คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chance of destiny:ตอนที่สี่ พลังของอาจารย์เอลกริน
ตอนที่สี่ พลังของอาจารย์เอลกริน
ท่านเจ้าเมืองมาโนซรับคำอาจารย์เอลกรินแล้วสั่งให้ทุกคนรีบไปดำเนินการ อาจารย์เอลกรินเรียกอาจารย์คนอื่นๆเข้าไปพูดคุยกันสักครู่ทุกคนก็เดินออกมาแล้วเรียกพวกเขาให้ตามไปด้วย
ภายในห้องที่เหลือเพียงอาจารย์เอลกรินและท่านเจ้าเมืองเท่านั้น อาจารย์เอลกรินบอกท่านเจ้าเมืองว่า "ผมมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ท่านเจ้าเมืองดำเนินการอย่างเร่งด่วน"
หลังจากรับสัมภาระคืนที่หน้าห้อง และเดินลงบันไดมาประมาณสิบชั้น พวกเขาก็มาถึงพื้น
"พวกเราจะแยกย้ายไปอยู่ทั้งสี่ทิศของเมือง ท่านอาจารย์ใหญ่ได้มอบนกให้พวกเรากลุ่มละตัว หากมีเหตุการณ์อันตรายให้พวกเธอสองคนในกลุ่มขึ้นบนนกทันที พวกมันจะคอยดูแลเธอทั้งคู่เอง"อาจารย์เดือนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าในกลุ่มอาจารย์อธิบายให้พวกเราฟัง
แล้วมาศกับทิดก็ตามอาจารย์เดือนกับอาจารย์พลก็ไปตามถนนทางทิศตะวันออก โยกับดีตามอาจารย์วินกับอาจารย์ทิพย์ไปทางขึ้นเขาที่ทิศเหนือ ยูกับทีร่าตามอาจารย์เอกกับอาจารย์แคที่ไปตามถนนทางทิศตะวันตก สินกันกานตาอาจารย์ไทกับอาจารย์นิไปตามถนนทางทิศใต้
สินกับกานเดินไปตามถนนกว้าง ทั้งสองฝากของถนนมีตึกและบ้านขึ้นแน่นขนัดแต่ทั้งหมดกลับเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย แม้แต่ในซอยแยกต่างๆ ก็ไม่ต่างกัน ทหารลาดตระเวนเดินสวนพวกเราไปเป็นระยะๆ ผ่านกำแพงเมืองชั้นแรก จนกระทั่งพวกเขาก็มาถึงกำแพงเมืองชั้นที่สอง แม้ว่าที่เห็นจากบนท้องฟ้าเมื่อตอนขามาจะว่าเมืองนี้กว้างแล้ว แต่เมื่อได้ลงมาเดินในเมืองจริงๆ ถึงรู้ว่าเมืองนี้กว้างมาก พวกเขาเดินกับเป็นเส้นตรงอย่างเร็วแต่กว่าจะมาถึงกำแพงเมืองชั้นนอกได้ก็กินเวลาร่วมสองชั่วโมง
อาจารย์ทั้งสองก็พาพวกเขาขึ้นไปบนกำแพงเมือง ซึ่งมีทหารอยู่เต็มไปหมด มีป้อมสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ แล้วพวกเราก็เข้าไปพักในห้องของป้อมอันหนึ่งโดยไล่ทหารที่พักอยู่ออกมา (อาจารย์ของพวกเรานี่ก็เส้นใหญ่นะนี่) และให้พวกเรานำเสบียงออกมากินกันเพราะใกล้เที่ยงแล้ว
"พวกเธอนี่โชคดีนะ มาวันแรกได้ดูการต่อสู้ของท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว แถมยังอยู่ใกล้สุดด้วย บางรุ่นมาอยู่ครบสามปีแล้วยังไม่ได้ดูเลย"อาจารย์ไทบอกพวกเรา
"ทำไมอยู่ดีๆนกของอาจารย์เอลกรินถึงปรากฏออกมาได้ครับ แล้วมันหายไปไหนตอนทหารจะนำมันไปเก็บ"
อาจารย์ไทยิ้มแล้วก็มีสัตว์ตัวเล็กๆ คล้ายกระรอกมีห้าหางวิ่งออกมาจากอกเสื้อของอาจารย์ไท ส่วนอาจารย์นิก็เปิดกระเป๋าเล็กๆ ข้างเอวแล้วหยิบหนูที่มีเขาที่หน้าผากออกมา สัตว์ทั้งสองเรืองแสงแล้วกระรอกก็กลายเป็นเจ้าขาว หมาป่าสีขาวห้าหางของอาจารย์ไท ส่วนหนูกลายเป็นยูนี่ ม้ายูนิคอร์นสีชมพูของอาจารย์นิ สินกับกานที่กำลังกินเสบียงอยู่นั้นตกใจจนลืมกินต่อ
