“นะ นะ ขอร้องล่ะ ช่วยเอาหมอนี่ไปดูแลหน่อย สามวันนี้ฉันไม่ว่าง ติดงานจริง ๆ”
คริสอยากจะกุมขมับ แล้วทำไมเขาต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้โทมัสด้วย!
“เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ นายบอกว่าฉันเป็นคนในตระกูลเฮมสเวิร์ธแล้ว คนในครอบครัวมีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันสิ”
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นฉันจะไม่พูดเลยสักคำ...”
“แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญกับฉันมากนี่นา ไม่สิ เผลอ ๆ อาจจะสำคัญกับโลกนี้ด้วย... นายเป็นซูเปอร์ฮีโร่นะ!นี่เป็นงานของนายไม่ใช่เหรอ”
“งานของฉันคือการเป็นนักแสดงต่างหาก”
“นายแสดงเป็นธอร์ไง” ไม่เสียทีที่รับบทเจ้าของสมญาชิวหาเงิน อีกฝ่ายตะล่อมไปจนได้ “ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็เป็นความรับผิดชอบของนาย ถ้าโลกิงอแงอาละวาดขึ้นมา โลกมีหวังพังเป็นแถบ ๆ ถึงตอนนั้นนายจะทำยังไง เรียกค้อนออกมาสู้ก็ไม่ได้”
“...ทำไมถึงใช้คำว่างอแงอาละวาด” อย่างกับไอ้ตัวป่วนนั่นอายุสักห้าขวบ
“น่า ตกลงแล้วนะ คริส นายนี่มันน่ารักที่สุดเลย! กลับมาแล้วเดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ สามวันไหนนะ”
“ก็ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอ่ะ”
“เฮ้ย ฉันไม่ว่าง ทอม!คืนนี้ฉันจะบินไปคิวชู!”
#
คริสถอนหายใจเฮือก โทมัสฟังเสียงเขาซะเมื่อไหร่กันเล่า
ตอนนี้ในห้องพักของเขาที่โรงแรมเลยมี... แอสการ์เดียน? ยักษ์น้ำแข็ง? ยักษ์น้ำแข็งในร่างแอสการ์เดียน? คนแต่งตัวประหลาดที่เหมือนโทมัสแค่หน้าตาแล้วกันเอ้า!นอนยึดครองพื้นที่กลางเตียงควีนไซส์สบายใจเฉิบ คนที่ควรจะเป็นเจ้าของห้องอย่างเขาได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ
“เอ่อ อ่านอะไรอยู่เหรอ?”
“หนังสือที่หมอนั่นให้ยืมมา”
‘หมอนั่น’ต้องหมายถึงโทมัสอย่างแน่นอน คริสถอนหายใจอีกเฮือก “ฉันหิว ออกไปหาอะไรกินกันไหม”
“ทำไมไม่สั่งของโรงแรมล่ะ”
“จะอยู่แต่ในโรงแรมรึไง”
“เจ้าเป็นคนดังไม่ใช่เหรอ ออกไปข้างนอกเดี๋ยวก็โดนรุมถ่ายรูปหรอก”
“ใส่ผ้าปิดปาก ใส่แว่นดำเนียน ๆ ไม่มีใครรู้หรอกน่า” พูดแล้วเขาก็นึกได้ “นายก็เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนชุดนะ จะออกไปชุดนั้นไม่ได้ ฉันมางานแต่งงานเพื่อน ไม่อยากให้เอิกเกริก”
โลกิเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะวางหนังสือแล้วลุกขึ้นยืน ขณะที่ลุกขึ้นนั้นเครื่องแต่งกายประหลาด ๆ ที่เหมาะแต่จะอยู่ในกองถ่ายนั่นก็ส่งแสงเรืองรองขณะที่สลายหายไปกลายเป็นเสื้อสูทสีเข้มที่โลกิมักใส่เวลาลงมามิดการ์ดแทน
พอลุกขึ้นยืนเต็มตัวก็เท่ากับเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพอดี
“เป็นทางการเกินไป เราไม่ได้จะไปงานแต่งงานวันนี้นะ” ถ้าเป็นพี่ชายของเจ้าตัวคงจะไม่บ่นอะไร แต่คริส เฮมสเวิร์ธผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นถึงนักแสดงฮอลลีวูดย่อมมีเซ้นส์เรื่องกาลเทศะตามธรรมเนียมมิดการ์ดมากกว่าธอร์ โอดินซันอยู่บ้าง “แล้วแฟน ๆ ก็อาจจะจำได้ด้วย ทอมใส่ชุดแบบนั้นเล่นเป็นนายตั้งหลายครั้ง ชุดอื่นที่กลมกลืนกับสถานที่มากกว่านี้น่ะไม่มีเหรอ”
ดวงตาสีเขียวเพ่งมองเขา วูบหนึ่งที่คริสนึกหวั่นไหว ว่าอาจจะโดนสาปเป็นตัวอะไรแปลก ๆ ก็ได้ แต่สิ่งที่เล็ดรอดริมฝีปากเรียวบางซึ่งถอดแบบมาจากของโทมัสก็มีแค่เสียงบ่นพึมพำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับมิดการ์เดียนเรื่องมาก ก่อนเวทมนตร์เนรมิตเสื้อผ้าจะทำงานอีกครั้ง
คราวนี้เจ้าตัวอยู่ในชุดยูกาตะ ทำเอาคนมองตาค้างไปวูบหนึ่ง ยังไงซะรูปร่างหน้าตาของโลกิคนนี้ก็เหมือนโทมัส หรือทอม ฮิดเดิลสตันที่โลกรู้จักอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่พอหายตะลึงก็ต้องตกใจ ตัวเขาเองก็อยู่ในชุดยูกาตะเหมือนกัน
“เฮ้ย แล้วมาเปลี่ยนของฉันทำไม”
“ให้กลมกลืนกับสถานที่ไง” จอมซุกซนตาเป็นประกายวิบวับ “เข้าท่าดีออก มาถึงที่นี่แล้วเจ้าจะใส่ชุดเดิมที่ใส่เดินทางตั้งแต่เมื่อคืนเน่าอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ ข้ารู้นะว่าที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นแดนแห่งน้ำพุร้อน ข้าไม่เปลี่ยนให้เป็นนุ่งผ้าเช็ดตัวก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ใส่ยูกาตะกับผ้าปิดปากมันไม่เข้ากัน” นักแสดงหนุ่มพยายามหาข้ออ้าง
“ก็ไม่ต้องใส่ผ้าปิดปากสิ” นักเวทย์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ไม่ต้องห่วงน่า ไม่มีใครจำเราได้หรอก ข้าจะใช้เวทมนตร์พรางตาให้”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เข้ามาเกาะแขน ส่งยิ้มประจบมาให้ชนิดที่คนรับบทเป็นเทพเจ้าสายฟ้าอดไม่ได้จะต้องเสียวสันหลังวาบแล้วเหลียวหน้าเหลียวหลังมองหามีดที่อาจจะแอบซุกซ่อนอยู่
“ข้าอยากไปเที่ยวจิโกกุ เมกุริ พาข้าไปหน่อยสิ”
#
จิโกกุ เมกุริ หรือ‘บ่อนรก’คือสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองเบบปุ เมืองเดียวกับที่เพื่อนของคริสจะจัดงานแต่งงาน และนั่นเป็นเหตุผลที่ฝ่ายนั้นจองโรงแรมให้เขาพักที่นี่ เจ้าตัวคนจะแต่งงานคะยั้นคะยอให้เขาอยู่ต่อหลาย ๆ วันจะได้ถือโอกาสเที่ยวพักผ่อน คริสก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่ แต่ตารางงานเขาช่วงนี้ไม่ว่างเอาเสียเลย คงต้องไว้คราวหน้า บางทีอาจจะชวนโทมัสมาแช่ออนเซ็นด้วยกัน
