ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Journey of destiny:เส้นทางแห่งโชคชะตา

    ลำดับตอนที่ #4 : Chance of destiny:ตอนที่สาม เมืองฟรอนซ่า

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 49


    ตอนที่สาม เมืองฟรอนซ่า

              ท่านเอลกรินรอจนแน่ใจว่าพวกเขากลืนใบไม้ทั้งหมดแล้วก็กล่าวต่อไป แต่ครั้งนี้พวกเขารู้ว่านั่นไม่ใช่ภาษาไทยแต่กลับฟังออก!!!(ต่อไปตัวละครจะใช้ภาษาที่เหมาะสมกับสถานการณ์นะครับผมจะไม่คอยแยกว่าช่วงไหนเป็นภาษาไหนเน้อ -_- )
              “ต่อจากนี้หนึ่งปี พวกเจ้าจะต้องฝึกพื้นฐานเดี่ยวกับอาจารย์ทั้งหกคนอาทิตย์ละสองครั้ง ครั้งละครึ่งวัน โดยอาจารย์ประจำตัวจะเป็นผู้กำหนดเวลาเรียนให้เอง วันอาทิตย์จะเป็นวันหยุดสำหรับทบทวนความรู้ด้วยตัวเอง อาจารย์ประจำตัวจะอยู่บ้านหลังเดียวกับพวกเจ้า คอยแนะนำเวลามีข้อสงสัย อาจารย์ชายทั้งสี่ และอาจารย์หญิงทั้งสี่ พวกเจ้าไปทำความรู้จักกันเองในภายหลัง ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้วเชิญอาจารย์พานักเรียนแยกย้ายกันไปที่บ้านพักได้ สัมภาระของพวกเจ้ายังอยู่บนรถเหมือนเดิม”
              สินเห็นการสนทนาใกล้จบลงเลยถามว่า “เดี๋ยวครับ แล้วทางบ้านของพวกเราล่ะครับ พวกเราหายไปนานจะเป็นอย่างไรบ้าง”
              “อืม ฉันก็ลืมบอกไป ไม่ต้องห่วงทางมิติของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้ากลับไปก็จะพบว่าทุกอย่างไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่หรอก ถ้าหมดคำถามแล้วเชิญเอาสัมภาระที่รถแล้วตามอาจารย์ที่เรียกชื่อแต่ละคนไปพักได้”
              พวกเขาเลยต้องเคลื่อนขบวนไปที่รถกระบะด้านนอกแล้วหยิบกระเป๋าตัวเองออกมา มีคนแปดคนยืนอยู่ข้างๆรถแล้ว คืออาจารย์ประจำตัวทั้งแปดนั่นเอง แบ่งเป็นชายสี่หญิงสี่ตามจำนวนพวกเขา
              “เก็บของกันครบแล้ว ตามอาจารย์ที่เรียกชื่อตัวเองไป” อาจารย์หนุ่มคนหนึ่งบอก พวกเขาเลยต้องแยกย้ายกันในลักษณะนี้ ก่อนแยกไปกานเข้ามาหาสิน
              “สินขอบใจมากสำหรับเสื้อนะ”กานบอกพร้อมยื่นเสื้อยีนส์คืน ตอนนี้เธอใส่เสื้อไหมพรมสีฟ้าแทน
              “อืม ไม่เป็นไรมากหรอก”สินรับเสื้อจากกาน กานก็เดินตามอาจารย์สาวที่เรียกชื่อเธอไป
              “สินธร”มีคนเรียกชื่อเขา สินเลยหันไปหา “ฉันชื่อไท เป็นอาจารย์ประจำตัวของเธอ ตอนนี้ตามมาที่บ้านพักได้” พูดจบก็หันร่างเดินไป สินเลยต้องเดินตาม เพื่อนๆเขาก็แยกย้ายกันไปพักที่ต่างๆ ผู้หญิงทั้งหมดเดินทางไปพักด้านซ้ายของอาคารใหญ่ ส่วนผู้ชายอยู่ด้านขวา เขาเห็นเพื่อนๆเดินเข้าบ้านหลังต่างๆ จนถึงหลังสุดท้าย อาจารย์ไทก็เดินเข้าไป

              เมื่อเขาเข้าไปในบ้าน พบว่าช่างเป็นบ้านที่เรียบง่ายแต่สวยงาม ส่วนแรกที่พบน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ถัดไปด้านในมีโต๊ะทานข้าว โดยด้านหลังกั้นไว้เป็นห้องครัว ด้านซ้าย ขวาของบ้าน และใกล้ๆห้องครัว มีประตูอยู่ที่ละบาน แถมมีเตาผิงอยู่ที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง
