คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่10 กองทัพอันแข็งแกร่ง(ฝ่ายตรงข้าม)
ตอนที่ 10 กองทัพอันแข็งแกร่ง(ฝ่ายตรงข้าม)
ฉู่ซิมไม่ทำให้ซาเรสผิดหวังเลยสักนิด เมื่อเธอตกลงเข้ากลุ่มเดียวกับพวกซาเรสแล้ว เธอก็ออกไปหาสมาชิกมาให้กับกลุ่มอย่างแข็งขัน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายก็ตาม แน่นอนล่ะเพราะหน้าตาของเธอมันใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ แต่ก็ยังมีผู้หญิงอยู่บ้าง ทั้งที่เป็นเพื่อนของเธออยู่แล้ว และคนนอกอีกไม่กี่คน
ฉู่ซิมพากลุ่มคนที่หาได้มาทางซาเรส
“หมดเวลาในการจัดกลุ่มแล้วนะคะ”เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังกังวานไปทั่วป่าในคืนอันมืดมิด “ลำดับต่อไป ทางเราจะแสดงกองทัพของเหล่านักเรียนโรงเรียนพิทักษ์โลก ที่ใช้ในการสอบกันนะคะ”
สิ้นเสียงผู้ประกาศไม่นานก็มีเสียงฝีเท้านับร้อย ที่ดังระงมไปทั่วผืนป่า เหล่าผู้สมัครต่างมองหาที่มาของเสียงกันเลิ่กลั่ก แล้วต้นเสียงก็ปรากฏตัว
กองทัพทหารใส่ชุดเกราะนับร้อยนายค่อยๆย่างเท้าเดินอย่างเป็นระเบียบ มาจากทางป่าด้านหน้า ทหารที่ขี่ม้าร่วมยี่สิบนายค่อยๆควบม้าอย่างบรรจงให้ม้าก้าวเท้าไปทีละนิด ด้านหลังเป็นเหล่านักธนูและจอมเวทอีก ที่ใส่ชุดคลุมปิดบังหน้าตามิดชิดอีกประมาณสามสิบนาย ถูกขนาบข้างด้วยเหล่าทหารราบที่ถืออาวุธกันสารพัด ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก ง้าว กระบอง และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้สาธยาย
“ก๊าซซซ!!”เสียงร้องประหลาดดังขึ้นทำให้ทุกหันไปมองเป็นตาเดียว
“มังกร!!”ผู้สมัครคนหนึ่งร้องหลง พลางเสียงชี้มือขึ้นฟ้า
มังกรสีทองและสีเงินสองตัว บินฉวัดเฉวียนอยู่บนน่านฟ้าสีดำ เกล็ดที่งดงามของพวกมันสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับน่ามอง แต่ความสวยย่อมมีพิษสงไว้ป้องกันตัว มันทั้งสองปล่อยพลังใส่กันเพื่อแสดงอำนาจ ตัวสีทองพ่นเปลวไฟสีส้มร้อนแรง ส่วนตัวสีเงินพ่นไอเย็นสีขาวที่หนาวจับใจ เมื่อพลังทั้งสองปะทะกันและหักล้างกันจนหายไป
เหล่าเด็กผู้สมัครกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่จะให้พวกเขาสู้กับมังกรหรือไร มันจะยากเกินไปรึเปล่า
มังกรทั้งสองตัวค่อยๆบินร่อนลงมาจนถึงพื้น แล้วก็พบว่าบนหลังมังกรนั้นมีทหารในชุดเกราะขี่มังกรอยู่
