ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซเลนเธเลี่ยน อาณาจักรมายา

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่11 กลิ่นของชัยชนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 113
      0
      21 ก.พ. 54

    ตอนที่ 11 กลิ่นของชัยชนะ

     

     

     

        “อาคุเมทสึ”ซาเรสหันมาเรียกเด็กชาวลอเรเซียอีกคนที่อยู่ข้างเขา “นายมีหน้าที่คอยลอบสังหารเด็กๆกลุ่มอื่นที่หลบอยู่นะ    แต่ต้องทำให้ไร้ร่องรอยที่สุด”

        “ครับ! ท่านแม่ทัพ”อาคุเมทสึทำท่าตะเบ๊ะอย่างทหาร    แล้วส่งยิ้มขี้เล่นให้ซาเรสก่อที่จะหายตัวไปกับความมืด

        “รินกะ เรนกะ”ซาเรสเรียกเด็กผู้หญิงฝาแฝดคู่หนึ่ง

        “ขา! ท่านแม่ทัพ”สองสาวฝาแฝดร้องเสียงดังเหมือนล้อเลียน “คิกๆๆ”

        “เฮ้อ เลิกเล่นเถอะ    ผมเขินนะ”ซาเรสยิ้มอายแล้วเกาหัว “คุณสองคนไปตามช่วยอาคุเมทสึลอบสังหารนะ    แต่ต้องไม่ให้อาคุเมทสึรู้ตัว”

        “ทำไมล่ะ”ฝาแฝดร้องถามพร้อมกัน

        “เพราะหน้าที่ของพวกคุณจริงๆ คือระวังหลังให้อาคุเมทสึ    ลอบสังหารคนที่เขามองข้าม    ดังนั้นต้องไม่ให้เขารู้    เขาจะได้ทำงานได้เต็มที่    เข้าใจนะครับ”

        “รับทราบค่ะท่านแม่ทัพ”แล้วทั้งสองก็หายตัวไป

        ซาเรสหันไปมองการต่อสู้ เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น

     

        ราพณาสูรพุ่งลงกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย “ตู้ม!!

        “เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ    มีใครใช้ปืนใหญ่ด้วยเหรอ!”เสียงตกใจของทั้งสองฝ่ายดังระงมไปหมด   

        ทุกสายตาจ้องมองไปยังที่เกิดเหตุ    ที่มีกลุ่มฝุ่นควันลอยคละคลุ้งไปหมดไม่สามารถจะมองเหตุด้านในได้ว่ามีอะไรตกลงมา

        แต่เมื่อกลุ่มควันเริ่มจางลง    กลับมีเงาอะไรแปลกที่เหมือนสัตว์ประหลาดหางยาวๆจนทุกคนเริ่มรู้สึกกลัว   เมื่อควันจางหายไปหมดทุกคนก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที

        ราพณสูรก้มหน้าพาดกระบองยักษ์ยาวสามเมตรไว้ที่บ่า    เขาเงยหน้าขึ้นสอดส่องสายตามองไปจนรอบแล้วทำหน้าซื่อๆ “เอ้า  สู้กันต่อสิครับ”

        สิ้นคำของราพณาสูร    การรบก็ดำเนินต่อทันที

        “ย้าก!”เสียงทหารกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่    พุ่งดาบเข้าหาราพณาสูร

       ราพณาสูรเอี้ยวตัวหลบดาบ     พลางตวัดกระบองสวนกลับเข้าที่กลางหลังของคู่ต่อสู้

        แต่ไม่แค่นั้น!!