              “ด้านซ้ายและขวาเป็นห้องพัก เธออยู่ด้านขวา ในห้องพักมีห้องน้ำในตัว และมีห้องน้ำรวมอยู่ข้างห้องครัว ที่นี่ตอนฤดูหนาวจะมีหิมะตก เลยมีเตาผิงและเตาต้มน้ำอาบไว้ใช้ ต่อไปทุกวันอาทิตย์ อาจารย์ใหญ่สั่งให้พาพวกเธอไปรู้จักเมืองต่างๆ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะยังไม่มีการเรียนการสอน แต่จะมอบสิ่งจำเป็นต่างๆและอธิบายวิธีใช้ให้ พร้อมทั้งการเลือกอาวุธด้วย ตอนนี้ถ้าง่วงแล้วก็เข้าไปพักผ่อนในห้องได้ ถ้าอยากถามอะไรถามตอนที่ฉันอยู่ในห้องรวมนี่ ห้ามรบกวนเวลาอยู่ในห้อง เข้าใจไหม”อาจารย์ไทกล่าวเป็นชุด
              “ค...ครับ”สันอึ้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน ท่าจะเจออาจารย์ดุแฮะ
              อาจารย์ไทเดินไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาไม้ตัวยาวพร้อมหยิบหนังสือจากกระเป๋ามาอ่าน สันวางสิ่งของแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวใกล้ๆ
              “อาจารย์ไทครับ”
              “มีอะไรหรือ”
              “ที่นี่ดูวัน เวลายังไงครับ แล้วตอนนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว”
              “อืม ก็ไม่มีอะไรยากหรอก วันที่ก็ดูตามปฏิทินบนผนังนั่นก็ได้ การแบ่งวัน เดือน ปี ตอนนี้ใช้หลักเกณฑ์เหมือนกันหมดทุกมิติอยู่แล้ว ซึ่งก็เหมือนกับที่โลกนั่นแหละ ส่วนเวลาก็ปรับเอาตามนาฬิกาข้างๆนั่น ตอนนี้วันที่ 27 กรกฎาคม เวลาทุ่มสี่สิบนาทีไง อ้อลืมไปตอนนี้คงได้เวลาอาหารแล้ว ปกติวันที่มีการเรียนจะมีอาหารที่โรงเรียน แต่วันอาทิตย์หยุด ต้องทำกินกันเอง มาช่วยฉันทำหน่อยสิจะได้แบ่งกันกิน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม พวกเราก็รีบจนลืมไปหมดเลย เตรียมของให้พวกเธอวันพรุ่งนี้น่ะ”
              เอ เท่าที่ฟังดูก็ไม่น่าจะดุนี้ ทำไมตอนแรกเหมือนจะดุนะสินคิดในใจ “แล้วอาจารย์เป็นคนไทยหรือครับ แล้วคนอื่นๆล่ะ” สินถามโดยตอนนี้พวกเขาเข้ามาที่ห้องครัวแล้ว อาจารย์ไทก็แนะนำในการใช้เครื่องครัวที่นี่อยู่
              “ก็มีคนจากโลกเราหมดแหละ มีคนไทยทั้งหมด ตอนแรกก็เตรียมไว้หลายท่านมากกว่านี้เพราะไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นใครมาจากไหนบ้าง พอเห็นตัวแล้วเลยแบ่งหน้าที่กัน โชคดีมีคนไทยแปดคนชายสี่หญิงสี่เหมือนกันพอดี ท่านอื่นเลยกลับไปทำงานน่ะ”
              “กลับไปได้ง่ายๆเลยเหรอครับ แล้วทำงานอะไรกันหรือครับ”
              “ก็พวกเราผ่านการเรียนที่นี่แล้ว สามารถเข้าออกที่นี่ได้โดยใช้เครื่องมือช่วย พวกอาจารย์ต่างๆก็คัดเอามาจากหน่วยงานบนมิติต่างๆ ที่โลกเราก็มีหน่วยงานนึงโดยทุกคนในนี้ทำงานที่นั่นหมด”
              “หน่วยงานอะไรครับ แล้วมีคนต่างมิติอยู่ด้วยเหรอ”
              “ก็หน่วยพิเศษ รอเธอจบจากที่นี่ก็ได้เข้าเหมือนกัน ไว้ค่อยรู้ตอนนั้นละกัน ตอนนี้ไปกินกันก่อนเถอะ” อาจารย์ไทบอกเมื่อเห็นพวกเขาทำอาหารเสร็จแล้ว (หน้าตาก็ข้าวผัดธรรมดา)
     
              หลังจากสินเข้ามาในห้องของตัวเองก็นั่งที่ริมหน้าต่าง มองดวงดาวยามค่ำคืนพลางเอาข้อมูลที่คุยกับอาจารย์ไทที่โต๊ะอาหารมาคิดสรุป