และเนื่องจากพรุ่งนี้เขาต้องไปร่วมงานแต่งงาน มะรืนก็นั่งเครื่องกลับตั้งแต่เที่ยง ดังนั้นถ้าอยากไปเที่ยว พวกเขาก็ต้องไปกันวันนี้เลย คริสถามพนักงานโรงแรมแล้วก็พบว่าพวกเขาสามารถนั่งรถประจำทางไปถึงได้ภายในเวลาเพียงราว ๆ สามสิบนาที หรือถ้าขยันเดิน เพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง
ตลอดเวลา ไม่มีใครจำพวกเขาได้จริงตามที่โลกิสัญญา
บ่อนรกมีด้วยกันทั้งหมดแปดบ่อ ที่แท้ก็เป็นบ่อน้ำพุร้อนนั่นเอง มีทั้งบ่อสีแดงเลือด สีขาวน้ำนม สีฟ้าน้ำทะเล บ่อโคลนที่เดือดปุด ๆ บ่อที่เป็นสายน้ำฉีดพุ่งขึ้นมาเป็นระยะ คริสดูอย่างทึ่ง ๆ ลองแช่ออนเซ็นเท้าตรงจุดที่มีให้แช่ (สบายดีแฮะ...) แล้วก็ซื้อไข่ต้มมากิน เพราะสรุปว่าเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย โดนโลกิลากออกมาซะก่อน
“เอ้า” ถึงอีกฝ่ายจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเพิ่งได้กินอาหารมื้อแรกของวันตอนเกือบสิบเอ็ดโมง แถมอาจจะอิ่มทิพย์ แต่คริสก็ไม่ลืมซื้อมาเผื่อด้วย ขณะนั้นพวกเขากำลังยืนดูจระเข้กันอยู่ในบริเวณส่วนเพาะพันธุ์ที่บ่อโอนิยามะ จิโกกุ บริเวณที่จระเข้อยู่มีรั้วเหล็กสูงกั้นไว้ เจ้าสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำเกือบร้อยตัวนอนกันเงียบเชียบดูประหนึ่งไม่มีพิษภัย หากไม่ใช่เพราะบางตัวอ้าปากตากลมเผยให้เห็นฟันแหลมคมเรียงเป็นแถวชวนสยอง
“ว่าแต่นายอยากมาเที่ยวที่นี่เพราะอยากมาดูจระเข้เนี่ยนะ” คริสโคลงหัว “ฉันรู้ว่านายชอบงู แต่ไม่คิดว่าจะชอบจระเข้ด้วย”
“ธอร์ก็ชอบนะ” โลกิที่กำลังตื่นเต้นกับจระเข้โพล่งขึ้น “ทั้งงูทั้งจระเข้เลย”
“งั้นเหรอ” นักแสดงหนุ่มไม่แน่ใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกเขา แต่ก็มีประโยชน์ต่อการแสดงเป็นเทพเจ้าสายฟ้าดี “ฉันจะจำไว้ เอ้า ไข่ต้มของนาย รับไปซะที”
“ปอกให้หน่อยสิ”
คริสเลิกคิ้ว แต่ก็ยอมทำตามโดยไม่ต่อล้อต่อเถียง ไข่เป็นไข่ที่ต้มด้วยน้ำร้อนในบ่อที่นี่ เนื้อไข่เป็นสีน้ำตาลนวลน่ากิน
ทว่าครั้นเขายื่นไข่ที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วให้ เจ้าชายแห่งแอสการ์ดก็สั่งอีก
“ป้อนด้วย”
คราวนี้คนฟังทั้งฉุนทั้งขัน “นายอายุเท่าไหร่แล้ว โลกิ”
แปลกแต่จริง เทพมุสาหน้าแดงแฮะ
“พูดมากน่า!จะป้อนข้า หรือว่าจะไปป้อนจระเข้ในบ่อ”
คำขู่เป็นเด็ก ๆ นั้นทำเอาเจ้าของนามสกุลเฮมสเวิร์ธขำพรืด “อย่างกับบทพูดตัวร้ายในหนังแน่ะ” ชายหนุ่มว่า อดนึกสนุกไม่ได้ เขาแสร้งทำเป็นครุ่นคิด “จระเข้ดีไหมน้า? คงไม่เรื่องมากเท่านาย ไม่ต้องให้ปอกไข่ให้หรอก”
เอาละ กลับมาย้อนนึกดูดี ๆ แล้ว เขาไม่ควรลืมไปเลยว่าพูดกับใครอยู่...
เพราะวินาทีต่อมา คริส เฮมสเวิร์ธก็ปาฏิหาริย์ไปยืนอยู่ในบ่อจระเข้ ท่ามกลางวงล้อมของจระเข้นับสิบ ๆ ตัว
เวรแล้วไง
“โลกิ!”
