ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mysterious Whisper เสียงกระซิบแห่งการชี้นำ

    ลำดับตอนที่ #3 : ว่าจ้าง 2

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ย. 57


     ว่าจ้าง 2

    ____________________________________________________________________________

    "หา!!!

     

    "วันนี้ เราจะเดินทางกลับราลล์ทันที" เสียงทุ้มยืนยันมาอีกครั้งทำให้เธอแน่ใจว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป     ฟริกก้าอ้าปากเหวอ แล้วมองทั้งสามคนอีกรอบก่อนจะถอนหายใจราวกับกลัดกลุ้มเหลือคณา

     

    "ถ้านายไปตกลงกับคุณพ่อได้นะ แล้วคนไหนล่ะเป็นคนจ้างฉัน"

             เด็กสาวเดินก้าวเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ไม่สนใจท่าทีของชายสองคนที่จับอาวุธอย่างระแวดระวังคงจะกลัวว่าเธอจะไปทำอะไรคนหน้านิ่งนี่ล่ะมั้ง

     

    ฟริกก้าหยักไหล่แล้วแบมือเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอาวุธ  ขณะที่กวาดตามองทั้งสามคนอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน

     

    "ฉัน"   เสียงทำให้ฟริกก้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ  แล้วเดินเข้าไปประชิด ก่อนที่สองมือจะค่อยๆประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้แหงนขั้นเล็กน้อย แล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของผู้ว่าจ้างคนปัจจุบันอย่างแผ่วเบาจนคนโดนลวนลาม(?) รีบผละห่างอย่างตกใจท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ว่าจ้างหน้าใหม่ทั้งสาม ในขณะที่ตัวต้นเหตุหัวเราะร่าอย่างไม่สะทกสะท้าน

     

    "นี่คือสัญญาว่าจ้าง ใครๆเขาก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น พวกคุณพึ่งทำการว่าจ้างครั้งแรกอาจจะยังไม่ค่อยคุ้น แต่ไม่ต้องห่วง สัญญานี้จะมีผลกับฉันเท่านั้น เอ้อ ขอชี้แจงด้วยว่าถ้าฉันทำภารกิจไม่สำเร็จ เงินครึ่งหลังจะเป็นของคุณ ส่วนเงินมัดจำพวกคุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถทวงคืนได้ และ ฉันยินดีลบความทรงจำถ้าเป็นเรื่องคอ ขาดบาดตายซึ่งนั่นเป็นสิทธิของคุณที่จะตัดสิน ใจ แต่ถ้าคุณปฏิเสธและฉันเห็นสมควร การตัด สินใจครั้งสุดท้ายจะเป็นของฉันเอง"

    ฟริกก้าบอกราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งๆที่มัน ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเลยแม้แต่น้อยที่จะลบความทรงจำ ด้วยความที่ต้องใช้เวทขั้นสูงและยังไม่นับผลกระทบที่จะตามมาหากเกิดความผิด พลาด หญิงสาวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วหมุนตัวไปเปิดประตู

     

                “พวกคุณเอารถม้ามาใช่ไหม”  เสียงหวานถาม และเมื่อได้รับคำตอบเธอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

     

    "ตามฉันมา ฉันจะต้องไปเก็บของนิดหน่อยสำหรับเดินทาง ส่วนพวกคุณฉันจะพาไปหาป่ะป๊า "

     

    “ป่ะป๊า คืออะไร” ชายหนุ่มที่ดูน่าจะขี้เล่นที่สุดถามด้วยความสงสัย

     

