คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chance of destiny:ตอนที่หนึ่ง โลกในม่านหมอก
ตอนที่หนึ่ง โลกในม่านหมอก
ดีที่นั่งชิดกระจกรถกระบะด้านคนขับจึงหันตัวไปข้างหน้า กำลังจะเคาะ กระจกเพื่อบอกคนขับรถก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “ว้าย........ คนขับรถไม่อยู่แล้ว!!!”
“อะไรนะ!!!” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน ทิดที่นั่งด้านคนขับถัดลงมาจากดีและมาสจึงเลื่อนตัวขึ้นไปดูที่กระจกหลัง จากนั้นยื่นตัวออกไปมองด้านหน้าต่างข้างคนขับที่ไม่ได้หมุนปิดไว้เพราะอากาศเย็นพร้อมกับเอามือลองควานไปที่เบาะคนขับแล้วหันกลับมาบอกว่า “ไม่มีคนขับแล้วจริงๆ ด้วย”
“ทำยังไงดี” ทีร่าเอ่ยออกมาอย่างขวัญเสีย
“โดดลงจากรถเลยดีไหม” มาสเสนอเพราะกลัวรถจะตกเขา
“เราว่าหาทางหยุดรถดีกว่า มีรถดีกว่าไม่มี เดี๋ยวเรากับทิดจะปีนไปด้านหน้าแล้วเบรค สินกับโยช่วยจับให้ด้วย” ยูเสนอความคิดออกมา
“ได้ระวังตัวด้วยละกัน” สินกล่าว และโยก็พยักหน้าตอบรับ
ทิดและยูปีนขึ้นด้านบนของห้องโดยสารหน้ารถแล้วหย่อนตัวลงทางหน้าต่างที่เปิดอยู่เมื่อทั้งคู่ลงไปได้ทิดที่อยู่ด้านคนขับก็เบรกรถทันที จนคนที่อยู่กระบะหลังแทบจะหัวคะมำไปกองกันอยู่ด้านหน้า
เมื่อรถหยุดแล้วทุกคนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันที ทั้งหมดพยายามโทรหาเพื่อนและรุ่นพี่ที่มาด้วยกัน แต่ทันทีที่โทรแต่ละคนก็ค่อยๆลดโทรศัพท์มือถือลงมามองหน้ากัน
“ไม่มีสัญญาณ” กานบอกขึ้นก่อน
“ของเราเหมือนกัน” “ชั้นด้วย” “ชั้นก็ไม่มี” ทุกคนทยอยบอกออกมา ทั้งๆที่ทุกคนรวมกันก็มีโทรศัพท์ทุกระบบที่ให้บริการในประเทศแล้ว
“มีโทรศัพท์ใครโทรได้มั่ง ของพวกเราสองคนไม่มีสัญญาณเลย” ยูชะโงกหน้าออกมาจากที่นั่งข้างคนขับตะโกนถามมา
“ไม่มีใครโทรได้เลย” มาสที่นั่งอยู่ใกล้สุดตอบ
“แล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้” ทีร่าเอ่ยถาม
“กลับรถไปทางเดิม” สินเสนอขึ้น “เราออกมาตอนหกโมงครึ่ง ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมงขับกลับไปอย่างน้อยก็ต้องเจอรถบัสของพวกเราเพราะรถบัสต้องรอหมอกจางก่อนถึงแล่นต่อได้”
“แล้วถ้ามีทางแยกระหว่างทางจะทำไง” มาสเอ่ยถาม
“เจอแล้วค่อยคิด” สินตอบง่ายๆ แล้วชวนโยลงจากรถเพื่อคอยบอกระยะกลับรถให้กับทิดกันรถจะตกข้างทาง
