ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The rain of story ภาค ห้องสมุดต้องสาป

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง ชีวิตท่ามกลางสายฝน

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 58


    the rain of story ภาค ห้องสมุดต้องสาป

    แนะนำตัวละคร
        เซ็นโช หนึ่งในจิตวิญญาณของซาน เธอคือผู้ที่มีดวงตาสีน้ำเงินมหาสมุทรยามราตรี
    สีผมของเธอก็เหมือนกับสีของดวงตาคู่นั้น นิสัยก็เหมือนกับซาน แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างอยู่บาง
        สิ่งที่คิดในตอนนี้....เมื่อไหร่ จะได้เปลี่ยนกับซานสักทีน่า เฮ้อ
       เอ็นมะ บรรยายรูปร่างไม่ได้ รู็เพียงว่า เป็นเด็กผู็หญิงเท่านั้น ชอบถือร่มญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา
    และก็เป็นคนที่เงียบมากกกกกก
         สิ่งที่คิดในตอนนี้..........

         บทที่หนึ่ง ชีวิตท่ามกลางสายฝน...
        ...เคยสงสัยรึเปล่า ทำไมฝนถึงตก ถ้าเอาไปถามพวกนักวิทยาศาสตร์  คำตอบที่ได้คงหนีไม่
    ผ้นเรื่องน่าปวดหัวแน่นอน ถึงมันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่าก็ตาม
        แต่ถ้า ลองเอามาตัวเองดูละ คำตอบของเธอจะเป็นยังไงกันนะ จะเต็มไปด้วย สมติฐานเหมือน
    พวกเขารึเปล่า หรือจะเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เหมือน คำตอบของฉันล่ะ...

