คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 4 ว่าที่บอร์ดี้การ์ดจำเป็น
4
ว่าที่บอร์ดี้การ์ดจำเป็น
ร่างแบบบางในชุดแซ็กแขนกุดสีหวานนั่งหน้าพวงมาลัย
เบ็นซ์สปอร์ตคันหรูสีดำขับเคลื่อนอย่างนิ่มนวลตามวิสัยของผู้มีความรู้
ด้านการขับขี่รถยนต์อีกแขนง ซึ่งเจ้าของรถนั่งไขว่ห้างแขนข้างที่อ้างว่าเจ็บนักเจ็บหนาพาดไปกับพนักพิง
‘เอ๊ะ! ไหนบอกว่าเจ็บแขน แล้วไหงถึงพาดแขนได้ยาวเหยียดโดยไม่บ่นว่าปวดซักคำล่ะ’
คิ้วเรียวขมวดมุ่นปรายตามองกระจกหลัง ใช้สมองประมวลเหตุและผล และคำตอบก็ยังเป็น Insensible (หาเหตุผลไม่ได้) คงต้องรอดูกันไปว่านาย ‘ผีเค’ จะมาไม้ไหน ‘ชิ! คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ’
พอสัญญาณไฟโชว์สีเหลืองกำลังจะเลื่อนเป็นสีแดง เธอก็ (แกล้ง) เหยียบเบรกเต็มฝ่าเท้า
เอี๊ยด!!!
“อุ้ย! โทษทีค่ะ พอดีไฟแดงเสียก่อน”
คนเบาะหลังหัวคะมำหน้าคว่ำดีว่ามือยันเบาะรถด้านหน้าไว้ทัน
ไม่งั้นหัวเขากะแทกเบาะแน่“โอ๊ะ! อย่าทำบ่อยละกัน” เขาบอกเสียงเครียด หน้าตึง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ที่ถูก ‘พลขับ’ จำเป็นแกล้งเอา แล้วเบ็นซ์สปอร์ตคันหรูก็เลี้ยวโค้งตรงทางแยก ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า บริษัท พีเค เอนเนอร์ยี่ จำกัด
รถจอดนิ่งสนิทที่ลานจอดรถ เขียนป้ายชัดเจนว่าเป็นที่จอดรถประจำตำแหน่งของใครบ้าง สองร่างเปิดประตูออกจากรถพร้อมกัน
“ฉันส่งแค่นี้นะ เย็นนี้เจอกันที่โรงเรียนละกัน” เสียงหวานใสของ ‘พลขับ’ จำเป็นบอกกล่าว พร้อมกับยื่นกุญแจคืนให้ หากแต่มือหนากลับคว้าข้อมือเล็กไว้แทน
“ขึ้นไปข้างบนด้วยกันก่อน”
ร่างสูงไม่ฟังอีร้าค่าอีรมดึงร่างเล็กให้สาวเท้าเดินตาม คนภายนอกเห็นก็คงคิดว่าเขาไปฉุดลูกสาวใครมาเป็นแน่ ดีหน่อยที่ยัยปลาปิรัญย่า
ไม่โวยวายให้อายคน ได้แต่แสดงอาการฮึดฮัดขัดใจ
“เฮ้ย! ไม่ต้องลากก็ได้ ปล่อยได้แล้ว”
“เป็นสาวเป็นนางพูดเพราะๆ สมกับเป็นกุลสตรีเหมือนตอนอยู่ที่บ้านหน่อย”
“เรื่องของฉัน ปล่อยได้แล้ว” เธอย้อนหน้าตาบูดบึ้ง พยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือตัวเอง แต่ไร้ผลเลยต้องเดินตามร่างสูงอย่างจำใจผ่านหน้าสองประชาสัมพันธ์สาวที่เห็นอาการลากดึงหญิงสาวแปลกหน้าผ่านหน้าไป ก็ได้เวลาที่พวกเธอจะแอบเนียนสนทนา ถกปัญหา ว่าด้วยเรื่อง ‘ท่านรองลากใครมา’
ทางด้านชรัญดาที่เดินตามแรงลากดึงของคนตัวโต กระทั่งเข้ามายืนอยู่ภายในลิฟต์ ท่อนแขนเรียวยกกอดอกเม้มปากแน่น หน้าตาแบบว่า ไม่สบอารมณ์สุดๆ
“เป็นไร” เสียงทุ้มนุ่มเปรยถามคนข้างกาย นัยน์ตาพราวระยับ
นึกชอบใจที่แกล้งชรัญดาได้
“เป็นมนุษย์เดินดินคนหนึ่งที่ไม่ปลื้มการกระทำของคุณ” ตอบเสียงรวนๆ เหล่ตามองคนตัวโต ซึ่งเธอเห็นเพียงคางเขียวครึ้ม และแรงกระเพื่อมของอกกว้าง
‘เขาหัวเราะ... หัวเราะทำไม มันตลกตรงไหน’
“แล้วแบบไหนรัญถึงจะปลื้ม”