        ด้วยความยาวของกระบองกลับทำให้คนรอบข้างไม่ว่าฝ่ายใดก็แล้วแต่    ต้องโดนกระบองฟาดจนกระเด็นตามกันไปกว่าสิบคน

        “ไอ้บ้า!! จะฆ่าพวกเดียวกันเองรึไง!”เด็กผู้สมัครกลุ่มอื่นที่เห็นกลุ่มตัวเองโดนราพณาสูรฟาดกระเด็นไปก็หันมาตะโกนใส่ด้วยความโกรธ

        “ใครพวกคุณไม่ทราบ”ราพณาสูรสวนคำกลับนิ่งๆ

        “งั้นแกก็อย่าอยู่เลย!”เด็กคนนั้นควงง้าวอย่างคล่องแคล่วเข้าหาราพณาสูร

         แต่ด้วยความยาวของอาวุธที่มีมากกว่า    ราพณาสูรแทงกระบองสวนเข้าไปที่หน้าอกของเด็กคนนั้นจนร้องจุก    แล้วเขาก็หมุนตัว “จักราผ่าสวรรค์!

        ราพณาสูรหมุนตัวไปรอบๆ แล้วควงกระบองยักษ์ด้วยความเร็ว    ทำร้ายผู้ที่อยู่ในรัศมีคมอาวุธเขาทุกคนจนเป็นแสงหายขึ้นฟ้าไป    แน่นอน  เด็กคนนั้นก็เป็นแสงไปแล้ว

        จริงๆราพณาสูรก็ไม่อยากจะทำอย่างนี้นักหรอก    เพราะเขาก็เป็นคนที่อ่อนโยนไม่อยากจะทำร้ายใคร    โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ฝั่งเดียวกัน    แต่ซาเรสบอกว่า  พวกที่ช่วยกันสู้อยู่นี้    เดี๋ยวก็ต้องหันมาฆ่ากันเองอยู่ดีเพราะต้องการเข้าโรงเรียน    ดังนั้นเราจงห่วงพวกกลุ่มเดียวกันไว้ก่อนดีกว่า    เขาว่ากันว่า  ไม่มีอะไรสำคัญเท่าแขนขาเราเอง  เพราะมันจะไม่ทรยศเรา

       

     

        “พี่  ดูนั่นสิ”นักรบขี่มังกรสีเงินร้องเรียก    นักรบขี่มังกรสีทอง

        นักรบมังกรสีทองหันไปมองตามที่ผู้เป็นน้องบอก     พลางทำหน้าแปลกใจแม้จะใส่หมวกเหล็กอยู่ก็ตาม

        ต่อยักษ์สีเขียวที่ตัวเล็กกว่ามังกรของพวกเขานิดหนึ่ง    กำลังบินมาทางพวกเขาด้วยความเร็วสูง    ด้านหลังต่อยักษ์มีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่

         นักรบมังกรทั้งสองแค่มองตาเด็กคนนั้นก็สั่นสะท้านขนลุกไปทั้งตัว    ทำไมถึงน่ากลัวอย่างนี้    ถึงจะไม่เท่าเจ้านั่นก็เถอะ    แล้วนั่นมันอะไร    เกิดมาทั้งชีวิตเรายังไม่เคยเห็นต่อตัวใหญ่ขนาดนั้นมาก่อนเลย    และยังมีคนสามารถควบคุมมันได้อีก    ขนาดเรากว่าจะได้เจ้า  โกลเด้นรีทรีฟเว่อร์มาขี่ยังเหนื่อยแถบรากเลือด    แล้วต่อนั้นเขาทำอย่างไรนะ    ไม่ได้การณ์ละ    ต้องให้เด็กนั่นมาเป็นรุ่นน้องให้ได้นักรบมักรทองคิด

        “พี่! เตรียมรับมือเถอะ    เด็กนั่นใกล้มาแล้ว”นักรบมังกรเงินร้องเรียกพี่ชาย

        “อือ!”นักรบมังกรทองขานรับ

     

        ไสยรันณ์ชี้นิ้วไปที่นักรบมังกรทั้งสองแล้วพึมพำคนเดียวอีกครั้ง    แล้วก็มีเงาสีดำห้าดวงพุ่งออกมาจากร่างกายเขาตรงเขาหานักรบมังกรทั้งสอง