    “แปลว่าพ่อไงล่ะ ตามมาๆ”  ฟริกก้าตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก พร้อมกับกวักมือเรียกแล้วออกเดินเพื่อพาทั้งสามออกทางหลังร้านจะได้ไม่ผ่านพวกที่กินเหล้าเมาไม่มีชิ้นดีข้างล่าง เธอไม่ลืมที่จะพลิกป้ายหน้า ห้องที่เข้าไปเจรจาว่าว่างแล้ว ก่อนจะผลุบหายไปทางหลังร้าน เธอพาทั้งสามลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนาญหนทางที่หลับตายังสามารถเดินได้อย่างไม่มีวันหลง แสงไฟริบหรี่ของหลอดไฟทำให้เห็นพื้นหินที่เฉาะแฉะไปด้วยแอ่งน้ำ ระหว่างทาง ฟริกก้ายังคงคุยเจื้อยแจ้วพร้อมกับถามชื่อนายจ้างทั้งสาม รวมถึงแนะนำตัวอย่างไม่เคอะเขิน ราวกับรู้จักทั้งสามคนมานาน จนทำให้เคราส์ ชายหนุ่มน้ำตาลอมยิ้มอย่างขบขัน เช่นเดียวกับเจอรัลล์ชายสูงวัยที่มองมาอย่างเอ็นดู ก็จะมีแต่คนหน้านิ่งเท่านั้นแหละที่มองมาทางเธอด้วยสายตาอ่านยากจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เซทส์ ที่ทั้งแต่เดินออกมาจากร้านเธอพึ่งได้ยินเขาพูดแค่ประโยคเดียว คือตอนที่แนะนำตัว ที่จริงถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พูดออกมาคำเดียวมากกว่า!

     

    ไม่นานฟริกก้าก็พาทั้งสามมายังกระท่อมที่ทำจากไม้และหิน ตรงเหนือประตูประดับด้วยตราประจำอาณาจักรอย่างชัดเจนบ่งบอกว่าเป็นเขตรอยต่อระหว่างดินแดน ฟริกก้าเคาะประตูสองสามทีด้วยเสียงอันดังจนกลัวว่ามือบางจะหัก  ไม่ช้าประตูไม้หนาก็เปิดออกพร้อมกับชายร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามปรากฏขึ้น  แผลเป็นตามเนื้อตัวทำให้คนๆนี้ดูดุดัน และแข็งแกร่งราวกับนักรบ ทั้งสามรีบกุมด้ามอาวุธประจำตัวแน่นส่วนสายตามองหาร่างบางที่เป็นคนเคาะประตูเมื่อสักครู่ ซึ่งตอนนี้หายต๋อมไม่เห็นแม้แต่เงา เช่นเดียวกันกับชายตรงหน้า ที่มองมาอย่างระแวดระวังมือหยาบกร้านเนื่องจากการจับดาบแตะที่ด้ามมีดซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวอย่างเตรียมพร้อม

     

    "ป่ะป๊า!! " เสียงหวานดังมาก่อนตัว ร่างบางที่พวกเขาไม่รู้ว่าไปบนหลังคาตั้งแต่เมื่อไหร่พุ่งเข้ามากระโดดคล้องคอชายร่างยักษ์ด้วยสรรพนามที่เด็กสาวพึ่งขยายความให้ฟังทำเอาทั้งสามต้องมองหน้าสองคนพ่อลูกสลับกันไปมาที่ไม่ว่าจะมองยังไง...

     

    'มันก็ไม่มีความเหมือนแม้แต่นิดเดียว!'

    "ฟริกก้า!" ชายวัยกลางคนถอนหายใจยาว สองมือที่เมื่อสักครู่กำด้ามดาบเปลี่ยนมารับร่างลูกสาวที่ซบหน้าลงกับหัวไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน

     

    "มาทำอะไรที่นี่ ลูกก็รู้ว่านี้เวลางานนะ แล้วสามคนนี้ใคร ลูกพามาหรือ เดี๋ยวนะนี่ลูกดื่มมารึเปล่า"  นาร์ซิสถามเมื่อได้กลิ่นเหล้าค่อนข้างแรงจากลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เริ่มเปลี่ยนโหมดมายิ้มอย่างประจบประแจง

                “หนูกินแบบผสมไม่เมาหรอกค่ะ ส่วนสานคนนี้คือผู้ว่าจ้างของหนูเอง เดี๋ยวคุยกันไปนะ หนูจะไปเก็บของเตรียมออกเดินทางแล้วก็จะไปลาพี่เนลด้วย ส่วนพวกคุณสามคนรอที่นี่ ฝากป่ะป๊าดูแลนายจ้างของหนูด้วยนะ"   ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งหายเข้าไปในป่าด้านหลังกระท่อม ไม่สนใจชายทั้งสี่คนที่ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายอย่างระแวง จนในที่สุดเจ้าของกระท่อมก็หัวเราะออกมาน้อยๆ มือที่เมื่อครู่กำด้ามดาบคลายออกแล้วลดลงมาแนบลำตัวอีกครั้ง