ชรัญดาขยับมองเจ้าของร่างสูงตรงๆ เต็มตา ไม่เข้าใจประโยคที่เขาพูดถึง ว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเธอบอกรูปแบบที่เธอถูกใจไป เขาจะหามาให้รึไงกัน
“แบบที่ตรงข้ามกับคุณทุกอย่าง”
“แสดงว่ารัญชอบผมน่ะสิ”
เปลือกตาเบิกโพลง กัดริมฝีปากล่างแน่น ฮึดฮัดขัดใจที่เขา ‘พูดแทงใจดำ’ “หลงตัวเองชะมัด” พึมพำกับตัวเอง วงหน้าแดงก่ำ ร้อนซู่ หลบตาเขาพัลวัน เพราะไม่อยากให้เขาจับไต๋ได้ แต่ไม่วายเสียงทุ้มจะเกทับมาอีก
“โบราณว่า ผู้หญิงด่าเขาว่าผู้หญิงรัก ผู้หญิงให้จวักเขาว่าผู้หญิงกวักมือ ผมชักจะคล้อยตามแล้วสิ หึหึ”
คราวนี้ชรัญดายืนนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก เพราะรู้สึกว่า ยิ่งต่อความเธอจะยิ่งเสียเปรียบ
เธอรู้สึกไม่ได้ดังใจตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้มันผิดแผนไปเสียหมดแทนที่ ‘อีตาผีเค’ จะปฏิเสธกลับลากเธอมาเทสงานบอดี้การ์ดจำเป็น ก่อนการตัดสินใจซะงั้นเวรแท้ เธอไม่อยากอยู่ใกล้เขาไปมากกว่านี้แค่ได้อยู่ร่วมกันตามลำพังสองต่อสองไม่กี่ชั่วโมง เธอก็รู้สึกหงุดหงิด ประหม่า อายเขิน คันยุกยิกในหัวใจจนทำอะไรไม่ถูก หนักกว่าครั้งที่ได้ข่าวการควงสาวไม่ซ้ำหน้าของเขา แค่นั้นก็ทำเอาเธอไม่อยากค้นหาคำตอบที่ตัวเธอเองก็รู้ดีว่ามันคืออะไร
ประตูลิฟท์เปิดกว้างร่างสูงผายมือ โค้งตัวน้อยๆ เชื้อเชิญว่าที่บอดี้การ์ดจำเป็นเชิงล้อเลียน ซึ่งเธอไม่กล้าแสดงฤทธิ์เดชในขณะมีบุคคลที่สาม
นั่งมองอยู่หน้าโต๊ะทำงานหน้าห้องซึ่งมีป้ายติดไว้ตรงหน้าประตูชัดเจนว่าเป็นห้องของ ‘รองประธาน’
จีจี้ลุกยืนทักทายเจ้านายเสียงหวานตามสไตล์สาวมั่นที่ไม่หวั่นต่อสายตาผู้ใด เมื่อในวันนี้เธอมาในชุดเกาะอกสีเหลืองสดจับจีบตรงหน้าอกคล้ายกลีบดอกไม้ สวมทับด้วยสูทสีดำเข้มเข้าคู่กับกระโปรงทรงเอพอดีตัว ไม่คับติ้วเหมือนทุกครั้ง แต่งหน้าเข้มหากแต่ดูน่ามอง คราวนี้ดูดีกว่าครั้งไหนๆ เยอะ...
“สวัสดีค่ะท่านรอง จีจี้นึกว่าวันนี้ท่านรองจะไม่เข้าเสียอีก”
“ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะ อ้อ! ผมขอเครื่องดื่มกับของว่างให้คุณผู้หญิงด้วยนะ” เขาตอบพร้อมกับสั่ง ไม่ได้ให้ความกระจ่างว่าสาวสวยที่มาด้วยเป็นใคร แต่จีจี้เลขาคนเก่งก็ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย
อยู่แล้ว ลับหลังเจ้านายเธอก็ออกไปจัดหาตามที่สั่งทันที
ชรัญดาเข้ามายืนคว้างกลางห้องทำงานตัวใหญ่ของชายหนุ่ม
ด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เอ่ยถามน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด ทำทีกระวนกระวายใจยกนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กขึ้นดูพร้อมให้เหตุผล ทว่าเขาสวนกลับแบบที่ศัลยแพทย์มือหนึ่งยังไม่กล้ารับเย็บแผลหน้าแตกของเธอ
“คุณให้ฉันขึ้นมาด้วยทำไมคะวันนี้ฉันมีสอนนะ...”
