ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซเลนเธเลี่ยน อาณาจักรมายา

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่10 กองทัพอันแข็งแกร่ง(ฝ่ายตรงข้าม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 133
      0
      19 ก.พ. 54

    ตอนที่ 10 กองทัพอันแข็งแกร่ง(ฝ่ายตรงข้าม)

     

     

     

        ฉู่ซิมไม่ทำให้ซาเรสผิดหวังเลยสักนิด    เมื่อเธอตกลงเข้ากลุ่มเดียวกับพวกซาเรสแล้ว    เธอก็ออกไปหาสมาชิกมาให้กับกลุ่มอย่างแข็งขัน    ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายก็ตาม    แน่นอนล่ะเพราะหน้าตาของเธอมันใช่ย่อยซะเมื่อไหร่    แต่ก็ยังมีผู้หญิงอยู่บ้าง    ทั้งที่เป็นเพื่อนของเธออยู่แล้ว    และคนนอกอีกไม่กี่คน

        ฉู่ซิมพากลุ่มคนที่หาได้มาทางซาเรส

        “หมดเวลาในการจัดกลุ่มแล้วนะคะ”เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังกังวานไปทั่วป่าในคืนอันมืดมิด “ลำดับต่อไป     ทางเราจะแสดงกองทัพของเหล่านักเรียนโรงเรียนพิทักษ์โลก    ที่ใช้ในการสอบกันนะคะ”

        สิ้นเสียงผู้ประกาศไม่นานก็มีเสียงฝีเท้านับร้อย    ที่ดังระงมไปทั่วผืนป่า    เหล่าผู้สมัครต่างมองหาที่มาของเสียงกันเลิ่กลั่ก   แล้วต้นเสียงก็ปรากฏตัว

        กองทัพทหารใส่ชุดเกราะนับร้อยนายค่อยๆย่างเท้าเดินอย่างเป็นระเบียบ    มาจากทางป่าด้านหน้า    ทหารที่ขี่ม้าร่วมยี่สิบนายค่อยๆควบม้าอย่างบรรจงให้ม้าก้าวเท้าไปทีละนิด    ด้านหลังเป็นเหล่านักธนูและจอมเวทอีก    ที่ใส่ชุดคลุมปิดบังหน้าตามิดชิดอีกประมาณสามสิบนาย    ถูกขนาบข้างด้วยเหล่าทหารราบที่ถืออาวุธกันสารพัด     ไม่ว่าจะเป็นดาบ  หอก  ง้าว  กระบอง และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้สาธยาย

        “ก๊าซซซ!!”เสียงร้องประหลาดดังขึ้นทำให้ทุกหันไปมองเป็นตาเดียว

        “มังกร!!”ผู้สมัครคนหนึ่งร้องหลง    พลางเสียงชี้มือขึ้นฟ้า

        มังกรสีทองและสีเงินสองตัว     บินฉวัดเฉวียนอยู่บนน่านฟ้าสีดำ    เกล็ดที่งดงามของพวกมันสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับน่ามอง    แต่ความสวยย่อมมีพิษสงไว้ป้องกันตัว    มันทั้งสองปล่อยพลังใส่กันเพื่อแสดงอำนาจ    ตัวสีทองพ่นเปลวไฟสีส้มร้อนแรง    ส่วนตัวสีเงินพ่นไอเย็นสีขาวที่หนาวจับใจ    เมื่อพลังทั้งสองปะทะกันและหักล้างกันจนหายไป

        เหล่าเด็กผู้สมัครกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย    นี่จะให้พวกเขาสู้กับมังกรหรือไร     มันจะยากเกินไปรึเปล่า

        มังกรทั้งสองตัวค่อยๆบินร่อนลงมาจนถึงพื้น     แล้วก็พบว่าบนหลังมังกรนั้นมีทหารในชุดเกราะขี่มังกรอยู่