“ตึง ตึง ตึงๆๆ”เสียงกลองศึกดังมาจากด้านหลังกองทัพ เผยให้เห็นช้างสี่งาตัวเขื่องที่สูงกว่าสิบเมตร ย่างกีบเท้าเสียงดังตึงตัง ที่ทำให้หัวใจผู้สมัครทุกคนเต็นผิดจังหวะด้วยความตกใจ บนหลังของช้างสี่งานั้นมีบัลลังก์สีทองอร่ามผูกติดอยู่ ชายเจ้าสำอางค์คนหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ท่างทางเบื่อหน่าย
จากที่เห็นได้ไกลๆ เขามีผมยาวสลวยสีน้ำเงิน รูปร่างสูงโปร่งน่าจะอายุประมาณสิบห้าปี หน้าตาที่หมดจดไม่แพ้ผู้หญิงทำให้ดูมีเสน่ห์ เขาแต่งกายในชุดเกราะสีฟ้าน้ำทะเลที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ทัพที่เป็นเป้าหมายสำคัญนั่นเอง
“นี่คือกองทัพนักเรียนที่จะเป็นข้อสอบในการสอบเข้านะคะ จำนวนประมาณสองร้อยห้าสิบคน เป็นนักเรียนปีหนึ่ง สอง และสามทั้งหมดค่ะ เดี๋ยวทางเราจะให้เวลาพวกคุณจัดแผนการรบเป็นเวลาสามสิบนาทีนะคะ”แล้วเสียงก็เงียบไป
เหล่าผู้สมัครหันมองหน้ากันเอง และหันไปมองกองทัพฝ่ายตรงข้าม บางคนก็ยิ้มอย่างนึกสนุก บางคนก็ทำหน้าหวาดกลัว บางคนถอนหายใจ บางคนยิ่งแล้วใหญ่ถึงกับทรุดลงไปนั่งหมดเรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว
“เอาล่ะ”ซาเรสเรียกความสนใจจากสมาชิกใหม่ “ผมชื่อซาเรส ขอให้ทำตามที่ผมบอก แล้วพวกเราจะผ่านเข้าไปเรียนด้วยกันทั้งหมด แน่นอน”
ผู้สมัครหลายคนเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกัน แล้วก็มีชายคนหนึ่งพูดออกมา “พวกเราไม่ค่อยมั่นใจเลยว่า นายจะทำได้อย่างที่พูดรึเปล่า เพราะที่พวกเรามาอยู่กลุ่มนี้ก็เพราะ ฉู่ซิมจังหรอกนะ ไม่ใช่นาย”
ซาเรสมองหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กน้อย “คุณชื่ออะไรครับ”ซาเรสชี้นิ้วไปที่เขา
“ฉันชื่อ ไคโตะ”เด็กชายผมทองที่ดูเหมือนย้อมสีตอบ
“คุณไคโตะ ผมมั่นใจว่ามีความสามารถพอ การที่จะชนะในสงครามนี้มันช่างง่ายดายนัก แต่ถ้าพวกคุณไม่มั่นใจในความเก่งของผมก็เชิญทดสอบได้เลย”
เหล่าผู้สมัครมองหน้ากันไปมาแล้วคุยกัน
ที่ซาเรสท้าอย่างนี้ก็เพื่อ สร้างความน่าเชื่อถือและความน่าเคารพให้กับตนเอง เพราะคนเราไม่รู้จักกันมา คงไม่อาจทำให้เชื่อใจกันได้ง่ายนัก ดังนั้นจึงต้องมือการเชือดไก่ให้ลิงดู
“ได้ ฉันเอง”ไคโตะร้องขึ้นเสียงดัง ก่อนจะเดินแหวกทางมาด้านหน้า
ทั้งสองจ้องตากันเป็นมัน ถ้าเป็นปลากัดก็อาจท้องได้เลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นในการ์ตูนก็อาจจะเห็นไฟฟ้าสองเส้นแล่นเปรี๊ยจากดวงตาทั้งสองถึงกันก็ได้
ไสยรันณ์ลอบมองการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มอย่างตั้งใจ นี่จะเป็นการณ์ดีมากที่เขาจะได้เห็นฝีมือของผู้ที่มาชวนเขาสักที