        “เฮ้ย!อะไรวะ”นักรบมังกรทองและนักรบมังกรเงินร้องขึ้นพร้อมกันพลางสั่งมังกรบินหลบ    แต่ก็ไม่สามารถหลบได้    เงาดำทั้งหลายเหมือนจรวดติดตามสามารถหักเหวิถีการบินได้

        “หลบไม่ทันแล้วพี่!”แล้วเงาดำทั้งหลายก็พุ่งผ่านศรีษะพวกเขาไป

        “อ้าว?”ทั้งสองมองหน้ากันงงๆ “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

        “แต่พี่รู้สึกแปลกๆ”นักรบมังกรทองว่า “คันหัวยังไงไม่รู้สิ”

        นักรบมังกรเงินก็เริ่มรู้สึกเช่นกัน    แล้วทั้งสองก็ถอดหมวกออก

        “พี่! ผมพี่หายไปกระจุกหนึ่ง!”นักรบมังกรเงินร้องบอก

        “เออ! ของแกก็เหมือนกัน    แต่รู้สึกว่าหลายกระจุกเลยนะ”

     

        “นี่จ้ะ  พ่อ”เงาสีดำค่อยๆเปล่งแสงแล้วก็กลายร่างเป็นเด็กชายอายุประมาณสามขวบใส่กางเกงโจงกระเบนสีแดง    มีกำไลและสร้อยสีทองประดับอยู่    ผมถูกเกล้าเป็นจุก  ร่างกายจ้ำมั่มน่ารักน่าชัง    กำลังยื่นมือที่กำอะไรบางอย่างให้ไสยรันณ์    แล้วยิ้มยิงฟันจนตาปิด

        “ขอบใจมาก  หนูแดง”ไสยรันณ์ยื่นมือไปรับ    มันเป็นเส้นผมสีทองของนักรบมังกรทอง

        “พ่อจ๋า!!”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก    ดังขึ้นมาทางเงาอีกสี่เงา

        เงาทั้งสี่เปล่งแสงแล้วก็กลายเป็นเด็กอีกห้าคน    คนแรกเด็กผู้ชายอายุเท่าหนูแดงใส่โจงกระเบนสีน้ำเงิน    คนที่สองเด็กชายเช่นกันใส่โจงกระเบนสีเขียว    คนที่สามก็ยังเป็นเด็กชายใส่โจงกระเบนสีเหลือง    สุดท้ายเด็กน้อยคนที่สี่เป็นเด็กผู้หญิงใส่โจงกระเบนและผ้าคาดอกสีชมพู

        ในมือเด็กแต่ละคนมีเส้นผมสีเงินคนละกำรวมเป็นสี่กำ

        “นี่จ้ะพ่อ”เด็กทั้งสี่คนเรียงแถวกันยื่นเส้นผมให้ไสยรันณ์

        “พ่อขอบใจทุกคนมากนะ  ทั้งหนูแดง  หนูเขียว  หนูฟ้า  หนูเหลือง  แล้วก็หนูบานเย็นด้วยนะ   เก่งมากทุกคนเลย”ไสยรันณ์ร้องขอบใจเด็กทั้งห้า

        “แน่นอนอยู่แล้วครับพ่อ”หนูแดงที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูด “เพราะพวกเราคือ...!

        แล้วเด็กทั้งห้าก็ค่อยๆไปยืนประจำที่ของตนเตรียมโพสท์ท่า    โดยมีหนูบานเย็นเด็กผู้หญิงคนเดียวอยู่ตรงกลาง

        “ขบวนการห้าสี  กุมารน้อยพิทักษ์คุณธรรม!!”แล้วก็มีระเบิดควันห้าสีเล็กๆอยู่ด้านหลังที่ไม่รู้ว่าใครทำ

        “จ้าๆ  พ่อรู้แล้ว”ไสยรันณ์รับคำเสียงอ่อย  พร้อมกุมขมับไม่น่าให้เด็กพวกนี้ดูการ์ตูนเยอะเล้ย  แล้วเขาก็ต้องตกใจ “หลบเร็ว!!