        “ตึง  ตึง  ตึงๆๆ”เสียงกลองศึกดังมาจากด้านหลังกองทัพ    เผยให้เห็นช้างสี่งาตัวเขื่องที่สูงกว่าสิบเมตร    ย่างกีบเท้าเสียงดังตึงตัง    ที่ทำให้หัวใจผู้สมัครทุกคนเต็นผิดจังหวะด้วยความตกใจ    บนหลังของช้างสี่งานั้นมีบัลลังก์สีทองอร่ามผูกติดอยู่    ชายเจ้าสำอางค์คนหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ท่างทางเบื่อหน่าย

        จากที่เห็นได้ไกลๆ    เขามีผมยาวสลวยสีน้ำเงิน    รูปร่างสูงโปร่งน่าจะอายุประมาณสิบห้าปี    หน้าตาที่หมดจดไม่แพ้ผู้หญิงทำให้ดูมีเสน่ห์    เขาแต่งกายในชุดเกราะสีฟ้าน้ำทะเลที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ทัพที่เป็นเป้าหมายสำคัญนั่นเอง

        “นี่คือกองทัพนักเรียนที่จะเป็นข้อสอบในการสอบเข้านะคะ    จำนวนประมาณสองร้อยห้าสิบคน    เป็นนักเรียนปีหนึ่ง  สอง และสามทั้งหมดค่ะ    เดี๋ยวทางเราจะให้เวลาพวกคุณจัดแผนการรบเป็นเวลาสามสิบนาทีนะคะ”แล้วเสียงก็เงียบไป

        เหล่าผู้สมัครหันมองหน้ากันเอง    และหันไปมองกองทัพฝ่ายตรงข้าม    บางคนก็ยิ้มอย่างนึกสนุก  บางคนก็ทำหน้าหวาดกลัว  บางคนถอนหายใจ  บางคนยิ่งแล้วใหญ่ถึงกับทรุดลงไปนั่งหมดเรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว

        “เอาล่ะ”ซาเรสเรียกความสนใจจากสมาชิกใหม่ “ผมชื่อซาเรส    ขอให้ทำตามที่ผมบอก    แล้วพวกเราจะผ่านเข้าไปเรียนด้วยกันทั้งหมด    แน่นอน”

        ผู้สมัครหลายคนเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกัน    แล้วก็มีชายคนหนึ่งพูดออกมา “พวกเราไม่ค่อยมั่นใจเลยว่า    นายจะทำได้อย่างที่พูดรึเปล่า    เพราะที่พวกเรามาอยู่กลุ่มนี้ก็เพราะ ฉู่ซิมจังหรอกนะ    ไม่ใช่นาย”

        ซาเรสมองหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กน้อย “คุณชื่ออะไรครับ”ซาเรสชี้นิ้วไปที่เขา

        “ฉันชื่อ ไคโตะ”เด็กชายผมทองที่ดูเหมือนย้อมสีตอบ

        “คุณไคโตะ    ผมมั่นใจว่ามีความสามารถพอ     การที่จะชนะในสงครามนี้มันช่างง่ายดายนัก    แต่ถ้าพวกคุณไม่มั่นใจในความเก่งของผมก็เชิญทดสอบได้เลย”

        เหล่าผู้สมัครมองหน้ากันไปมาแล้วคุยกัน   

        ที่ซาเรสท้าอย่างนี้ก็เพื่อ    สร้างความน่าเชื่อถือและความน่าเคารพให้กับตนเอง    เพราะคนเราไม่รู้จักกันมา    คงไม่อาจทำให้เชื่อใจกันได้ง่ายนัก    ดังนั้นจึงต้องมือการเชือดไก่ให้ลิงดู

        “ได้    ฉันเอง”ไคโตะร้องขึ้นเสียงดัง    ก่อนจะเดินแหวกทางมาด้านหน้า

        ทั้งสองจ้องตากันเป็นมัน    ถ้าเป็นปลากัดก็อาจท้องได้เลยทีเดียว     แต่ถ้าเป็นในการ์ตูนก็อาจจะเห็นไฟฟ้าสองเส้นแล่นเปรี๊ยจากดวงตาทั้งสองถึงกันก็ได้

        ไสยรันณ์ลอบมองการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มอย่างตั้งใจ    นี่จะเป็นการณ์ดีมากที่เขาจะได้เห็นฝีมือของผู้ที่มาชวนเขาสักที

