ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Journey of destiny:เส้นทางแห่งโชคชะตา

    ลำดับตอนที่ #3 : Chance of destiny:ตอนที่สอง จุดเริ่มต้นของเรื่องราว

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 49


    ตอนที่สอง จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
              ทิวทัศน์สวยงาม ทั้งป่าไม้ที่ผ่านมา ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ แม่น้ำใหญ่น้อยมากมาย ภูเขาเนินเขา และสัตว์แปลกๆ มีทั้งเหมือนสัตว์ในเทพนิยาย สัตว์ในหิมพานต์  และสัตว์อื่นๆที่ไม่อาจบรรยายได้ หากนี่เป็นการท่องเที่ยวล่ะก็พวกเขาคงมีความสุขมากแน่ๆ แต่นี่กลับไม่ใช่ พวกเขามาอยู่ที่ใดก็ไม่รู้และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านหรือเปล่า ป่านนี้ทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆคงออกตามหาพวกเขากันให้วุ่นแล้ว 
              นกสี่ตัวกับมังกรหนึ่งตัวบินผ่านเนินเขาแห่งหนึ่งก่อนลดระดับลง ที่แห่งนี้เป็นพื้นราบล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ มีแม่น้ำไหลผ่านมาจากด้านหนึ่งเข้าสู่แอ่งน้ำตรงกลางแล้วไหลออกไปอีกด้านหนึ่ง มีกังหันน้ำหมุนทดน้ำเข้าไปยังทุ่งนา มีบ้านที่ทำจากไม้หลายหลัง และมีอาคารหลังใหญ่อยู่ใกล้กังหันน้ำ เป็นอาคารรูปตัวที มีอยู่สามชั้น หลังคาตรงกลางเป็นรูปโดมทำจากกระเบื้องสีแดงเข้มเข้ากับตัวตึกสีเนื้อไม้อย่างสวยงาม
              นกทั้งหมดกับมังกร(พร้อมรถอีกหนึ่งคัน) ลงสู่พื้นไม่ห่างจากอาคารหลังใหญ่สุดเท่าใดนัก เมื่อเห็นอาเจ้มังกรลงจากมังกรแล้ว พวกเราก็ลงจากนกแล้ว อาเจ้ก็กวักมือเรียกให้พวกเราเดินตามเธอไป
              “จะตามไปไหม” ทิดหยั่งเสียงเพื่อนๆ
              “ตามมาถึงขนาดนี้แล้ว อีกแค่นี้เอง ไปต่อเหอะ” โยตอบซึ่งทุกคนเห็นด้วย
              เมื่อเข้าใกล้ตัวอาคารกลับมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากอาคารมา คนนำหน้าเป็นชายชรา ผม หนวดและเคราขาวโพลน ใส่เสื้อคลุมตัวยาวและถือไม้เท้าด้ามยาวส่วนปลายด้านบนของไม้เท้าเป็นรูปวงกลมลวดลายแปลกๆ มีรูปหล่อนกกางปีกสีทองติดอยู่เหนือวงกลมอีกที อาเจ้มังกรก็ก้มหัวให้เขา ชายชราผงกหัวนิดหน่อยแล้วทั้งสองพูดคุยกันแต่พวกเราก็ฟังไม่ออกอยู่ดี
              ชายชราหันมามองพวกเราก่อนพูดอะไรบางอย่างแล้วเดินมาหาพวกเราพร้อมคนอีกคนที่ออกมาจากกลุ่มตามเขามา
              “ขอต้อนรับทุกคนสู่หมู่บ้านทดสอบ หากมีเรื่องอะไรที่อยากถามขอให้รอสักครู่ เมื่อเราดำเนินการบางอย่างเสร็จก็จะพูดคุยกันได้สะดวกกว่านี้” ชายชราพูดภาษาไทยอย่างชัดเจนจนพวกเราตกใจ
              “และขอแนะนำ คุณ ศาสตรา เขามาจากประเทศไทยเช่นเดียวกับพวกเธอ” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากกลุ่มผงกหัวทักทายพวกเรา “ตอนนี้เราสองคนจะเป็นคนพาพวกเธอไปทำธุระก่อน อีกไม่นานก็เสร็จ”
              “อีกเดี๋ยวเราจะพาพวกเธอไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ทุกคนสำรวมไว้ด้วย”คุณศาสตราก็พูดภาษาไทยเหมือนกัน
              “ที่นี่ที่ไหนครับ” “เราจะกลับบ้านอย่างไรค่ะ” “ทำไมพวกเรามาที่นี่ได้ค่ะ” “.....” พวกเรารุมยิงคำถามมากมายใส่ชายทั้งสอง โดยคนถูกถามเพียงยืนยิ้มนิ่งอยู่จนพวกเราเงียบไปเอง