“อย่ามาอำ รัญหยุดทุกวันจันทร์แล้ววันนี้ก็วันจันทร์ รัญจะไปสอนใคร”
“ก็...” สมองน้อยๆ ปั่นประมวลผล คิดหาเหตุผลมาหักล้างทั้งที่หน้าแดงก่ำอับอายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ปกติเธอจะเป็นฝ่ายต้อน ไม่เคยถูกต้อนจนจนมุมเสียเองแบบนี้มาก่อน “ก็...ไปทำธุระส่วนตัวฉันบ้างสิ แล้วทำไมฉันต้องบอกคุณทุกเรื่องด้วยเนี่ย”
“ก็ต่อไปรัญต้องมาคอยปกป้องดูแลผม ผมก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของ บอดี้การ์ดส่วนตัว ทุกย่างก้าว จริงมะ” บอกพลางเลิกคิ้วให้หญิงสาวแบบกวนๆ
คนฟังรู้สึกไม่สบอารมณ์กับประโยคแปลกๆ นั้น แต่ยังแย้งไป
ตามจริง “การทดสอบยังไม่เริ่มเลย จะมาติ๊ต่างว่าฉันเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวคุณได้ยังไง อีกอย่างฉันอาจจะแพ้คุณก็ได้ ใครจะรู้”
“แต่ผมกลับมั่นใจว่ารัญจะ ชนะ” เขาตอบส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มีชัยให้เธอพลันบอกอย่างใจดีพลางยื่นกุญแจรถให้ “เอารถผมไปใช้ได้เลยนะ แล้วค่อยกลับมารับผม”
“เอ... ฉันว่า...” เธอจะค้านแต่เขากลับยัดกุญแจรถใส่มือเธอ พลันหมุนตัวเดินไปทิ้งกายบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ คว้าแฟ้มเอกสารออกมา
เปิดอ่าน หมดความสนใจเธอตั้งแต่บัดนั้น
อีตาผีเคบ้า! ชอบทำอะไรเอาแต่ใจอยู่เรื่อยเลย เอาไงล่ะทีนี้ จะอยู่ต่อ หรือจะไป โดยยืมรถเขาใช้ก่อนมันก็คงต้องเป็นอย่างหลังเพราะเธอไม่ได้เอารถมาด้วยนี่นา
ร่างเล็กหมุนขวับสวนกับเลขาสาวมั่นซึ่งถือถาดของว่างเข้ามาพอดิบพอดี เลยได้แต่ยืนงงส่งสายตาเป็นคำถามไปหาเจ้านายสุดหล่อแล้วก็ได้คำตอบ
“เขารีบไปทำธุระน่ะ ผมขอกาแฟแก้วนึงนะ”
จีจี้ยกถาดกลับไปจัดการชงกาแฟสูตรของเจ้านายนำมาเสิร์ฟแทน
ร่างเล็กของชรัญดาเดินลิ่วออกจากบริษัทของชายหนุ่มยืนตัดสินใจอยู่นานก็ก้าวเดินไปยังลานจอดรถส่วนของผู้บริหารขับรถลูกชายเจ้าของบริษัทออกไป
แรกทีเดียวเธอว่าจะโทรนัดอานนท์มาทานอาหารเที่ยงด้วยกันแต่ลองคิดอีกทีไปช็อปปิ้งซื้อของใช้ส่วนตัวแล้วกลับไปนอนดูหนังที่ห้องคงเข้าทีกว่าเป็นไหนๆ ระหว่างที่เธอเลือกซื้อของสมองก็แอบคิดถึงพฤติกรรมที่โภคินแสดงออกจะว่าเขาแกล้งก็ไม่ใช่ เห็นๆ อยู่ว่าเขาเจ็บจริง (ตามที่ลุงภามและพ่อเธอบอกเล่านะยังไม่เห็นแผลกับตาตัวเอง) ทีแรกเขาประกาศเจตนารมณ์ออกชัดว่าไม่ต้องการบอดี้การ์ด แถมบอดี้การ์ดสาวอ้อนแอ้นอย่างเธอด้วยแล้ว เขายังปรามาสว่าเธอจะดูแลตัวเองได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย
แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจอยากเทสเธอขึ้นมาล่ะ เฮ่อ...แปลกคน แล้วดูเถอะให้เธอเอารถมาใช้หน้าตาเฉย คนรู้ใจกันก็ไม่ใช่ แฟนยิ่งตกไกล เจอหน้าแทบจะฆ่ากันอยู่แล้วคิดจนสมองจะระเบิดก็ไม่เก็ท
“คุณคะสองพันห้าร้อยยี่สิบห้าบาทสามสิบสตางค์ค่ะ”
เสียงของแคชเชียร์สาวขานบอกราคาสินค้าที่จะต้องจ่ายเป็นรอบที่สองมั้งเพราะครั้งแรกเธอได้ยินแว่วๆ เท่านั้น มือเล็กล้วงเงินจากกระเป๋าสตางค์หยิบแบงค์สีเทาให้ไปสามใบ เธอไม่ชอบใช้บัตรเครดิตมันสะดวกก็จริงแต่มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเงินสดติดกระเป๋ายังไงก็ไม่รู้ แล้วส่วนมากเธอชอบเดินตลาดสดซื้อของจากร้านโชว์ห่วยด้วยเลยต้องพกเงินสดติดตัว ใครจะว่าหัวโบราณก็เถอะ แต่พอดีคราวนี้ห้างนี้เป็นทางผ่านเลยแวะเสียหน่อยขี้เกียจขับรถไปตลาดซื้อของจากร้านประจำ
มือน้อยถือถุงหิ้วติดแบรนด์ของห้างยัดถุงของใช้วางไว้ที่ท้ายรถ นี่ก็เป็นอีกอย่างปกติถ้าเป็นรถเธอจะมีถุงผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของเวลาเดินช็อปก็หิ้วถุงนั้นแหละไปด้วย ไม่เปลืองถุงพลาสติก ช่วยลดขยะได้ด้วย แต่คราวนี้จำใจต้องใช้มันเพราะนี่ไม่ใช่รถเธอที่จะมีของพันนั้นติดรถ มีแต่...