อาจารย์นิอธิบายว่า "สัตว์ประจำตัวสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้สามถึงสี่ร่างแล้วแต่พลังของเจ้าของ เวลาเดินทางพวกมันก็จะแปลงเป็นสัตว์ตัวเล็กๆเพื่อไปกับพวกเราได้ง่ายอีลิเมนต์เบิร์ดของอาจารย์ใหญ่ก็เหมือนกัน ปกติมันจะเป็นนกตัวเล็กๆ คอยบินตามอาจารย์ใหญ่เอง"
"หึ หึ เอ้า มัวแต่นิ่งกันอยู่ได้ กินซะให้เสร็จ เดี๋ยวพวกเธอต้องเรียนรู้รายละเอียดของเมืองนี้ก่อนที่จะมีการปะทะกัน ท่านอาจารย์ใหญ่คำนวณว่า เมื่อไหร่ที่ด้านนอกเกิดการปะทะกัน พวกศัตรูที่อยู่ด้านในก็จะลงมือทันที ซึ่งท่านให้เวลาพวกเราเตรียมตัวสามชั่วโมงก่อนจะนำทัพออกจากเมือง"พูดเสร็จอาจารย์ไทก็เดินออกจากห้องไป
อาจารย์นิก็เริ่มอธิบายถึงเมืองนี้ ที่เขาสิเนรุหรือมีบางที่เรียกว่าโอลิมปัส กึ่งกลางหิมพานต์หรืออีเดน เป็นแห่งเดียวที่มีประตูมิติที่เชื่อมเข้าถึงมิติสวรรค์ได้ แต่ละประตูก็จะทะลุไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ เหล่าทวยเทพจึงสร้างเมืองล้อมรอบเขาสุเมรุ โดยใช้แผ่นหินลอยได้มาต่อกันเป็นวงกลม ใช้ชื่อว่าเมืองภุมมา ถัดออกมาล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูงถึงเจ็ดชั้น ได้แก่ เทือกเขาอัสสกัณณะ เทือกเขาวิเนตกะ เทือกเขาเนมินธร เทือกเขายุคันธร เทือกเขาอิสินธร เทือกเขากรวีกะ และเทือกเขาสุทัสสนะ ช่องว่างระหว่างเทือกเขาชั้นต่างๆ เป็นแม่น้ำเรียกว่า มหานทีสีทันดร
เนื่องจากไม่มีสิ่งใดสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำของมหานทีสีทันดรได้ ดังนั้นการเดินทางไปยังมิติสวรรค์จึงเป็นที่ยากลำบากทำให้เหล่าทวยเทพคิดประดิษฐ์พาหนะขึ้นเรียกว่า ยานนาวา ที่สามารถลอยอยู่บนอากาศได้ จากนั้นตั้งด่านตรวจพร้อมเป็นจุดพักของยานนาวาตามเทือกเขาชั้นต่างๆมาจนถึงภายนอก
เมืองฟรอนซ่า เป็นหัวเมืองใหญ่ด้านใต้นอกมิติสวรรค์ ที่ขึ้นตรงต่อ ท้าววิเรน หนึ่งในสี่จตุโลกบาลที่ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ด้านทิศใต้ของสวรรค์ เจ้าเมืองเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของท้าววิเรน ชาวสวรรค์ส่วนหนึ่งก็ย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากินอยู่ที่นี่เพราะเมืองนี้เป็นทางผ่านที่บรรดาเทพใช้บ่อยสุดเมื่อต้องไปทำงานยังต่างมิติ นอกจากนั้นยังมีชาวพื้นเมืองของหิมพานต์เอง ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ วิทยาธร คนธรรพ์ นาค ยักษ์ กุมภัณฑ์ และอื่นๆ ก็มาตั้งถิ่นฐานที่นี่และหัวเมืองใหญ่อีกสามทิศได้แก่ เหนือ ตะวันออก และตะวันตก
ถึงตอนนี้อาจารย์ไทก็เข้ามาและวางดาบสองเล่มกับคันธนูพร้อมลูกศรสองชุดให้กับพวกเรา บอกว่าไว้ป้องกันตัว และตามออกไปดูได้แล้ว ทัพที่กำลังจะออกนอกเมืองกำลังจะมาถึงแล้ว สินกับกานจึงต้องคาดดาบกับเอว และสะพายชุดลูกธนู ถือคันธนูแล้วตามอาจารย์ทั้งสองออกไป