              “ไปกันได้แล้ว ทุกคนตามมา”ชายชราพูดก่อนออกก้าวเดินไปด้านหนึ่ง
              “ตามไปเร็วๆสิ”คุณศาสตราก็ไล่พวกเราให้ออกเดินกันโดยตัวเองตามหลัง
             

             “ที่นี่มันที่ไหนกันนี่ มีคนไทยเหมือนพวกเราด้วย”ดีเริ่มคุยก่อน
              “ชั้นว่าเห็นฝรั่งอยู่คนเหมือนกันนะ ใส่ชุดทหารอยู่”ทีร่าคุยตอบ
              “ชั้นว่าสองคนต่างหาก มีผู้หญิงผมทองอีกคนแต่งตัวแปลกๆ”มาสบอกต่อ
              “แล้วก็มีคนแต่งตัวเหมือนในหนังจีนกำลังภายในด้วย”กานพูด
              แล้วทั้งสี่สาวก็คุยซุบซิบกันไม่ดังนักเดินตามชายชราโดยพวกเราผู้ชายตามหลัง
              “พวกนายว่าไง”โยเอ่ยถามก่อนในหมู่ผู้ชายหลังเห็นสาวๆ คุยซุบซิบกันได้โดยไม่ถูกห้าม
              “เหลือเชื่อว่ะ ทั้งมังกร นก สัตว์ประหลาด นี่ถ้าอยู่ดีๆ เราตื่นขึ้นมาในรถ ก็คงไม่แปลก”ทิดบอก
              “แต่เมื่อกี้ก็ลองตีแขนตัวเองแล้วนี่ ก็เจ็บไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ฝันหรอก” ยูตอบบ้าง
              “พวกเธอไม่ได้ฝันหรอก แล้วก็ไม่ต้องเดาด้วย กลับไปหมู่บ้านแล้วก็รู้เอง”คุณศาสตราตอบออกมา
              “ถ้างั้นที่นี่ที่ไหนครับ เอ่อ คุณศาสตรา”สันหันไปถาม
              “ที่นี่คือโลกในมิติหนึ่ง บางครั้งคนไทยเรียกว่าหิมพานต์ ฝรั่งเรียกว่าอีเดน หรือมีอีกหลายชื่อตามความเชื่อของแต่ละสถานที่”คุณศาสตราตอบ
              “หิมพานต์!!!” “อีเดน!!!” หลายคนอุทาน
              “เอ้า ไม่ต้องถามต่อแล้ว ตอนนี้ถึงที่หมายแล้ว ใครมีคำถามอะไรลองถามพระคุณเจ้าดูละกัน แต่อย่าถามมากนักบางเรื่องท่านก็ไม่อาจบอกได้เพราะผิดศีล”
              เบื้องหน้าของพวกเราเป็นฤๅษีตนหนึ่ง นุ่งห่มผ้าสีเปลือกไม้  นั่งขัดสมาธิเพชรอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไทร แล้วก็บริเวณใต้ต้นไทรนั้นกลับเป็นลานหินสะอาดสะอ้าน เหมือนมีคนคอยเก็บกวาดตลอดเวลา ชายชราที่นำหน้าพร้อมกับคุณศาสตราก็คุกเข่าลงประนมมือกราบไหว้  พวกเราก็เลยเข้าไปกราบท่านบ้าง
              “เจริญพร ขอให้พวกเจ้าทุกคนมีความสุข”เสียงหนึ่งดังขึ้น แต่ปากของท่านไม่ขยับเขยื้อน เสียงที่เราได้ยินก็ชัดเจนมากแต่เหมือนไม่ได้ยินด้วยหู
              “นมัสการพระคุณเจ้า กระผมนำผู้ถูกเลือกมากราบนมัสการท่าน และต้องขอความเมตตาจากท่านเช่นเดิม” ชายชรากล่าว
              “อืม ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งในกรรมของข้าที่มีต่อพวกเจ้า เอ้า คำถามของพวกเจ้านั้นข้าจะตอบให้เท่าที่ตอบได้ แต่อย่าหวังอะไรมาก ข้าไม่อาจแพร่พรายสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ เพียงแต่เตือนไว้ไม่ให้พวกเจ้าประมาทเท่านั้นเอง”
              “คนแรก ทศทิศ ข้าคือใคร ข้าเป็นฤๅษีนามว่าสุทธิเวท ข้าอยู่ที่นี่นานแล้วและยังคงอยู่ต่อตราบที่ยังต้องอยู่ ที่นี่ที่ไหนนั้น ที่นี่คือป่าหิมพานต์ตามที่คนในประเทศเจ้ารู้กัน ส่วนที่ข้าอยู่เป็นส่วนที่ใกล้กับภพสวรรค์ด้านใต้ เนินเขาที่พวกเจ้าลงมานั้นเรียกว่า เนินตะวัน ส่วนป่าแห่งนี้มีชื่อว่าป่าสุทัศสร ยาวเชื่อมต่อไปถึงเขาสุทัสสนะ ด้านเหนือ จุดที่พวกเจ้าเข้ามาที่นี่คือเขามนุสภาน เป็นจุดหนึ่งที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ ล้อมรอบด้วนป่าวารสีห์”