ผู้ประลองทั้งสองเดินมายืนอยู่ทางด้านหน้าของกลุ่ม ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มอื่นๆหันมาสนใจทั้งสองคนแล้ว
“จะต้องสู้กับพวกโน้นอยู่แล้วยังจะกัดกันอีก”เสียงนินทาจากเด็กกลุ่มอื่นดังแว่วเข้ามาในหู“ใช่ๆ อย่าไปสนใจเลยยังไงพวกนี้ก็ต้องแพ้อยู่แล้ว กัดกันเองอย่างนี้หนะ”
“ถ้าคุณพร้อมแล้วก็เชิญเข้ามาได้เลยครับ”ซาเรสร้องท้าพร้อมกวักมือ
“แล้วแกจะเสียใจที่ทำอย่างนี้”ไคโตะว่าพลางพุ่งเข้าหาซาเรสด้วยความเร็วสูง
“ปราการมัจฉาเหล็ก”ซาเรสเอ่ยคำเบาๆ ก็มีปลากระเบนน้ำตัวใหญ่ปรากฎขึ้นเป็นกำแพงอยู่ด้านหน้าซาเรส
ไคโตะที่หยุดไม่ทันแล้วจึงกระแทกกับปลากระเบนน้ำนั้นเต็มๆ เขาร้องจุกหน้าแนบติดกับปลากระเบน ด้วยความเร็วในการพุ่งตัวของเขา และมาชนน้ำที่มีความหนาแน่นสูงอย่างนี้ ความเจ็บปวดก็จะเหมือนกับการชนไม้กระดานแข็งๆเลยทีเดียว
“ฝูงมัจฉาทะลวงหลัก”ซาเรสร้องขึ้นพลางตวัดมือหนึ่งที ก็เกิดฝูงปลาฉนากน้ำที่มีปากยาวแหลมคมพุ่งไปทางไคโตะ หวังทะลวงผ่านปลากระเบนน้ำไป
“เฮ้ย!!”ไคโตะตกใจร้องเสียงหลง รีบพลิ้วกายหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ชมหลายคนร้องฮือฮาด้วยความตื่นเต้น การต่อสู้ที่ดุเดือดด้านหน้าทำเอาพวกเขาผวาใจแทบหยุดเต้น
“นั่นมันเวทย์สายธรรมชาติใช่ไหมน่ะ”ไคโตะถาม
คำถามของไคโตะเรียกความสนใจจากเหล่าผู้ชมเป็นอย่างมาก เวทย์ธรรมชาตินั้นหาผู้ใช้ได้ยากมาก รองมาจาก เวทย์กาลเวลาเลยทีเดียว เพราะเวทย์กาลเวลา เวทย์แรงโน้มถ่วง และเวทย์ธรรมชาติ นั้นไม่มีการสอนในโรงเรียนใดๆในโลก เนื่องจากความยากในการฝึกและอันตรายในการใช้นั้นมีสูง วิชาพวกนี้จึงแทบจะหายไปกับกาลเวลา ส่วนผู้ที่ใช้เวทย์พวกนี้ได้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงและอำนาจบารมีจนแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก
“ถูกต้อง”ซาเรสตอบพลางยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้น นายเป็นอะไรกับจ้าวสมุทร วอท “ไคโตะถามซ้ำ
จ้าวสมุทร วอท เป็นหนึ่งในเหล่าคนใหญ่คนโตและมีชื่อเสียงของโลก เขาเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ใช้เวทย์สายธรรมชาติ ธาตุน้ำได้เก่งที่สุดในโลก เรียกได้ว่าถ้ามีใครใช้เวทย์สายธรรมชาติธาตุน้ำได้ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับ จ้าวสมุทร วอท ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ซาเรสทำหน้าคุ่นคิด