ดวงตากลมโตเหลียวมองไปรอบๆ รถ สำรวจอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ได้เห็น สายตาเธอปะทะเข้ากับกล่องขนาดเท่าฝ่ามือสีสันและตัวอักษรบ่งบอกชัดว่ามันคือ ‘คอนดอม’ แบบ...แปลกๆ เพราะหน้ากล่องเขียนไว้ว่า ‘Play Pure Fantasy เพลย์อัลรัว สั่นได้’
งงอะ! ไม่เข้าใจ ชื่อยี่ห้อน่ะอาจใช่ แต่หลังจากเธอเพ่งพิศมองยังไงเธอก็ว่ามันไม่ใช่คอนดอมแน่ๆรูปลักษณ์คล้ายกับ ‘นิ้วมือ’ มากกว่านะ
“แล้วนี่เธอจะมานั่งสำรวจรถของคนอื่นทำไมยัยรัญ ยัยบ๊องเอ๊ย!” พึมพำต่อว่าตัวเองพลางส่ายหัวจนผมกระจายสลัดเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คออกจากหัวแล้วจึงเคลื่อนรถออกจากลานจอดของห้างกลับเคหะคอนโดห้องชุดของเธอ
เกือบชั่วโมงทีเดียวกว่าเธอจะฝ่าด่านการจราจรอันแออัด และหลุดพ้นมาได้ พอถึงห้องเธอก็ใช้เวลาหมดไปกับการทำความสะอาดห้องของเธอจนสะอาดเอี่ยมจากนั้นก็รื้อค้นแผ่นดีวีดีที่เธอเคยซื้อหนังเกรดเอพึ่งออกจากโรงมาเก็บไว้ยังไม่ได้ดูออกมาฉายกับเครื่องเล่นระบบโฮมเธียเตอร์ นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมของชรัญดา ที่ชื่นชอบการดูหนังที่บ้านไม่ชอบดูที่โรงหนังเลยสะสมแผ่นหนังดังๆ ไว้เยอะแยะมากมายหลายเรื่องเชียว แขกไปใครมาก็จะขอยืมบ้างแล้วเธอก็จำได้หมดหากใครคนนั้นไม่คืน เป็นโดนเฉ่งหูชาแน่อานนท์โดนประจำเลยล่ะ...
เรื่องที่สามกำลังฉายอย่างเข้มข้นเมามันหากคราวนี้กลับกลายเป็นว่า ‘มูฟวี่ดูเธอ’ กระทั่งเวลาล่วงเข้าห้าโมงเย็นเสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กทรงประสิทธิภาพที่วางข้างโต๊ะตัวเล็กใกล้กับโซฟาตัวยาว ทั้งดังทั้งสั่นเรียกร้องให้เจ้าของควานมือกดรับอย่างหงุดหงิดสุดๆ
“นี่อยู่ไหนมันจะห้าโมงแล้วนะ เมื่อไหร่จะมาสักที”
“...”