แต่ทันทีที่ทั้งสองเหยียบพื้นก็ต้องแปลกใจเพราะที่พวกเขายืนอยู่ไม่ใช่ถนนแต่เป็นพื้นหญ้านุ่ม และแม้จะเดินไปห่างรถพอสมควรก็ไม่เจอไหล่ทาง จึงต้องกลับมาปรึกษากับทิดและยูที่รถเนื่องจากหมอกที่หนามากหากไปไกลเกินไปเดี๋ยวจะหลงกลับมาไม่ถูก
“ทางลาดลงเนิน ไม่มีถนน ไม่มีไหล่ทาง” โยบอกก่อน
“เหมือนกัน”สินที่ไปดูอีกทางบอกเช่นกัน
“แล้วจะขับกลับทางเดิมถูกไหมเนี่ย” ทิดเอ่ยอย่างกังวล
“แกว๊ก!!!!!!” เสียหนึ่งดังมาก มาจากเหนือหัวพวกเขา
“วิ๊กกก!!!!” อีกหลายเสียงดังเหมือนจะตอบรับกับเสียงเมื่อครู่
“อะไรน่ะ” โยบอกอย่างสงสัย
“อะไรก็ช่างเหอะแต่เราว่าท่าจะไม่ดีแล้วพวกเราหนีก่อนดีกว่า” สินบอกแล้วบอกต่ออย่างรวดเร็วว่า “ขึ้นรถ”
สินและโยรีบโดดขึ้นรถ ทิดก็ออกรถอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นด้านหน้ารถก็มีลมพัดอย่างรุนแรงเหมือนเฮลิคอปเตอร์จะลงจอกแล้วก็มีเสียงอะไรสักอย่างที่ใหญ่พอสมควรกระแทกพื้นดัง “ตึง” แต่ไม่รุนแรงนัก แล้วทิดก็หยุดรถทันทีเพราะแรงลมเมื่อสักครู่ทำให้หมอกด้านหน้าจางไปมากมองเห็นแสงไฟรถตัดเข้าไปในหมอกได้ไกลพอสมควร เขาและทุกคนในรถจึงจ้องตาค้างกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เคยเห็นเพียงในหนังหรือการ์ตูน เป็นมังกรตัวใหญ่สีออกเขียวเข้ม รูปร่างเป็นมังกรแบบยุโรป เฉพาะตัวไม่รวมคอ หางและปีกก็ใหญ่กว่ารถเมล์เล็กน้อย ปากมันคงจะงับพวกเขาได้คนละคำสบายๆ
แต่สิ่งที่พวกเขาประหลาดใจมากกว่านั้นคือมีคนนั่งอยู่บนหลังมันที่ติดกับช่วงคอ ซึ่งกำลังทำท่าเหมือนกำลังลงมาจากคอมันเสียด้วยสิโดยเจ้ามังกรก็ค่อยๆ ย่อหัวลงเพื่อให้ “คน” นั้นลงมาได้สะดวก จากนั้นก็ตามมาด้วยลมที่เหมือนเมื่อสักครู่รู้สึกว่าเบากว่าบ้างแต่มาจากรอบๆ รถ จากนั้นพวกเขาก็เห็นนกสีน้ำตาลทองสี่ตัว เหมือนนกอินทรีแต่ละตัวดูแล้วมีความสูงกว่าทิดที่สูงกว่า 190 เซนติเมตรเสียอีก
“คน” ที่ลงมาจากหลัง(คอ)มังกรเมื่อครู่เดินมาหยุดตรงหน้าพวกเรา เป็นผู้หญิงที่หน้าตาค่อนข้างดี ร่างกายที่ดูแข็งแรงแต่ไม่บึกเกินไปรับกับใบหน้ากลม และผมน้ำตาลสั้น สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้ามีชุดเกราะสีเงินเหมือนในเกมส์ผจญภัย ดูโดยรวมแล้วเป็นผู้หญิงที่เท่ห์คนหนึ่ง
“.........................................” เธอพูดอะไรบางอย่างที่เราฟังไม่ออก ไม่ใช่ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ(หรือจีนที่พวกเขาบางคนพอฟังได้)
“คือผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเลยครับ” โยลองโต้ตอบกับเธอคนนั้นดูซึ่งดูเหมือนเธอก็เข้าใจเพราะเธอหยุดพูดในทันที แล้วชี้มาที่พวกเราแล้วชี้ไปที่นกทั้ง 4 ตัว
“เหมือนเขาอยากให้เราขี่นกพวกนั้นนะ” ศรัณยูกล่าวขึ้น
และท่าทางยูจะเดาถูกจริงๆ เพราะเมื่อคุณเธอเห็นพวกเรายืนนิ่งอยู่ เลยเดินเข้าไปจับ โยซึ่งอยู่ใกล้สุดและดีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กึ่งดึงกึ่งลากไปทางนกตัวหนึ่ง โดยมีเสียงโวยวายเล็กน้อยของพวกเราที่เดินตามไปพร้อมกันหมด
เมื่อมาถึงนกตัวหนึ่ง เธอก็ชี้ไปที่โยแล้วชี้ไปที่นกพร้อมทั้งกอดคอนกให้ดูเป็นตัวอย่าง(แถมด้วยทำท่าดึงขนนกแล้วโบกมือเป็นเชิงว่าห้ามดึง) แต่แน่นอนล่ะพวกเราทำไมต้องทำตามด้วย และจะให้ขี่นกบินไปอ่ะนะถ้าแค่นึกเล่นๆก็คงสนุกแต่จะให้ทำจริงๆ ใครจะทำล่ะ ขืนตกลงมาก็มีแต่ตายกับตายอย่างเดียว
เมื่อเธอเห็นท่าทางของพวกเราซึ่งไม่มีทางขึ้นขี่นกง่ายๆ เธอเลยยื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วจู่ๆ ก็มีดาบขึ้นในมือของเธอ จากนั้นก็ชี้ปลายดาบมาทางพวกเรา(เหมือนบอกว่าถ้าไม่ขึ้น ตายยยย!!!!) ซึ่งพวกเราก็ยืนเกาะกลุ่มและพร้อมที่จะวิ่งหนีเต็มที่ และทันทีที่ใครก็ไม่รู้ตะโกนขึ้นว่า “เผ่นเหอะ!!!” พวกเราทุกคนก็พร้อมใจหันหลังวิ่งทันที
แต่อาจเรียกว่าเป็นการเริ่มวิ่งมากกว่าเพราะทันทีที่พวกเราขยับตัวก็มีแสงพุ่งผ่านด้านข้างของพวกเราไปกระทบพื้นด้านหน้าที่ไม่ห่างจากพวกเราเท่าไหร่แล้วก็เกิดระเบิดขึ้นทันที
ตูมมมมมมมมม!!!!!!!!
แล้วพวกเราก็ต้องหยุดลงทันที และค่อยๆ หันกลับมามองผู้หญิงด้านหลังซึ่งเธอส่งเสียงตะโกนโวยวายอยู่แล้วโบกมือเหมือนให้พวกเรารีบขึ้นไปนั่งบนนกเร็วๆ
“เอาไงดีล่ะ?” สินเอ่ยขอความเห็นจากเพื่อนๆ ก่อนที่จะมีคำตอบ ผู้หญิงที่ตอนนี้อยู่ด้านหน้าของพวกเราก็ยกดาบขึ้นชี้มาด้านพวกเราแล้วก็มีแสงพุ่งออกมาอีก 3 เส้น
ตูมมมมมมมมม!!!!!!!!ตูมมมมมมมมม!!!!!!!!ตูมมมมมมมมม!!!!!!!!
สิ้นเสียงพวกเราที่ตกใจโดดเข้าไปรวมกันเป็นกระจุกก็พบว่าพวกเราไม่เป็นไรจึงหันไปมองด้านหลัง ก็พบว่า!! มีศพสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนสิงโตแต่เท้าหน้าใหญ่เหมือนแขนคิงคอง และมีเขาเหมือนเขาแกะ นอนตายอยู่ถึงแปดตัว!!!