จริงๆแล้วเขากำลังหาข้อมูลของคนผู้นี้จากดวงแก้วศาสตรา ตอนนี้เขาใช้ดวงแก้วศาสตราเป็นหลายอย่าง แค่การจะหาข้อมูลความรู้จากมันนั้นเขาสามารถทำได้ง่ายดายมาก มันเหมือนกับการมีห้องสมุดขนาดยักษ์อยู่กับตัว ถ้าเกิดเขาอยากรู้อะไรก็ถามเข้าไปไม่นานก็จะได้คำตอบ
“อ้อ เปล่าหรอก แต่ผู้ที่สอนฉันเขารู้จักกับพ่อของ จ้าวสมุทรน่ะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกรอบ ทุกสายตามองมาที่ซาเรสอย่างอึ้งๆ ถ้าแค่รู้จักกับจ้าวสมุทร วอท ยังพอเชื่อได้ แต่ผู้ที่รู้จักกับพ่อจ้าวสมุทร วอท ซึ่งเป็นจ้าวสมุทรคนก่อนนั้น อาจหาไม่ได้แล้ว เพราะเขาตายไปร่วมห้าสิบปีแล้ว ผู้ที่รู้จักก็อาจอายุเกินร็อยไปแล้ว
“เออๆ จะอะไรก็แล้วแต่ แค่นายใช้เวทย์ธรรมชาติเป็นฉันก็ยอมรับในฝีมือแล้ว”ไคโตะพูด “แต่การวางแผนและบัญชาการรบมันไม่เหมือนกัน นายจะเก่งพอรึเปล่า”
“หึหึ ก็คอยดูสิ”
“แล้วฉันจะคอยดู ทำให้ดีล่ะ”ไคโตะคาดโทษก่อนจะเดินกลับไปร่วมกลุ่ม
‘อะไรกันวะ ยังไม่ทันได้รู้อะไรมากเลย’ไสยรันณ์สบทในใจ แต่ใบหน้านั้นยังคงนิ่งไร้อารมณ์เหมือนเดิม
“เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็คงขอให้พวกคุณทำตามผมได้แล้วสินะครับ”ซาเรสหันกลับไปถามทุกคน
ทั้งกลุ่มสี่สิบกว่าคนไม่มีใครกล่าวค้านขึ้นมา ซาเรสก็เหมารวมว่าตอบตกลงไปแล้ว
“งั้นผมขอให้ทุกคนแยกกันเป็นกลุ่มตามรูปแบบการต่อสู้ของทุกคนนะครับ แบบประชิดตัวและเข้าชนทางด้านซ้ายเลยครับ”
ผู้สมัครเด็กชายหลายคนเริ่มทยอยแยกกันออกไป รวมทั้งไคโตะและราพณาสูรด้วย แต่ซาเรสกลับเห็นเด็กผู้หญิงห้าคนแยกออกไปด้วย ทั้งที่ตอนแรกเขาคิดว่าไม่น่าจะมีแท้ๆ
“ผู้ที่มีรูปแบบการต่อสู้ทางไกลเชิญทางขวาครับ ส่วนผู้ที่ไม่ใช้พวกสายต่อสู้ให้อยู่กับที่นะครับ”ซาเรสกล่าวขึ้นมาอีก
ผู้สมัครอีกส่วนแยกไปทางซ้าย กลุ่มนี้มีผู้หญิงเยอะที่สุดในสามกลุ่ม แต่ฉู่ซิมอยู่กลุ่มตรงกลาง
ไสยรันณ์แยกไปอยู่กลุ่มทางซ้าย แต่ฮิโร่มองซ้ายขวาลอกแล่กคล้ายไม่รู้จุดยืนตัวเอง
ซาเรสมองงงๆแล้วถาม “ทำไมนายไม่ไปหากลุ่มอยู่”
“ก็ฉันไม่รู้ว่าควรอยู่กลุ่มไหนดีน่ะสิ”
“อ้าว แล้วนายไม่รู้รูปแบบการต่อสู้ของนายรึอย่างไรล่ะ”
“ไม่ใช่ไม่รู้...”ฮิโร่ขมวดคิ้วทำแก้มป่อง “แต่มันทำได้หลายอย่างหรอก”
ซาเรสขมวดคิ้ว “แล้วไอ้หน้ากากของนายมันคืออะไร”ซาเรสถามถึงหน้ากากที่เขาเห็นตอนสู้กับฮิโร่ เพราะตอนนั้นเขายังไม่มีดวงแก้วศาสตรา จึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“มันก็เป็นอาวุธ...”