เสียงตะคอกดังมาตามสายหากคนรับยังมึน ใครอะ...อยู่ๆ ก็มาตะคอกใส่บอกให้ไปรับ มือน้อยขยับโทรศัพท์เครื่องเล็กออกจากใบหูชายตาดูเบอร์ที่โชว์ ทว่าเป็นเบอร์ที่เธอไม่คุ้นเอาเสียเลย สงสัยโทรผิดมั้งแล้วมือเล็กก็กดวางสายอย่างไม่ต้องการจะเสวนาด้วยคนกำลังหลับสบาย
แต่... เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เธอเลยกรอกเสียงงัวเงียไต่ถามให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าใครกันแน่ ที่บังอาจโทรมาก่อกวน
“ฮัลโหล โทรผิดรึเปล่าคะ ฉันไม่รู้จักคนใช้เบอร์นี้แน่ๆ รบกวนเช็คเบอร์ดีๆ ด้วยนะคะ แค่นี้นะ...” ขนาดเมาขี้ตายังตอบด้วยวาจาไพเราะเสนาะหูคนฟังแท้ หากแต่ ‘คนฟัง’ กำลังโมโห ปนขำ กับคำตอบของตัวต้นเหตุแห่งความโมโหของเขา
“ผมโภคิน แล้วผมก็เช็คเบอร์ดีแล้วด้วย ตอนนี้รัญอยู่ไหน”
“...” ชรัญดาอึ้งไปเลย กะพริบตาถี่ๆ ขยับกายลุกนั่ง ถามกลับด้วยความสงสัย “คุณรู้เบอร์ฉันได้ไง”
“ถามแปลก พ่อรัญเป็นมือขวา เป็นเพื่อนพ่อผมนะ แล้วนี่เมื่อไหร่จะถึงออฟฟิศเสียที ผมรอนานแล้วนะ” เขาตะคอกเสียงตอบพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ขุ่นเข้มเข้าไว้ คนปลายสายจะได้กลัว แต่เปล่าเลยให้ตาย!
“แล้วคุณจะรอฉันทำไมล่ะ ไม่ใช่แฝดอินทร์จันทร์เสียหน่อย”
ร่างเล็กตั้งท่าโต้คารมกับ ‘ผู้รบกวน’ เต็มที่
“ผมบอกให้คุณกลับมารับ จำได้มั้ย”
“หืม! เมื่อไหร่ ไม่ได้ยิน”
โภคินได้ฟังถึงกับมึน แม่คุณหูเฝื่อนรึไงถึงไม่ได้ยินที่เขาบอก “แล้วจะเอาไงผมไปโรงเรียนคุณไม่ถูกหรอกนะ”
“ไปไม่ถูกก็ไม่ต้องไปสิ ชิ!”มือเล็กยกโทรศัพท์ออกห่างเรียวปากนินทาในระยะเผาขน จนคนปลายสายต้องตะคอกขู่ถามเพื่อความแน่ใจ
“เมื่อกี๊! ว่าไงนะ”
“รอนานหน่อยล่ะ ช่วงนี้รถติด...” เรียวปากเล็กตอบเว้นระยะไว้ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนัง เข็มสั้นชี้เลขห้าเข็มยาวชี้เลขหนึ่งแล้วบอกพร้อมกดวางสาย “คงไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แล้วเจอกัน”
คนปลายสายถึงกับจ้องโทรศัพท์เครื่องเล็กอารมณ์ค้างรู้สึก ‘จิต
หงุดเงี๊ยว’ เอ่อ! ‘จิตหงุดหงิด’ และคนที่จะต้องสนองอารมณ์นั้นต้องเป็น ‘ยัยปิรัญย่าเขี้ยวลาก’ เท่านั้น
จริงๆ แล้วเขารู้ดีทีเดียวล่ะว่า โรงเรียนของหญิงสาวอยู่ไหน เพราะเขานัดลูกค้าไปเลี้ยงอาหารแถวนั้นบ่อยครั้ง เดินผ่านหน้าโรงเรียนก็หลายหน แต่ไม่เคยได้พบเห็นชรัญดาแบบใกล้ๆ สักครั้ง จนเขาเคยคิดว่า ระหว่างเขากับชรัญดาคงเป็นได้แค่คนรู้จัก ขนาดเดินเข้าไปสมัครเรียนด้วยตัวเองแท้ๆ ทางโรงเรียนยังบอกว่า ‘เต็มแล้วค่ะ’ เขาเลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปจะดีกว่า
ไม่คิดว่าเกือบห้าปีต่อมา เขาจะได้เผชิญหน้ากับ ‘ยัยปลาปิรัญย่าตัวแสบ’ อีกครั้ง ในรูปแบบที่เขาไม่เคยคาดหวังอีกด้วย แต่เชื่อเถอะว่าเขารอเวลาเช่นนี้มานานเหลือเกิน