        ไสยรันณ์บังคับต่อยักษ์หลบลูกน้ำแข็งที่พุ่งมา    แล้วให้กุมารทั้งห้าเข้ามาหลบในตัวเอง

        “จะเอาผมพวกฉันไปทำไมฮะ!”นักรบมังกรเงินพูดขึ้นอย่างหัวเสียที่ตนโดนดึงไปหลายกระจุก

        “หึหึหึหึ  เดี๋ยวก็รู้”ไสยรันณ์หัวเราะแสยะยิ้มน่ากลัว    พลางสั่งต่อยักษ์ให้บินหลบก้อนน้ำแข็งที่พุ่งเข้ามา

         ไสยรันณ์หยิบตุ๊กตาฟางรูปร่างคล้ายคนออกมาสองตัว    เขานำเส้นผมของทั้งสองคนมาผูกติดกับตุ๊กตา    แล้วนำสายสินญ์มาพัน

        “มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”นักรบมังกรทองวิเคราะห์ แล้วหันไปบอกน้อง “อย่าให้มันทำไอ้ตุ๊กตานั่นเสร็จ! เร็ว!

         แล้วนักรบมังกรทั้งสองระดมยิงลูกไฟและน้ำแข็งใส่    แต่ต่อยักษ์ก็สามารถหลบได้ทุกครั้งไป    ทั้งสองจึงเปลี่ยนมาควงหอกยาวไล่แทงต่อยักษ์    และไสนรัณ์ที่อยู่บนหลังต่อ    แต่ก็ไม่โดนเต็มๆเลยสักครั้งได้แค่เพียงเฉี่ยวไปมาเท่านั้น

     

        ในสนามรบ

        ราพณาสูรยังคงกวัดแกว่งกระบองยักษ์อย่างบ้าคลั่ง    เขาไม่สนใจใครทั้งนั้น    ไม่ว่าศัตรูหรือพวกเดียวกัน    ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่อยู่ในรัศมีกระบองของเขาล่ะก็    จำต้องเป็นแสงลอยขึ้นฟ้าไปเสียทุกครั้ง

        จนตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแล้ว    คนที่เห็นการต่อสู้ของเขาก็เอาแต่ร้องว่า “ปีศาจๆ! มันไม่ใช่มนุษย์!!

        แต่ราพณาสูรกลับลอบเถียงในใจว่าใช่สิ  แต่ครึ่งเดียวนะ

        “หลบไป!!”เสียงแข็งกร้าวดังก้องขึ้น    ในสนามรบที่อึกทึกยังต้องเงียบลงและหันไปมองตามเสียง   

        เด็กหนุ่มอายุสิบห้าร่างกายแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม    ในมือของเขามีดาบเล่มใหญ่ยาวสองเมตรกว้างครึ่งเมตร    สีฟ้าอ่อนๆที่มีความเงาของสีเงินปนอยู่ด้วย    ใบดาบรอบด้านบิ่นแทบไม่เห็นความคม

        “เก่งนี่ไอ้น้อง”ผู้มาใหม่ชี้ดาบอันใหญ่โตไปที่หน้าราพณาสูร “เจอกับพี่หน่อยไหม”

        ราพณาสูรควงกระบองอย่างคล่องแคล่ว    จนเกิดลมหมุนรอบตัวเขาเพราะความแรงจากการควงกระบอง “เข้ามา”

        “หึ”เด็กหนุ่มผู้ท้ากลับถูกท้ากลับ    เขาหัวเราะอย่างชอบใจที่หนึ่ง “รับมือ!   เขายกดาบขึ้นเหนือหัวแล้วกระโดดฟาดคมอาวุธใส่ราพณาสูร

        “เคร้ง!”ราพณาสูรยกกระบองขึ้นกัน    ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะรับมือง่ายๆ    แต่ความรุนแรงของดาบคู่ต่อสู้ถึงกับทำให้เขาถอยหลังไปสองก้าวเลยทีเดียว