“ไม่ๆ”ฮิโร่พูดยังไม่ทันเสร็จ ซาเรสก็ยกมือขัดเชิงปฏิเสธ “เอาแค่ชื่อ”
“ฮื่อ!”ฮิโร่พ่นลมอย่างขัดใจ “หน้ากากศรรตพากย์”
ซาเรสเริ่มกระบวนการค้นหาข้อมูล ของหน้ากากศรรตพากย์กับดวงแก้วศาสตราโดยเร็ว
ชื่อ หน้ากากศรรตพากย์ ระดับ ตำนาน ผู้สร้าง ซิลก์ จ้าวตระกูลโอบีลาสเมลรุ่นที่ หก
สร้างจาก
-เปลือกไม้ต้นเกล็ดมังกร
-ลงรัก เลือดยอดฝีมือหมู่บ้านเต๋า หนึ่งร้อยคน
-แกะสลัก อักขระมนตร์เสียงเพรียกจากโลหิต
ทักษะ เมื่อสวมหน้ากากใบใด จะสามารถใช้มนตร์เสียงเพรียกจากโลหิต คืนจิตสำนึกของเจ้าของเลือดบนหน้ากากให้กลับมาได้เป็นเวลา ยี่สิบนาที
“อือ งั้นนายไปอยู่กลุ่มกลางแล้วกัน”ซาเรสชี้นิ้วไปที่กลุ่มตรงกลาง หลังจากได้ข้อมูลแล้ว
ฮิโร่เกาหัวด้วยความงง แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เขายังไม่เข้าใจว่า แค่บอกชื่อหน้ากากไปก็รู้แล้วเหรอว่าทำอะไร ทั้งที่อาจารย์ของเขาบอกว่ามันเป็นของหายากมากแท้ๆ
แน่นอนอยู่แล้วที่ฮิโร่จะไม่รู้ เพราะตอนนี้ผู้ที่รู้ว่าซาเรสมีดวงแก้วศาสตรานั้นมีเพียง เซโรสและซาเรสสองคนเท่านั้น
“เอาล่ะ เมื่อแยกกลุ่มกันเสร็จแล้ว ผมก็จะอธิบายแผนต่อเลยนะ”ซาเรสกล่าวเสียงดังเพื่อเรียกทุกสายตาให้หันมอง “ด้านซ้าย จะเป็นกลุ่มคอยพุ่งเข้าชนต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม และบุกทำลายสร้างความเสียหายให้กับกองทัพฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด ด้านขวาจะเป็นกลุ่มโจมตีสนับสนุนระยะไกล และคอยตอดเล็กตอดน้อยเพื่อสร้างโอกาสให้กลุ่มทางซ้ายให้มากที่สุด ส่วนกลุ่มตรงกลาง...”