เจ้าของร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพอดีตัวกับกางเกงยีนส์เอวต่ำขาเดฟสี่ส่วน รองเท้าผ้าใบสีขาวแบบนี้หน่อยถึงจะเป็นสไตล์ในแบบที่ชรัญดาชอบ หญิงสาววิ่งหน้าตั้งผ่านประตูหน้าบริษัทกดลิฟท์ชั้นผู้บริหารเข้ามายืนหอบหายใจตรงหน้าโต๊ะเลขาคนสวยที่ยังนั่งทำงานด้วยชุดสีเหลืองนวลเหมือนเมื่อเช้าส่งยิ้มให้เธอแล้วบอก
“ท่านรองรออยู่เลยค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ทำให้คุณ...เอ่อ กลับเย็นเลย” เธอกล่าวขอโทษอย่างสำนึกผิดจริงๆ เลขาสาวผู้มีอัธยาศัยดีขัดกับดวงหน้าซึ่งถูกตกแต่งมาอย่างคมดุ แต่เธอก็ชอบ ดูเป็นกันเองดี
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อ้อ...จีจี้ค่ะ เรียกพี่จีจี้ก็ได้ พี่อายุเท่าท่านรอง แล้วดูหน้าตาของคุณแล้วก็น่าจะอายุน้อยกว่าพี่มากทีเดียว”
“รัญค่ะ จริงอย่างที่คุณจีจี้ว่านั่นล่ะค่ะ รัญอ่อนกว่าคุณโภคินห้าปี ฉะนั้นรัญขอเรียกคุณจีจี้ว่า พี่จีจี้ ตามนั้นละกันนะคะ” ชรัญดาส่งยิ้มเป็นมิตรให้เลขาคนสวยก่อนพยักพเยิดเข้าไปภายในห้องคล้ายต้องการทราบความเคลื่อนไหวและจีจี้ก็เข้าใจความนัยนั้นเสียด้วย
“อ๋อ! หน้าตาเหมือนกินรังแตนมาเลย เมื่อกลางวันยังดีๆ อยู่เลยนะคะ พอตกเย็นไหงเป็นงี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันคุณรัญลองเข้าไปดูสิคะ”
เธอพยักหน้าเข้าใจพลางขยับเท้าไปตรงหน้าประตูพร้อมกับเคาะให้สัญญาณ ก่อนผลักเข้าไปเมื่อได้รับอนุญาตจากคนภายในห้อง
“คุณจีจี้กลับก่อนก็ได้นะไม่มีอะไรแล้วล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มเอกสารตรงหน้า
“เดี๋ยวฉันไปบอกให้ค่ะ” ร่างเล็กรับสมอ้างเดินไปบอกคนหน้าห้องซึ่งก็พยักหน้าเข้าใจ พอเธอเดินกลับมาอีกทีคนตัวสูงร่างแกร่งก็ลุกมายืนจังก้าหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่พร้อมสั่งเสียงดุ
“ไปได้แล้ว ป่านนี้ผู้ใหญ่รอแย่แล้วมั้ง”
ร่างสูงคว้ากระเป๋าเอกสาร เสื้อสูทเดินหน้าตึงนำหน้าเธอไปไม่ใส่ใจจะถามซักนิดว่าทำไมถึงช้า เธอได้แต่อึ้งมองตามร่างของเขาจนเหลียวหลังก่อนเดินตามอย่างเสียมิได้ ถ้าไม่คิดว่าต้องรักษาไว้ซึ่งโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวชรัญดาแล้วละก็ อย่าหวังว่าฉันจะแยแสนาย! และเธอยังต้องทำหน้าที่ ‘คนขับรถจำเป็น’ เช่นเคย
ดีที่โรงเรียนตั้งอยู่ภายในห้างดัง ย่านการศึกษาที่ใกล้กับย่านธุรกิจไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ หากแต่เธอกับเขาไม่เคยพานพบกันเลย
คุณภามและคุณชรัญมารออยู่ก่อนแล้ว พวกท่านจึงไม่อยากจะเสียเวลาไล่สองหนุ่มสาวไปเปลี่ยนชุดบอกว่าการเป็นบอดี้การ์ดไม่มีเวลามาเปลี่ยนชุดหรอก ต้องดูแลบุคคลสำคัญตลอดจะมัวมาเสียเวลาไม่ได้
โภคินซึ่งเห็นด้วยเลยถอดสูทเข้าชุดออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมเผยแผงอกกว้างพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้นระดับศอกตีสีหน้ายียวนพลางกวักมือเรียกหญิงสาวให้เข้าจัดการเขาได้เลย ท่าไหนก็ได้!