ด้านนอกทหารทั้งหมดยืนเรียงรายเป็นระเบียบ มีทหารม้ากำลังเดินแถวมาทางประตูที่เปิดอยู่ ทหารทั้งหมดใส่ชุดเกราะสีเหลือง ยกเว้นหนึ่งในสองผู้อยู่แถวหน้าสุดคืออาจารย์ใหญ่เอลกรินยังคงอยู่ในชุดขาว เมื่อทหารนายสุดท้ายผ่านประตูไปแล้วประตูก็ปิดลง ทหารที่ประตูต่างกลับเข้าประจำที่ พวกเราก็ย้ายฝั่งไปดูด้านนอกเมือง
สินสังเกตเห็นนกสีฟ้าตัวเล็กๆตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ไหล่ของอาจารย์นิ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ที่ด้านล่างน่าตื่นเต้นกว่า เพราะทันทีทหารด้านล่างจัดแถวเสร็จ ที่ชายป่าก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตเคลื่อนออกมาจำนวนมาก นอกจากสิงโตที่รูปร่างเหมือนคิงคอง และลิงผสมนกที่พวกเขาเจอเมื่อวานแล้วยังมีลิงช่วงล่างและหางเป็นสิงห์ สิงห์สีน้ำตาล วัวที่มีร่างเป็นสิงโต ลิงที่ท่าทางเหมือนคน ทั้งหมดมีจำนวนรวมกันมากกว่าพันอย่างแน่นอน และที่กลางของพวกนั้น มีลิงสีแดงใส่ชุดเกราะ นอนเอนอยู่บนแคร่ที่มีลิงใหญ่หามอยู่ด้านละสี่ตัว
ลิงสีแดงตัวนั้นลุกขึ้นยืนบนแคร่ ท่าทางเหมือนกำลังตะโกนอะไรอยู่ จากนั้นบรรดาสัตว์ทั้งหลายก็โห่ร้องขึ้น แล้วก็แย่งกันวิ่งเข้าหาอาจารย์ใหญ่เอลกรินและกองทหารทันที
ย้อนกลับมาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ทางด้านกองทัพของกิระกาลที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเมื่อเห็นทัพทหารออกจากเมืองมาก็สั่งบรรดาสัตว์ต่างๆให้ทยอยออกไปชุมนุมนอกป่า ส่วนตัวเองก็ขึ้นไปนอนเอนอยู่บนแคร่ที่องครักษ์ทั้งแปดของมันหามขึ้นเตรียมพร้อมไว้ แล้วเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมันออกมาตอนแรกเห็นกำลังฝ่ายตรงข้ามมีไม่กี่ร้อยก็คิดในใจว่างานนี้ชนะสบายแน่ แต่ทันทีที่มันเห็นชายชราชุดสีขาวบนหลังม้าที่อยู่หน้าสุด ก็ต้องตกใจจนลุกขึ้นยืน "เอลกรินงั้นรึ พวกเจ้าไม่เคยบอกเลยว่าเจ้าแก่เอลกรินจะมาช่วยที่นี่" กิระกาลหันไปตะคอกกับผู้ใส่ชุดคลุมสีดำปิดทั้งร่างกาย ใบหน้าก็ใส่หน้ากากสีดำปิดไว้
"ข้าก็ไม่รู้ว่าเอลกรินจะมา แต่เจ้าก็รู้ว่าเอลกรินอยู่ในละแวกใกล้เคียงนี้ หากทางเมืองขอกำลังไปเอลกรินก็ต้องมาอยู่แล้ว" ผู้อยู่ในชุดคลุมสีดำตอบกิระกาล
"แล้วท่านคิดว่าจะเอาชนะมันได้รึ"
"จริงอยู่ที่ท่านเคยเป็นศิษย์ของเจ้าแก่เอลกริน และหวาดกลัวกับพลังของมัน แต่ท่านลองดูกองทัพสัตว์ต่างๆที่นี่มีมากกว่าพันห้าร้อย พวกมันมีประมาณสองร้อยจะกลัวอะไร อีกอย่าง ท่านก็ให้พวกลูกน้องไปรุมจัดการเจ้าแก่เอลกรินให้ได้ หากทำได้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญของเจ้าเชียวนะ"
กิระกาลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นร้องตะโกนว่า "พวกเจ้าทุกตัวจงฟัง หากผู้ใดสามารถจัดการเจ้าแก่ในชุดขาวด้านหน้าสุดได้ ข้าจะแต่งตั้งขึ้นเป็นรองแม่ทัพและบำเหน็จรางวัลให้อย่างงดงาม!!!"
บรรดาสัตว์ก็โห่ร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เมื่อสิ้นเสียงกิระกาลที่ร้องบอกว่า บุก แต่ละตัวต่างวิ่งกรูกันเข้าหากองทัพเบื้องหน้าทันที!!!