              “ภารดี ที่พวกเจ้ามาที่นี่ได้เพราะพวกเจ้ามีชะตากรรมที่ต้องมาที่นี่ ส่วนทางเลือกต่อไปของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีหน้าที่ตัดสินใจด้วยตนเอง และการที่เจ้าจะกลับโลกพวกเจ้านั้นมีหนทางให้พวกเจ้าเลือกอยู่แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าจะเลือกเช่นกัน”
              “ศรัณยู มิใช่ไม่มีผู้อื่นให้เลือกหรอก แต่ผู้ที่ถูกเลือกนั้นล้วนมาแล้ว และล้วนเลือกแล้ว และกำลังจะมาในอนาคต ในตอนนี้เป็นเวลาของพวกเจ้าเท่านั้น ไม่ว่ามีผู้ถูกเลือกอื่นอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ไม่สำคัญเพราะพวกเจ้าต้องเลือกด้วยตัวของเจ้าเอง”
              “ธีรา เวลาที่ต้องอยู่ที่นี่นั้นหากพวกเจ้าว่าสั้นก็สั้น ว่ายาวก็ยาว และแม้เจ้าเลือกสิ่งใดไปแล้ว เจ้าก็อาจต้องเลือกอีกในอนาคตก็ได้”
              “โยธา แม้พวกเจ้าจะถูกเลือก ก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะไร้อุปสรรค อันตราย ทุกประการในอนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ แม้ข้าทราบแต่หากบอกไปสิ่งที่ต้องเกิดก็อาจไม่เกิดก็ได้ จงใช้ความพยายามของพวกเจ้าเองเถิด”
              “นพมาศ เรื่องคนที่โลกของเจ้านั้นไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อพวกเจ้าเลือกแล้ว ทุกอย่างย่อมมีทางแก้ปัญหาที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว”
              “ศุภกาญจน์ ขอบใจที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์นำสิ่งใดมาถวายหรอก ส่วนในที่แห่งนี้ เหล่าต้นไม้และสรรพสัตว์ก็จัดการให้ข้าแล้ว ไม่มีสัตว์ใดจะทำบาปทำกรรมรอบบริเวณของข้าหรอก”
              “สินธร เจ้า.... คำถามของเจ้าข้าก็มิอาจตอบได้ ดังที่ข้าได้กล่าวไว้แล้ว ทุกประการล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกของพวกเจ้าเอง ส่วนสถานที่แห่งนี้หากใครต้องการมาก็มาเถอะ ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามอะไร แต่ข้าจะตอบพวกเจ้าเมื่อถึงเวลาอันควรเท่านั้น”
              “ท่านเอลกริน เชิญให้พวกเขาพักกินน้ำและผลไม้ก่อนแล้วนำพวกเขาไปได้ ของที่ต้องการเมื่อพวกเขาเลือกแล้วข้าจะให้เหล่าสัตว์ส่งไปให้ ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี” 
              จากนั้นชายชราก็พร้อมทั้งคุณศาสตราก้มลงกราบท่านฤๅษีอีกรอบ พวกเราจึงกราบตามแล้วค่อยๆ ลุกตามทั้งสองออกไป
              “พวกเธอคงหิวกันแล้ว ไปทานผลไม้กันก่อน ตามมาทางนี้”ชายชรากล่าว
              แม้ว่าเวลาขณะนี้ตามนาฬิกาของพวกเขาเพิ่งจะสิบโมง แต่พระอาทิตย์ก็อยู่ตรงหัวแล้ว สงสัยเวลาในที่นี้จะไม่ตรงกับโลก ชายชราและคุณศาลตราได้นำพวกเราไปตามทางเดินด้านหนึ่งเป็นป่าไม่ทึบมาก มาถึงที่ร่มกว้างมีตอไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง และตอไม้เล็กๆ อยู่รอบๆ เหมือนกับเป็นโต๊ะและเก้าอี้ตามธรรมชาติ บนตอไม้ใหญ่นั้นมีผลไม้วางอยู่มากมาย ทั้งที่รู้จักพวก กล้วย แอปเปิ้ล ฝรั่ง และที่ไม่รู้จักอีกมาก และยังมีเหยือกน้ำกับแก้วน้ำที่ทำจากดินเผาด้วย