“เอ่อ... จะมีใครค้านไหมถ้าเราจะบอกว่าให้ทำตามที่ผู้หญิงคนนั้นบอก?” สินถามขึ้นอีกครั้ง
ไม่มีใครตอบแต่ทุกคนรีบแยกย้ายวิ่งไปที่นกสี่ตัว ซึ่งตอนนี้ได้ขยับไปยืนอยู่ด้านหน้าของมังกรสีเขียวตัวโต เมื่อมาถึงด้านหลังนกก็พบว่าหลังของนกทุกตัวมีเบาะอันยาว ด้านหน้าเบาะโค้งขึ้นเล็กน้อย ทิดเป็นคนแรกที่โดดขึ้นบนหลังนก แล้วขณะที่ยูกำลังจะโดดตามขึ้นไป ผู้หญิงคนนั้นก็ดึงยูไว้แล้วชี้ให้ไปที่นกตัวอื่นก่อนจะมาชี้ยังกลุ่มผู้หญิงทำท่าทางตีความได้ว่าให้ขึ้นไปผู้ชายคนผู้หญิงคน
พวกเราเลยยืนมองหน้ากันครู่หนึ่ง เหมือนเธอคนนั้นจะเริ่มรำคาญเลยเดินไปที่นกตัวที่ทิดนั่งอยู่เอื้อมมือไปหยิบบางอย่างจากด้านหน้าเบาะที่โค้งขึ้นนั้นให้พวกเราดู มันเป็นมีดทำจากเหล็กอันเล็กๆ จากนั้นเธอก็ขว้างออกไป โดยพวกเรามองตามมีดอันนั้นไปปักโดนอะไรบางอย่างที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ห่างพวกเราไม่เท่าไหร่ตกลงมา มันเหมือนลิงตัวประมาณแมวแต่หน้าตาดุร้ายมีจะงอยปากเหมือนนก มีเขี้ยวยาวออกจากปากล่างให้เห็นสองอัน และมีปีกนกสั้นๆ สองอันอยู่บนหลัง
“ชั้นว่าเขาคงอยากให้พวกเราดูแลกันเองด้วยน่ะ ให้ผู้ชายคอยเอาไอ้นั่นขว้างสัตว์ประหลาดแบบนั้นแน่เลย” มาสเดาสรุปเหตุการณ์ทั้งหมด
“ชั้นก็ว่าเราทำตามเขาแล้วรีบๆ ไปเหอะเดี๋ยวจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีกก็ไม่รู้”ทีร่าบอกอีกคน
พวกเราจึงแยกย้ายกันขึ้นขี่นกโดยที่นกตัวแรก ทิดอยู่กับมาส
นกตัวที่สองยูอยู่กับทีร่า
นกตัวที่สามโยอยู่กับดี
นกตัวสุดท้ายสินอยู่กับกาน
ผู้หญิงคนนั้นก็กลับไปนั่งบนมังกร แล้วนกทั้งหมดก็กางปีกโบกสะบัดพร้อมๆกัน สินที่เกาะคอนกอยู่รู้สึกว่าขาเขาจะโดนขนปีกที่ขยับขึ้นลงนั้นบ้างแต่ไม่แรงอะไร แต่ตอนที่นกทะยานขึ้นท้องฟ้านี่สิเหมือนตัวเขาจะลื่นหลุดจากเบาะเสียให้ได้ และก็รู้สึกว่ากานที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เกาะตัวเขาไว้แน่นขึ้นมาก(จนหลังเขากระทบถูกอะไรนุ่มๆ ^_^) แต่ตอนนี้สิ่งที่น่าห่วงกว่าก็คือเขาต้องเกาะอยู่บนหลังนกตัวนี้ให้แน่นไม่ให้ลื่นตกลงไป
เมื่อนกไต่ระดับสูงขึ้นจนพ้นม่านหมอก เขาก็เห็นภาพรอบๆ เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากจนเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้านล่างเป็นทะเลหมอกสลับกับยอดไม้ใหญ่ที่สูงเกินหมอกขึ้นมา มีทิวเขาที่ปกคลุมด้วยไม้ใหญ่เล็กประปราย ห่างไกลออกไปก็พอมองเห็นภูเขาสูงเสียดฟ้าอยู่บ้าง