              พวกเขาต้องฝึกที่นี่จนเสร็จ เมื่อจบการเรียนแล้วก็จะได้บรรจุเข้าหน่วยงานบนโลก โดยมีอาจารย์ประจำตัวนี่แหละเป็นพี่เลี้ยงก่อน หลังจากนั้นก็จะจับคู่กันทำงาน ยกเว้นงานยากๆที่ต้องทำเป็นทีมใหญ่ซึ่งจะมีการกำหนดมาอีกที การฝึกปีหนึ่งต้องฝึกพื้นฐานทั้งหมด แล้วค่อยเลือกว่าจะเน้นด้านไหนค่อยเรียนหนักตอนปีที่สอง ทีนี่ก็มีเมืองกระจายกันตามที่ต่างๆ บางแห่งเป็นเมืองเฉพาะของเผ่าพันธุ์ บางเมืองก็ผสมกันอยู่ ยิ่งไปหลายมิติเข้าอาจจะเจออะไรประหลาดๆ มากขึ้น โดยมิติหลักที่เป็นเป้าโจมตีหนักๆ คือมิติที่มีประตูเชื่อมกับมิติมืดทั้งห้า เพราะมีช่องว่างมิติมากสุด กองกำลังผสมของฝ่ายมืดต้องการเปิดประตูใดประตูหนึ่งให้ได้เพื่อนำทัพหลักของตนมาจากมิตินั้น โลกของเราถือว่าอยู่ห่างไกลเป็นระดับเจ็ดจากเก้าลำดับความเสี่ยง แต่หากมีสงครามขึ้น ผู้ถูกเลือกทุกชุดจะต้องรวมกันเพื่อส่งส่วนหนึ่งไปร่วมและอีกส่วนหนึ่งปกป้องโลกไว้ไม่ให้มีการลอบโจมตีจากมิติอื่นอีก
              นอกจากนี้ยังมีอีกสามมิติที่เมื่อสงครามครั้งแรกอยู่ฝ่ายกองทัพมืดและประชากรส่วนใหญ่ก็ไปเข้ากับกองทัพมืด แต่ยังคงมีกองกำลังต่อต้านเป็นส่วนน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากสวรรค์ ทั้งสามมิตินั้นคือ
              มิติอสูร เป็นมิติที่อยู่ใกล้สวรรค์มากสุดเนื่องจากมีทางเชื่อมระหว่างป่าหิมพานต์ไปยังมิตินี้ และมีเมืองอสุราลัยที่เป็นป้อมปราการแข็งแกร่ง นอกเมืองรัศมีหมื่นกิโลเมตรไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเติบโตได้เพราะพื้นเป็นหินภูเขาไฟอุ่นระอุคลอดเวลา แต่ภายในเมืองกลับมีทั้งเรือกสวนไร่นาและแหล่งน้ำที่ผุดขึ้นมาจากพื้นตลอดเวลา การโจมตีเมืองนี้จึงต้องมีทั้งเสบียงและกำลังพลมาก แต่ยังไม่เคยมีใครสามารถพิชิตเมืองนี้ได้ หากไม่เสบียงหมดเสียก่อนเพราะการโจมตีแบบกองโจร ก็พ่ายแพ้แก่กองกำลังของเมืองที่เข้มแข็ง
              มิติปีศาจ มิตินี้แต่ก่อนมีป้อมผาศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและสัตว์ของสวรรค์ เมื่อเทพพลาฟีเซียคิดก่อการยึดสวรรค์ จึงได้วางกองกำลังตัวเองเข้ามาเป็นผู้คุมในที่นี้และเกลี้ยกล่อมนักโทษทั้งหลายให้ร่วมมือกับฝ่ายตน ด้วยการที่ถูกสร้างเป็นที่คุมขังที่แข็งแกร่งที่สุดของสวรรค์ จึงกลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายมืด
              มิติอสุรกาย แต่ก่อนผู้อยู่ในมิตินี้ถูกประชากรส่วนใหญ่ของสวรรค์และมิติอื่นๆ ดูถูกเนื่องจากมีรูปร่างที่อัปลักษณ์และถูกเอาเปรียบในด้านต่างๆ ไม่ว่าเป็นการค้าขาย การศึกษา เมื่อเทพพลาฟีเซีย ยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ให้จึงได้ไปเข้ากับกองทัพมืด ถือว่าเป็นขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดนอกมิติมืดของเทพพลาฟีเซีย
     ทั้งสามมิตินี้ได้ความช่วยเหลือจากเทพพลาฟีเซียและมหาเทวีอินโฟซ่าสร้างประตูมิติเชื่อมเมืองหลวงทั้งสามไว้ทำให้สามารถยกกำลังและเสบียงไปช่วยเหลือกันได้ตลอดเวลา
              ดังนั้นการจะกำจัดกองทัพมืดของมหาเทวีอินโฟซ่าจะต้องพิชิตมิติทั้งสามนี้ด้วย สินมองไปรอบๆและเดินไปจะปิดสวิทซ์ไฟ
              สวิทซ์ไฟ? ทำไมที่นี่มีไฟฟ้าใช้ด้วยหรือ ไว้พรุ่งนี้ต้องลองถามอาจารย์ไทดู แล้วสินก็เข้านอน
     

              สินถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่ง คุณไทบอกให้รีบไปแต่งตัวแล้วรวมตัวกันที่อาคารไวท์โอ็ค เพราะมีเรื่องด่วนให้พวกเราไปดู
    พอสินทำธุระเสร็จเดินออกจากห้องก็พบหมาตัวใหญ่นอนอยู่ในบ้าน รูปร่างเหมือนหมาป่า แต่มีหางถึงห้าหาง ขนสีขาวฟู แต่ดูน่ากลัวนิดๆ คุณไทก็นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้
             “อ้อ เธอยังไม่เจอเจ้าขาวใช่ไหม มันเป็นสัตว์ประจำตัวของฉันเอง พอดีเมื่อวานให้มันออกไปเดินเล่นน่ะ”
             “สัตว์ประจำตัวหรือครับ งั้นมังกรเขียวกับนกสีขาวสี่ตัวก็เป็นของอาจารย์วาเลล่า เปล่าครับ”
             “มังกรน่ะใช่แต่นกไม่ใช่ นกพวกนั้นของอาจารย์ใหญ่น่ะ เรารีบไปกันเถอะ อาจารย์ใหญ่รออยู่”
             ตอนไปถึง กาน มาศ โย มากันแล้ว นอกจากอาจารย์ประจำตัวของแต่ละคน ก็มีอาจารย์ใหญ่เอลกรินอีกคนหนึ่ง
              พวกเขาพูดคุยเรื่องหลังจากแยกย้ายกันแล้ว ทำให้รู้ว่าที่พักของผู้หญิงเป็นบ้านที่อยู่ติดกันเป็นกลุ่มประมาณสิบหลัง มีสวนดอกไม้รอบๆ ไม่เหมือนที่พักผู้ชายที่เป็นหลังเดี่ยวแล้วล้อมรอบด้วยป่า ในบ้านทุกหลังก็คล้ายๆกันหมด สักพักทุกคนก็มากันครบ ทำให้รู้ชื่ออาจารย์แต่ละคนครบ
              อาจารย์เดือน(เดือนเพ็ญ)เป็นอาจารย์ประจำของมาศ สัตว์ประจำตัวคือกระต่ายสีขาวมีเขากลางหน้าผาก
              อาจารย์นิ(นิศาชล)เป็นอาจารย์ประจำของกาน สัตว์ประจำตัวคือม้ายูนิคอร์นสีชมพู
              อาจารย์แคที่(แคทริยา)เป็นอาจารย์ประจำของทีร่า สัตว์ประจำตัวคือแมวสิทองมีปีกนก
              อาจารย์ทิพ(ชลทิพย์)เป็นอาจารย์ประจำของภารดี สัตว์ประจำตัวคือนกตัวใหญ่สีเขียวมีสี่ปีก
              อาจารย์วิน(วิญญู)เป็นอาจารย์ประจำของโย สัตว์ประจำตัวคือแพะสีเทาสามเขา
              อาจารย์เอก(เอกราช)เป็นอาจารย์ประจำของยู สัตว์ประจำตัวคือลิงห้าตัวห้าสี(ขาว ดำ ทอง แดง เขียว)
              อาจารย์พล(เบญจพล)เป็นอาจารย์ประจำของทิด สัตว์ประจำตัวคือกวางดาวสีทอง มีสามเขา
              อาจารย์ไท(แทนไท)เป็นอาจารย์ประจำของสิน สัตว์ประจำตัวคือหมาป่าสีขาว มีห้าหาง
              “เอาล่ะ ทุกคนมาครบแล้ว พอดีเมื่อสักครู่มีสาสน์ด่วนจากเมืองฟรอนซ่า ว่ามีกองกำลังประมาณหนึ่งกองพันเคลื่อนมาประชิดเมือง เลยขอความช่วยเหลือให้พวกเราไปช่วย ดังนั้นครั้งนี้ฉันจะไปเองเพื่อพาพวกเธอไปรู้จักบ้านเมืองของที่นี่ด้วย เสบียงอยู่ในกระเป๋าข้างหน้า ใครหิวเมื่อไหร่ก็ทานกันได้ ทุกเดือนพวกเธอจะได้ค่าใช้จ่ายคนละสองเหรียญทองหน่วยเงินของที่นี่และอีกหลายๆที่จะเหมือนกัน หนึ่งเหรียญทองเท่ากับสิบเหรียญเงิน หนึ่งเหรียญเงินเท่ากับสิบเหรียญ แต่พวกเธอที่มาครั้งแรกจะได้ไว้ซื้อของใช้จำเป็นเพิ่มอีกสามเหรียญ โดยเก็บอยู่ในกระเป๋าเล็กข้างๆกระเป๋าเสบียง การเดินทางครั้งนี้ใช้อีลีเมนต์เบิร์ดของฉันทั้งหมด อาจารย์ประจำตัวกับศิษย์ให้ไปตัวเดียวกัน”
              จากนั้นก็มีนกตัวเล็กๆ เก้าตัวบินมาวนรอบอาจารย์เอลกริน แล้วกลายเป็นดวงแสงสีทอง สีฟ้า และสีขาว ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับแสงที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงนั้นก็หายไปแล้วกลายเป็นนกตัวใหญ่เก้าตัวบินลงมาที่พื้น มีนกสีน้ำตาลทองทั้งสี่ตัวที่พวกเรานั่งมาเมื่อวาน นกสีฟ้าอีกสี่ตัวและนกสีขาวอีกตัวหนึ่งขนาดไล่เลี่ยกันทั้งหมด