        ราพณาสูรพลักดาบยักษ์ของคู่ต่อสู้ออกไป    แล้วหันหลังตวัดกระบองใส่อีก

        แต่คู่ต่อสู้เขากลับรับได้!    ทั้งๆที่แรงของเขามนุษย์ธรรมดาไม่น่าจะรับได้โดยไม่เกิดบาดแผลอย่างนี้

        “หึหึ  ฉันว่าเราเหมือนกันนะ”เด็กหนุ่มพูดอะไรแปลกๆออกมา    คนนอกอาจไม่เข้าใจแต่ราพณาสูรกลับเข้าใจในความหมายนั้นดี

        มันหมายความว่า เขาก็เป็นลูกครึ่งยักษ์แบบเราเหรอ!!’

       “ฉันชื่อ คิมอน”เขาบอกราพณาสูร   แล้วส่งเสียงกระซิบให้ได้ยินกันสองคน “เป็นลูกครึ่งยักษ์แดงเขาเดียว”

        ยักษ์แดงเขาเดียว    เป็นยักษ์ที่มีความคล้ายมนุษ์มาก    แต่ร่างกายจะมีสีแดงและมีเขาอันใหญ่อยู่กลางหน้าผาก    ยักษ์แดงเขาเดียวเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์เร่ร่อนที่ไม่เคารพใครทั้งสิ้น    พวกเขาชอบอยู่สันโดษในป่า    นานๆทีจะลงมาหาอาหารแถวเขตแดนมนุษย์    และเมื่อมนุษย์คนใดพบเห็นก็มักไล่ทำร้ายอยู่เสมอๆ    ดังนั้นพวกยักแดงเขาเดียวจึงอาจจะไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก    พวกยักษ์แดงเขาเดียวเป็นยักษ์ที่ดีเด่นทางด้าน    พละกำลังและความเร็ว    เป็นที่ต้องการของพญายักษ์ชั้นเทพเป็นอย่างมาก    เพราะพวกนี้เป็นทหารที่ทำการรบได้เยี่ยมยอด    ต่างจากยักษ์ชนิดอื่น    แต่พวกเขาเป็นยักษ์ที่รักสงบ    จึงไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของพญายักษ์ชั้นเทพเช่นยักษ์ชนิดอื่น

         ราพณาสูรแม้พอจะเดาได้อยู่แล้ว    แต่ก็ยังตกใจเล็กน้อยที่มีลูกครึ่งยักษ์แบบเขา

        “ผมชื่อ ราพณาสูร”ราพณาสูรแนะนำตัวกลับบ้าง “เป็นลูกครึ่งยักษ์ชั้นเทพ”

        ยักษ์ชั้นเทพเป็นยักษ์ที่มีรูปงามปานเทพบุตรเทพธิดา    พวกเขาเหมือนมนุษย์ทุกๆอย่างแต่บางตนที่มีฤทธิ์มากก็อาจมีบางส่วนในร่างกายที่เพิ่มขึ้นมา     เช่น แขน ขา หรือแม้แต่ศรีษะ   

        ยักษ์ชั้นเทพเป็นพวกที่เชื่อว่า    บรรพบุรุษของตนเองเคยอยู่บนสวรรค์ร่วมกับเทวดา    เด่นทางด้านพละกำลังและมนตราโบราณ    ที่เรียกว่า มนตร์ยักษพรหม    ด้วยเวทมนตร์โบราณนี้เองที่ทำให้ยักษ์ชั้นเทพก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของเผ่าพันธุ์ยักษ์

        เวทมนตร์โบราณ มนตร์ยักษพรหม เป็นสายเวทย์ที่ไม่ถูกจัดอยู่ในหนังสือเรียนเวทมนตร์ว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ    เพราะเวทย์สายนี้จะถูกสอนในหมู่ยักษ์ชั้นเทพเท่านั้น

        คิมอนมีสีหน้าตกใจอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คิดอยู่หรอกว่าอาจเป็นยักษ์ชั้นสูง    แต่ไม่คิดว่าจะสูงที่สุด”

        “แต่ยังไงก็แค่ครึ่งเดียวนี่ครับ”ราพณาสูรตอบ

        “นั่นสินะ”คิมอนถอนหายใจอย่างปลงๆ “แต่อย่าคิดนะว่าจะชนะฉันได้    ถึงสายเลือดนายจะสูงกว่าแต่ด้านการต่อสู้ฉันไม่เป็นรองแน่นอน!!