“กาน เห็นป่าว ทะเลหมอกสวยมากเลย”สินเอี้ยวหน้าไปบอกกานด้านหลังแต่เขาก็รู้สึกตกใจขึ้นในทันใด (กานตกลงไปแล้ว........ล้อเล่นน่ะ) ด้านหลังเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง ซึ่งเขาแน่ใจว่าจันทบุรีจะต้องไม่มีภูเขาแบบนี้เด็ดขาด
กานซึ่งขณะนี้นั่งเบิกตาวาวกับทิวทัศน์อันสวยงามเบื้องหน้า จนไม่ทันฟังว่าสินพูดอะไรบ้าง มารู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นสินนั่งมองเหม่อไปด้านหลัง จึงมองตามไปบ้าง แล้วเธอก็เห็นเหมือนกับที่สินเห็น ภูเขาสูงเสียดฟ้าลูกใหญ่ที่โผล่ทะลุทะเลหมอกขึ้นมา มีลักษณะเป็นหินสีเทาหม่นๆ เกือบทั้งลูก มีต้นไม้ขนาดปานกลางขึ้นให้เห็นบางตา บนยอดเหมือนจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน
“ที่นี่มันที่ไหนกันแน่อ่ะสิน” กานหันกลับมาถามสิน
“ไม่รู้สิ แต่เราว่าไม่ใช่จันทบุรีแน่ๆ” สินตอบอย่างงงๆ แล้วกานกับสาวๆ คนอื่นก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย !!! พวกเราดูข้างหน้านั่นสิ” ทิดซึ่งอยู่บนนกตัวแรกสุดตะโกนดังลั่น
ทุกคนที่ชมวิวทิวทัศน์อยู่นั้นก็มองไปข้างหน้าลิบๆ มีจุดดำมากมายกำลังบินขึ้นมาจากทะเลหมอกเบื้องล่าง มันค่อยๆบินหมุนเป็นเกลียวสูงขึ้นเรื่อยๆ จากที่ดูด้วยตาในขณะนี้ นอกจากด้านหน้าที่มีขึ้นมามากสุดแล้ว ตลอดแนวยาวมาด้านข้างทั้งสองด้านก็มีบินขึ้นมาบ้างแต่บางตา
“ว้าว!!! สวยจังเลย” ทีร่าซึ่งนั่งอยู่กับยูร้องขึ้น
“นี่เธอมองว่าสวย ไม่สงสัยเลยเหรอว่ามันจะเป็นอะไรเหมือนกับที่ตกลงมาจากต้นไม้อ่ะ” ยูซึ่งอยู่บนนกตัวเดียวกันต่อว่าทีร่า
“โธ่ นี่เธอก็คิดมากไปได้ ถึงใช่มันก็ออกหากินของมัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย แล้วนกพวกนี้ก็ตัวใหญ่กว่าพวกมันตั้งหลายเท่าจะกลัวอะไร
” ทีร่าเถียงกลับพร้อมๆกับได้ยินเสียงยูพึมพำเบาๆว่าขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ “นายบ่นอะไรน่ะ” ทีร่าไม่ยอมปล่อยยูไปง่ายๆ
“เปล่านี่”ยูก็ตัดบทง่ายๆเหมือนกัน
“แต่ฉันได้ยิ...ว้าย!!!” ก่อนจะพูดจบทีร่าก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันตกใจเพราะมีมังกรสีเขียวขนาดใหญ่บินมาอยู่หน้าทุกคน โดยล้อของรถกระบะเฉียดเธอไปไม่เกินครึ่งเมตร
ล้อรถ??? ครั้งนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ เพราะมังกรใช้ขาทั้งสี่ของมันยกรถขึ้นมาด้วย(แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะของพวกเขายังอยู่บนรถน่ะสิ) คุณเธอที่ขี่มังกรก็หันหน้ามาหาพวกเราแล้วหยิบมีดที่รูปร่างเหมือนกับที่ขว้างโชว์พวกเราเมื่อครู่ออกมา แล้วชี้ไปยังเหล่าจุดทั้งหลายที่ขณะนี้หมุนเป็นเกลียวมาทางพวกเรา