คริสกระซิบลอดไรฟัน เหงื่อแตกซิกโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับความร้อนของอากาศ ส่วนตัวแล้วเขารู้สึกหนาวเสียด้วยซ้ำในตอนนี้ “โลกิ!”
เป็นการกระซิบโดยพยายามใช้กล้ามเนื้อใบหน้าให้น้อยที่สุด ส่วนร่างกายส่วนอื่น ๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง แข็งทื่อเหมือนโดนสาปเป็นหินไปแล้ว นาทีนี้เขาอยากก้าวขาก็ก้าวไม่ออก จระเข้ตัวที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงสามเมตร ปากอ้ากว้างเหมือนจะกลืนคนเข้าไปได้ทั้งตัว คริสไม่แน่ใจว่ามันไม่หิว ไม่ทันตั้งตัว หรือว่าด้วยเหตุผลอื่นใดจึงยังไม่โจมตี และก็ไม่อยากอยู่หาคำตอบด้วย
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านบน โลกิเกาะรั้วเหล็กโบกไม้โบกมือให้เขา ป้องปากตะโกนลงมา
“ทำไมไม่ป้อนล่ะ?”
คริสไม่นึกสนุกด้วยแม้แต่นิดเดียว “พาฉันขึ้นไปเดี๋ยวนี้นะ!”
ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายโครมครามจากด้านหลัง นักแสดงหนุ่มใจหายวาบ เหลียวกลับไปทันได้เห็นเจ้าสัตว์นักล่าหน้าตาร่วมยุคกับไดโนเสาร์อีกตัวปรี่เข้ามาหา
อ๊ากกกก!!
#
บุตรชายคนกลางของตระกูลเฮมสเวิร์ธสะดุ้งลืมตา หัวใจยังเต้นแรงราวกับไปวิ่งหนีตายมาสักไมล์ได้ ห้องเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศและให้ความรู้สึกสงบ หากยังอาบไปด้วยแสงสว่างของวันที่สาดเข้ามาจากทางหน้าต่าง
ฝันงั้นเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่แน่นอน เขานอนอยู่บนเตียงในห้องพักก็จริง แต่พอขยับตัวก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บระบมที่ไหล่ ใช่ พอจระเข้ตัวหนึ่งโจมตี อีกหลายตัวก็ตามมา ระหว่างที่ชุลมุน เขาโดนหางของตัวใดตัวหนึ่งฟาดเข้าโดยแรงจนเสียหลักล้ม เขาจำได้ ให้ตายเถอะ เป็นประสบการณ์นาทีระทึกสุดสยองแม้แต่สำหรับคนที่เติบโตมากับฟาร์มในเอาท์แบคอย่างเขา ถ้าแค่ตัวเดียวก็คงไม่กระไรเท่าไหร่นัก แต่ลงไปอยู่ในบ่อจระเข้ทั้งฝูงแบบนี้ คริสนึกไม่ออกเลยว่าเขารอดมาได้ยังไง
“—อะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น!” นั่นมันเสียงของโทมัสนี่
“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาจะเปราะขนาดนี้ ข้าเล่นกับธอร์แรงกว่านี้อยู่บ่อย ๆ ธอร์ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” แล้วนี่ก็...เสียงคล้าย ๆ กัน แต่ฟังจากวิธีการพูดแล้วต้องเป็นโลกิแน่ ๆ
“คริสอาจจะหน้าตาเหมือนพี่ชายนาย แต่เขาเป็นมนุษย์นะ นายจะเล่นกับเขาแบบที่เล่นกับธอร์ไม่ได้” เสียงโทมัสดูโกรธจัดอย่างที่คริสไม่เคยได้ยินมาก่อน ปกติแล้วหมอนั่นสุภาพแล้วก็ใจเย็นจะตาย ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เห็นเคยเสียงดังใส่ใครเลยนอกจากเวลาสวมบทถ่ายหนัง “แล้วนี่มันตั้งกี่ชั่วโมงแล้ว เขายังไม่ฟื้นอีกเหรอ ถ้าคริสเป็นอะไรขึ้นมานะ โลกิ ฉัน—”
“โอ้ ดูสิ เขาฟื้นแล้ว”
“คริส!”