        ผู้ประลองทั้งสองเดินมายืนอยู่ทางด้านหน้าของกลุ่ม    ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มอื่นๆหันมาสนใจทั้งสองคนแล้ว

        “จะต้องสู้กับพวกโน้นอยู่แล้วยังจะกัดกันอีก”เสียงนินทาจากเด็กกลุ่มอื่นดังแว่วเข้ามาในหู“ใช่ๆ    อย่าไปสนใจเลยยังไงพวกนี้ก็ต้องแพ้อยู่แล้ว    กัดกันเองอย่างนี้หนะ”

        “ถ้าคุณพร้อมแล้วก็เชิญเข้ามาได้เลยครับ”ซาเรสร้องท้าพร้อมกวักมือ

        “แล้วแกจะเสียใจที่ทำอย่างนี้”ไคโตะว่าพลางพุ่งเข้าหาซาเรสด้วยความเร็วสูง

         “ปราการมัจฉาเหล็ก”ซาเรสเอ่ยคำเบาๆ    ก็มีปลากระเบนน้ำตัวใหญ่ปรากฎขึ้นเป็นกำแพงอยู่ด้านหน้าซาเรส

        ไคโตะที่หยุดไม่ทันแล้วจึงกระแทกกับปลากระเบนน้ำนั้นเต็มๆ    เขาร้องจุกหน้าแนบติดกับปลากระเบน    ด้วยความเร็วในการพุ่งตัวของเขา    และมาชนน้ำที่มีความหนาแน่นสูงอย่างนี้    ความเจ็บปวดก็จะเหมือนกับการชนไม้กระดานแข็งๆเลยทีเดียว

        “ฝูงมัจฉาทะลวงหลัก”ซาเรสร้องขึ้นพลางตวัดมือหนึ่งที    ก็เกิดฝูงปลาฉนากน้ำที่มีปากยาวแหลมคมพุ่งไปทางไคโตะ    หวังทะลวงผ่านปลากระเบนน้ำไป

        “เฮ้ย!!”ไคโตะตกใจร้องเสียงหลง    รีบพลิ้วกายหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว

        ผู้ชมหลายคนร้องฮือฮาด้วยความตื่นเต้น    การต่อสู้ที่ดุเดือดด้านหน้าทำเอาพวกเขาผวาใจแทบหยุดเต้น

        “นั่นมันเวทย์สายธรรมชาติใช่ไหมน่ะ”ไคโตะถาม

        คำถามของไคโตะเรียกความสนใจจากเหล่าผู้ชมเป็นอย่างมาก    เวทย์ธรรมชาตินั้นหาผู้ใช้ได้ยากมาก    รองมาจาก เวทย์กาลเวลาเลยทีเดียว    เพราะเวทย์กาลเวลา  เวทย์แรงโน้มถ่วง  และเวทย์ธรรมชาติ นั้นไม่มีการสอนในโรงเรียนใดๆในโลก    เนื่องจากความยากในการฝึกและอันตรายในการใช้นั้นมีสูง    วิชาพวกนี้จึงแทบจะหายไปกับกาลเวลา    ส่วนผู้ที่ใช้เวทย์พวกนี้ได้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงและอำนาจบารมีจนแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก

        “ถูกต้อง”ซาเรสตอบพลางยิ้มอย่างเยือกเย็น

        “ถ้าอย่างนั้น    นายเป็นอะไรกับจ้าวสมุทร วอท “ไคโตะถามซ้ำ

        จ้าวสมุทร วอท เป็นหนึ่งในเหล่าคนใหญ่คนโตและมีชื่อเสียงของโลก    เขาเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ใช้เวทย์สายธรรมชาติ ธาตุน้ำได้เก่งที่สุดในโลก    เรียกได้ว่าถ้ามีใครใช้เวทย์สายธรรมชาติธาตุน้ำได้ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับ  จ้าวสมุทร วอท ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