“ว่าแล้ว เห็นมั๊ยล่ะ” ยูประชดทีร่า
“หุบปากนายเถอะ แล้วดูคุณเธอสิ เหมือนจะให้พวกเราลองหยิบอะไรจากด้านข้างเบาะด้วยนะ” ทีร่าตวาดกลับบ้าง
และก็จริงอย่างที่ทีร่าบอก เมื่อลองคลำไปใต้เบาะด้านขวาก็พบหอกที่ยาวพอดีกับเบาะประมาณหนึ่งเมตร เมื่อเก็บหอกเข้าปลอกที่ติดกับเบาะแล้วก็หยิบของด้านซ้ายดูพบว่าเป็นดาบสองคมเล่มหนึ่ง
“งานนี้บู้แหลกแหง” โยเอ่ยขึ้นบ้างก่อนส่งดาบไปให้ดีที่อยู่ด้านหลังถือ
“นี่นายโย......จะให้สาวร่างบอบบางอย่างฉันฉันใช้ดาบสู้กับเจ้าพวกนั้นด้วยเหรอ!!!” ดีบ่นออกมา
“จะบ้าเหรอ ขืนให้เธอฟันก็โดนแต่หลังเราดิ เราให้เธอช่วยถือจะได้ไม่เสียเวลาหยิบ แต่ถ้าเธอจะใช้ฟันก็ได้แต่อย่าให้โดนหลังเราละกัน”โยชี้แจงแบบดุๆ แต่พวกเราก็เห็นด้วยกับโย จึงดึงดาบออกมาให้ผู้หญิงด้านหลังถือกันหมด
อาเจ๊ขี่มังกร(เปลี่ยนสรรพนามแล้ว) มองดูพวกเราเมื่อเห็นว่าพวกเรา(คงจะ)พร้อมแล้ว ก็ขี่มังกรไปด้านซ้าย มังกรสีเขียวตีโค้งอย่างสวยงามเข้าใกล้จุดดำเล็กๆ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนแตกกระจายเมื่อมังกรเข้าใกล้ แล้วจากนั้น... มังกรสีเขียวสดก็พ่นไฟออกมาจากปาก!!! เข้าหาจุดเล็กๆเหล่านั้น และอาเจ๊ก็เหมือนกำลังใช้หอกแทงพวกมันอยู่
มังกรและอาเจ๊ทำการเก็บกวาดชั่วครู่ก็ผละออกมาจากจุดดำกลุ่มแรก ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะแตกกระจายกลับลงไปในป่าเกือบหมด ยกเว้นบางส่วนที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มข้างๆ ซึ่งอาเจ๊ก็ตามไปจัดการกับกลุ่มนั้นต่อไป
ดูเหมือนพวกเราเข้าใกล้จุดดำด้านหน้าอย่างรวดเร็วเหลือเกินซึ่งขณะนี้พอมองเห็นเป็นรูปร่างคล้ายๆ กับเจ๊าตัวที่โดนอาเจ๊ขว้างมีดปักอกร่วงจากต้นไม้เมื่อครู่ แต่มีจำนวนหลายร้อย(หรืออาจถึงพันได้ หากไม่ใช่อาเจ๊กับมังกรของแกเก็บไปแล้วส่วนหนึ่ง) ซึ่งเมื่อเจ๊าพวกลิงมีปีกด้านซ้ายหายไปเกือบหมดแล้ว มังกรเขียวก็พลันเร่งความเร็วแล้วบินวนตามกลุ่มลิงบินได้พวกนั้นพร้อมพ่นไฟไปด้วยจนถึงด้านขวาสุด อาเจ๊ก็เริ่มจัดการเหมือนด้านซ้ายอีกที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าด้านหน้าอาเจ๊ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้ว
สินหยิบมีดขึ้นมาหลายเล่มหนีบไว้ตามร่องนิ้วมือซ้ายที่ทำหน้าที่จับเบาะยึดตัวไว้ด้วย ซึ่งก็ได้แค่หกเล่มเท่านั้น ในมือขวาถืออยู่อีกหนึ่งเล่ม คนอื่นๆจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้แล้วในตอนนี้ ยกเว้นกานซึ่งใช้มือซ้ายเกาะเอวเขาอยู่ ส่วนมือขวาคงถือดาบที่เขาส่งไปให้ สายตาของเขาจ้องมองไปด้านหน้าไปยังลิงมีปีกตัวใกล้สุดเพื่อเตรียมขว้างมีด แต่เขาเห็นอะไรบางอย่างเป็นเงาสีแดงบินวูบวาบอยู่ในเงาสีเทาๆ ของพวกลิงมีปีก