ส่วนคนถูกท้าที่ยังมีกระเป๋าสะพายบนไหล่ก็ใจเย็นสุดแสน ตาจับจ้องที่ร่างสูงหากโยนกระเป๋าสะพายให้พ้นทาง ตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการรุกและรับเต็มที่ แล้วการต่อสู้ต่างไซด์ระหว่างชรัญดาและโภคินก็เริ่มขึ้น
ร่างแบบบางเปิดฉากจู่โจมก่อน ทว่าร่างสูงกลับหลบได้ทันและคล่องแคล่วเสียด้วย นับว่าฝีมือเขาพัฒนาจากที่เคยฝึกซ้อมกันเมื่อสมัยเด็กมากมาย เธอคงจะประมาทไม่ได้เสียแล้ว
จากที่คิดว่าจะทำทีว่าตัวเองแพ้ก็กลับนึกสนุกเมื่อความทรงจำสมัยเด็กไหลย้อนกลับมาให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะเอาชนะขึ้นมา
ก็เมื่อก่อนเธอจะถูกเขาทุ่มอยู่ฝ่ายเดียวด้วยรูปร่างที่ต่างกันมากเหมือนในตอนนี้
มือเล็กเหวี่ยงหมัดตรงกะว่าโดนดวงหน้าหล่อเหลาเต็มๆ แต่เปล่าเขากลับเอนกายหลบได้แบบเฉียดฉิว ป้องกันใบหน้าจากกำปั้นน้อยๆ ได้อย่างหวุดหวิด เขาเอนหลบมายืนเยื้องข้างแขนเรียวได้รูปก่อนตวัดมือกระชากแขนเรียวเล็กบิดมาทางด้านหลังเนียนนุ่ม หากแต่ผ่อนแรงไม่ให้เธอเจ็บมากนักพลางกระซิบเยาะข้างใบหูหอมกรุ่นที่ส่งกลิ่นกรุ่นหอมเรียกร้องให้บุรุษเพศสยบแทบเท้า
“ฝีมือยังอ่อนหัดเหมือนเดิมเลยนะ” เย้ยเสร็จก็ผลักร่างบางจน
เซหลุนๆ ตั้งหลักแทบไม่อยู่ พลางเต้นฟุตเวิร์คสลับเท้าไปมาคล้ายมวยสากลกวักมือเรียกร่างบางให้เข้ามาจัดการเขาเสียที
‘ฮึ้ย! ทำไมไวอย่างนี้เนี่ย! แล้วเราเป็นถึงครูสอนศิลปะป้องกันตัว
มีใบเซอร์รับประกันหลายแขนงจะมาแพ้ผู้ชายคนนี้ง่ายๆ ได้ไงไม่ยอมหรอก’
จิตที่เคยสงบนิ่งผ่านการฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญพาลจะฟุ้งซ่านเพราะคำปรามาสของคู่ซ้อมเมื่อสมัยเด็กซะงั้นเลยลืมคิดไปเลยว่าหากชนะเธอต้องเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้เขา!
ชรัญดารวบรวมสมาธิเข้าต่อสู้ในระยะประชิดในท่าที่เธอถนัดที่สุดและเพียงเวลาไม่ถึงนาทีเธอก็สามารถปัดป้องมือหนาที่บุกจู่โจม ดุดัน
ล็อคแขนหนาหักบิดไขว้ จับกดในท่า ‘คะตะเมะวาซะ’ ของศิลปะป้องกันตัว ‘ไอคิโด’ ให้เขานอนราบลงกับพื้นในท่ายอมจำนนแบบดิ้นรนยังไงก็ไม่หลุด
“โอ๊ะ!”
เพียงเท่านั้นจริงๆ ที่เขาเปล่งเสียงแล้วลุกขึ้นยืนเมื่อยัยตัวเล็กแต่พิษสงเหลือร้ายยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมจากผู้ชมกิตติมศักดิ์ทั้งสองดังกึกก้องห้องเรียน
“เก่งจริงๆ เลยหนูรัญ สมกับไปร่ำเรียนกับปรมาจารย์จากแดนอาทิตย์อุทัยมาเป็นไงไอ้ลูกชายพอจะดูแลและปกป้องแกให้ปลอดภัยได้รึยัง” คุณภามหัวเราะร่วนถูกใจกับบอดี้การ์ดของลูกชาย
คนถูกชมยิ้มรับก้มหน้าโค้งคำนับน้อยๆ แล้วเธอก็นึกได้พอได้ยินประโยคนั้นชัดเจน ‘ตายแน่ฉัน!’