              “ทุกคนไปหยิบกระเป๋าเสบียงและเงินมาคนละใบแล้วไปขึ้นนกที่อาจารย์ตัวเองนั่งอยู่”อาจารย์เอลกรินสั่ง พวกเขาต่างคนก็ไปหยิบกระเป๋าบนโต๊ะมาแล้วเดินไปที่นกตามอาจารย์ของแต่ละคน ซึ่งอาจารย์ไทนั่งอยู่บนนกสีน้ำตาลทองเหมือนที่เขามาวันแรก
              “ขึ้นมาข้างหน้าเลย”อาจารย์ไทบอกสิน “บังคับนกได้แล้วใช่ไหม”
              “เอ่อ... เมื่อวานผมว่ามันพาพวกผมมามากกว่าบังคับมันนะครับ”
              “งั้นบทเรียนแรกวันนี้ บังคับนก มาเลย” แล้วอาจารย์ไปก็ให้สินนั่งบังคับนกข้างหน้า “นกพวกนี้เป็นสัตว์ระจำตัวของอาจารย์เอลกริน ตอนแรกก็มีเฉพาะสีทองสี่ตัว และท่านก็เป็นจอมเวทย์เพลิงสายฟ้าโดยตั้งมาจากนกพวกนี้เอง อีกห้าตัวเห็นว่าท่านได้มาในการท่องเที่ยวและปฏิบัติงาน อยากให้มันบินขึ้นใช้ขาสองข้างลูบขนมันจากหน้ามาหลังเบาๆ สองครั้งต่อกัน”
              สันทำตามแล้วนกก็บินขึ้นทันที โดยนกตัวอื่นก็ทยอยบินตามกันมา ยกเว้นท่านเอลกรินกับนกสีขาวที่บินขึ้นมารออยู่แล้ว
              “ทีนี้ถ้าอยากให้เลี้ยวข้างไหนก็ใช้ขาข้างนั้นลูบอย่างเมื่อกี้สองที อยากให้บินต่ำลงใช้ขาสองข้างกระแทกเบาๆ ให้สูงขึ้นใช้ขาลูบไปข้างหน้า ให้บินเร็วขึ้นทำเหมือนตอนขึ้น ให้ช้าลงหนีบขาให้แรงขึ้น แต่ถ้าจะให้มันลงต้องสั่งไว้ตอนลงจะสอนอีกที” อาจารย์ไทสอนสินเป็นชุด แล้วยังบอกคำสั่งอื่นๆอีกมาก

              นกทั้งเก้าตัวโบยบินตามการบังคับของพวกเขาที่พอจะคล่องแล้ว ไม่นานนักสินก็เห็นสิ่งปลูกสร้างอยู่เบื้องหน้า เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงครึ่งวงกลมสองชั้น กำแพงชั้นในสูงกว่ากำแพงชั้นนอกเท่าตัวได้ ภายในกำแพงทั้งสองชั้นมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เต็มพื้นที่แต่เป็นระเบียบ ที่ด้านหลังของเมืองตั้งพิงเทือกเขายาวเป็นกำแพงตามธรรมชาติ แต่เทือกเขานั้นโค้งออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ตรงกลางของเมืองเป็นสิ่งปลูกสร้างคล้ายปราสาทขนาดใหญ่ แต่มีหอคอยที่สูงกว่าโผล่ขึ้นมาตรงกลาง ภายนอกเมืองเป็นทุ่งหญ้ากว้างมาก แล้วไกลออกมาจึงเป็นชายป่า  
              “ที่นั่นคือเมืองฟรอนซ่า หรือ เมืองพิทักษ์ทักษิณ เป็นเมืองใหญ่ทางทิศใต้ของเทือกเขาสุทัสสนะ ที่ตั้งของโลกสวรรค์ เมืองนี้ขึ้นชื่อด้านของป่าและสมุนไพรหายาก เพราะด้านใต้นี้ถือได้ว่าติดต่อกับโลกมนุษย์มีลูกหลานของมนุษย์มากกว่าด้านอื่นและยึดอาชีพพรานอยู่” อาจารย์ไทอธิบาย
              “แล้วที่บอกว่ามีกองกำลังจะบุกล่ะครับ ไม่เห็นมีเลย”
              “ถ้าเป็นเธอนำทัพมา ตอนยังไม่พร้อมจะออกมาให้เห็นมั๊ยล่ะ”
              “เอ่อ... ไม่ครับ”
              “นั่นแหละ เดี๋ยวคงได้เห็นแน่ ตามเมืองหลักทั้งสี่ทิศมักจะโดนโจมตีอยู่เสมอ แต่การป้องกันที่หนาแน่นขนาดนี้ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก เดี๋ยวพวกเราจะไปพบเจ้าเมืองแห่งนี้ ท่านมีศักดิ์เป็นเทพสวรรค์ระดับสองเชียวนะ”
