ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mysterious Whisper เสียงกระซิบแห่งการชี้นำ

    ลำดับตอนที่ #4 : เข้าเมือง

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ย. 57


    เข้าเมือง

    _______________________________________________________________________________

    รถม้าที่มีเคราส์เป็นคนบังคับเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ เขตเมืองหลวง ระหว่างทางมีรถสวนกันค่อนข้าง มาก หากเมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองมากเท่าไหร่ ปริมาน ของรถม้ากลับลดน้อยลงจนบางตา  เสียงล้อรถที่ บดถนนดังเป็นระยะๆเพราะไม่ค่อยมีคนใช้รถม้า มากนักเนื่องจากค่าครองชีพที่แพงหูฉีกไหนจะค่าบำรุงรักษาที่ไม่ใช่ น้อยๆ ดังนั้นผู้คนจึงนิยมใช้รถ สาธารณะกันเป็นส่วนใหญ่

     

    การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงที่ คณะจะเดินทางมาถึงราลล์เมืองหลวงแห่งรัลทัล ซ่าซึ่งเร็วกว่าปกติประมานสามชั่วโมงกว่าๆ

         

                ฟริกก้ารู้จักเส้นทางเป็นอย่างดีเธอพาพวกเขา ลัดเลาะไปตามแม่น้ำ รวมถึงผ่านหมู่บ้านต่างๆที่ไม่ ได้ปรากฏบนแผนที่  แม้กระทั่งแวะชิมอาหารที่ทั้ง ประหลาดไม่ว่าจะเป็นหน้าตา กลิ่น หรือ รส ในระ หว่างรอพักม้า มีบ้างที่เคยเห็นแต่ทางโรงครัวที่วัง หลวงนั้นปรุงแต่งจนเสียรสชาติดั้งเดิมของมันไป เพราะอาจจะกลัวไม่ถูกปาก

     

    ฟริกก้ามองไปรอบๆอย่างตื่นเต้นเนื่องจากไม่ ได้มานานแล้ว  เธอเห็นคนส่วนใหญ่ที่เห็นตามท้อง ถนนเดินไปมาอย่างเร่งรีบแล้วก็นึกได้ว่านี่เป็น เวลาเข้าทำงาน รวมถึงพวกเด็กนักเรียนในชุด เครื่องแบบเดินกันเป็นกลุ่มๆบางคนกำลังพูดคุย อย่างมีอรรถรสแบบที่ฟรันเซียไม่เคยมีให้เห็นที่ นั่นถ้าจะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องใส่ผ้าคลุมไว้ ตลอดเวลาเพราะการทำงานของคนที่นั่นค่อนข้าง เสี่ยงต่อการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง

     

                "ทำเหมือนไม่เคยมานะ"            

                เคราส์แซวเด็กสาวเป็นผลให้ดวงตาสีฟ้ากระจ่าง หันมาค้อนเขาน้อยๆแล้วกลับไปกำลังสนใจกับสภาพแวดล้อมรอบๆกายโดยไม่ตอบชายหนุ่ม

     

                ฟริกก้าปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้าและ ลำคอ เนื่องจากบรรยากาศที่ราลล์ค่อนข้าง ร้อนกว่าฟรันเซียบวกกับการเดินทางมาไกลทำให้ เหงื่อออกได้โดยง่าย

     

                "อะ เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วก็เข้าไปข้างในได้แล้ว"

                เคราส์ส่งผ้าเช็ดหน้าสีเทามาให้เธอที่มองมันแล้ว ยิ้มอย่างทะเล้น

     

                "ขอบคุณ" ฟริกก้าตอบรับเพียงสั้นๆ แล้วเปิด ประตูที่เชื่อมระหว่างคนบังคับม้าและตัวรถเพื่อเข้าไปด้านใน

     