ซาเรสหรี่ตามองหน้าคนกลุ่มกลางแล้วครุ่นคิด พวกนี้ไม่มีรูปแบบการต่อสู้แน่นอนตายตัว จึงทำให้ยากต่อการใช้เป็นอย่างมาก จะให้พวกนี้ทำอะไรเขาก็ยังนึกไม่ออก และก็ไม่อยากจะขอความรู้จากดวงแก้วศาสตราสักเท่าไหร่ เพราะมันทำให้รู้สึกปวดหัวตึบๆ เป็นระยะ เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับการรู้ มามากและเร็วเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสมองได้ ดังนั้นการขอความช่วยเหลือจากตัวช่วย จึงต้องตัดทิ้งไป
‘อ้อ ใช่สิ แบบยี้น่าจะใช้ได้’
“กลุ่มกลาง เป็นหน่วยคอยสนับสนุนทั้งสองฝ่ายตามเห็นสมควร”
เด็กทั้งสามกลุ่มทำหน้าเข้าใจ
“งั้น เวลาที่เหลือผมอยากจะขอทราบรายละเอียด การต่อสู้ของแต่ละคนหน่อยนะครับ”ซาเรสยิ้มแล้วเข้าไปถามคนที่น่าสนใจก่อนเป็นอันดับแรกๆ และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
จนเวลาล่วงเลยไป กระทั่งหมดเวลาการวางแผน
“หมดเวลาแล้วนะคะ”เสียงโฆษกหญิงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ในการทดสอบนี้ทำเหมือนเกิดสงครามจริงๆเลยนะคะ ไม่ต้องสนใจชีวิตคู่ต่อสู้ เพราะในมิติกึ่งเวลาของท่าน ผอ. มิราน็อกส์ เมื่อชีวิตของทุกท่านอยู่ในช่วงวิกฤตอาจถึงตาย ท่านจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องพยาบาลทันทีค่ะ”
สิ้นเสียงประกาศก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมจากทุกกลุ่ม บางกลุ่มหัวเราะเสียงดังอย่างไม่อายใคร เพราะถ้าสามารถลงมือได้โดยไม่ต้องห่วงชีวิตคู่ต่สู้ล่ะก็ คงจะสนุกสนานกับการฆ่าน่าดู
“ทุกคน ทวนแผนนะ”ซาเรสที่หลังจากฟังประกาศเสร็จหันมาพูดกับกลุ่ม “เราจะเป็นกลุ่มที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในตอนสุดท้าย ส่งคนฝีมือดีออกไปรบบางส่วน และที่เหลือแอบซุ่มคอยฟังสัญญาณจากผม ถ้าผมออกไปด้านหน้าเมื่อไหร่ เราเข้ารบเมื่อนั้น”
ทุกคนพยักหน้าเชิงเข้าใจในคำพูด
ตอนแรกมีคนคัดค้านไม่น้อยกับแผนการของซาเรส ว่ามันเป็นวิธีที่ขี้ขลาด ไม่ตรงไปตรงมา แต่ซาเรสสวนกลับมาว่าถ้าออกไปสู้ตั้งแต่แรก ทั้งที่ยังมีกลุ่มอื่นๆอีกหลายร้อย จะเป็นการขัดแข้งขัดขากันและเสียสมาชิกโดยเปล่าประโยชน์
อย่างนี้เอง หลายคนเลยเริ่มเห็นด้วย แต่ผู้ไม่เห็นด้วยยังเหลืออยู่ ดังนั้นจึงต้องเป็นประชาธิปไตย ใช้เสียงข้างมากตัดสิน และผลก็ออกมาตามคาดมีคนเห็นด้วยกับซาเรสอยู่มากกว่า เหล่าผู้ที่ไม่พอใจจึงต้องยอมรับความจริง แต่พวกเขาก็ขอออกไปเป็นคนที่รบก่อนในแนวหน้า เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของกลุ่มอื่น