              นกทั้งหมดร่อนลงยังดาดฟ้าด้านหนึ่งของปราสาท ทหารใส่ชุดเกราะเต็มตัวสีฟ้า เหมือนทหารโรมันโบราณเข้ามาจะจัดเก็บนกให้ แต่อาจารย์เอลกรินไล่กลับไป ก่อนนกทั้งหมดจะกลับเป็นนกตัวเล็กๆ หลังจากพวกเราลงมาทั้งหมดแล้ว บินแยกย้ายออกไป จากนั้นก็มีทหารอีกสองนายที่ใส่เกราะสีทองเข้ามาหาพวกเรา
              “ท่านเจ้าเมืองและสมาชิกสภาเมืองอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว เชิญท่านเอลกรินและคณะทันทีที่พร้อมครับ”
              “ไปตอนนี้เลย ขอทราบสถานการณ์ทั้งหมดด้วย”อาจารย์เอลกรินกล่าวพลางออกเดินตามทหารเกราะทองทั้งสองไป อาจารย์ของพวกเราก็ให้พวกเราตามไปทั้งหมด จากนั้นอาจารย์เอลกรินกับทหารทั้งสองนั้นก็พูดคุยกันไปตลอดทางเดินที่ไปยังบันไดเวียนกลางอาคารแล้วลงด้านล่างก่อนออกมายังชั้นหนึ่งของปราสาท จนกระทั่งหยุดที่ประตูไม้สีดำคู่ใหญ่
              “ท่านเอลกรินและคณะมาถึงแล้ว”เสียงทหารเกราะทองสองนายเหมือนกับที่พาพวกเรามาซึ่งยืนอยู่หน้าห้องตะโกนขึ้น แล้วทำการเปิดประตูให้พวกเราเข้าไป แต่พวกเราต้องฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ด้านนอกห้อง
              ภายในห้อง มีโต๊ะเป็นรูปตัวยู ด้านหัวมีเก้าอี้ห้าตัวแต่มีคนนั่งอยู่สี่คน ส่วนอื่นมีคนและที่ดูแล้วไม่เหมือนคน นั่งอยู่ประมาณสิบคนได้ และยังมีเก้าอี้ว่างแปดตัว ที่ติดผนังมีเก้าอี้วางเรียงเป็นแถวหลายตัวแต่ไม่มีคนนั่งเลย ซึ่งกลายเป็นที่นั่งของพวกเราตามที่อาจารย์เดือนสั่ง อาจารย์เอลกรินไปนั่งที่หัวโต๊ะ อาจารย์อื่นๆก็เข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ว่างที่เหลือ
              อาจารย์เอลกรินกล่าวกับผู้ร่วมประชุมทั้งหมดว่า“ก่อนจะเริ่มประชุม ผมขอแนะนำกลุ่มผู้ถูกเลือกกลุ่มใหม่ ให้ทุกท่านรู้จักกันไว้” พวกเราเลยต้องยืนขึ้น
              “ท่านที่นั่งอยู่ตรงกลาง คือผู้ดูแลเมืองนี้ ท่านมาโนส อัศวินสวรรค์อันดับสอง ด้านขวาผู้ดูแลกำลังทหาร อัศวินสวรรค์อันดับสาม ท่านทาลัน ด้านซ้ายผู้ดูแลความสงบในเมือง นักบวชผืนดินอันดับหนึ่ง ท่านอิลดรา และผู้ดูแลการค้าขาย นักรบผืนดินอันดับหนึ่ง ท่านดาลัส ส่วนท่านอื่นๆที่อยู่ที่นี่คือแม่ทัพ หัวหน้าหน่วยดูแลความสงบ และผู้นำกลุ่มพ่อค้า พวกเธอนั่งลงได้”
              “ผมได้ข่าวว่า กองกำลังที่มาบุกมีประมาณหันห้าร้อย แค่กองกำลังนี้ทางเมืองฟรอนซ่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ หรือเป็นกองกำลังระดับสูง” อาจารย์เอลกรินเริ่มเข้าเรื่องในการประชุม
              “กองกำลังทั้งหมดที่เราสืบทราบประกอบด้วย พานรสี วานรปักษ์ สีหพานร โลโต ไกรสรคาวี กบิล เป็นส่วนใหญ่ โดยผู้นำกองกำลังเป็น กบิลสีแดงที่หนีออกจากเมืองขีดขินเพราะทำผิดร้ายแรงเมื่อสี่ปีก่อนนามว่า กิระกาล เป็นลิงที่มีธาตุไฟคุ้มกาย” ท่านมาโนสเริ่มชี้แจงก่อนกล่าวต่อว่า “เนื่องจากเราพบเพียงทัพเหล่าสัตว์ในหิมพานต์เท่านั้น แต่ตามปกติแล้วจะมีทัพจากมิติอื่นๆ มาร่วมโจมตีด้วยเราจึงต้องป้องกันเหตุการณ์ลอบโจมตี ในหลายวันนี้ก็มีรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวมาอาศัยในเมืองมากผิดปกติ เราจึงได้แยกให้ชาวเมืองไปหลบภัยที่หนึ่ง และนักท่องเที่ยวหลบภัยที่หนึ่ง แต่มีนักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียนหายไปถึงร้อยคน”
              “เรื่องการถูกโจมตีภายในเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว ผมว่าท่านต้องมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอก ถ้าอย่างนั้นการวางแผนป้องกันก็ทำได้ลำบากเพราะว่าพวกเราก็ไม่รู้ว่าควรรักษาความปลอดภัยอะไรเป็นอันดับแรก”อาจารย์เอลกรินกล่าวพร้อมจ้องหน้าท่านมาโนสอย่างหาความจริง
              “คือ.......เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นท่านทาลันช่วยนำผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน”ท่านมาโนสสั่งหลังตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ แล้วท่านทาลันก็ส่งสัญญาณให้ทหารองค์รักษ์ในห้อง จากนั้นทหารก็เชิญคนออกไปจากห้องเรื่อยๆ เมื่อกำลังจะมาเชิญพวกเรา อาจารย์เอลกรินก็ห้ามไว้และบอกให้พวกเราอยู่ได้ ในห้องนอกจากพวกเราแล้วจึงเหลือคนอยู่อีกสามคนไม่รวมผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะ
              แล้วท่านมาโนสจึงอธิบายว่า“ที่สำคัญในตอนนี้คือเราต้องป้องกันเครื่องส่งข้ามมิติ ที่ทางสวรรค์อนุมัติให้สี่เมืองใหญ่สร้างเป็นการลับ เราจึงต้องใช้กำลังหลักในการคุ้มครองผู้สร้าง ผู้ออกแบบ และวัตถุดิบทั้งหมดของเครื่องส่ง”
     “นี่พวกเจ้านำเอาเครื่องส่งข้ามมิติมาทดลองใช้แล้วหรือ มันยังอยู่ในขั้นทดลองไม่ใช่รึ”
              “ทางหน่วยวิจัยแจ้งมาแล้วว่าหลังการส่งสิ่งมีชีวิตทดลองแล้วไม่พบปัญหา เพียงยังไม่ได้ทดลองกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเท่านั้น”
     “แบบนี้หากกองทัพมืดได้ไป พวกมันก็สามารถออกมาโดยไม่ต้องใช้ประตูมิติแล้วสิ”
              “เนื่องจากเรากลัวเรื่องนั้นจึงต้องวางมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุดแก่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง แต่ว่าการให้เครื่องทำงานได้ต้องใช้ผลึกสวรรค์เป็นแกนพลังงานเท่านั้น ทางสวรรค์ก็ยังไม่ส่งมาจนกว่าจะปลอดภัย”
     “พวกเจ้านี่ช่วงสะเพร่ากันจริง คิดหรือไงว่ามหาเทวีอินโฟซ่าจะไม่รู้เรื่องนี้ สายของนางมีมากมายบนสวรรค์ ป่านนี้เมืองของพวกเจ้าคงเต็มไปด้วยพวกมันแล้ว”
              “ข้าจึงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านให้รับมือกองกำลังทางนอกเมือง หากทัพพวกมันถูกจัดการโดยเราสูญเสียน้อยที่สุดบางทีพวกในเมืองอาจไม่ลงมือใดๆก็ได้”
              “ไม่หรอก พวกมันมาแล้วอย่างไรเสียจะต้องลงมือแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเราจะต้องจำกัดการต่อสู้ให้ทางนอกเมืองสูญเสียน้อยที่สุด และในเมืองจะต้องแยกชาวเมือง กับผู้ต้องสงสัยอกจากกัน วางกำลังในที่สำคัญให้มาก แต่ต้องแบ่งหน่วยย่อยกระจายลาดตระเวนให้ทั่วป้องกันการวางเพลิง ตอนนี้ท่านมีกองกำลังเท่าไหร่”