"สั่งให้พลธนูทุกนายขึ้นสายไว้ แต่ห้ามยิงจนกว่าจะมีคำสั่งจากข้า"อาจารย์เอลกรินสั่งต่อหัวหน้าหน่วยธาตุดินที่อยู่ข้างๆ เมื่อมีการส่งสัญญาณ ทหารบนกำแพงเมืองทุกนายต่างขึ้นสายธนูเตรียมยิงได้ทุกเมื่อ ส่วนทหารธาตุดินที่อยู่ด้านล่างก็จัดขบวนเป็นหน้ากระดานประมาณสิบแถวซ้อนกัน ทหารทุกนายถือหอกยาวเตรียมพร้อมไว้
เมื่อกองทัพสัตว์วิ่งเข้าใกล้เมืองเหลืออีกประมาณห้าเนินเขาเล็กๆ ก็มีแสงสีเหลืองทองสี่สายพุ่งออกจากร่างอาจารย์เอลกริน ลำแสงสีทองทั้งสี่เข้าใกล้กองทัพสัตว์แล้วกลายเป็นนกสีน้ำตาลทองสี่ตัว นกทั้งหมดพ่นไฟใส่กองทัพสัตว์แล้วบินหลบขึ้นสูงเพื่อหลบบรรดาอาวุธที่พวกสัตว์มีมือพุ่งขึ้นมา จากนั้นปีกนกทั้งสี่ตัวก็เปล่งแสงสีทองแล้วก็ปล่อยสายฟ้าฟาดลงมายังกองทัพสัตว์เรื่อยๆ วานรปักษ์และ กบิล ที่สามารถบินได้ก็ทะยานไปสู้กับนกทั้งสี่ แต่ก็ถูกไฟที่นกทั้งสี่พ่นออกมาขัดขวางไว้
กองทัพสัตว์แม้ว่าจะถูกโจมตีแต่ก็ยังคงวิ่งรุดหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเข้ามาถึงเนินเขาที่สี่ อาจารย์เอลกรินก็สั่งให้ยิงธนู ห่าของลูกธนูนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปยังบรรดาสัตว์ แม้จะมีบางตัวที่หนังหนาจนลูกธนูทำอันตรายไม่ได้ แต่ก็มีจำนวนมากที่ถูกลูกธนูล้มตายลง ที่บาดเจ็บก็ถูกบรรดาสัตว์ตัวอื่นๆ ที่วิ่งตามมาเหยียบล้มตายไป
การโจมตีสองระลอกผ่านไป แต่จำนวนสัตว์ก็ลดลงเพียงสามถึงสี่ร้อยเท่านั้น ยังมีจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาใกล้เมืองมากขึ้นจนถึงเนินเขาที่สาม
อาจารย์เอลกรินชูไม้เท้าขึ้น ไม้เท้าเรืองแสงเป็นสีแดง จากนั้นไม้เท้าถูกเหวี่ยงขนานกับพื้นพร้อมเสียงอาจารย์เอลกรินที่ตะโกนออกมา "ปีกอัคคี"
เปลวไฟพวยพุ่งออกตามแนวที่ไม้เท้าเหวี่ยงออกไป ขยายออกเป็นรูปปีกความยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ทะยานเข้า สู่กองทัพสัตว์ที่ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงร่ำร้องของบรรดาสัตว์ที่ถูกแผดเผาดังระงมคู่ไปกับเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงพื้นเป็นระยะๆ ส่วนสัตว์ที่อยู่แนวหลังก็พ่นไฟและร่ายเวทย์เข้าต่อต้านปีกอัคคีนั้น กิระกาลและบรรดากบิลที่อยู่ด้านหลังก็ร่ายเวทร่วมต้านปีกอัคคีนั้นด้วย สักพักปีกอัคคีก็สลายไป แต่กองทัพสัตว์เสียหายไปกว่าสองร้อย
แล้วหัวหน้าหน่วยธาตุดินก็ออกคำสั่ง บุก ทหารธาตุดินทั้งหมดก็ควบม้าทะยานเข้าตะลุมบอนกับบรรดากองทัพสัตว์ที่กำลังข้ามเข้ามาถึงเนินเขาที่สอง อาจารย์เอลกริน และหัวหน้าหน่วยธาตุดินที่อยู่หน้าสุด ไม้เท้าของอาจารย์เอลกรินตอนนี้มีสิ่งที่เหมือนกับสายฟ้าวิ่งวนอยู่ตรงส่วนหัวของไม้เท้า ส่วนทหารคนอื่นๆก็ลดปลายหอกพุ่งเข้าหาร่างของศัตรูตามแนวแถวของตนเอง
อาจารย์ไทอธิบายให้ฟังว่าเวทย์ที่ใช้เมื่อสักครู่นี้คือเวทย์สูงสุดสายไฟของอาจารย์ใหญ่เอลกริน ซึ่งมีความรุนแรงมากแต่ต้องเสียเวลาในการรวมพลังนาน โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการเปิดฉากสู้กับศัตรูระดับต่ำแต่จำนวนมาก ก็ตรงกับสถานการณ์เมื่อครู่พอดี โดยปกติแล้วเวทย์นี้จะมีรัศมีไกลกว่าเมื่อครู่อีกเท่าหนึ่งแต่ด้วยไฟและเวทย์ที่กองทัพศัตรูยิงออกมาต้านทานทำให้มันสลายไปเร็วกว่าปกติ ส่วนเวทย์ที่ใช้คู่กับไม้เท้าในตอนนี้คือเวทย์หอกสายฟ้า โดยการสร้างสายฟ้ามาเป็นปลายบริเวณส่วนหัวของไม้เท้า และนกสีขาวตัวขนาดเหยี่ยวที่บินอยู่ข้างๆ ก็คือร่างที่สองของนกสีขาวที่อาจารย์ขี่มา