     

    "ท่านคงเป็นเออร์ซ่าแห่งรัลทันซ่า ท่านราชองครักษ์ และท่านนักบวชหลวงสินะ เชิญเข้ามาก่อนเถิด ข้านาร์ซิสซัส โฮเก้น ผู้คุมเขตแดนฝ่ายใต้"   นาร์ซิสผายมือเชื้อเชิญแขกสูงศักดิ์ทั้งสามเข้ามานั่งในบ้าน ส่วนทั้งสามคนมองหน้ากันเพื่อปรึกษาอะไรบางอย่างทางสายตา ก่อนที่จะตัดสินใจตอบรับคำเชื้อเชิญ

     

    "อีกนานกว่าลูกสาวข้าจะมา พวกท่านทำตัวตามสบายเถิด"   เมื่อไม่มีท่าทีคุกคามอย่างตอนแรกแถมยังรู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งสามจึงหายห่วงและผ่อนคลายมากกว่าเมื่อสักครู่มาก

    แล้วมันก็นานอย่างที่บิดาของเด็กสาวได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น  ฟริกก้ากลับมาพร้อมกระเป๋าใบเขื่องสองใบ ใบหนึ่งสะพายหลัง อีกใบถือไว้ในอ้อมแขน เธอมีทั้งผ้าพันคอ ผ้าคลุม และ อะไรต่อมิอะไรเต็มตัวไปหมดจนดูน่าขัน

     

    “นั่นเธอจะหอบอะไรไปเยอะแยะ” เคราส์ถามติดตลกหลังจากที่กลับมาจากการไปรับรถม้า แล้วมาเจอเด็กสาวกำลังหอบสัมภาระมากมายอย่างทุลักทุเล แถมของยังตกอยู่เกลื่อนตามทางที่เธอเดินมาเป็นช่วงๆ

     

    “ไม่ได้ตั้งใจจะแบกมาสักหน่อย เดี๋ยวก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่บางส่วน ว่าแต่นายเถอะออกไปเอารถม้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงแกยิ่งปิดร้านเร็วๆอยู่”  เด็กสาวถามโดยไม่มองคู่สนทนาเพราะกำลังก้มๆเงยๆอยู่ระหว่างกระเป๋าสองใบ

     

    “หลังจากที่เธอทิ้งพวกเราไปไม่นานหรอก” เคราส์ตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท เป็นจังหวะเดียวกับประตูของกระท่อมที่เปิดออก เป็นผลให้เด็กสาวหันขวับมามองอย่างคาดโทษแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากบ่นพึมพำอยู่ในลำคอจนฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว

     

    “โดนดุบ้างไหม ฮึ ของนี่พี่เขาให้มาล่ะสิ” นาร์ซิสเดาแล้วหัวเราะเมื่อลูกสาวคนเล็กพยักหน้าแรงๆราวกับจะฟ้อง ก่อนจะรูดซิบปิดผนึกกระเป๋าเป้เป็นสัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว

    “หนูเกือบไม่ได้ออกจากบ้านแหนะ พี่เนลจมูกดี พรุ่งนี้มีหวังแกร์รี่ตายแหงๆ ป่ะป๊าหนูทิ้งบางส่วนไว้ที่นี่นะ ป่ะป๊าอย่าให้พี่เนลเห็นเชียวนะ ครั้งที่แล้วงอนหนูต้องนาน หนูนี่ง้อแทบตาย”

                ฟริกก้าทำเป็นป้องปากกระซิบทั้งๆที่ระดับความดังของเสียงก็ไม่ใช่น้อยๆ ทำให้คนเห็นเหตุการณ์ต่างส่ายหน้าอย่างระอากับพฤติกรรมเด็กแสนเด็กของลูกจ้างหน้าสวย

     

    “ไปได้แล้วกว่าจะถึงที่นู่นก็สายๆ ตอนนี้ลูกพ่วงหน้าที่ดูแลคนอื่นแล้วก็อย่างลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ จะทำอะไรก็คิดให้มันดีๆเข้าใจไหม”