ทันทีที่กลุ่มนกของพวกเขาเข้าใกล้กลุ่มลิงมีปีก มีดในมือทุกๆคนก็เริ่มขว้างเข้าหาเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งโดนเป้าหมายที่เล็งไว้บ้าง พลาดไปโดนตัวอื่นบ้าง และตกไปโดยไม่โดนอะไรเลย แต่พวกเขาก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือขว้างให้เร็วที่สุด!!! และเมื่อนกที่พวกเรานั่งบินถึงลิงตัวแรก ก็แสดงฝีมือให้พวกเราเห็นด้วยการเอาจะงอยปากจิกและใช้เล็บคว้าพวกลิงมีปีกไว้ ซึ่งท่าทางจะแม่นกว่าพวกเราเสียอีก
“กานช่วยเรามองหาไอ้ตัวที่มีสีแดงที” สินบอกกานเมื่อพวกเขาซึ่งอยู่หลังสุดเริ่มเข้าไปในแนวฝูงลิงมีปีกแล้ว
“สีแดง ทำไมเหรอ? เราก็เห็นแต่สีเทาอ่ะ”กานถามด้วยความสงสัย
“มีไอ้ตัวสีแดงบินได้แน่ๆ เมื่อกี้เราเห็นแวบๆ ถ้าเดาไม่ผิด ที่ผู้หญิงขี่มังกรคนนั้นบินวนไปมาในฝูงเจ๊าพวกนี้สักพักมันก็แตกไป น่าจะเพราะเขาเก็บตัวสั่งการได้ ตัวอื่นๆท่าทางจะไม่สนพวกเราหรอก”สินตอบอย่างรวดเร็วพร้อมขว้างมีดในมือไปด้วย
หลังจากสิ้นเสียงอธิบายของสินไม่กี่อึดใจ เขาก็เห็นเงาแดงๆพร้อมกับกานที่ตะโกนบอกว่า “นั่นไง!!!”
ด้านบนซ้ายมือห่างพวกเขาไม่มาก มันเหมือนคอยบินวนในกลางกลุ่มลิงสีเทา รูปร่างเหมือนลิงที่ไม่มีขน ปีกคู่เล็กเหมือนค้างคาว หัวและท้องโต แขนขาลีบ มีเขี้ยวขาวออกจากปากล่างและเขาเหมือนหนามสีแดงอยู่บนหัวคู่หนึ่ง สินขว้างมีดไปทางมันทันที และมันก็โดนมีดทันทีเหมือนกัน มีดที่ปักเข้ากลางท้องมันเหมือนจะเรืองแสงนิดหน่อยแล้วท้องมันก็ระเบิดออก ไม่เหมือนกับพวกตัวสีเทาที่มีดเหมือนปักเฉยๆ หากไม่โดนจุดสำคัญ มันก็เพียงบินหนีไปซึ่งเป็นส่วนมาก เสียงกรีดร้องของเจ๊าตัวสีแดงในระยะใกล้นี้ทำให้รู้ว่าดังกว่าตัวสีเทาอื่นๆ มากนัก
พวกลิงสีเทาเหมือนจะแตกออกไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กลับมารวมกลุ่มรุมพวกเขาอีกครั้ง ซึ่งสินก็เห็นลิงสีแดงบินวนเวียนเข้ามาใกล้กลุ่มที่แตกไป ดูเหมือนเพื่อคอยควบคุมลิงสีเทาไว้ให้ต่อสู้
“ทุกคนเล็งที่ตัวสีแดง”สินตะโกนบอก แต่แทบจะไม่จำเป็นเพราะยู ทิด และโยต่างพร้อมใจกันขว้างมีดไปที่ลิงมีปีกสีแดงตัวใกล้สุด มีดของโยพลาดไปโดนตัวสีเทา แต่มีดของยูและทิดปักเข้าที่ตัวสีแดงที่หัวและท้องแล้วมันก็ระเบิดไปเช่นเดียวกับตัวแรก