        ซาเรสทำหน้าคุ่นคิด

        จริงๆแล้วเขากำลังหาข้อมูลของคนผู้นี้จากดวงแก้วศาสตรา    ตอนนี้เขาใช้ดวงแก้วศาสตราเป็นหลายอย่าง   แค่การจะหาข้อมูลความรู้จากมันนั้นเขาสามารถทำได้ง่ายดายมาก    มันเหมือนกับการมีห้องสมุดขนาดยักษ์อยู่กับตัว    ถ้าเกิดเขาอยากรู้อะไรก็ถามเข้าไปไม่นานก็จะได้คำตอบ

        “อ้อ    เปล่าหรอก    แต่ผู้ที่สอนฉันเขารู้จักกับพ่อของ     จ้าวสมุทรน่ะ”

        เสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกรอบ     ทุกสายตามองมาที่ซาเรสอย่างอึ้งๆ    ถ้าแค่รู้จักกับจ้าวสมุทร วอท ยังพอเชื่อได้    แต่ผู้ที่รู้จักกับพ่อจ้าวสมุทร วอท ซึ่งเป็นจ้าวสมุทรคนก่อนนั้น    อาจหาไม่ได้แล้ว    เพราะเขาตายไปร่วมห้าสิบปีแล้ว    ผู้ที่รู้จักก็อาจอายุเกินร็อยไปแล้ว

        “เออๆ    จะอะไรก็แล้วแต่    แค่นายใช้เวทย์ธรรมชาติเป็นฉันก็ยอมรับในฝีมือแล้ว”ไคโตะพูด “แต่การวางแผนและบัญชาการรบมันไม่เหมือนกัน    นายจะเก่งพอรึเปล่า”

    “หึหึ    ก็คอยดูสิ”

    “แล้วฉันจะคอยดู    ทำให้ดีล่ะ”ไคโตะคาดโทษก่อนจะเดินกลับไปร่วมกลุ่ม

        อะไรกันวะ    ยังไม่ทันได้รู้อะไรมากเลยไสยรันณ์สบทในใจ    แต่ใบหน้านั้นยังคงนิ่งไร้อารมณ์เหมือนเดิม

        “เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว    ผมก็คงขอให้พวกคุณทำตามผมได้แล้วสินะครับ”ซาเรสหันกลับไปถามทุกคน

        ทั้งกลุ่มสี่สิบกว่าคนไม่มีใครกล่าวค้านขึ้นมา    ซาเรสก็เหมารวมว่าตอบตกลงไปแล้ว

        “งั้นผมขอให้ทุกคนแยกกันเป็นกลุ่มตามรูปแบบการต่อสู้ของทุกคนนะครับ    แบบประชิดตัวและเข้าชนทางด้านซ้ายเลยครับ”

        ผู้สมัครเด็กชายหลายคนเริ่มทยอยแยกกันออกไป    รวมทั้งไคโตะและราพณาสูรด้วย    แต่ซาเรสกลับเห็นเด็กผู้หญิงห้าคนแยกออกไปด้วย    ทั้งที่ตอนแรกเขาคิดว่าไม่น่าจะมีแท้ๆ

        “ผู้ที่มีรูปแบบการต่อสู้ทางไกลเชิญทางขวาครับ    ส่วนผู้ที่ไม่ใช้พวกสายต่อสู้ให้อยู่กับที่นะครับ”ซาเรสกล่าวขึ้นมาอีก

        ผู้สมัครอีกส่วนแยกไปทางซ้าย    กลุ่มนี้มีผู้หญิงเยอะที่สุดในสามกลุ่ม    แต่ฉู่ซิมอยู่กลุ่มตรงกลาง   

        ไสยรันณ์แยกไปอยู่กลุ่มทางซ้าย    แต่ฮิโร่มองซ้ายขวาลอกแล่กคล้ายไม่รู้จุดยืนตัวเอง

        ซาเรสมองงงๆแล้วถาม “ทำไมนายไม่ไปหากลุ่มอยู่”

        “ก็ฉันไม่รู้ว่าควรอยู่กลุ่มไหนดีน่ะสิ”

        “อ้าว    แล้วนายไม่รู้รูปแบบการต่อสู้ของนายรึอย่างไรล่ะ”

        “ไม่ใช่ไม่รู้...”ฮิโร่ขมวดคิ้วทำแก้มป่อง “แต่มันทำได้หลายอย่างหรอก”

        ซาเรสขมวดคิ้ว “แล้วไอ้หน้ากากของนายมันคืออะไร”ซาเรสถามถึงหน้ากากที่เขาเห็นตอนสู้กับฮิโร่    เพราะตอนนั้นเขายังไม่มีดวงแก้วศาสตรา    จึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร

        “มันก็เป็นอาวุธ...”