                มันก็เหมือนอย่างที่เข้ามาทุกครั้ง ที่เห็นชาย ต่างวัยสองคนกำลังคุยอะไรบางอย่างด้วยสีหน้า เคร่งเครียด บนโต๊ะถูกจับจองด้วยแผนที่ที่มีหมุด สีแดงปักอยู่ตามจุดต่างๆบนแผนที่ ทั้งสองเงยหน้า มามองเธอเล็กน้อย คนหนึ่งหน้านิ่งเหมือนเดิม อย่างคงเส้นคงวา ส่วนอีกคนยิ้มให้เธอน้อยๆ แล้ว ทั้งสองก็หันไปคุยต่อทำให้ฟริกก้ายู่หน้าลงเล็ก น้อยแล้วนั่งลงข้างเจอรัลล์พร้อมกับเหยียดแขน เหยียดขาไล่ความเมื่อยล้าจากการนั่งบังคับม้ามากว่าสามชั่วโมง

     

                "พวกคุณก็พักซะบ้างนะ จะถึงแล้ว" ว่าแล้วก็ หาววอดๆ อย่างไม่รักษาภาพพจน์ใดๆเช่นเคยทำ อีกสองคนที่เหลือได้แต่ระอา

     

                "เจ้านั่นแหละที่ควรพัก ดูสิตาจะปิดอยู่แล้ว"

                เจอรัลล์บอกอย่างเอ็นดู ทำให้ฟริกก้ายิ้มแผล่

     

                "ที่แท้ก็กลัวฉันไม่มีแรงทำงานเหรอลุง ไม่ต้องห่วง แค่นี้ไม่มีทางทำอะไรฉันได้หรอกสบายใจได้"   ว่าแล้วก็ตบอกตัวเองดังปาบอย่างมั่นอกมั่นใจ เต็มร้อย คนที่เหลือจึงได้แต่นั่งระอากับเด็กสาว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจนในที่สุดรถม้าก็จอดนิ่งสนิท เสียงกุกกักๆดังด้านหน้ารถตามมาด้วยประตูที่เปิด ออกกว้าง

     

                "ลง" เสียงเรียบนิ่งบอกคนที่นั่งขวางประตูทำให้ฟริกก้าย่นจมูกใส่แล้วขยับตัวเพื่อออกไปยืน ก็ กะว่าจะบ่นอยู่แต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อดวงตาสีฟ้า สดเหลือบไปเห็นสวนขนาดใหญ่รอบๆกายดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสดสวยทำให้ดูสดชื่นกลิ่นชื้นของดินที่คุ้นเคยทำให้เธอรีบสูดมันเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว ฟริกก้าทำอย่างนี้อยู่ หลายครั้งก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นหญิงสาว ในชุดสีไข่ไก่คลุมมิดชิดตลอดทั้งตัวเดินเข้ามา ใกล้

     

                "ท่านเออร์ซ่าเซเทรียส์ ท่านองครักษ์ ท่าน นักบวช ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ"

                หญิงสาวที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเนลพี่สาวของเธอพูดขึ้นพร้อมกับแสดงความเคารพ ทั้งสามคน

     

                "ฟริกก้านี่คือทาเนีย มีหน้าที่ดูแลเธอตลอด การอยู่ที่นี่ ส่วนเธอ พักผ่อนให้เรียบร้อย เจอกัน พรุ่งนี้ทาเนียโค้งให้ฟริกก้าน้อยๆเป็นการทำความเคารพตามที่เคราท์แนะนำ  ทำให้อีกคนรีบโค้ง ตอบแทบไม่ทัน

     

                "ทางนี้ค่ะ" ทาเนียผายมือไปยังประตูเล็กๆ ข้างมหาปราสาท ฟริกก้าหันไปขอความเห็น  จากนายจ้างเมื่อได้รับการยืนยันเธอจึงเดินตามไปอย่างว่าง่าย

     

                ทางที่ทาเลียให้เข้ามานั่นเป็นทางเดิน แคบๆ บนพื้นมีพรหมสีแดงปูยาวตลอดทางเดิน  ผนัง ทำด้วยหินทั้งหมดและมีหน้าต่างอยู่ไม่กี่บาง ไหน ตะประตูที่นานๆทีจะมีให้เห็น

     

                "พี่ทาเลีย นี่คือส่วนไหนของมหาปราสาทน่ะ แล้วมีใครอยู่ไหม"