แล้วนกทั้งสี่ตัวที่เหมือนจะรู้อยู่แล้ว ก็พาพวกเขาแยกกันบินหาบรรดาตัวสีแดงที่กระจัดกระจายอยู่ตามกลุ่มต่างๆ สินที่บินต่ำลงมาด้านขวาจัดการไปได้อีกหนึ่งตัวโดยที่ได้ยินเสียงระเบิดจากที่อื่นแล้วประมาณสี่ครั้ง ส่วนพวกตัวสีเทาส่วนใหญ่จะโดนนกยักษ์ที่พวกเขานั่งจัดการด้วยจะงอยปาก ปีก และกรงเล็บเกือบหมดมีหลุดมาไม่กี่ตัวซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาในการจัดการ
แต่ปัญหาใหม่หลังจากสินจัดการตัวสีแดงได้อีกตัวหนึ่งคือมีดเขาเหลือเพียงสามเล่มที่อยู่ในมือเท่านั้น แม้เหล่าลิงสีเทาเริ่มบินเปะปะไม่เป็นระเบียบ อาจเป็นเพราะตัวสีแดงที่คอยควบคุมลดลงไปมากก็ได้ แล้วกานก็ตะโกนบอกมาอีกครั้งอย่างตื่นเต้นว่า “อยู่นั่น” แล้วใช้ดาบชี้ไปด้านขวาล่าง “เหมือนมันจะลงไปบินหลบอยู่ใกล้ๆยอดไม้”
สินก็เห็นแล้วเหมือนกัน แต่ไกลพอดูและอยู่ใกล้ยอดไม้อีก เขาเลยตัดสินใจใช้มีดทั้งสามอันขว้างลงไปในครั้งเดียว ซึ่งสองอันพลาดเป้าแต่อีกอันหนึ่งปักลงบนไหล่ของเจ๊าตัวสีแดงแล้วระเบิดขึ้นพร้อมเสียงร้องของมัน
โดยที่สินและกานไม่รู้เลยว่ามีตัวสีแดงและเทาอย่างละตัวเข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว
“ตูม!!!” “กี้.........”
เสียงระเบิดและเสียงร้องดังเหนือพวกเขาเพียงนิดเดียว แล้วตัวสีแดงและเทาก็ร่วงลงผ่านพวกเขาไปทั้งคู่ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบอาเจ๊ขี่มังกรบินผ่านพวกเขาไปทางโยที่อยู่ใกล้สุด ลิงมีปีกตัวสีแดงในละแวกใกล้เคียงก็ไม่รอดจากมีดบินของอาเจ๊แม้แต่ตัวเดียว ส่วนตัวสีเทาที่ผ่านมังกรมาได้ไม่กี่ตัวก็โดนหอกในมือซ้ายสอยร่วงหมด สินที่ตอนนี้ดึงหอกมาใช้ป้องกันตัวจากตัวสีเทาที่ตอนนี้เหลือไม่มากแล้วมองดู อาเจ๊จัดการลิงมีปีกตัวสีแดง ไปเรื่อยๆ เพียงวนไปมาสามรอกก็หมด และตัวสีเทาก็แตกกระจายลงป่าไป
นกทั้งสี่ตัวที่บินมารวมกัน พร้อมมังกร(และอาเจ๊)ที่นำอยู่ด้านหน้า ก็พาพวกเราบินไปที่ไหนก็ไม่รู้ต่อไป
สารานุกรมสิ่งมีชีวิตในเรื่องนี้
พานรสี: Likong(ไลคอง): สัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนสิงโตแต่เท้าหน้าใหญ่เหมือนแขนคิงคอง และมีเขาเหมือนเขาแกะ
วานรปักษ์: Mirdkey(เมิร์ดกี้): ลิงตัวประมาณแมวแต่หน้าตาดุร้ายมีจะงอยปากเหมือนนก มีเขี้ยวยาวออกจากปากล่างให้เห็นสองอัน และมีปีกนกสั้นๆ สองอันอยู่บนหลัง
วานรปักษูรย์: Devil Mirdkey(เดวิล เมิร์ดกี้) รูปร่างเหมือนลิงที่ไม่มีขน ปีกคู่เล็กเหมือนค้างคาว หัวและท้องโต แขนขาลีบ มีเขี้ยวขาวออกจากปากล่างและเขาเหมือนหนามสีแดงอยู่บนหัวคู่หนึ่ง
ความคิดเห็น