              “นั่งพักแล้วทานผลไม้กันก่อน แล้วค่อยกลับไปคุยกันที่หมู่บ้าน”ชายชราบอกแล้วท่านกันคุณศาสตราก็เดินหายไป
              พวกเขาจึงนั่งลงกินผลไม้ แม้จะเป็นผลไม้ธรรมดาอย่างกล้วย แต่อร่อยกว่าที่เคยกินมาก ไม่ต้องพูดถึงผลไม้อื่นๆที่ไม่รู้จัก ล้วนแล้วแต่อร่อยเกินกว่าจินตนาการได้ เช่นลูกกลมสีฟ้าคล้ายองุ่น แต่เมื่อกัดแล้วมีน้ำกระจายทั่วปากทั้งหอม หวานอมเปรี้ยวนิดๆ ผลไม้สีส้มแต่ใหญ่เท่าทุเรียนไม่มีหนาม ถูกผ่าไว้เป็นส่วนๆ เมื่อกัดเนื้อแล้วแทบจะละลายเป็นรสหวานมันพอๆกับนมข้นหวานทันทีเมื่อถูกลิ้นโดยไม่ต้องเคี้ยว เมื่อเพลิดเพลินกับผลไม้จนเริ่มอิ่มแล้ว ยูก็เอ่ยคำถามขึ้น
              “นี่มันเหมือนกับพวกเกมส์ นิยาย หรือหนังเลยนะ พวกเราอาจต้องเลือกว่าอยู่ช่วยโลกนี้ หรือเลือกกลับบ้าน โดยที่หากโลกนี้ถูกทำลาย โลกเราก็ไม่รอดอะไรพวกนั้น”
              ทีร่าจึงว่า “แล้วพวกเราจะทำไงล่ะ ถ้าอยู่แล้วที่โลกเราจะเป็นยังไง”
              พวกเรานั่งมองหน้ากันสักพักก่อนโยจะพูดขึ้นมาว่า “คงไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าโลกอาจถูกทำลายแล้วพวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราก็น่าจะช่วย”
              “ใช่ แล้วหากพวกเราเป็นผู้ช่วยโลกจริงสุดท้ายยังไงก็ต้องสำเร็จอยู่แล้วตามพล็อตเรื่อง” ทิดเอ่ยเสริม
               “ฉันว่าพวกเธอยังไม่ต้องคุยกันตอนนี้หรอก”ชายขราเดินกลับมาพร้อมคุณศาสตรา
              “เราจะกลับไปประชุมที่อาคารไวท์โอ๊ค พวกเจ้าจะได้รู้เรื่องราวที่เหลือที่นั่น และจะต้องเลือกหนทางของพวกเจ้าเอง”
              หลังจากนั้นพวกเราพยายามชวนทั้งสองคนคุยเท่าไหร่พวกเขาก็ไม่ยอมตอบ จนกระทั่งกลับมาถึงอาคารสามชั้นหลังใหญ่นั้น ทั้งสองก็พาพวกเราเข้าประตูหน้า เดินผ่านประตูและบันไดหลายอันไปจนสุดทางเป็นประตูคู่บานใหญ่สูงประมาณห้าเมตร แต่มีประตูคู่บานเล็กพอๆ กับประตูห้องประชุมใหญ่อยู่ในประตูใหญ่นั้นอีกที
              เมื่อผ่านประตูเล็กเข้าไปในห้อง ภายในเป็นอาคารเหมือนโบสถ์ แต่ที่นั่งโค้งเป็นครึ่งวงกลมเหมือนโรงละคร มีเวทีอยู่ตรงกลาง รอบๆผนังห้องเป็นลวดลายสัตว์ เทพ มนุษย์ เรื่องราวของศาสนาต่างๆ และอื่นๆที่พวกเราดูไม่เข้าใจ แล้วทั้งสองก็พาพวกเราเข้าไปในห้องเล็กๆด้านหลังที่ภายในมีโต๊ะยาวนั่งได้กว่ายี่สิบคนโดยมีคนนั่งอยู่แล้ว เท่าที่ดูเป็นคนที่ตามชายชราออกมาตอนที่พวกเขามาถึง
              ชายชราเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะก่อนที่คุณศาสตราจะบอกให้พวกเราไปนั่งอีกด้านของโต๊ะที่ว่างอยู่ ก่อนจะไปนั่งที่ว่างด้านขวาของชายชรา
              “ตอนนี้พวกเรามาทำความรู้จักกันก่อน เริ่มที่ฉัน เอลกริน ไฮเอฟเว่น อาจารย์ใหญ่หมู่บ้านทดสอบแห่งนี้ นักปราชญ์ขาว แห่งสวรรค์ชั้นที่3”ท่านเอลกริน กล่าว
              “ผมศาสตรา ชำนาญศิลป์ ผู้สอนวิชาอาวุธ นักรบแห่งพื้นดินชั้นที่1 ทหาร จากประเทศไทยบนโลก”คุณศาสตรากล่าวต่อ “และท่านอื่นๆ ผมจะเป็นคนแนะนำเองเพราะตอนนี้พวกเธอคงฟังพวกเขาไม่รู้เรื่อง