“ครับ บอดี้การ์ดส่วนตัวผมเก่งที่หนึ่งเลย” เขาตอบรับเสียงทุ้มนุ่ม ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย เริ่มปรึกษาหารือ “ทีนี้บอดี้การ์ดส่วนตัวผมคงต้องไปพักกับผมที่ห้อง คุณอาจะมีปัญหาอะไรมั้ยครับ” เขาหมายถึงห้องชุดชั้นบนสุดของออฟฟิศซึ่งเป็นที่พักถาวรของเขายามทำงาน จะได้ไม่เสียเวลาเดินทาง
“อ่า... ไม่นี่ อาไม่มีปัญหาหน้าที่ต้องมาก่อนเสมอแต่อาก็หวังว่าคุณโภคินจะเป็นลูกผู้ชายพอ” คุณชรัญอนุญาต พลันดักคอ ปรามชายหนุ่มไว้บ้าง ซึ่งเขาก็รับปากเป็นดิบดี
“ครับ”
“พ่อ! รัญเป็นผู้หญิงนะคะ จะให้ไปพักกับผู้ชายในที่รโหฐานได้ยังไง ห่วงลูกบ้างมั้ยเนี่ย”หญิงสาวเพียงคนเดียวโวยวาย ทว่าจะมีใครสนใจก็หาไม่
“ลุงเชื่อว่าหนูรัญจะจัดการเจ้าพีเคได้อย่างแน่นอน ฝีมือหนูออกจะฉกาจขนาดนั้น” คุณภามชมจากใจจริง “แต่ถ้าเจ้าพีเคคิดไม่ซื่อลุงไฟเขียวให้หนูรัญจัดการได้เลย ลุงจะไม่ปกป้องลูกชายเด็ดขาด เข้าใจนะพีเค”
ท่านเปิดทางพร้อมกำชับลูกชายด้วยน้ำเสียงเข้มงวดก็ท่านรู้ว่าลูกชายท่านไหลลื่นขนาดไหน แล้วชายหนุ่มก็เป็นสไตล์แบบว่า ‘ยิ่งห้ามยิ่งยุ’
“แหม ทุกคนต่างห่วงใยชรัญดา ไม่ห่วงผมบ้างเลยนะคร้าบบบ เกิดผมถูกจับ ทำร้าย จะทำไง ใครจะช่วยผมได้” โภคินเย้า ลอบมองปฏิกิริยาของทุกคนแต่ก็นิ่งเรียบเหมือนสายน้ำยกเว้นคนเดียวที่โวยวาย ไม่รู้แกล้งรึเปล่า!
“นี่! นายผีเค!”
“เอาล่ะๆ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย นี่ก็ค่ำมากแล้ว เราแยกย้ายกันกลับเถอะ รัญดูแลตัวเอง แล้วก็คุณพีเคด้วยนะลูก” คุณชรัญห้ามทัพพลางเตือน
“แต่...” สายตาคมกล้าของผู้เป็นพ่อเข้มขึ้นอย่างปรามๆ เธอเลยต้องรับปากพร้อมกับต่อรอง
“ค่ะ แล้วรัญต้องอยูดูแล ‘คุณชาย’ นานแค่ไหนคะ”
“จนกว่าจะรู้ตัวคนร้าย คงไม่เกินสามเดือนหรอกลูก” ประโยคนี้คุณภามเป็นคนกล่าว
พอทุกอย่างลงตัวคุณภามและคุณชรัญก็ขอตัวกลับบ้านสวน ซึ่งใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมง ทิ้งให้สองหนุ่มสาวยืนนิ่งจ้องกันไปจ้องกันมา และแล้ว...
“โอ๊ย! แล้วทำไมฉันต้องมาคอยดูแลปกป้องคุณด้วยเนี่ยบ้าที่สุดเลย!”ชรัญดาหัวฟัดหัวเหวี่ยงหงุดหงิดอย่างทำอะไรไม่ได้ ‘ตัวปัญหา’ ของเธอยังมีหน้ามาเยาะอีก
“ผมก็ไม่ได้บังคับนี่ ถ้ารัญไม่เต็มใจบอกปฏิเสธก็ได้นะ” จบประโยคไม่เท่าไหร่ มือน้อยก็ตวัดฟาดต้นแขนขวาเขาอย่างจัง คงจะหมั่นไส้แกมโมโห
“โอ๊ย!”
มือหนาจับต้นแขนข้างขวาที่ถูกมือเล็กฟาดจนรู้สึกได้ถึงความปวดหนึบ เจ็บบริเวณบาดแผล
“เป็นไรอีกล่ะ เมื่อกี๊ ยังดีๆ อยู่เลย”
“ปวดแผลน่ะ”
“อ้าว! ไหนดูซิ” ร่างเล็กหันขวับเลิกคิ้วถาม มือน้อยคลำเนื้อตัวชายหนุ่มเพื่อขอดูแผลของเขาซึ่งก็เห็นเพียงรอยซึมของเลือดจากปากแผล แม้จะเล็กน้อยแต่ก็น่าตกใจ ตามจริงแผลควรตกสะเก็ดแล้วด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ “เลือดซึมเยอะเลย ต้องรีบทำแผลด่วนเลย เรากลับกันก่อนดีกว่า คุณพักที่ไหนเดี๋ยวฉันไปส่งคุณก่อน”
“แล้วรัญจะไปไหน คิดจะผิดคำพูดรึไง” เขาเงยหน้าถามเตรียมโวยวายเต็มที่
“ก็ไปเก็บเสื้อผ้าที่ห้องสิ ฉันมีทางเลือกซะที่ไหนล่ะ” บอกพลางเหลือบมองแผลบนไหล่ของชายหนุ่ม
“แล้วไป ขอผมทำแผลที่ห้องรัญเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา ไปเถอะ”
--- Beloved Bodyguard ---
โปรดติดตามตอนต่อไป --->>>
สฤษดิ์
https://www.facebook.com/chaya.kam
ความคิดเห็น