                ฟริกก้าที่เดินตามหญิงสาวมาติดๆถาม แต่เจ้า ของชื่อไม่ตอบ ทาเลียหยุดเดินแล้วหันไปเปิดประ ตูไม้แบบสองบานพับทางด้านขวามือของเธอแทน

     

                ความอลังการด้านในห้องทำให้ฟริกก้าอ้าปาก ค้าง สิ่งแรกที่สะดุดตาคือเตียงขนาดใหญ่ที่มีเสาสี่ เสาแบบที่หลายคนใฝ่ฝันว่าจะมี ม่านสีขาวบางเบา ถูกผูกเก็บไว้ที่เสาเตียงทั้งสี่อย่างเป็นระเบียบ ถัด ไปคือโต๊ะเครื่องแป้ง ทางด้านมุมห้องเป็นโซฟาชุด สีน้ำตาลน่านั่ง

     

                "ที่นี่คือส่วนรับรองของมหาปราสาทค่ะ มีคุณ อยู่เพียงคนเดียวค่ะ"

                ทาเลียตอบแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูอีกประตู หนึ่งเผยให้เห็นห้องน้ำขนาดใหญ่ กลางห้องมีอ่าง อาบน้ำที่ทำมาจากไม้ตั้งอยู่ รอบๆอ่างโรงด้วยหิน และกรวดสีขาวและประดับด้วยพุ่มไม้เตี้ยๆสีเขียว สด เยื้องไปเล็กน้อยเป็นโถส้วมที่มีม่านบังตาบัง เอาไว้ทำให้เห็นเพียงลางๆ ทาเลียหยิบขวดอะไรบางอย่างมาจากชั้นวางของสองสามขวดแล้วจัดการเทลงในอ่างอาบน้ำตนมีกลิ่นหอมฟุ้ง

     

                 "ส่วนประตูอีกสองบานเป็นห้องรับประทานอา หารและห้องอักษรนะคะ มีประตูเชื่อมกัน"  ทาเลียอธิบายต่อ

     

                "พี่ทาเลีย...ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีฉันนอนคน เดียวน่ะสิ ใช่ไหม"

                ฟริกก้าถามพลางกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ ทำให้ทาเลียยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาใน ห้องนอนอีกครั้ง

     

                "ดิฉันมีหน้าที่ดูแลคุณตลอดการอยู่ที่นี่ ดังนั้นดิฉันจะอยู่ที่ห้องรับรองเล็กด้านหลังประตูบานนั้น"  ทาเลียผายมือไปยังประตูเล็กๆที่ไม่สังเกตดีๆ ไม่มีทางมองออกเลย ทำให้ฟริกก้ายิ้มกว้างอย่าง ยินดี

     

    "โห่! พี่ทาเลีย ทำคนอื่นเค้าใจหายใจคว่ำหมด ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ"  ฟริกก้าพูดแล้วทำปากยื่นน้อยๆอย่างน่ารัก ทำให้ทาเลียอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ

     

                "บอกแต่แรกก็ไม่ตื่นเต้นสิคะ มาค่ะ อาบน้ำก่อนแล้วจะได้ทานอาหาร"     

                ทันทีที่ได้ยินคำว่าอาหาร ท้องที่ว่างเปล่าของ คนที่พึ่งเดินทางมาถึงก็ร้องโครกครากอย่างไม่ อายใครแถมเจ้าตัวยังยักไหล่โดยไม่มีท่าทางเขิน อายแม้แต่น้อย แต่กับยิ้มเผล่แล้วพยักหน้าหงึก หงักอย่างเห็นด้วย

     

                ใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ ฟริกก้ายออมให้ ทาเลียอาบให้อย่างว่าง่าย ตอนนี้เธอจึงอยู่ในชุด กระโปรงสีน้ำตาลอ่อนที่ใส่สบาย ทาเลียออกไป เตรียมอาหาร ระหว่างนั้นเธอจึงออกสำรวจห้องที่  เหลือทั้งสองห้อง ห้องแรกเป็นห้องอาหาร ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เพราะมันก็เหมือนๆดันทุกที่ห้องที่สองห้องอักษรที่มีชั้นหนังสือวางอยู่รอบๆ ห้อง แต่ละชั้นอักแน่นไปด้วยหนังสือที่ดูเก่าพอสม ควร ซึ่งดูลาดเลาแล้วน่าจะมีหนังสือดีๆอยู่ไม่น้อย  แต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อทาเลียมาบอกว่าอาหาร เสร็จแล้ว

     

                'ก็อย่างที่หลายๆคนบอก กองทัพต้องเดินด้วย ท้องน่ะเป็นเรื่องจริง!'

     

                "พี่ทาเลีย ฉันอยากเดินรอบๆมหาปราสาทน่ะ พี่พาเดินหน่อยได้ไหม นะ นะ นะ"

                หลังจากทานเสร็จ ปฏิบัติการอ้อนก็เริ่มขึ้นทันที  ดวงตาสีฟ้าสดแพรวพราวอย่างตื่นเต้น  สองมือจับ แขนของหญิงสาวเขย่าๆราวกับเด็กๆจนหญิงสาวอดที่อมยิ้มไม่ได้

     

                "ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ต้องสวมชุดที่มิดชิด กว่านี้นะคะ แต่ต้องรีบกลับนะคะ"

                 ทาเลียบอก ทำให้ฟริกก้าพยักหน้าแรงๆสอง สามที แล้วยอมให้ทาเลียจับนุ่นจับนี่มาใส่

     

                "อื้อๆถ้าอย่างนั้นไปดูแค่แวบเดียวก็ได้"

                ฟริกก้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย เสียงหัวเราะใสกังวานชวนฟังดังอย่างนี้ตลอดการเดิน ชมสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของมหาปราสาทที่ งดงามที่สุดที่เธอเคยเห็น

     

         

                "ฮ้าว~" ฟริกก้าอ้าปากหาวอย่างไม่อายใครหลังจากที่เมื่อคืนเธอรบเร้าให้ทาเลียพาเดินดูให้ทั่วปราสาท แต่พึ่งดูได้แค่ครึ่งเดียว แสงอาทิตย์ก็สาดส่องบ่งบอกว่าได้เข้าสู่วันใหม่เป็นที่เรียบร้อยตามด้วยระฆังที่ตีสามที ทำให้หญิงสาวที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นก็ไล่เธอมานอน

     

    "พี่บอกคุณแล้วว่าให้รีบนอน" ทาเลียดุเด็กสาว อย่างไม่จริงจังแล้วส่ายหน้าอย่างระอากับนิสัย เด็กๆของคนที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะริมระเบียงห้อง วันนี้คนตรงหน้าใส่ชุดแปลกตาออกไป แทนที่จะใส่กระโปรงอย่างที่ผู้หญิงเขาใส่กันกลับรบเร้าที่จะใส่เสื้อและกางเกงหลวมโคร่งสีน้ำตาล อ่อนปิดรูปร่างอรชร จนไม่มีเคล้าความเป็นหญิง ใบหน้าขาวที่มีร่องรอยความง่วงใต้ตาอย่างเห็นได้ชัด

     

    "ปราสาทสวยขนาดนี้ใครจะไปอดใจไหวล่ะ อ๊ะ...ขอบคุณค่ะ"                                                 ฟริกก้าหันไปขอบคุณทาเลียที่นำกาแฟดำมา ให้ตามคำขอของเธอ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นติด ปลาย จมูกเมื่อเธอสูดดมควันสีขาวลอยขึ้นช้าๆ เหนือปากถ้วย

     

    "นี่คือกาแฟจากอาณาจักรมาเทรียสเป็นแห่งเดียวที่ผลิตกาแฟได้เข้มข้นที่สุด"

    ทาเลียอธิบาย ก่อนจะมองเด็กสาวอย่างตกใจที่กระดกกาแฟที่ไม่คุ้นชินดื่มรวดเดียวหมด

     