“ขอให้ทุกท่านสังเกตดูที่ดวงจันทร์นะคะ เมื่อดวงจันทร์แยกกันกลายเป็นสองดวงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือการเริ่มสงครามค่ะ”
ผู้สมัครทุกกลุ่มที่เตรียมพร้อมหมดแล้วก็ออกมายืนดูพระจันทร์ เพื่อรอสัญญาณเริ่มศึก พวกซาเรสเองก็เช่นกัน
ไม่นานเกินรอก็มีแสงสว่างจ้าไป่ทั่วทุกบริเวณ จันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวลเริ่มขยายตัวขึ้น แต่ก็ไม่เชิงขยายซะทีเดียวแต่มันเหมือนกับค่อยๆมีจันทร์อีกดวง แยกตัวออกมาจากที่เดิมต่างหาก
“วิ้ง!”แสงสว่างจากดวงจันทร์ฉายมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณบอกว่ากรรมวิธีการแยกร่างของมันสิ้นสุดลงแล้ว และก็เป็นสัญญาณบอกอีกว่า ‘สงคราม ได้เริ่มขึ้นแล้ว’
“เฮ้!!!ๆๆๆๆๆ”เสียงกู่ก้องร้องชัยด้วยความฮึกเหิมดังมาจากทุกบริเวณ ตามด้วยร่างของผู้เข้าร่วมสงครามที่ถืออาวุธกันครบมือวิ่งเข้าหาข้าศึก หมายฆ่าล้างให้สิ้นซาก บางคนก็มีชุดเกราะที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน จะว่าพกชุดเกราะติดตัวมาด้วยมันกันยังไงอยู่ แต่บางคนก็คงจะมั่นใจในฝีมือตนที่มีเพียงแค่อาวุธคู่กาย ข้าก็สามารถเป็นหนึ่งในยุธภพได้(?)
“เอ้า! ทุกคนปฏิบัติการได้”ซาเรสร้องบอกทุกคนพลาง หลบฉากมาหลบและคอยดูกลุ่มตนเอง
ราพณาสูรถอดต่างหูสีดำที่ลักษณะเป็นแท่งยาวๆ ออกมาแล้วพนมมือทำปากขมุบขมิบที่หลายคนในกลุ่มมองอย่างฉงนว่าเขาทำอะไร
“แว่บ!”แสงสีเขียวสว่างขึ้นในมือของราพณาสูร แล้วมือของเขาก็มีบางอย่างปรากฎออกมา กระบองเหล็กสีดำยาวกว่าสามเมตรค่อยขยายขึ้นมาในมือของเขา
กระบองยักษ์สีดำยาวร่วมสามเมตร ด้ามจับพอดีมือยาวหนึ่งเมตร ด้านปลายกระบองยาวเกือบสองเมตรที่มีขนาดใหญ่เท่ากระโหลกมนุษย์ มีลวดลายเป็นเส้นยาวบิดเกลียวเหมือนหลอดไฟหมุนได้ที่หน้าร้านทำผมอย่างไรอย่างนั้น
“ไปก่อนนะ”ราพณาสูรหันมาบอกซาเรสและทุกคนในกลุ่ม แล้วกระโดดออกไป
การกระโดดของเขาทำให้ทุกคนต้องอึ้งอีกครั้ง เมื่อแค่การกระโดดครั้งเดียวก็ส่งตัวเขาไปถึงกลางวงที่เขารบกับพอดี เหมือนลูกปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกไปก็ไม่ปาน
ซาเรสมองราพณาสูรอย่างพอใจ ไม่เสียแรงที่ลงทุนเชิญเข้ากลุ่มด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปจัดการมังกรสองตัวนั่นนะ”ไสยรันณ์บอกซาเรส แต่ก็ได้ยินกันเกือบทั้งกลุ่ม
ในกลุ่มเริ่มซุบซิบกันอีก ว่าเขาบ้าไปแล้วรึเปล่าที่จะขึ้นไปสู้กับมังกรด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งจะเอาอะไรไปสู้เพราะแค่เพียงสิ่งที่จะทำให้ขึ้นไปสู้กับมังกรในอากาศยังไม่มีเลย