        “ไม่ๆ”ฮิโร่พูดยังไม่ทันเสร็จ    ซาเรสก็ยกมือขัดเชิงปฏิเสธ “เอาแค่ชื่อ”

        “ฮื่อ!”ฮิโร่พ่นลมอย่างขัดใจ “หน้ากากศรรตพากย์”

        ซาเรสเริ่มกระบวนการค้นหาข้อมูล    ของหน้ากากศรรตพากย์กับดวงแก้วศาสตราโดยเร็ว

       

        ชื่อ  หน้ากากศรรตพากย์     ระดับ  ตำนาน    ผู้สร้าง  ซิลก์  จ้าวตระกูลโอบีลาสเมลรุ่นที่ หก

        สร้างจาก

                     -เปลือกไม้ต้นเกล็ดมังกร

                     -ลงรัก  เลือดยอดฝีมือหมู่บ้านเต๋า  หนึ่งร้อยคน

                     -แกะสลัก  อักขระมนตร์เสียงเพรียกจากโลหิต

        ทักษะ    เมื่อสวมหน้ากากใบใด    จะสามารถใช้มนตร์เสียงเพรียกจากโลหิต    คืนจิตสำนึกของเจ้าของเลือดบนหน้ากากให้กลับมาได้เป็นเวลา    ยี่สิบนาที

     

         “อือ    งั้นนายไปอยู่กลุ่มกลางแล้วกัน”ซาเรสชี้นิ้วไปที่กลุ่มตรงกลาง    หลังจากได้ข้อมูลแล้ว

        ฮิโร่เกาหัวด้วยความงง    แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี    เขายังไม่เข้าใจว่า    แค่บอกชื่อหน้ากากไปก็รู้แล้วเหรอว่าทำอะไร    ทั้งที่อาจารย์ของเขาบอกว่ามันเป็นของหายากมากแท้ๆ   

        แน่นอนอยู่แล้วที่ฮิโร่จะไม่รู้    เพราะตอนนี้ผู้ที่รู้ว่าซาเรสมีดวงแก้วศาสตรานั้นมีเพียง    เซโรสและซาเรสสองคนเท่านั้น

        “เอาล่ะ    เมื่อแยกกลุ่มกันเสร็จแล้ว    ผมก็จะอธิบายแผนต่อเลยนะ”ซาเรสกล่าวเสียงดังเพื่อเรียกทุกสายตาให้หันมอง “ด้านซ้าย    จะเป็นกลุ่มคอยพุ่งเข้าชนต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม    และบุกทำลายสร้างความเสียหายให้กับกองทัพฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด    ด้านขวาจะเป็นกลุ่มโจมตีสนับสนุนระยะไกล    และคอยตอดเล็กตอดน้อยเพื่อสร้างโอกาสให้กลุ่มทางซ้ายให้มากที่สุด    ส่วนกลุ่มตรงกลาง...”

        ซาเรสหรี่ตามองหน้าคนกลุ่มกลางแล้วครุ่นคิด    พวกนี้ไม่มีรูปแบบการต่อสู้แน่นอนตายตัว    จึงทำให้ยากต่อการใช้เป็นอย่างมาก    จะให้พวกนี้ทำอะไรเขาก็ยังนึกไม่ออก    และก็ไม่อยากจะขอความรู้จากดวงแก้วศาสตราสักเท่าไหร่    เพราะมันทำให้รู้สึกปวดหัวตึบๆ เป็นระยะ    เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับการรู้    มามากและเร็วเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสมองได้    ดังนั้นการขอความช่วยเหลือจากตัวช่วย    จึงต้องตัดทิ้งไป