              วาเลล่า เคลดาวี่ ผู้สอนวิชาประยุกต์อาวุธและพลังพิเศษ อัศวินแห่งพื้นดินชั้นที่1 วาลคิลลี่ จากเมืองทาเวลบนมิติดรากรัม(อาเจ้ขี่มังกรที่มารับพวกเรา)
              เหลียนอี่อี่ ผู้สอนวิชาการเคลื่อนไหว นักรบแห่งผืนดินชั้นที่1 จอมยุทธจากเมืองจีนบนโลก(สตรีที่แต่งตัวเหมือนจอมยุทธในหนังจีน
              อิกะ ฮันโซ ผู้สอนทักษะต่างๆ นักรบแห่งผืนดินชั้นที่1 นินจาจากประเทศญี่ปุ่นบนโลก(ชายที่แต่งตัวธรรมดามากๆ แต่ตอนที่เห็นครั้งที่แล้วแต่งตัวเหมือนนินจานี่)
              โซฟี วินเซล ผู้สอนความรู้เกี่ยวกับโลกต่างๆ ผู้วิเศษแห่งผืนดินชั้นที่1 นักวิชาการจากเมืองไลบราเลี่ยน มิติโนวัน(สตรีที่ท่าทางปกติและสวยมากๆ)
              ดาร์ค ดีโมซิส ผู้สอนวิชาเวทย์มนต์ ผู้วิเศษแห่งผืนดินชั้นที่1 จอมเวทย์จากเมืองเมไจย่า มิติฮอลลัน (ชายที่ทั้งร่างคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ
    ส่วนท่านอื่นๆ อีกแปดท่านมาจากโลกทั้งหมดเป็นผู้ช่วยรายบุคคลถ้าพวกเธอเลือกที่จะอยู่ที่นี่” 

              “ขอบคุณมากคุณศาสตรา”ท่านเอลกรินบอกแล้วคุณศาสตราก็นั่งลงตามเดิม
              “ตอนนี้พวกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าต้องมาที่นี่ ฉันในฐานะที่เป็นอาจาร์ใหญ่ที่นี่จะเล่าให้ฟัง เรื่องนี้มันยาวมาก ขอให้ฟังให้จบแล้วค่อยถามถ้าอยากถาม
              เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ก่อเกิดมิติทั้งหมดขึ้น หลายๆ มิติก็มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงถูมิปัญญา เกิดการพัฒนาวิชาความรู้ทั้งการต่อสู้และการอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่ละมิติก็ดำเนินไปเจริญและเสื่อมโทรมโดยไม่เกี่ยวข้องกัน จะมีบ้างที่ประตูมิติเกิดเปิดออกเองแล้วนำพาสิ่งมีชีวิตจากมิติหนึ่งไปมิติหนึ่ง จนกระทั่งมีมิติที่คิดจะนำเอาพลังจากมิติอื่นมาช่วยเหลือตนเองและศึกษาหาทางเปิดมิติด้วยตนเอง ซึ่งคือมิติที่พวกเจ้าเรียกว่าสวรรค์ ได้มีชาวสวรรค์ผู้หนึ่งเปิดนำเอาขุมกำลังจากมิติมืดมาทำการยึดสวรรค์ แต่เนื่องจากผู้นำของสวรรค์ก็ใช้วิทยาการเปิดมิติอื่นเพื่อติดต่อด้านแลกเปลี่ยนความรู้อยู่แล้ว จึงได้ขอกำลังจากมิติต่างๆมาช่วยเหลือ ทำให้กองกำลังฝ่ายมืดพ่ายแพ้ไป
              เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นำกองกำลังฝ่ายมืด อันได้แก่เทพพลาฟีเซีย ผู้เป็นน้องชายต่างมารดากับจ้าวสวรรค์ พลาซีอัส ถูกขับไล่ออกจากมิติทั่วไปเข้าสู่มิติมืดที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ แล้วเทพสวรรค์ก็เกิดกฎที่ห้ามมีกองกำลังของตนเองโดยเด็ดขาดแม้แต่เจ้าสวรรค์ก็เช่นกัน โดยกองกำลังทั้งหมดจะใช้ชีวิตปกติโดยจะรวมทัพได้เมื่อผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาสวรรค์ทั้งสิบสองแล้วเท่านั้น
     หลังจากนั้น มหาเทวีอินโฟซ่า ซึ่งเป็นพระมารดาของเทพพลาฟีเซีย และเป็นป้าของจ้าวสวรรค์ พลาซีอัส ทราบเรื่องที่บุตรของตนถูกขับไล่ไปมิติมืดก็เลยไม่พอใจจ้าวสวรรค์ พลาซีอัส และพยายามนำเทพพลาฟีเซีย พร้อมกองทัพมืดกลับมา โดยที่ทางสภาสวรรค์ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากนางมีศักดิ์เป็นหนึ่งในห้ามหาเทพผู้ก่อตั้งสวรรค์ และเป็นผู้คิดค้นพลังจิตและมนตรามากมาย