         "อะ...เอ่อ...."
         หางคิ้วของผมกระตุกขึ้นลงไปมา จะบอกว่าตอนนี้รู้สึก อึ้งเหรอก็ไม่เชิงนะ จะเรียกว่าตกใจก็เกินไปหน่อย
    เอาเป็นว่า รู้สึกงงนิดๆล่ะกัน
         "ฮึๆตกใจเหรอ"
         "เปล่า"
         "แล้ว ทำไมถึง นิ่งขนาดนั้นล่ะ"
         "ก็.....ขอนึกก่อนนะ"
         "ฮึๆนายน่ะ ถูกฉันเลือกแล้วนะ"
         จะดูยังไงก็บอกไม่ถูกอยู่ดี รูปร่างของเจ้าของเสียงตรงน่า ที่ดูยังไง ก็ไม่ต่างจากภาพวาด ที่ถูกระบาย
    สีน้ำลงไป จะบอกว่าไม่มีร่างกายก็อาจจะใช่ แต่มันก็เหมือนจะมีนะ
        "ฮ่ะ"
        "ทำหน้าที่ให้ดีล่ะ"
         "เฮ้ย เดี๋ยว!!!!"
        สิ้นเสียงร้องของผม ร่างนั้นก็เดินหายเข้าไปใน ชั้นหนังสือ ด้านข้าง ผมวิ่งไปดูก็ไม่เห็นอะไรอีก
    นอกจากทางเดินมืดสนิท กับชั้นหนังสือจำนวนมาก
        นะ นี่มันเรื่องอะไรกันฟ่ะ
        "หรือว่า....เราหลอนมากไป"
         ผมคิดว่าตัวเองเล่นเกมกับดูเมะแนวเลือดสาดมาเกินไป บางเวลาเลยเห็นภาพแปลกๆ
    ประจำ ถึงสิ่งที่เห็นจะไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ แต่สำหรับผมมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
        เสียงฝนตกดัง เข้ามายังคฤหาสน์ เสียงหยดน้ำกระทบกระเบือรสีดำเขียวด้านนอกดัง จน
    ได้ยินไปทั้งคฤหาสน์ ผมยืนนิ่งคิดอะไรนิดหน่อยในหัว แต่ถึงบอกว่านิดหน่อย ที่จริงก็เยอะอยู่นะ
          เฮ้อ ชีวิตนายหาสงบได้ยากจังเลยนะ ฮึๆ...
          "เงียบๆน่า"
          ผมเลิกสนใจสิ่งที่เห็นเมื่อกี้ แล้วหันร่างกลับมานั่ง เก้าอี้ตัวเดิม นั่งแล้วก็หันสามตามอง
    ผ่านหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมสามด้าน ที่มีลวดลายดอกไม้ประดับเป็นรอยอยู่  ท้องฟ้าสีขาวดำ
    เขียวคลึ้ม หยดน้ำที่ไหลลงมาจกหลังคา ไหลผ่านกระจกแก้ว
          ผมไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่า ความรู้สึกที่น่าเบื่อในตอนนี้ ในหัวนึกถึงแต่ภาพของสีๆนั้น
    ผทจำได้ว่า ร่างนั้นเหมือน กับภาพวาดปกอัลบั้มเพลงที่ผมชอบฟังในอตนนี้
         มันเป็นภาพวาดธรรมดา ที่ระบายด้วยสีน้ำ สีเขียว สีขาวและก็สีดำอ่อนๆในภาพเป็นภาพ
    สถานที่ฝนกำลังตกลงมา แล้วก้มีเด็กผู้หญิงยืนถือร่มท่ามกลางสายฝนเหล่านั้น ร่างสีขาว
    มองไม่ออกว่าเป็นอะไร เห็นเพียงแค่รูปร่างภาพยนอกเท่านั้น
        จะว่ามันคล้ายกับสิ่งที่ผมเห็นมาก แตกต่างตรงที่ สิ่งที่ผมเห็น สีของระบายด้วย สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อน
    กับสีขาว มันไม่ได้ดูมืดมนอะไร เพราะดูๆไปแล้วก็คงจะสวยงามมากกว่าละมั้ง
         "แล้วนี่....มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย"
          ซานยังนั่งมองดูกระจกเหมือนเดิม เพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาลอยเท่านั้น
         "ผู้ถือสิทธิบรรณารักษ์ ห้องสมุดต้องสาป ชื่อนั้น ฉันมอบให้นายนั้นแหละ"
         "ชื่อยาวชิบ แล้วเรื่องอะไรต้องมายกให้ฉันด้วย"
         "ฮึๆเพราะฉันกำลังหาคนอยู่น่ะ เห็นนายว่างไม่ใช่เหรอ"
         "ก็ว่างจริงนั้นแหละ"