        อ้อ    ใช่สิ  แบบยี้น่าจะใช้ได้

        “กลุ่มกลาง    เป็นหน่วยคอยสนับสนุนทั้งสองฝ่ายตามเห็นสมควร”

        เด็กทั้งสามกลุ่มทำหน้าเข้าใจ

         “งั้น    เวลาที่เหลือผมอยากจะขอทราบรายละเอียด    การต่อสู้ของแต่ละคนหน่อยนะครับ”ซาเรสยิ้มแล้วเข้าไปถามคนที่น่าสนใจก่อนเป็นอันดับแรกๆ    และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

        จนเวลาล่วงเลยไป    กระทั่งหมดเวลาการวางแผน

        “หมดเวลาแล้วนะคะ”เสียงโฆษกหญิงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ในการทดสอบนี้ทำเหมือนเกิดสงครามจริงๆเลยนะคะ    ไม่ต้องสนใจชีวิตคู่ต่อสู้    เพราะในมิติกึ่งเวลาของท่าน ผอ. มิราน็อกส์    เมื่อชีวิตของทุกท่านอยู่ในช่วงวิกฤตอาจถึงตาย    ท่านจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องพยาบาลทันทีค่ะ”

        สิ้นเสียงประกาศก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมจากทุกกลุ่ม    บางกลุ่มหัวเราะเสียงดังอย่างไม่อายใคร    เพราะถ้าสามารถลงมือได้โดยไม่ต้องห่วงชีวิตคู่ต่สู้ล่ะก็    คงจะสนุกสนานกับการฆ่าน่าดู

        “ทุกคน    ทวนแผนนะ”ซาเรสที่หลังจากฟังประกาศเสร็จหันมาพูดกับกลุ่ม “เราจะเป็นกลุ่มที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในตอนสุดท้าย    ส่งคนฝีมือดีออกไปรบบางส่วน    และที่เหลือแอบซุ่มคอยฟังสัญญาณจากผม    ถ้าผมออกไปด้านหน้าเมื่อไหร่    เราเข้ารบเมื่อนั้น”

        ทุกคนพยักหน้าเชิงเข้าใจในคำพูด

        ตอนแรกมีคนคัดค้านไม่น้อยกับแผนการของซาเรส    ว่ามันเป็นวิธีที่ขี้ขลาด    ไม่ตรงไปตรงมา    แต่ซาเรสสวนกลับมาว่าถ้าออกไปสู้ตั้งแต่แรก    ทั้งที่ยังมีกลุ่มอื่นๆอีกหลายร้อย    จะเป็นการขัดแข้งขัดขากันและเสียสมาชิกโดยเปล่าประโยชน์   

        อย่างนี้เอง    หลายคนเลยเริ่มเห็นด้วย    แต่ผู้ไม่เห็นด้วยยังเหลืออยู่    ดังนั้นจึงต้องเป็นประชาธิปไตย    ใช้เสียงข้างมากตัดสิน    และผลก็ออกมาตามคาดมีคนเห็นด้วยกับซาเรสอยู่มากกว่า    เหล่าผู้ที่ไม่พอใจจึงต้องยอมรับความจริง    แต่พวกเขาก็ขอออกไปเป็นคนที่รบก่อนในแนวหน้า    เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของกลุ่มอื่น

        “ขอให้ทุกท่านสังเกตดูที่ดวงจันทร์นะคะ    เมื่อดวงจันทร์แยกกันกลายเป็นสองดวงเมื่อไหร่    เมื่อนั้นคือการเริ่มสงครามค่ะ”

         ผู้สมัครทุกกลุ่มที่เตรียมพร้อมหมดแล้วก็ออกมายืนดูพระจันทร์    เพื่อรอสัญญาณเริ่มศึก    พวกซาเรสเองก็เช่นกัน

        ไม่นานเกินรอก็มีแสงสว่างจ้าไป่ทั่วทุกบริเวณ    จันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวลเริ่มขยายตัวขึ้น    แต่ก็ไม่เชิงขยายซะทีเดียวแต่มันเหมือนกับค่อยๆมีจันทร์อีกดวง    แยกตัวออกมาจากที่เดิมต่างหาก