ไสยรันณ์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เขาชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวา พร้อมพูดพึมพำอะไรบางอย่างคนเดียว ที่ไม่มีใครได้ยิน
แล้วก็กลับมีเงาสีดำหลายเงาพุ่งออกจากตัวเขา พุ่งไปที่ต้นไม้แต่ละต้นที่ชี้ไว้
ไม่นานก็มีใบไม้ทยอยร่วงลงมากองกันอยู้ด้านหน้าไสยรันณ์ จนกลายเป็นกองใบไม้กองใหญ่พอๆกับกระท่อมหลังหนึ่ง เงาสีดำทั้งหลายลอยอยู่ล้อมรอบกองใบไม้
“โอม...”ไสยรันณ์พนมมือพร้อมท่องบางอย่างปากขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์
ไม่นานก็มีวงแสงสีดำเชื่อมกันระหว่างไสยรันณ์และเงาทั้งหลายเป็นวงกลม วงแสงค่อยๆบีบตัวเข้ากองใบไม้จนหายเข้าไปด้านใน
ไสยรันณ์เป่าลมใส่กองใบไม้จนใบไม้ด้านบนปลิวเล็กน้อย แล้วกองใบไม้ก็เหมือนมีพายุอยู่ตรงใจกลาง มันหมุนวนกันจนเกิดก่อเป็นรูปเป็นร่าง
“เฮ้ย!นั่นมัน...!”เหล่าคนในกลุ่มร้องอย่างตกใจที่ได้เห็นรูปร่างของสิ่งนั้น
ต่อยักษ์สีเขียวที่มีขนาดลำตัวประมาณเก้าเมตร ความสูงสองเมตรครึ่ง ใบปีกยาวสยายดูใหญ่โตน่าเกรงขาม ก้นอันใหญ่ที่มีเหล็กในอาวุธคู่กายแมลงมีพิษขนาดเท่ากับด้ามจับกระบองของราพณาสูร มันแหลมคมส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ไสยรันณ์กระโดดขึ้นหลังต่อยักษ์ที่เขาเสกมา เขาพึมพัมอีกครั้งเงาสีดำทั้งหลายก็กลับเข้ามาที่ตัวเขา เขาส่งสายตาเย็นชาและเหมือนดูถูกให้ทุกคนที่สบประมาทเขา จนคนถูกมองถึงกับขนลุกด้วยความกลัว แล้วเขาก็สั่งต่อยักษ์บินขึ้นไป
ซาเรสมองจนลับตาแล้วก็เริ่มคิด
วิชาที่ไสยรันณ์ใช้นั้น น่าจะเป็น มนตร์คำสาปแขนงหนึ่งของชาวกอร์นวาเนีย ซาเรสลองถามชื่อมั่ๆลงไปในดวงแก้วศาสตรา เช่น วิชาเสกต่อยักษ์ วิชาเสกแมลง เป็นต้น
แต่ก็มาจบที่วิชาเสกต่อเสกแตน ที่ดวงแก้วศาสตราสามารถหาข้อมูลได้
ปกติวิชานี้ จะใช้ใบไม่เล็กๆเสกต่อแตนตัวเล็กธรรมดาเช่นกัน แต่ไสยรันณ์สามารถเสกต่อได้ตัวใหญ่ขนาดนั้น
เขาคงจะมีพลังที่ยากจะหยั่งถึงเลยทีเดียว
"เฮ้ออออ"
นี่ตกลงตาไสยรันณ์เขาจะเป็นกลุ่มไหนกันแน่ อยู่กลุ่มโจมตีไกลแต่กับขึ้นไปสู้กับมังกรเดี่ยวๆซะแล้ว ‘นี่เขาคงจะต้องเจอกับคนแปลกอีกมาเลยใช่ไหมเนี่ย’
TBC
ตอนนี้ไม่ค่อยมีบู๊เท่าไหร่ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนหน้าบู๊แน่นอนผมเอาหัวเป็นประกันเลย แต่ตอนนี้ผมก็เขียนตั้งนานนะ ประมาณ 3500 คำ มากกว่าตอนเดิมๆเท่าหนึ่งเลยนะครับ ก็ได้แต่หวังว่าคงจะอิ่มแทนการทานข้าวได้เลยนะครับ
ความคิดเห็น