              “กองกำลังป้องกันประตูทั้งสามแห่งที่ละสองร้อยประจำการตามปกติ กองกำลังองครักษ์อีกห้าร้อยนายเฝ้าปราสาท มีกำลังสองกองร้อยลาดตระเวนอยู่บนเทือกเขาสุทัสสนะ กองกำลังดูแลความสงบในเมืองอีกหนึ่งกองพัน และกองกำลังพิเศษทั้งแปดธาตุอีกธาตุละสองร้อยอยู่รอบๆ เมืองดูแลสถานที่อพยพทั้งแปดแห่ง สถานที่ติดตั้งเครื่องส่งอยู่ชั้นบนปราสาทแห่งนี้ และสามท่านที่เหลืออยู่คือกลุ่มผู้ออกแบบและดูแลการติดตั้งเครื่องส่งจึงได้รับอนุญาตให้อยู่นี่โดยท่านทาลัน ท่านอิลดร้า และท่านทาลัสเป็นผู้ดูแล”
              “แล้วในการสร้างมีเฉพาะสามคนนี้รึ มีผู้อื่นอีกไหม”
              “ยังมีคนงานที่ถูกจ้างมา แต่พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าทำอะไร และตอนนี้เราได้ส่งกลับบ้านไปแล้วคงอยู่ในศูนย์อพยพที่ต่างๆ ตามที่ใกล้ที่อยู่อาศัยของแต่ละคน”
              “ถ้าอย่างนั้นให้กองกำลังองค์รักษ์ดูแลที่นี่เช่นเดิมกับท่านเจ้าเมืองและท่านทาลันเป็นผู้ดูแล ส่วนท่านอิลดร้าไปช่วยดูแลผู้อพยพ ท่านทาลัสไปควบคุมนักท่องเที่ยว กองกำลังดูแลความสงบแบ่งกำลังสองร้อยไปดูแลแทนกองธาตุดิน ให้กองธาตุดินตามข้าไปรบกับกองทัพนอกเมือง แบ่งกองกำลังองครักษ์หมู่ละสิบนายไปค้นหาผู้เกี่ยวข้องกับการสร้างเครื่องส่งทั้งหมดและดูแลให้ดีที่สุด หากถูกจับได้และในหมู่พวกอสูรถ้ามีอสูรที่ใช้ความสามารถอ่านความทรงจำจากสิ่งมีชีวิตได้หากมันได้ไปสักคนมันก็ได้แบบแปลนเครื่องส่งไป”จากนั้นอาจารย์เอลกรินหันมาสั่งกับเหล่าอาจารย์ว่า “พวกเจ้าจับคู่แยกย้ายอยู่สี่ทิศในเมืองนี้ หากมีสัญญาณขอความช่วยเหลือให้ไปในทันที วิหกน้ำแข็งวายุคู่ละตัวเผื่อคับขัน”

    สารานุกรมสิ่งมีชีวิตในเรื่องนี้
              อีลีเมนต์เบิร์ด (Elements Bird): เป็นนกที่มีธาตุประจำตัว 2 ธาตุขึ้นไป เชื่อว่าเกิดจากการผสมข้ามสายพันธ์ของนกประจำธาตุทั้งแปด แต่ไม่รวมกับนกศักสิทธิ์เจ้าของธาตุทั้งแปดคือ
                   ไฟร์เบิรด(Fire Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุไฟ
                   ธันเดอร์เบิร์ด(Thunder Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุสายฟ้า
                   ไอซ์เบิร์ด(Ice Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุน้าแข็ง
                   วู๊ดเบิร์ด(Wood Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุไม้
                   ไอรอนเบิร์ด(Iron Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุเหล็ก
                   วินด์เบิร์ด(Wind Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุลม
                   วอร์เตอร์เบิร์ด(Water Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุน้ำ
                   เอิร์ธเบิร์ด(Earth Bird) นกศักดิ์สิทธิ์ประจำธาตุดิน
              สิงหพานรมีขนกายสีแดง ช่วงบนมีลักษณะเป็นวานรหรือลิง ส่วนช่วงล่างและหางมีลักษณะของสิงห์ แต่ช่วงเท้ากลับมี ลักษณะเหมือนอุ้งเท้าลิง
              โลโต มีร่างกายเป็นสิงห์สีน้ำตาล ลักษณะเด่นคือมีเท้าแบบกรงเล็บ
              ไกรสรคาวี สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะผสมระหว่างสิงโตและวัว เป็นสัตว์ที่มีช่วงหัวเป็นวัวและมีร่างเป็นสิงโต
              กบิล ในที่นี้หมายถึงลิงใหญ่ที่มีฤทธิ์เดชมาก สามารถพูดได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×