        “วิ้ง!”แสงสว่างจากดวงจันทร์ฉายมาอีกครั้ง    เป็นสัญญาณบอกว่ากรรมวิธีการแยกร่างของมันสิ้นสุดลงแล้ว    และก็เป็นสัญญาณบอกอีกว่า    สงคราม    ได้เริ่มขึ้นแล้ว

        “เฮ้!!!ๆๆๆๆๆ”เสียงกู่ก้องร้องชัยด้วยความฮึกเหิมดังมาจากทุกบริเวณ    ตามด้วยร่างของผู้เข้าร่วมสงครามที่ถืออาวุธกันครบมือวิ่งเข้าหาข้าศึก   หมายฆ่าล้างให้สิ้นซาก    บางคนก็มีชุดเกราะที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน    จะว่าพกชุดเกราะติดตัวมาด้วยมันกันยังไงอยู่    แต่บางคนก็คงจะมั่นใจในฝีมือตนที่มีเพียงแค่อาวุธคู่กาย    ข้าก็สามารถเป็นหนึ่งในยุธภพได้(?)

        “เอ้า! ทุกคนปฏิบัติการได้”ซาเรสร้องบอกทุกคนพลาง    หลบฉากมาหลบและคอยดูกลุ่มตนเอง

        ราพณาสูรถอดต่างหูสีดำที่ลักษณะเป็นแท่งยาวๆ    ออกมาแล้วพนมมือทำปากขมุบขมิบที่หลายคนในกลุ่มมองอย่างฉงนว่าเขาทำอะไร

        “แว่บ!”แสงสีเขียวสว่างขึ้นในมือของราพณาสูร    แล้วมือของเขาก็มีบางอย่างปรากฎออกมา    กระบองเหล็กสีดำยาวกว่าสามเมตรค่อยขยายขึ้นมาในมือของเขา   

        กระบองยักษ์สีดำยาวร่วมสามเมตร    ด้ามจับพอดีมือยาวหนึ่งเมตร    ด้านปลายกระบองยาวเกือบสองเมตรที่มีขนาดใหญ่เท่ากระโหลกมนุษย์    มีลวดลายเป็นเส้นยาวบิดเกลียวเหมือนหลอดไฟหมุนได้ที่หน้าร้านทำผมอย่างไรอย่างนั้น

        “ไปก่อนนะ”ราพณาสูรหันมาบอกซาเรสและทุกคนในกลุ่ม    แล้วกระโดดออกไป   

        การกระโดดของเขาทำให้ทุกคนต้องอึ้งอีกครั้ง    เมื่อแค่การกระโดดครั้งเดียวก็ส่งตัวเขาไปถึงกลางวงที่เขารบกับพอดี    เหมือนลูกปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกไปก็ไม่ปาน

        ซาเรสมองราพณาสูรอย่างพอใจ    ไม่เสียแรงที่ลงทุนเชิญเข้ากลุ่มด้วยตัวเอง

        “เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปจัดการมังกรสองตัวนั่นนะ”ไสยรันณ์บอกซาเรส    แต่ก็ได้ยินกันเกือบทั้งกลุ่ม

        ในกลุ่มเริ่มซุบซิบกันอีก    ว่าเขาบ้าไปแล้วรึเปล่าที่จะขึ้นไปสู้กับมังกรด้วยตัวคนเดียว    อีกทั้งจะเอาอะไรไปสู้เพราะแค่เพียงสิ่งที่จะทำให้ขึ้นไปสู้กับมังกรในอากาศยังไม่มีเลย

        ไสยรันณ์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น    เขาชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ด้านหน้า  ด้านหลัง  ด้านซ้าย  และด้านขวา    พร้อมพูดพึมพำอะไรบางอย่างคนเดียว    ที่ไม่มีใครได้ยิน

