ"เฮมุสเลิกคิ้วถาม แต่น้ำเสียงเบาลงมาก "แกไม่เคยรู้อะไรเลยรึ..." เขาวิ่งมายังจุดหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นจุดที่เขามักใช้คลายความกังวลจากความทุกข์ที่สั่งสมมา จาเร็ตหยุดตรงเนินเขาลูกหนึ่ง จุดที่สูงที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ มีอีกชื่อว่า ซาบัลตา ไม่เคยมีครั้งไหนๆเลยที่จาเร็ตจะไม่รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่นอนหงาย จ้องไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องบน แล้วเงี่ยหูฟังเสียงนกร้องเพลงกล่อมและกลิ่นอายของดอกไม้นานาพันธุ์ เนินเขาแห่งนี้เป็นทุ่งดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด มีทั้งดอกไม้หลากสี และเล็กใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหญ้าเหมือนทุ่งนา และสายลมที่พัดพาดอกหญ้าไปในอากาศ จาเร็ตเขม้นมองออกไป ผ่านสายหมอกบางๆที่ปกคลุมหมู่บ้าน หมู่บ้านของข้าดูเล็กไปเลย เมื่อมองจากจุดนี้ ใช่จริงๆ เมื่อมองไป กระท่อมต่างๆดูราวกับมดที่ขยับไม่ได้ หรือไม่ก็ก้อนกรวดหรือทราย "ข้ารู้สึกดีจัง"จาเร็ตเผลอร้องตะโกนออกมา เขาเอนตัวลงนอนหงายกับพื้นหญ้า เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆสีขาวลอยเหมือนปุยนุ่น และแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคิดถึงมารดาของเขา เฮมุสได้เสี้ยมสอนอีกข้อหนึ่งกับจาเร็ตไว้ว่า แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคทรพิษ ซึ่งนั่นดูสมเหตุสมผล หากแต่ถ้าจะมองข้ามความจริงเล็กๆว่า โรคทรพิษเป็นได้ยาก และยังมีการรักษาโดยใช้เวทย์มนตร์ของเอลฟ์ก็หายแล้ว แต่น่าเศร้า เมื่อเขาท้วงกับพ่อข้อนี้ พ่อของเขาก็หน้าบึ้งขึ้นมาและเริ่มเฆี่ยนเขาไม่หยุด คิดวนไปวนมาจนในที่สุด เด็กหนุ่มก็ค้นพบว่าเขากำลังจ้องมองก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าอยู่อย่างหม่นหมอง เสียงฝีเท้าที่ย่องมาด้านหลังทำให้จาเร็ตหันกลับไปมอง เขาไขว่คว้าหาอาวุธที่ไม่มีอยู่จริงในที่แห่งนี้ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนด้านหลังเขา แววตาของนางเป็นสีฟ้าน้ำมหาสมุทร ซึ่งเปล่งประกายยามจ้องมองมาทางเขา ผมเปียสองข้างของนางห้อยลงมาปะกลางหลังเหมือนงูสีทองสองตัว สิ่งที่งดงามอีกประกายบนใบหน้าคือ ริมฝีปากสีแดงที่เป็นรูปหัวใจน่ารักของนาง "จะเป็นอะไรไหม"นางเอ่ยถามด้วยเสียงไพเราะ "ถ้าข้าจะขอนั่งกับท่านด้วยคน" "ไม่มีปัญหา"จาเร็ตตอบ ก่อนจะจ้องมองตามการเคลื่อนไหวอันกรีดกรายเสมือนนางรำของนางเยื้องมายังกายข้างๆเขา "จาเร็ต" เด็กหนุ่มตอบเบาๆ "แล้วท่านละ" "ข้าชื่อโซเฟีย "ไม่"จาเร็ตตอบก่อนจะคิดว่าเฮมุส บิดาของตนมีอาชีพอะไร "งั้นหรอ"น้ำเสียงของโซเฟียบ่งบอกถึงความเป็นกังวล ก่อนจะถามต่อ "จาเร็ต "เฮนด์ลอน"จาเร็ตตอบ โซเฟียเปลี่ยนท่านอน ด้วยการเอามือมาหนุนศีรษะของนางไว้ ก่อนจะตอบคำตอบที่ทำให้เขาต้องตกใจ "ข้านามสกุล ตีตัส" จาเร็ตเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ "โซเฟีย ตีตัสหรอ ท่านเป็นลูกสาวของคนก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้งั้นหรอ" "เปล่า พ่อของข้าเป็น รอยยิ้มของนางทำให้จาเร็ตรู้สึกติดใจ "ท่านเป็นผู้ดี ทำไมถึงมานอนกลางทุ่งอย่างนี้เล่าประเดี๋ยวอาภรณ์ของท่านก็เปอะเปื้อนไปหมดดอก"จาเร็ตพูด พร้อมกับตั้งใจจะใช้คำที่ให้เกียรติมากที่สุด แต่โซเฟียกลับแค่ยิ้มให้เฉยๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสนใจว่า "ท่านนี่ฉลาดนะ" จาเร็ตหน้าแดง "อ้า ข้าเปล่า" "ท่านอย่าดูถูกตัวเองเลยน่า จะมีสักกี่คนกันที่สังเกตได้ว่าข้าคลุกคลีกับพื้นหญ้า"นางตอบแล้วล้มตัวลงนอนลงไปอีก จาเร็ตหัวเราะ"นั่นสินะ ท่านคงจะมานอนเล่นที่นี่ทุกเย็นสิ ใช่ไหมเล่า" โซเฟียพยักหน้า แล้วกลิ้งตัวไปมากับพื้นหญ้า แสงแดดส่องเป็นลำมาที่ตัวเธอ ทำให้เธอดูราวกับเรืองแสงสีทอง ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว นกน้อยเริ่มบินกลับรัง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง จาเร็ตลุกขึ้นยืน จ้องมองไปยังหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่เป็นครั้งสุดท้ายของวันก่อนที่จะเอ่ยกับโซเฟียว่า "ใกล้ค่ำแล้ว ข้าขอกลับก่อนนะ" "ตามใจท่านเถิด ข้าเพียงแค่ "อะไรกันนี่"เขาถามอย่างตกใจ จับริมฝีปากตัวเองไว้ "ข้าเพียงแค่บอกลา"โซเฟียตอบยิ้มๆ "เราทำอย่างนี้กันในหมู่ "ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้นะ ข้าขอร้อง"จาเร็ตกล่าวหนักแน่น แต่ความรู้สึกปรารถนาในรอยจูบเมื่อสักครู่ยังไม่จางหายไป "จ๊ะ ข้าสัญญา"โซเฟียตอบ
ก่อนที่พ่อของเขาจะเริ่มตะคอกเขาอีก เด็กหนุ่มก็ออกวิ่งไปจากกระท่อม โดยไม่สนใจเสียงบ่นพึมพำของผู้เป็นพ่อ
ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา จาเร็ตได้เรียนรู้ว่าตนเองไม่ใช่เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน แต่ตนได้ถูกบิดาของเขาพร่ำสอนไว้ว่า
ตนเป็นเด็กชายชาวนาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งอันไกลโพ้น ซึ่งการเสี้ยมสอนเช่นนี้ทำให้ความเชื่อของเขาทวีเพิ่มจนไม่แน่ใจว่าพ่อของเขาต้องเสี้ยมสอนอย่างนี้ทุกคืนวัน
ความคิดเห็น