ด้วยความรวดเร็วและรุนแรงในการพุ่งเข้าปะทะของกองทหารดิน ทำให้บรรดากองทัพสัตว์ที่เหลืออยู่ประมาณแปดถึงเก้าร้อยลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงห้าถึงหกร้อยเท่านั้น ส่วนแคร่ของกิระกาลตอนนี้ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ตัวมันและกบิลที่แบกแคร่ต่างพุ่งเข้าหาอาจารย์เอลกรินเป็นเป้าหมายเดียว
"วี๊ด......................ตูม" เสียงระเบิดดังขึ้นด้านหลังของพวกเราเมื่อหันไปดูบนฟ้าเกิดกลุ่มควันสีแดงลอยอยู่ และก็มีเสียงดังติดต่อกันตามมาอีกห้าครั้ง ที่ห่างไปทางประตูเมืองตะวันออก ประตูเมืองตะวันตก ปราสาทกลางเมือง และในตัวเมืองอีกสองที่ ซึ่งทั้งหมดมีกลุ่มควันสีแดงลอยอยู่เช่นกัน ที่ถนนด้านล่างพวกเราได้เห็นกลุ่มคนในชุดเกราะสีดำวิ่งเข้าต่อสู้กับทหารที่รักษาประตูอยู่ และมีเสียงการปะทะกันอยู่ไกลๆ ตามจุดที่มีกลุ่มควันลอยอยู่
กลุ่มคนในชุดเกราะดำแม้มีจำนวนน้อยเพียงประมาณห้าสิบนายแต่ความสามารถเหนือกว่าทหารอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานทหารแม้ล้มตายน้อยแต่จำนวนที่บาดเจ็บกลับมาก ส่วนกลุ่มคนในชุดเกราะดำที่บาดเจ็บและล้มตายรวมกันยังไม่ถึงสิบคน
"พวกเธอสองคนรออยู่ที่นี่นะ"อาจารย์นิบอก แล้วตามอาจารย์ไทกับเจ้าขาวที่กระโดดลงจากกำแพงเมืองตรงเข้าหากลุ่มคนพวกนั้นแล้ว โดยเจ้ายูนี่กลายเป็นหนูตัวเล็กๆ เกาะอยู่บนไหล่อาจารย์ นกสีฟ้าก็บินมาเกาะที่ไหล่กาน คาดว่าเป็นนกของอาจารย์เอลกริน กานจึงปล่อยมันเกาะไป
ก่อนที่อาจารย์ไทจะเข้าถึงกลุ่มคนในชุดเกราะดำ ก็มีแสงสีแดงเกิดขึ้นที่ร่างอาจารย์กับเจ้าขาว เกิดเป็นชุดเกราะรูปร่างหมาป่ามีสีขาวคาดแดง ที่มือสองข้างมีกรงเล็บสีแดงยืดยาวออกมาข้างละสามอัน ส่วนอาจารย์นิกับเจ้ายูนี่ที่ตามไปก็มีแสงสีชมพูแล้วเกิดเป็นชุดเกราะรูปร่างยูนิคอนมีไม้เท้าที่หัวเป็นรูปหัวยูนิคอนอยู่ในมือ
คนในชุดเกราะดำสองคนฟันดาบเข้าใส่อาจารย์ไท โดยอาจารย์ไทใช้กรงเล็บทั้งสองข้างรับไว้ อาจารย์นิชี้ไม้เท้าไปยังอาจารย์ไทแล้วร่ายเวทย์ "สเตรงค์" เกิดแสงสีชมพูพุ่งออกจากไม้เท้าเข้าหาร่างอาจารย์ไท อาจารย์ไทก็ผลักดาบทั้งสองอันออกไป แล้วแทงกรงเล็บเข้าร่างทั้งสอง คนในชุดเกราะดำอีกสามคนก็ตรงเข้ามาใช้หอกแทงใส่อาจารย์ไท แต่อาจารย์นิก็ชี้ไม้เท้าไปที่อาจารย์ไทอีกครั้งแล้วร่ายเวทย์ "สปีด"
หอกทั้งสามอันที่กำลังจะแทงถูกอาจารย์ไทนั้น อาจารย์ไทกลับหายไปแล้วไปโผล่ที่ด้านหลังของคนในชุดเกราะดำทั้งสามคน จากนั้นทั้งสามคนก็ล้มลงกองกับพื้น
"คุ้มกันฉันแป็บนึงนะ" อาจารย์นิบอกอาจารย์ไท แล้วใต้ร่างอาจารย์นิก็เกิดวงแหวนแปลกๆเรืองแสงขึ้น อาจารย์นิถือไม้เท้าด้วยมือทั้งสองข้างให้หัวไม้ตั้งขึ้นพร้อมพึมพำท่องอะไรบางอย่าง อาจารย์ไทก็เรียกทหารมาตั้งแถวรับมืออยู่หน้าอาจารย์นิ ร่างของอาจารย์นิค่อยๆลอยสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