        แล้วก็กลับมีเงาสีดำหลายเงาพุ่งออกจากตัวเขา    พุ่งไปที่ต้นไม้แต่ละต้นที่ชี้ไว้   

        ไม่นานก็มีใบไม้ทยอยร่วงลงมากองกันอยู้ด้านหน้าไสยรันณ์    จนกลายเป็นกองใบไม้กองใหญ่พอๆกับกระท่อมหลังหนึ่ง    เงาสีดำทั้งหลายลอยอยู่ล้อมรอบกองใบไม้

       “โอม...”ไสยรันณ์พนมมือพร้อมท่องบางอย่างปากขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์

       ไม่นานก็มีวงแสงสีดำเชื่อมกันระหว่างไสยรันณ์และเงาทั้งหลายเป็นวงกลม    วงแสงค่อยๆบีบตัวเข้ากองใบไม้จนหายเข้าไปด้านใน

        ไสยรันณ์เป่าลมใส่กองใบไม้จนใบไม้ด้านบนปลิวเล็กน้อย    แล้วกองใบไม้ก็เหมือนมีพายุอยู่ตรงใจกลาง    มันหมุนวนกันจนเกิดก่อเป็นรูปเป็นร่าง

        “เฮ้ย!นั่นมัน...!”เหล่าคนในกลุ่มร้องอย่างตกใจที่ได้เห็นรูปร่างของสิ่งนั้น

        ต่อยักษ์สีเขียวที่มีขนาดลำตัวประมาณเก้าเมตร   ความสูงสองเมตรครึ่ง    ใบปีกยาวสยายดูใหญ่โตน่าเกรงขาม    ก้นอันใหญ่ที่มีเหล็กในอาวุธคู่กายแมลงมีพิษขนาดเท่ากับด้ามจับกระบองของราพณาสูร    มันแหลมคมส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

        ไสยรันณ์กระโดดขึ้นหลังต่อยักษ์ที่เขาเสกมา    เขาพึมพัมอีกครั้งเงาสีดำทั้งหลายก็กลับเข้ามาที่ตัวเขา    เขาส่งสายตาเย็นชาและเหมือนดูถูกให้ทุกคนที่สบประมาทเขา    จนคนถูกมองถึงกับขนลุกด้วยความกลัว    แล้วเขาก็สั่งต่อยักษ์บินขึ้นไป

        ซาเรสมองจนลับตาแล้วก็เริ่มคิด

        วิชาที่ไสยรันณ์ใช้นั้น    น่าจะเป็น มนตร์คำสาปแขนงหนึ่งของชาวกอร์นวาเนีย    ซาเรสลองถามชื่อมั่ๆลงไปในดวงแก้วศาสตรา    เช่น  วิชาเสกต่อยักษ์  วิชาเสกแมลง  เป็นต้น    
        แต่ก็มาจบที่วิชาเสกต่อเสกแตน    ที่ดวงแก้วศาสตราสามารถหาข้อมูลได้  
        ปกติวิชานี้    จะใช้ใบไม่เล็กๆเสกต่อแตนตัวเล็กธรรมดาเช่นกัน    แต่ไสยรันณ์สามารถเสกต่อได้ตัวใหญ่ขนาดนั้น    
        เขาคงจะมีพลังที่ยากจะหยั่งถึงเลยทีเดียว
        "เฮ้ออออ"
       
    นี่ตกลงตาไสยรันณ์เขาจะเป็นกลุ่มไหนกันแน่    อยู่กลุ่มโจมตีไกลแต่กับขึ้นไปสู้กับมังกรเดี่ยวๆซะแล้ว   
    นี่เขาคงจะต้องเจอกับคนแปลกอีกมาเลยใช่ไหมเนี่ย

     

     

     

    TBC

     

    ตอนนี้ไม่ค่อยมีบู๊เท่าไหร่   ต้องขอโทษด้วยนะครับ    ตอนหน้าบู๊แน่นอนผมเอาหัวเป็นประกันเลย    แต่ตอนนี้ผมก็เขียนตั้งนานนะ    ประมาณ 3500 คำ  มากกว่าตอนเดิมๆเท่าหนึ่งเลยนะครับ    ก็ได้แต่หวังว่าคงจะอิ่มแทนการทานข้าวได้เลยนะครับ

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×