    นาร์ซิสบอกแล้วอ้าแขนรับลูกสาวที่โผเข้าหา มือหยาบขยี้ไปที่ศีรษะเล็กๆที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมหนาสีรัตติกาลอย่างรักใคร่ ขณะที่คนตัวเล็กก็รู้หน้าที่ดีเหลือเกิน แขนกลมกลึงโอบรอบเอวของบิดาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างออดอ้อน

     

    “หนูรักป่ะป๊านะ อยู่ที่นี่ก็อย่าซนนะ ไม่มีหนูคอยช่วยแก้ปัญหาแล้วนะ”  ฟริกก้าพูด ดวงตาสีฟ้าสดพราวระยับพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏขึ้นบนเรียวปากอิ่ม ทำให้คนเห็นเหตุการณ์ต้องกลั้นขำแทบไม่ทัน

     

    “นั่นมันป๊าต้องพูดไม่ใช่รึไง ไปได้แล้ว ไปๆ” นาร์ซิสขยี้ผมลูกสาวอย่างหมั่นเขี้ยวอีกครั้งแล้วดันหลังฟริกก้าให้ไปทางรถม้า แล้วตัดบทด้วยการโบกมือลาลูกสาวอีกครั้ง ในขณะที่ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองเด็ก สาวที่เริ่มกวักมือเรียกเขาให้รีบเดินตามเธอไป

     

                “พวกคุณใช้เวลาเดินทางมาที่นี่กี่วันนะ”

    ฟริกก้าถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ มือบางกำลังกะน้ำหนักมีดที่มีด้ามสีน้ำเงินแล้วสลักอย่างงด งามด้วยเงินพิสุทธิ์อ่อนช้อยด้วยการควงมันเล่น อย่างน่าหวาดเสียว

     

    "สิบสามเซทส์ตอบแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าตามด้วยเจอรัลลล์ ส่วนเคราส์ประจำตำแหน่งกุมบังเหียนเป็นสารถีอยู่ด้านหนารุม้าอยู่แล้ว

     

    "ถ้าอย่างนั้นขากลับฉันบอกทางเอง เพราะฉะนั้นฉันขอนั่งหน้าล่ะนะ พวกคุณไม่เกี่ยงเรื่องวิธีการเดินทางใช่ไหม"

    ฟริกก้าถามพร้อมกับโหนตัวขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว มือซ้ายที่ถือมีดสั้นเอาไว้เปลี่ยนมาสวมมันเข้าฝักโดยไม่มอง แล้วก็ไม่สนใจทั้งสามคนที่ทำเหมือนมองสิ่งแปลกใหม่ เพราะมีอย่างที่ไหนเป็นผู้หญิงแล้วจะมาบังคับม้าแต่ก็ไม้ได้พูดอะไร

     

    "ทำไม พวกเราดูเหมือนเป็นคนยังไงล่ะ"

    เคราส์ถามติดตลก ถึงกระนั้นดวงตามองไป รอบๆอย่างสังเกตการณ์ เช่นเดียวกับชายอีกสองคน ต่างจากอีกที่หันมายิ้มเผล่อย่างแสนกล

     

    "ก็แบบ พวกแบบคุณชาย กับองครักษ์ แล้วก็ปุโรหิตไงล่ะ!"                    
                
    ฟริกก้าตอบเสียงดังฉะฉานแล้วหัวเราะอย่างร่าเริง เช่นเดียวกับเคราส์ ส่วนคนหน้านิ่งได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาใบหน้าที่แทบจะไม่เคยแสดงความรู้สึกอมยิ้มน้อยๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นไม่รอดพ้นสายตาของคนที่เป็นหัวข้อของเสียงหัวเราะอย่างนักบวชหลวง เอาเป็นว่า การเดินทางในครั้งนี้คงจะสนุกขึ้นมาเป็นกอง

     

    ฟริกก้า หรือ ฟิลิแกน โฮเก้น เด็กสาวสุดประหลาดผู้ครอบครองดวงตาสีนภา ไหนจะอักขระ ประหลาดใต้ตานั่นอีก...ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสน ใจจริง โดยเฉพาะการที่ทำให้เออร์ซ่าแห่งรัลทัลซ่ายิ้มได้ แค่นี้เธอก็เป็นของหายากที่พันปีน่าจะมีสักคนหนึ่งก็เป็นได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×