ถึงตอนนี้คริสก็เข้าใจหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร น่าจะโลกินั่นแหละที่พาเขากลับขึ้นมาจากบ่อจระเข้ได้ทันท่วงที เจ้าตัวส่งเขาลงไปได้ก็ย่อมเอาเขาออกมาได้ ส่วนภาพโทมัสที่เห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือโลกิใช้เวทมนตร์สื่อสารทางไกลแทนโทรศัพท์ ที่รู้ว่าไม่ใช่ตัวจริงก็เพราะโทมัสพยายามจะจับตัวเขาแต่ไม่สำเร็จ ได้แต่ทรุดตัวลงคุกเข่าข้าง ๆ เตียงเตี้ยติดพื้นแบบญี่ปุ่นที่เขานอนอยู่พลางมองมาอย่างร้อนใจ
“คริส นายเป็นอะไรหรือเปล่า โลกิเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เล่าหมดแล้วเหรอ?” คริสขมวดคิ้ว ฟังดูไม่เหมือนนิสัยของจอมมุสาเอาเสียเลย
“ก็หลังจากคาดคั้นกันหนักนั่นแหละ” น้ำเสียงของโทมัสทั้งขอโทษขอโพยเขา และคาดโทษโลกิ “ตอนแรกเขาบอกว่านายตกลงไปในบ่อจระเข้เอง แต่ฉันรู้ว่านายไม่ซุ่มซ่ามขนาดนั้น”
คริสอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ น่าแปลกที่เขารู้สึกขันมากกว่าโกรธเคืองในตอนนี้ อาจจะเพราะสีหน้าเจื่อน ๆ ผิดวิสัยของจอมซุกซนที่โดน ‘ดุ’ และตอนนี้ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ปลายเตียงก็ได้
“เขา เอ่อ ติดต่อหานายเหรอ”
“ใช่ โลกิเป็นเวทย์รักษาแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นนิดหน่อย เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงดีเพราะบอกได้แค่นายยังไม่ตายแต่ไม่ยอมฟื้นสักที จะว่าไป นายรู้สึกโอเคไหมคริส ไปโรงพยาบาลไหม?”
คนเจ็บลองขยับตัวดูใหม่ เขายังปวดไปทั้งตัวและไหล่ก็ยังเจ็บมากทีเดียว พรุ่งนี้แค่ใส่เสื้อก็คงลำบากแน่ ๆ
“เมื่อย ๆ นิดหน่อยแค่นั้น” เขาทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ไม่เป็นไรมากหรอก โลกิคงเล่าเรื่องให้ฟังดูน่ากลัวเกินเหตุ นายก็รู้นิสัยดราม่าควีนของเขานี่”
“นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้ไปงานแต่งงานไหวเหรอ”
คราวนี้คริสหัวเราะ “ไหวสิ เพื่อนต้องฆ่าฉันแน่ถ้ารู้ว่าฉันมาถึงนี่แล้วไม่ยอมไปงานแต่งแค่เพราะเจออุบัติเหตุนิดหน่อย”
หากท่าทางโทมัสยังไม่วางใจ “ฉันจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว จะบินไปหานายคืนนี้—”
“เฮ้ย ๆ นายทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ” คนฟังลืมตากว้าง “ไม่ต้องเลยนะ เสียงานเสียการกันพอดี”
“แต่โลกิก่อเรื่องขนาดนี้ ฉันไม่ไว้ใจให้เขาอยู่กับนายต่อตามลำพังแล้ว”
“แล้วนายก็อดนอน แถมโดนที่กองต่อว่า อาจจะเป็นข่าวเสียหายก็ได้” หลังจากเรื่องแย่ ๆ กับนักร้องดังนั่นแล้วเขาก็ไม่อยากให้โทมัสตกเป็นขี้ปากสังคมอีก “ไม่เอาน่า เราตกลงกันแล้วนี่ทอม สามวันนี้ฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้นาย แล้วหลังจากนั้นนายก็เลี้ยงข้าวฉันเป็นการตอบแทนไง” ว่าแล้วเขาก็เว้นระยะ แสร้งทำเป็นหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ “หรือว่านายคิดจะเบี้ยวดินเนอร์ฉัน”
หนุ่มอังกฤษหัวเราะออกมาได้เบา ๆ “นายไม่เป็นไรแน่นะ”