              มหาเทพแต่ละองค์มีกฎห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับมหาเทพองค์อื่นหากมหาเทพองค์นั้นไม่มีการกระทำใดๆในทางร้าย ที่ดำเนินการด้วยตนเอง ดังนั้นนางจึงใช้ช่องว่างของกฎนี้พยายามรวบรวมกำลังและช่วยเหลือบุตรของนางออกมาและต้องการให้บุตรของนางครอบครองมิติสวรรค์
              ดังนั้นสภาสวรรค์จึงมีมติให้ทำการสร้างกองกำลังที่สามารถต่อสู้กับกองกำลังจากมิติมืดที่หลุดลอดจากรอยแยกของมิติมืด กองกำลังจากมิตินรกและอสูร รวมถึงกองกำลังจากมิติอื่นๆที่ถูกมหาเทวีอินโฟซ่าดึงไปเป็นพวก ด้วยเหตุที่ว่าสวรรค์ก็เป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้น จึงอาจมีบุคคลที่มีพลังเทียบเท่าหรือมากกว่ามหาเทพในมิติอื่นก็ได้ จึงให้ทุกมิติคอยสังเกตพลังของเด็กแรกเกิด หากมีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษแล้วก็ให้ทำผนึกพลังไว้ แล้วเมื่อถึงเวลาก็ให้นำมาฝึกสอน แล้วปลดปล่อยพลังที่ผนึกไว้ออกเพื่อเป็นหนึ่งในกองกำลังของมิตินั้น
              ซึ่งที่ผ่านมา ในมิติต่างๆ ก็มีผู้ที่บรรลุถึงขั้นเหนือมหาเทพบ้างแต่ท่านเหล่านั้นกลับรู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์แห่งกรรมและธรรมชาติ จึงบอกแต่เพียงว่าเมื่อถึงเวลาเหตุการณ์ต่างๆ ย่อมมีหนทางของมันตามกรรม พวกเราจึงทำได้เพียงเคารพเทิดทูนพวกท่านเหล่านั้น โดยไม่รบกวนในเรื่องการต่อสู้นี้
              เรื่องราวทั้งหมดนี้หากนับเป็นเวลาในมิติพวกเจ้าก็ผ่านมากว่าห้าแสนปีแล้ว แม้ห้ามหาเทพที่เป็นอมตะยังคงอยู่ แต่จ้าวสวรรค์และเทพอื่นๆ ก็ได้ผลัดเปลี่ยนไปหลายยุค แม้จะมีข่าวลือว่ามหาเทวีอินโฟซ่า ได้ใช้มนตราของนางทำให้วิญญาณของเทพพลาฟีเซีย ยังคงอยู่และใช้ร่างใหม่ที่เหมาะสมให้เรื่อยๆ แต่ด้วยความสามัคคีของทุกมิติทำให้เทพพลาฟีเซียและกองกำลังของเขาไม่อาจก่อการร้ายที่ไหนได้ มหาเทวีราเซียน่า ผู้เป็นมารดาของจ้าวสวรรค์ พลาซีอัส ได้เคยมีคำเตือนมาว่า กองกำลังของเทพพลาฟีเซีย มีมาก หากสามารถออกมายังมิติอื่นได้ในครั้งเดียวแล้วต้องเกิดเป็นมหาสงครามขึ้นแน่ แม้ว่าประตูมิติทั้งห้าที่เป็นประตูที่เปิดถึงมิติมืดได้ตลอดเวลาถูกพลังของมหาเทพราโฮลัสที่เป็นประมุขของห้ามหาเทพผนึกไว้แล้วก็ตาม แต่มหาเทวีอินโฟซ่า ก็พยายามหาทางเปิดประตูที่เชื่อมต่อกับมิติมืดอยู่ ซึ่งตอนนี้มีรายงานว่าประตูมีความผิดปกติแล้ว
              แล้วก็เรื่องที่สภาสวรรค์ได้กำหนดให้คัดเลือกผู้ที่มีพลังสูงเข้ากองกำลังพิเศษนั้น พวกเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีชื่อถูกเลือกจากมิติที่พวกเจ้าเรียกว่าโลกและมีกำหนดที่จะถูกฝึกฝนในช่วงเวลานี้ ตามที่สภาสวรรค์ออกประกาศหากเกิดเหตุการณ์ที่ประตูมิติเกิดเหตุผิดปกติ ให้หยุดการฝึกผู้ถูกเลือกตามปกติ โดยให้ทุกโรงเรียนฝึกชุดสุดท้ายให้เสร็จแล้วเข้าไปประจำการตามตำแหน่งที่ระบุไว้แล้วทำการฝึกสอนรุ่นอื่นๆ ทั้งหมดที่นั่นทันที ดังนั้นพวกเจ้าจึงเป็นนักเรียนรุ่นสุดท้ายในขณะนี้ เพราะเพิ่งจะมีรายงานเข้ามาถึงความผิดปกติของประตูหนึ่งในห้าแห่งนั้น จนกว่าสภาจะได้รับรายงานอื่นหรือเหตุการณ์ทั้งหมดจะจบลง