         "งั้นก็ดีแล้วนิ ฮึๆ"
         ไอ้ท่าทางหัวเราะกับน้ำเสียงเบาๆนั้นมันอะไรกันฟ่ะ...
         "แต่ฉันก็ไม่อยากเป็นเหรอไอ้ บันดนบรรณารักษ์อะไรนั้นอ่ะ"
         ผมชักรู้สึกว่าน่าของผมชักจะออกอากาศเซ็งๆแหละ
         "รู้แล้วว่านายต้องพูดแบบนี้ แต่ว่า.....เป็นแล้ว....เลิกไม่ได้"
          ".....หาาาาาา"
          "อืม นี่สิปฏิกิริยาของคนธรรมดา"
           ร่างนั้น ยืนมองขึ้นมาประกบแก้มตัวเอง ถึงจะมองไม่คอ่ยออก แต่ก็พอมองเห็นร่างกายที่เป็นเส้นๆนั้น
    ได้ เธอถือร่มคันนึง ยกพลาดไว้บนไว้
         "งั้นหรอ"
         หลังจาก ซาน แสดงอาการตกใจเสร็จ กลับเข้าสู่ สภาพนิ่งเชยเหมือนเดิม
         ผมลุกขึ้น เดินไปยังประตูทางเข้า กะว่า เราไม่ได้ยอมรับมันก็ไม่ต้องสนแหละ กลับเลยดี
    กว่า ถึงฝนจะตกแบบนี้ ผมก็จะกลับ
          สิ่งได้งั้นก็เอาเลย ถ้ามันไม่ติดที่...
         "อ้าว กำ"
          ผมจับลูกบิ้งประตู หมุนดูก็พบ ว่า มันเปิดไม่ได้!!!!เหงื่อเริ่มแตก
        "นี่มันอะไรกัน"
         ผมหันน่ากลับไปมองสิ่งนั้นช้าๆสิ่งนั้นก็เหมือนจะยืนมองดูผมนิ่งๆ
         "บอกแล้ว เป็นแล้วเลิกไม่ได้"
         "แต่ ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยนะ!!!!"
        "นายไม่จำต้องตกลงอะไรเหรอน่า ฉันบอกคำไหนก้คำนั้นแหละ"
        "ว่าไงนะ!!!!"
        ซานชักเริ่มคลุมสติไม่อยู่
        "น่าๆถ้านายทำงานเสร็จก็กลับได้เองแหละ"
         "อ้าวงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกฟ่ะ"
         "ก็นายไม่ถามนิ"
         "นี่...."
          "ฮึๆฉันชื่อ เร็น นายล่ะ"
          "ซาน แล้วฉันต้องทำไรบ้างเนี่ย"
          "ก็.....ฉันลืมน่ะ"
          "พระเจ้า"
          "มีอะไรกับพระเจ้าเหรอ"
          "ฉันว่าเธอ ไปเช็ดสมองสักหน่อยนะ"
          "ว่าไงนะ!!!!"
           "ให้ตาย"
        นานแค่ไหนนะที่ปล่อยให้ชีวิตไหลไปเรื่อยโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน หลังจากจบชั้นประถม
    มาผมเข้ากับใครไม่ค่อยได้ เพราะเป้นคนที่เข้ากับใครได้ยากหรือเพราะผมไม่เคยคิดจะเข้าไปหาใครเลยนะ
        "งั้นฉันกลับละ"
        ลองบิดลูกบิดดูอีกครั้ง เรื่องที่คิดว่ามันเป็นความฝัน ความจริงแล้วผมแค่เดินสะดุดพื้นต่างระดับและล้มลงหัวกระแทกพื้นแล้ว
    สลบไป พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่ารอบข้างมีของที่คุณยายฝากเอามาไว้ตกกระจัดกระจายอยู่ ไม่ใช่จริงๆแฮะ
        "อ้าว นึกว่าฝันไป..."
        "ฮึๆแปลกคน ทำงานเสร็จก็ไปได้เลยนะ"
         สิ่งนั้นจางหายไป ผมหันหลังมามองมันแล้วคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเหมือนกันที่คนอื่นๆเขาคิดกัน ทั้งที่ไม่รู้ว่าคนอื่น
    เขาจะคิดแบบนี้ไหมนะ หรือคิดเป็นอย่างอื่น เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ สรุปแล้วเพียงแค่คิดไปเอง
    รึเปล่านะ
        "อ้าว นึกว่าคิดไปเอง"
        นึกแบบนั้นแล้วลองบิดเพื่อเปิดประตูรอบที่สามมันก็ไม่เปิดให้ ทุกอย่างเป็นความจริงและผมก็ยังรู้สึกเฉยๆกับมัน