“ถามซ้ำซากเป็นยายแก่อยู่นั่นแหละ ไปทำงานได้แล้วไป แล้วก็ยกเลิกตั๋วเครื่องบินไปเลย เจอกันอีกทีตอนนายทำงานเสร็จ”
#
ในที่สุดโทมัสก็ยอม‘วางสาย’ไปจนได้ เมื่อเหลือกันตามลำพังในห้องเพียงสองคนแล้ว คนเจ็บบนเตียงก็เปลี่ยนสายตาไปยังเจ้าตัวต้นเหตุที่ยังคงยืนเงียบอยู่ตรงปลายเท้าโดยไม่ยอมสบตาเขา
จอมมายาที่ท่าทางขาดความมั่นใจเป็นอะไรที่ไม่ชวนให้คุ้นชินเอาเสียเลย คริสเลิกคิ้วใส่ภาพนั้น “โลกิ”
“เรียกทำไม” คำถามห้วน แต่คนฟังจับได้ว่าน้ำเสียงนั้นกระสับกระส่าย
“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม ฉันขี้เกียจตะโกนคุย”
อีกฝ่ายหน้าม่อย แต่ก็ยอมเดินเข้ามายืนตรงที่โทมัสนั่งอยู่เมื่อครู่นี้
เอ้อ ว่าง่ายก็เป็นเหมือนกันแฮะ
“นั่งสิ” คริสเอามือตบข้าง ๆ เตียงประกอบคำเชิญ ก่อนจะพยายามยันตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงพนัก
ตอนนั้นเองที่โลกิทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน ด้วยการคุกเข่าลงเลียนแบบที่โทมัสทำเมื่อครู่ แล้วเอื้อมมือมาช่วยประคองเขา เป็นภาพที่แปลกตาไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวยังอยู่ในชุดยูกาตะที่ใส่ออกไปข้างนอกวันนี้อยู่ตามเดิม
...ขัดกับความปากดีที่ยังคงอยู่ตามปกติ
“จะลุกขึ้นนั่งเองก็ยังแทบจะไม่มีปัญญาแล้ว” ดวงตาสีเขียวตวัดสบดวงตาสีฟ้าแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาบ่นต่อ “ทำไมเจ้าต้องโกหกหมอนั่นด้วยว่าไม่เป็นไร”
คริสหัวเราะหึ ๆ “เห็นนายโดนดุซะจ๋อยแล้วน่ะสิ”
คราวนี้เจ้าตัวแสบเงยขวับ
“เจ้าว่าใคร!”
หนุ่มออสเตรเลียกลอกตา “นายแคร์ทอมไม่ใช่เหรอ” เขากล่าวเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจปฏิกิริยาของเด็กเจ้าอารมณ์ตรงหน้า “นายบอกเขาว่าฉันตกลงไปในบ่อเองก็เพราะนายไม่อยากให้เขามองนายไม่ดี แต่ขณะเดียวกันนายก็ไม่มีแก่ใจจะแต่งเรื่องหลอกเขาให้เนียนไปกว่านั้นเพราะนายเองก็ไม่อยากจะโกหกเขา พอโดนเขาดุหนักเข้า นายก็พยายามเบี่ยงเบนความสนใจเขาด้วยการบอกว่าฉันตื่นแล้ว”
โลกิเม้มปาก “ก็เจ้าตื่นแล้วจริง ๆ นี่ แน่สิว่าข้าต้องบอก ก็เขาเป็นห่วงเจ้าขนาดนั้น!”
สำหรับคนอื่น นี่อาจจะเป็นแค่คำเถียงธรรมดา แต่คนรับบทเป็นเทพเจ้าสายฟ้ามีหรือจะไม่ได้ยินอารมณ์น้อยใจที่แฝงมากับประโยคนั้น “เฮ้ ทอมก็เป็นห่วงนายด้วยนะ”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
“เขาชิงดุนายตัดหน้าฉัน แล้วก่อนจะยอมตัดการติดต่อไปก็ยังคาดโทษนายไว้อีกสักกระบุงได้ เขารู้น่ะสิว่าฉันต้องโกรธนายไม่ลงแน่ในเมื่อเห็นเขาดุนายซะหนักก่อนแล้ว”
คริสเอ่ยขัน ๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้
“ฟังนะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องวันนี้ ตราบเท่าที่มันจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ขอร้องเลยว่าห้ามเล่นอะไรทำนองนี้กับทอมเด็ดขาด เข้าใจไหม”
โลกิก้มหน้าดูมือตัวเอง “...ข้าเข้าใจ”
“ดี”
เขาว่า “เอาละ ทีนี้โทรสั่งอะไรมาให้ฉันกินที หิวจะตายอยู่แล้ว”
“ข้าจะไปสั่งให้ แต่ระหว่างรออาหาร เจ้าจะกินไข่ต้มกับพุดดิ้งที่ซื้อมาจากบ่อน้ำร้อนรองท้องก่อนไหม?”