              นั่นเป็นจุดเริ่มต้นและเหตุผลทั้งหมดในการมาที่นี่ของพวกเจ้า มีใครมีคำถามอะไรบ้างไหม”
              “ถ้าอย่างนั้นสวรรค์ก็เป็นโลกใบหนึ่งหรือครับ แล้วที่ว่าคนทำดีจะได้ไปเกิดบนสวรรค์แล้วทำไมสวรรค์ถึงมีคนชั่วได้ล่ะครับ อีกอย่าง หากมหาเทพอื่นๆ ร่วมมือกันก็จบเรื่องนี้ได้ง่ายๆหรือเปล่าแล้วทำไมไม่ทำล่ะครับ” โยถามสิ่งที่สงสัยออกมาเป็นชุดก่อนคนอื่นๆ
              “สวรรค์ก็เป็นโลกในมิติหนึ่งที่มีวิทยาการก้าวหน้ามาก โดยมหาเทพทั้งห้าเป็นผู้ค้นพบการข้ามมิติและริเริ่มให้สวรรค์เป็นผู้คอยดูแลมิติอื่น เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในมิติใดก็ตาม วิญญาณก็จะหลุดออกจากร่าง ทำให้หลุดจากพลังและความทรงจำที่ติดอยู่ที่ร่างเก่า เหลือเพียงระดับความบริสุทธิ์ของวิญญาณเท่านั้น วิญญาณก็จะลอยไปสู่มิติที่ความบริสุทธิ์ของวิญญาณอยู่ได้อย่างเหมาะสม และเกิดตามกรรมที่สั่งสมมา ส่วนนิสัยและการกระทำจะมีติดมาจากเดิมเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยกเว้นได้ดื่มน้ำอมฤตซึ่งมีน้อยมากจนดื่มได้เพียงมหาเทพทั้งห้าและสามารถอยู่ได้นานจนเหมือนเป็นอมตะ ด้วยเหตุนี้มหาเทวีอินโฟซ่าจึงต้องคงวิญญาณของเทพพลาฟีเซียคงพลังเดิมไว้และหาร่างที่พอจะใช้พลังได้มากๆ ให้วิญญาณนั้นอยู่ ส่วนมหาเทพทั้งหลายก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งมีชีวิตนัก ท่านมักจะบอกว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม นอกจากมหาเทพทั้งห้าแล้ว ก็ยังมีเทพสูงสุดอื่นๆอีกดังเช่นที่โลกของเจ้ามักกล่าวถึงเสมอ แต่พวกท่านก็มักจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมเช่นกัน ยกเว้นบางท่านที่สามารถหลุดพ้นจากการเกิดใหม่ได้แล้ว” ท่านเอลกรินตอบ
              “แล้วท่านฤๅษีที่พวกเราพบเมื่อสักครู่ล่ะค่ะ ท่านเป็นใคร” กานเอ่ยถามต่อ
              “ท่านฤๅษีมีนามว่าสุทธิเวทดังที่ได้บอกพวกเจ้าไว้แล้ว ท่านเป็นผู้บำเพ็ญศีล สมาธิอยู่ที่แห่งนั้นมากว่าพันห้าร้อยปีแล้ว นัยว่าท่านต้องการรอผู้ที่จะมาโปรดสรรพสัตว์อีกท่าน เพื่อที่จะขอความรู้หลุดพ้นเช่นกัน ขณะนี้ท่านเลยคอยให้คำแนะนำเหล่าอาจารย์และผู้ถูกเลือกหลายรุ่นมาแล้ว แต่ไม่นานท่านว่าท่านทราบความจริงบางอย่างเพิ่มเติมและก็ลดการแนะนำลงเหลือเพียงสิ่งที่สามารถบอกได้โดยไม่ขัดกับกรรมของแต่ละคนที่ต้องได้รับ”
              “ถ้าอย่างนั้นที่เลือกพวกเราเพราะอะไรค่ะ ได้ฟังคำตอบจากท่านฤษีแล้วดีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
              “พวกเราจะมีหน่วยงานกระจายอยู่ตามมิติต่างๆ หากที่มิตินั้นมีทารกเกิดมาพร้อมพลังที่สูงแล้ว จะถูกหน่วยงานสังเกตการณ์เข้าไปผนึกพลังแล้วจดบันทึกไว้ การผนึกพลังเพื่อป้องกันศัตรูจะตามมากำจัดเหล่าผู้มีพลังทิ้งขณะยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และการนำพลังไปใช้ในทางที่ผิด จากนั้นก็กำหนดเวลาที่จะต้องมาเรียนยังโรงเรียนต่างๆ เมื่อเรียนได้ระดับหนึ่งแล้วจึงจะทำการปลดผนึกให้เพื่อไปทำภารกิจฝึกฝนตัวเองต่อไป”
              “แล้วเรื่องกลับล่ะค่ะ พวกเราจะได้กลับกันเมื่อไหร่”ทีร่าถามต่อ