"จิ๊บ..." นกสีฟ้าตัวน้อยบนไหล่กานส่งเสียงขึ้นพร้อมมองไปทางซ้ายและขวา เมื่อสินกับกานมองตามไปพวกเขาเห็นคนในชุดเกราะดำหลบอยู่ในซอยเล็กๆ ทางซ้ายและขวาข้างละสองคนค่อยๆ ย่องเข้าหาทหารที่กำลังสนใจการต่อสู้ภายในเมืองอยู่ สินจึงหันไปบอกทหารที่อยู่ข้างๆให้มองตาม ทหารคนนั้นก็บอกเพื่อนๆจำนวนหนึ่ง แล้วยกธนูขึ้นยิงลูกธนูออกไป คนในชุดดำทั้งสี่ที่ไม่ได้ระวังตัวจึงจบชีวิตลงเช่นนี้
"บลันโซ่ สัตว์อสูรน้ำแข็ง" อาจารย์นิที่ตอนนี้มีประกายแสงสีฟ้าล้อมรอบตัวเปล่งเสียงออกมา ท้องฟ้าเหนือกลุ่มคนในชุดเกราะดำเกิดวงแหวนสีฟ้า แล้วหมีขาวยักษ์ตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากช่องนั้น
"ทุ่มน้ำแข็ง" สิ้นเสียงอาจารย์นิ ด้านหน้าของหมีขาวเกิดแสงสีฟ้าขาววิ่งเข้าไปรวมกันเป็นผลึกน้ำแข็งก้องใหญ่ แล้วหมีขาวก็ใช้ขาหน้าโอบอุ้มน้ำแข็งนั้นทุ่มลงมายังกลางกลุ่มคนในชุดเกราะดำ แล้วแตกกระจายออกทำรัศมีรอบๆ นั้นกลายเป็นทุ่งน้ำแข็ง อาจารย์ไทและทหารที่ใช้เวทย์มนต์ได้ร่วมกันสร้างเวทย์เกราะเพลิงป้องกันไม่ให้รัศมีของวงน้ำแข็งทำร้ายพวกเดียวกันเอง
คนในชุดเกราะดำที่เหลือทั้งหมดจึงถูกแช่แข็งไว้เช่นนี้เอง อาจารย์ไทกับอาจารย์นิกลับมาหาพวกเราโดยยังสวมชุดเกราะอยู่ "อาจารย์นิเก่งจังเลยค่ะ พอหนูเรียนเสร็จแล้วก็จะทำอย่างอาจารย์ได้ใช่ไหมคะ" กานคุยกับอาจารย์นิ
"แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคนน่ะ อย่างจะให้ไปสู้แบบอาจารย์ไท อาจารย์ก็ทำไม่ได้" อาจารย์นิตอบ
"แล้วชุดเกราะพวกนี้ล่ะครับ มาจากสัตว์ประจำตัวของพวกอาจารย์หรือครับ" สินถามอาจารย์ทั้งคู่
"สัตว์ประจำตัวบางตัวเท่านั้นที่จะทำได้ เมื่อเป็นชุดเกราะแล้วก็จะเพิ่มพลังให้แก่ผู้ใส่ตามพลังของสัตว์นั้น อย่างอาจารย์นิเมื่อใช้เกราะยูนิคอน ความสามารถทางเวทย์มนต์ก็จะเพิ่มขึ้น หรือเกราะหมาป่าของฉันก็เน้นด้านความเร็วน่ะ"อาจารย์ไทตอบแล้วเสริมต่อว่า "แล้วเหตุการณ์ด้านนอกตอนนี้เป็นยังไงบ้าง"
"กองทัพศัตรูเหลือจำนวนมากกว่าพวกเราไม่มากแล้ว ส่วนท่านเอลกรินจัดการองค์รักษ์ของแม่ทัพศัตรูหมดแล้ว กำลังตามแม่ทัพศัตรูที่หลบหนีอยู่ครับ" ทหารด้านข้างผู้หนึ่งตอบ
พวกเขาจึงพากันไปดู และเห็นกำลังศัตรูเหลือจำนวนพอๆ กับทหารธาตุดิน ส่วนอาจารย์เอลกรินลงจากหลังม้าแล้วกำลังยิงเวทย์น้ำเข้าใส่กิระกาลอยู่
"กระสุนน้ำแปดทิศทาง" เอลกรินร่ายเวทย์เข้าใส่กิระกาล เกิดเป็นลูกบอลน้ำล้อมรอบกิระกาลไว้แล้วพุ่งเข้าหากิระกาลด้วยความเร็ว
"เกราะอัคคี" เกิดโดมเปลวเพลิงล้อมรอบกิระกาลไว้ แต่ยังไม่สามารถป้องกันกระสุนน้ำได้ทั้งหมด กิระกาลจึงใช้แส้เพลิงอาวุธประจำตัวปัดกระสุนที่เหลือออกไป
"มังกรวารี" สิ้นเสียงเอลกริน เกิดลูกบอลน้ำขนาดใหญ่ลอยอยู่หน้า ลูกบอกค่อยๆยาวขึ้นและกลายสภาพเป็นมังกรพุ่งเข้าหากิระกาล
"ซาลามันเดอร์" กิระกาลเสกลูกบอลไฟขึ้นมาในอากาศแล้วแปรสภาพเป็นมังกรเพลิงตรงเข้าหามังกรน้ำของเอลกริน
"แสงศรสวรรค์สิบแปดดอก" เกิดลูกบอลแสงสิบแปดลูกลอยล้อมเอลกรินแล้วพุ่งเข้าหากิระกาล