        แล้วทั้งสองก็ตรงเข้าฟาดฟันอาวุธใส่กันอย่างดุเดือด    จนคนที่สู้ด้วยรอบข้างต้องถอยห่างออกมาก่อนที่จะโดนลูกหลงจากอาวุธอันใหญ่ยักษ์ของทั้งคู่

     

        “น่าจะได้เวลาแล้วนะ”ซาเรสพูดกับตัวเองเบาๆ

         ในสนามรบที่เหลือไพร่พลของแต่ละฝ่ายเพียงหยิบมือ    ฝ่ายผู้สมัครที่มีกำลังพลประมาณเรือนหมื่นกลับเหลือไม่ถึงสองพัน    และกองทัพฝ่ายโรงเรียนพิทักษ์โลกที่เหลือเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้นก็เป็นเวลาที่ซาเรสเห็สมควรว่าน่าจะบุกไปนำตราสัญลักษ์มาประดับกลุ่มสักที

        ซาเรสเดินออกมาจากที่ซ่อน    เป็นสัญญาณบอกทุกคนในกลุ่มว่าได้เวลาแล้วนั่นเอง   

        ทุกคนในกลุ่มเริ่มทยอยกันออกมายืนข้างซาเรส    บางคนก็หลับไปแล้วจนต้องปลุกขึ้นมา    แต่ทุกคนก็ตื่นตัวคึกคักกันเป็นอย่างมาก

        “ฮิโร่  มานี่”ซาเรสหันมาเรียกฮีโร่ที่นั่งรออย่างเบื่อหน่ายมานานแล้ว “นายไปกับฉัน    เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ดูแลได้”

        ฮิโร่มองค้อนแก้มป่องใส่ซาเรส “ฉันโตแล้วนะ”

        “เหรอ  แล้วตอนนั้นใครนะ    ที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งหาพ่อเหมือนเด็กเล็กๆน่ะฮะ”

       “ นะ…! นั่นเขาเรียกผู้ชายอ่อนโยนต่างหาก”ฮิโร่รีบแก้ตัวเสียงสูง

        ซาเรสยิ้มแล้วส่ายหน้า

        ซาเรสโบกมือทีหนึ่งก็เกิดก้อนน้ำลอยในอากาศ    ที่ค่อยขยายขนาดขึ้นจนมันเท่าล้อรถขนาดใหญ่

        หลายๆคนเริ่มหันมามองอย่าสนใจว่าเขาจะทำอะไร

        แล้วก้อนน้ำก็เริ่มก่อรูปร่างจนกลายเป็นเต่าตัวใหญ่ที่ใส่จนมองทลุได้

        ซาเรสกระโดดขึ้นไปขี่บนหลังมันแล้วกวักมือเรียกฮิโร่ให่ขึ้นมา    ฮิโร่ทำหน้าเหรอหราแต่ก็ยอมขึ้นไปอย่างเก้ๆกังๆ

        “ทุกคน  ไปเถอะ”ซาเรสหันไปบอกคนในกลุ่มที่กำลังยืนอึ้งอยู่

        เต่าน้ำเริ่มเคลื่อนไหว    มันไม่ได้ช้าสมชื่อสักนิดเพราะตอนนี้มันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วพอๆกับนกบินเลยที่เดียว    ซาเรสหันไปมองทุกคนที่ตามมาแล้วก็ตะโกนขึ้น

        “บุก!!!   

     

     

     

    TBC

     

    วันนี้ผมเริ่มสอบแล้วนะเนี่ย    ภาษาณี่ปุ่นกับกฎหมายยากมากเลย    แล้วคณิตก็ทำไม่ได้สักข้อ  55555555555+

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×