              “หากพวกเจ้าตัดสินใจที่จะเรียนในขั้นแรก พวกเจ้าต้องเรียนพื้นฐานสองปี จากนั้นทำภารกิจฝึกหัดให้สำเร็จภายในหนึ่งปี พวกเจ้าก็สามารถกลับไปเข้ากองกำลังประจำมิติเจ้าเพื่อรับภารกิจฝึกฝนตัวเองต่อไป หากทำไม่สำเร็จในหนึ่งปี แม้พวกเจ้าจะได้กลับโลกเช่นกัน แต่ระดับของผู้ที่ไม่ผ่านก็จะต่ำกว่าผู้ที่สอบผ่านได้ ยกเว้นหากใครเลือกที่จะไม่เรียนที่นี่ ก็จะถูกส่งกลับทันที พร้อมทั้งลบความทรงจำในช่วงนี้ทั้งหมดไป”
              “ถ้างั้นหากพวกเราเลือกกลับบ้านกันหมดล่ะครับ”ยูเอ่ยถามบ้าง
              “พวกเจ้าสามารถเลือกได้อย่างอิสระ ฉันไม่สามารถห้ามพวกเจ้าได้”
              ทุกคนเกิดเงียบพร้อมกัน เนื่องจากคิดว่าเอลกริน ชายชราเบื้องหน้าต้องมีเหตุผลดีๆ เพื่อให้พวกเขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่ แต่นี่กลับ แล้วแต่การตัดสินใจของพวกเจ้า ช่างน่าตกใจจริงๆ
              สินจึงถามบ้างว่า “หากพวกเราเลือกที่จะไม่อยู่แล้ว โลกเราหรือโลกอื่นๆ จะเป็นยังไงบ้างครับ”
              “หากพวกเจ้าไม่ใช่กุญแจสำคัญในการต่อสู้ก็คงเป็นการขาดกำลังเสริมที่สำคัญ แต่หากพวกเจ้ามีผู้เป็นกุญแจสำคัญแล้วทุกมิติก็คงต้องตกอยู่ใต้อำนาจของกองทัพมืดตามที่เทพพลาฟีเซียสัญญาไว้กับพวกกองทัพมืด
              ถ้าพวกเจ้าไม่มีคำถามแล้ว ฉันก็จะถามพวกเจ้าบ้าง ในฐานะอาจารย์ใหญ่ของที่นี่ ใครที่จะเลือกอยู่ที่นี่บ้าง เริ่มจากเจ้าก่อน โยธา”
              “ผม...อยู่ครับ”โยธาอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ ทุกคนหันไปมองโยธา แล้วก็มองหน้ากันเอง โดยไม่มีใครพูดอะไร
              “เจ้าล่ะ ทศทิศ”
              “อยู่ครับ”
              “ศรัณยู”
              “ตกลงอยู่ครับ”
              “สินธร”
              “......อยู่ครับ”
              “ไม่ต้องเลือกตามกันก็ได้นะ พวกเจ้าควรเลือกด้วยตัวเอง เอ้า ศุภกาญจน์”
              “อยู่ค่ะ”
              “ภารดีล่ะ”
              “อยู่ค่ะ”
              “แล้วนพมาศว่าอย่างไร”
              “อยู่ค่ะ”
              “สุดท้ายธีรา”
              “อยู่ค่ะ”
              “ตกลงอยู่กันทุกคนนะ ดีมาก ดีมาก ต่อจากนี้เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องการสื่อสาร เนื่องจากแต่ละมิตินั้นภาษาแตกต่างกัน ทางสวรรค์เลยได้กำหนดภาษากลางขึ้น โดยมิติส่วนใหญ่ที่มีการติดต่อกับสวรรค์โดยตรงจะมีการเรียนรู้อยู่แล้ว ยกเว้นบางมิติเช่นที่โลกของพวกเจ้า เนื่องจากเป็นมิติหนึ่งที่สวรรค์กำหนดไว้เป็นมิติอิสระ จึงไม่ได้ติดต่อโดยตรง ดังนั้นพวกเจ้าหากจะเรียนภาษากลางที่เรียกว่า แลฟเวด ก็เสียเวลานาน ฉันเลยขอท่านฤษีให้นำของวิเศษให้มาพวกเจ้า”หลังเอลกรินพูดจบก็มีกระรอกแปดตัววิ่งเข้ามาในห้องแล้วปีนขึ้นบนโต๊ะ มาหยุดที่หน้าพวกเราคนละตัว แต่ละตัวยังถือใบไม้สีทองมาตัวละใบ “ใบไม้นั่นเรียกว่าใบศิลปพฤกษ์ เมื่อพวกเจ้ากินเข้าไปแล้ว ก็จะสามารถเรียนรู้ภาษา แลฟเวด ได้ทันที”
              สินหยิบใบไม้เข้าปากเป็นคนแรก แล้วคนอื่นๆก็ทำตาม รู้สึกเหมือนใบไม้ละลายบนลิ้นโดยไม่ต้องเคี้ยวพร้อมกลายเป็นน้ำจืดๆ เมื่อกลืนลงไปแล้วไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย?
      
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×