คริสพยักหน้า ยิ้มมุมปาก
“ป้อนด้วยล่ะ”
ท่าทางลูกแมวเชื่อง ๆ ที่เห็นได้ยากเย็นสลายหายไปในพริบตา
“ฝันไปเถอะ มิดการ์เดียน!”
#
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ในที่สุดคริสก็รู้สึกดีมากพอจะลุกไปอาบน้ำได้ ร่างกายของเขาโดยเฉพาะบริเวณไหล่ที่โดนฟาดเป็นรอยม่วงช้ำอย่างที่คงอธิบายกับกองถ่ายได้ลำบาก แม้ว่าคงใช้คอมพิวเตอร์ลบออกได้ไม่ยากหรอก และบางทีกว่าจะถึงวันถ่ายทำ รอยอาจจะจางไปเยอะแล้วก็ได้
ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเพราะอาการขัดยอกของร่างกายที่ทำให้ขยับได้ไม่ถนัดนัก เมื่อเขาก้าวออกมาจากห้องน้ำในที่สุดนั้น โลกิก็หลับปุ๋ยไปแล้ว แต่ยังใจดีพอจะเว้นพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเตียงไว้ให้เขา หนังสือที่โทมัสให้ยืมมาอ่านเปิดค้างคว่ำอยู่บนอก
คนมองส่ายหัว เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นเรื่อง The Secret Garden ของ ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เนทท์
แม้จะไม่เคยอ่าน แต่เขาเคยดูหนังเรื่องนี้และรู้ว่ามันเป็นหนังสือสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงมากเล่มหนึ่ง เขาสงสัยว่าเจ้าของหนังสือคิดอะไรอยู่นะตอนที่เลือกเล่มนี้มาให้เจ้าตัวยุ่งอ่าน
คริสหยิบหนังสือขึ้นจะวางบนโต๊ะข้างเตียงดี ๆ ทว่าตอนนั้นเองที่รูปใบหนึ่งร่วงลงมาจากระหว่างหน้าหนังสือ ไม่โทมัสก็โลกิคงเอามาสอดไว้ อาจจะใช้แทนที่คั่นหนังสือ
มันเป็นรูปของเขากับโทมัสที่ถ่ายคู่กันตอนแต่งตัวเป็นธอร์และโลกิ
นักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลียเหลือบมองใบหน้าเจ้าตัวแสบที่ดูไร้พิษภัยยามหลับใหล ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ มือใหญ่สอดรูปไว้ในหนังสือตามเดิม แล้วเดินอ้อมเตียงไปนอนฝั่งของตัวเอง กดสวิตช์ดับไฟทุกดวงในห้องลง กระซิบแผ่วเบาในความมืด
“ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานนายต้องหาทางกลับไปหาพี่ชายได้แน่ ๆ”
_____________
ฟิคเรื่องนี้เขียนขึ้นจากหัวข้อ Week20 ของ @_heroweeklyth นะคะ
แงงงงงกิกับคริสคือความน่ารักมากเลยค่ะ เพิ่งเห็นเรื่องนี้ น่ารักมากก ฮื่อ ชอบมากๆๆๆค่ะ
ชอบความละมุนนี้จังงง
น่ารักมากๆเลย ทั้งพี่คริสแล้วก็โลกิเลบ
เพิ่งมีโอกาสอ่านจบ โลกิน่ารักกกกกกกกกก สนุกดีค่ะ สำหรับเราที่ไม่ได้เป็นเเฟนมาร์เวลเหนียวเเน่นแต่พออ่านเเล้วรู้สึกอยากอ่านต่ออีกเรื่อยๆเลย ๕๕๕๕๕