    "นั่นคุณทำอะไร!" หญิงสาวคว้ามือที่จับหูแก้วแล้วกดลงบนโต๊ะ ส่วนคนที่ต้นตอทำให้เธอตกใจหัวเราะเสียงใสอย่างไม่ทุกข์ร้อน

    "ตกใจอะไรน่ะพี่ทาเลีย นี่แหละคือวิธีกินกาแฟดำให้อร่อยนะรู้ไหม พี่น่าจะลองดูบ้างนะ"

     

                "พี่ยังไม่อยากเสี่ยง ทำไมวันนี้ไม่นอนต่อล่ะคะ ยังง่วงอยู่เลย ดูสิคะใต้ตาดำขนาดนี้"

     

                "ไม่ล่ะค่ะ วันนี้มีเรื่องน่าทำตั้งเยอะ ว่าแต่พี่ทา เลียพอมีผ้าโพกหัวบ้างไหม"

                ฟริกก้าถามดวงตาเป็นประกายวิบวับ

     

    "จะเอาไปทำอะไรคะ มีแต่พวกทหารเท่านั้นที่ ใช้" ทาเลียถามอย่างสงสัย

     

    "เอาน่า แค่แป๊บเดียวเอง นะๆๆ พี่ทาเลีย น้า"  ฟริกก้าเขย่าแขน เสียงหวานพยายามดัดให้ออดอ้อนน่าสงสารสุดฤทธิ์เช่นเดียวกับดวงตา ทำให้ทาเลียอมยิ้มยอมแพ้แล้วผลุบหายไปด้านหลัง ฉากกั้น ไม่นานเกินรอผ้ากันบาร์ก็มาอยู่ในมือของ เด็กสาวที่รบเร้าให้ทาเลียพันผมของเธอขึ้นแล้ว ดึงให้มันสามารถปิดปากได้

     

    คราวนี้ฟริกก้าโฉมใหม่ปิดเนื้อปิดตัวเหลือแต่ ดวงตาสีฟ้าสดที่เป็นประกายวิบวับล้อมรอบด้วย แพขนตาหนา ทาเลียมองอักขระใต้ตาข้างซ้าย ของเด็กสาวซึ่งมันดูเป็นตัวเสริมให้ดวงตาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

     

                "ฉันดูเหมือนผู้ชายยังน่ะพี่ทาเลีย"

                ฟริกก้าที่ส่องกระจกอยู่หันมาขอความเห็นจาก คนที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียวอย่างทาเลีย

     

                "ก็พอไปวัดไปวาได้นะคะ" ทาเลียตอบพลางกลั้วหัวเราะเพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร ความเป็นอิสตรีของเด็กสาวคนนี้ก็ยังเต็ม เปี่ยม

     

                 "หมายความว่าไงคะ"   ฟริกก้าหันมาค้อนหญิงสาวตาคว่ำ

     

                "วันนี้จะไปไหนคะบอกพี่ได้หรือยัง" ทาเลียไม่ ตอบแต่ถามกลับ ฟริกก้าย่นจมูกแล้วแลบลิ้นใส่ ทั้งๆ ที่ปากถูกบดบังด้วยผ้าบางๆ

     

                "สนามฝึกน่ะสิคะ แหม่ก็เมื่อวานน่ะนะเดินได้ นิดเดียวเอง วันนี้พี่ทาเลียต้องพาฉันได้ดูด้วยนะ"  ฟริกก้าบอก ส่วนคนโดนรบเร้าต้องอมยิ้ม พลางมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน

     

                เด็กสาวคนนี้พูดเก่งทั้งยังพูดได้กับทุกคน อย่างลื่นไหลไม่เคอะเขินแม้แต่ตัวเธอเองนั้นยัง ต้องยอมรับว่า เพียงเวลาไม่ถึงสองวัน เธอสามารถ พูดคุยกับเด็กสาวตรงหน้าได้อย่างสนิทใจราวกับ รู้จักกันมานาน
    _______________________________________________________________________________
    **ตอนนี้ขอน้ำเน้นๆนะคะ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวตอนหน้าจะเข้าเรื่องแล้วค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×