ทันทีที่มังกรน้ำปะทะกับซาลามันเดอร์ เกิดแรงระเบิดและไอน้ำกระจายไปทั่ว แต่ศรลำแสงทั้งหมดของเอลกรินยังพุ่งเข้าหากิระกาลอย่างแม่นยำ แม้กิระกาลจะพยายามหลบหลีกแต่ก็ไม่สามารถหลบหลีกได้พ้นทั้งหมด จึงรับศรลำแลงไปถึงสี่ลูก เมื่อไอน้ำจางไป ร่างของกิระกาลที่บาดเจ็บคุกเข่าอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมนัก
"กิระกาล ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก เจ้ากลับตัวแล้วมาอยู่ฝ่ายเราดีกว่า หากจบศึกนี้แล้วข้าจะหาที่อยู่ให้เจ้าเอง"เอลกรินเจรจากับกิระกาล
"หุบปากซะเจ้าแก่ จริงอยู่ที่เจ้าเป็นอาจารย์ของข้า แต่รู้บางไหม เมื่อข้าอยู่ที่เมืองขีดขินก็มีแต่การเลือกพวกพ้องของตัวเองเป็นใหญ่ ใครต่อต้านไม่โดนทำร้ายจนบาดเจ็บปางตายก็ต้องโดนสังหาร แรกๆข้าเชื่อที่เจ้าสอนให้เป็นคนดี ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน แต่สุดท้ายเมื่อพวกมันเห็นว่าข้าทำตัวเป็นศัตรู ครอบครัวข้าก็ถูกพวกที่กุมอำนาจฆ่าตาย พวกมันรวมกำลังกันมารุมข้าทำร้ายข้าจนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ดีที่ข้ามีแก้ววิเศษของตระกูลอยู่ทำให้ข้าสามารถฟื้นคืนชีพได้ จากนั้นข้าก็รู้ว่าผู้มีพลังอำนาจเท่านั้นจึงเป็นผู้ถูกต้อง และพวกเขาก็มอบให้ข้าได้"
"เจ้าผิดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรความชั่วร้ายก็ไม่สามารถชนะความดีได้หรอก เรื่องที่เกิดกับเจ้านั้นสามารถร้องเรียนผู้มีอำนาจในมิติสวรรค์มาตรวจสอบได้"
"เหอะ เหอะ สวรรค์รึ พวกที่แอบอ้างความเชื่อของผู้คนในมิติอื่น ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยแล้วให้มาสรรเสริญบูชาตัวเองน่ะรึ ไอ้พวกกดขี่ข่มเหงผู้อื่นหนุนหลังพวกมันก็คือผู้มีอำนาจบนสวรรค์ พวกมันมีผลประโยชน์ร่วมกัน แล้วมันจะมาสนใจอะไรกับแค่กบิลตัวเดียว สุดท้ายมันก็ช่วยพวกพ้องทั้งนั้น
ถึงตอนนี้ข้าจะแพ้ แต่พวกเจ้าก็ไม่รอดหรอก อำนาจและเงินทองช่วยให้ข้ามีพลังทำลายมหาศาล ในแคร่ที่ข้านั่งอยู่นั้นมีระเบิดทลายเทพของมิติอสูร ที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขอบเขตได้ แล้วรัศมีของมันก็ใหญ่ถึงสิบกิโลเมตร หน้าที่ของข้าจริงๆแล้วคือนำมันเข้ามาให้ใกล้ที่สุดแล้วถ่วงเวลาจนใกล้ระเบิดเท่านั้นเอง ส่วนตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว พวกเจ้าไปจัดการต่อเองแล้วกัน"พูดจบแล้วกิระการก็หยิบลูกแก้วลูกหนึ่งออกมาทุ่มลงพื้น เกิดเป็นหลุมดำดูดกิระกาลหายไป
เอลกรินกระโดดขึ้นม้าแล้วรีบตรงไปยังแคร่ของกิระกาลทันที นกสีฟ้าตัวเล็กบนไหล่กานก็บินออกไปกลายเป็นลำแสงสีฟ้ารวมกับลำแสงสีฟ้าอีกสามสายตรงไปหาอาจารย์เอลกรินเช่นกัน เอลกรินลงจากหลังม้าแล้วสำรวจแคร่อยู่ครู่หนึ่งก็จับแคร่พลิกขึ้น
ใต้แคร่มีแผ่นโลหะกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ตรงกลางมีผลึกกลมสีดำอันใหญ่ฝังอยู่ ส่วนรอบๆล้อมด้วยผลึกกลมสีแดงขนาดรองลงมาสิบสองเม็ด ด้านนอกสุดเป็นลูกแก้วบรรจุเวทย์ที่จอมเวทย์มักใช้บรรจุเวทย์ของตัวเองสำรองไว้ใช้เวลาฉุกเฉินจำนวนมาก เรียงชิดกันจนเต็มขอบวงกลมด้านนอกของแผ่นโลหะ ลูกแก้วเวทย์มนต์นั้นดับไปสามในสี่แล้ว แต่ผลึกกลมสีแดงนั้นกลับสว่างจ้าถึงเก้าลูก และลูกที่สิบกำลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ
"ผนึกน้ำแข็งศูนย์องศาสัมบูรณ์" ทั้งแผ่นโลหะและแคร่กลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันที จากนั้นนกสีน้ำตาลทองที่ปล่อยสายฟ้าสู้กับศัตรูบนอากาศอยู่ก็กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้าไปใกล้เอลกริน รวมกับลำแสงสีฟ้าอีกสี่สาย และสุดท้ายนกสีขาวที่อยู่ใกล้ๆ ก็กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งเข้ามาอีกสายหนึ่ง
ลำแสงทั้งเก้าพุ่งวนรอบเอลกรินแล้วร่างเอลกรินเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เมื่อแสงจางลงไปปรากฏร่างเอลกรินที่สวมชุดเกราะเก้าวิหกมีหัวนกเก้าอันอยู่ที่ หัว ลำตัว ไหล่ทั้งสอง เข็มขัด แขนทั้งสอง และขาทั้งสอง ส่วนที่กลางหลังมีปีกเก้าคู่ เอลกรินใช้พลังห่อหุ้มแคร่ที่กลายเป็นน้ำแข็งไว้ ปีกทั้งสิบแปดก็ขยับกระพือพาเอลกรินบินขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อบินขึ้นสูงระยะหนึ่งแล้ว เอลกรินก็ปล่อยพลังเวทย์ดันก้อนน้ำแข็งให้พุ่งทะยานต่อไปก่อนบินกลับลงมาและยิงลูกบอลเพลิงเข้าใสก้อนน้ำแข็งนั้น ทันทีที่ลูกบอลเพลิงปะทะกับก้อนน้ำแข็ง ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นไกลๆ แต่มีคลื่นแรงอัดอากาศพัดผ่านไปจนพวกสินและทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองรู้สึกได้
สารานุกรม
เวทย์มนต์
ปีกอัคคี(Fire Wings) เวทย์ไฟสูงสุดของเอลกริน ปล่อยเปลวไฟออกไปเป็นรูปปีกนก มีความเร็วสูง กินพื้นที่กว้างมาก แต่เสียเวลาในการรวมพลัง
กระสุนน้ำแปดทิศทาง(Eight Way Water Cannons) เสกลูกบอลน้ำล้อมรอบศัตรูทั้งแปดทิศ แล้วยิงใส่จุดศูนย์กลายพร้อมๆกัน
เกราะอัคคี(Fire Armor) เรียกเปลวเพลิงมาล้อมรอบตัวเป็นเกราะป้องกัน การใช้เวทย์นี้หากผู้ใช้ไม่รอบคอบบางทีก็โดนไฟที่เรียกมาเป็นเกราะเผาเสื้อผ้าได้
มังกรวารี(Water Dragons) เรียกมังกรน้ำออกมาโจมตีเป้าหมาย
ซาลามันเดอร์(Salamander) เรียกสัตว์ประจำธาตุไฟมาโจมตีเป้าหมาย
แสงศรสวรรค์สิบแปดดอก(Eighteen Heaven Light Arrows) ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์โจมตีเป้าหมายจำนวนจะเปลี่ยนแปลงตามพลังเวทย์ของผู้ใช้
ผนึกน้ำแข็งศูนย์องศาสัมบูรณ์(Absolute Zero Ice Seal) ใช้พลังเวทย์ลดอุณหภูมิเป้าหมายลงให้ต่ำสุดจนอนุภาคหยุดการเคลื่อนไหว
ในทางฟิสิกส์ ศูนย์องศาสัมบูรณ์ (absolute zero) เป็นค่าน้อยที่สุดที่สามารถวัดอุณหภูมิได้ ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถสร้างสภาพศูนย์องศาสัมบูรณ์ขึ้นมาได้จริง ปัจจุบันได้นิยามศูนย์องศาสัมบูรณ์ไว้ว่า เป็นอุณหภูมิที่อนุภาคทุกชนิดหยุดการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง มาตรวัดอุณหภูมิแบบเคลวินและแรนไคน์กำหนดศูนย์องศาสัมบูรณ์ไว้ที่ 0 เคลวิน (K) และ 0 องศาแรนไคน์ (°R) สำหรับเซลเซียสและฟาห์เรนไฮต์วัดที่ −273.15 °C และ −459.67 °F ตามลำดับ(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
ความคิดเห็น