        สามชั่วโมงให้หลัง
       "นี่ฉันมีชีวิตรอดมาได้ไงตั้งสามชั่วโมงละเนี่ย"
       การงัดประตูด้วยแท่งเหล็กที่หามา เก้าอี้ที่กลัวว่าจะพักหากเอาไปทุบกระจกเลยเปลี่ยนไปเอามือเคาะๆแทน ทำทุก
    วิธีทางเพื่อจะหาทางออกไปข้างนอก ยกมือปาดเหงื่อที่ยังไม่ไหลออก ถึงจะดูไม่เหนื่อยแต่ก้เหนื่อยจริงๆละนะ
       "ลองทำทุกทางดูแล้ว ก้ยังออกไปไม่ได้...คงต้องลองไปเรื่อยๆ"
       พยักหน้าให้กำลังใจตัวเอง ผมมองหาทางออกจากห้องที่เริ่มชักไม่ยากจะอยู่ต่อ พบว่ามีประตูสามบาน สองบานที่อยู่คนละ
    มุมของห้องถูกล็อคไว้แน่นหนา อีกหนึ่งเป็นประตูทางเข้ามาซึ่งมันก็ล็อคเหมือนกัน เพดานสูงต่างละดับมีกระจกเจียระไนใสติดอยู่
    ภาพหยดน้ำไหล
       "ให้ตายสิ ถ้าในห้องนี้มีอะไรที่พอใช้ได้กว่านี้ละก็"
       ผมว่าให้กลับของต่างๆภายในห้องที่ทั้งเก่าและดูว่าจะพังไปได้ทุกเมื่อ กองหนังสือเรียงราย เอามาวางซ้อนทับกัน
    ดีไหมนะ ผมไม่ใช่พวกจะวางเท้าเหยียบหนังสือง่ายๆด้วยสิ ตัดทางนั้นออกไปละกัน
       นี้ฉันหิวข้าวแล้วนะ...
       "แกนิยังจะมาบ่นอีกนะ สถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนคิดบ้างไหมเนี่ย"
       แล้วมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอย่ะ...
       "ก็ไม่ละนะ"
       มันก็ไม่เลวร้ายจริงๆนั้นแหละ ตอนนี้ยังมีอากาศหายใจได้ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาตายในที่แบบนี้หรอก
    มันดูแปลกมากถ้ามีคนมาตายในสถานการณ์แบบนี้ หรือไม่นะ ช่างมันละกัน เอาเป้นว่าชักหมดแรงแล้วแฮะ
       "งั้น...นอนดีกว่า"
       เฮ้ย!!!
       บรรณยากาศหน้านอนแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆเลยนะเนี่ยในฤดูร้อนตับแห้งขนาดนี้ ฝนตกเย็นๆทำให้คน
    ไม่อยากทำอะไรเลย ผมนี้เป็นพวกที่อยากทำอะไรก็หาเหตุผลมาบอกได้หมดเลยน่ะ ถึงเรื่องนั้นมันจะไม่มีเหตุผลก็ตาม
       "เปลี่ยนไปเป็นหาเครื่องนุงห่มกับเตียงนอนแทนละกัน" โยนเรื่องที่คิดและทำมาสามชั่วโมงทิ้งไปง่ายๆทุกอย่างมันจะเป็นยังไง
    ก็เป็นไป ฉันขอนอนก่อนละ
         ตื่นๆๆๆๆๆนี้แกจริงจังหน่อยสิ...
        "รำคาญโว็ย" ผมลองค้นในตู้เสื้อข้างๆชั้นหนังสือก็เจอกับสมบัติล้ำค่าที่ไม่นึกว่าจะมี หมอนลายดอก
    กับผ้าคลุมโต๊ะอาหารผืมใหญ่ที่ดูความลึบลับชอบกล
        "อยากหาทางก็หาเองละกัน ฉันขอจำศีลละ"
        จะ จริงเหรอ!!!!
        "ล้อเล่นน่ะ" ผมโยนหมอนกับผ้าคลุมโต๊ะไปไว้ที่ไหนสักแห่งที่ผมจะหามันเจออีกครั้ง
    แล้วหันมานั่งหลังผิงโซฟาหลับตาสงบใจสักพัก
        ....มองลอดส่องไปข้างนอกหน้าต่าง แม้ตอนนี้ฝนยังตกลงมาราวกับไม่มีวันจะหยุด พื้นดิน
    ที่มีแอ่งน้ำเล็กๆมากมายผุดขึ้น ระลองคลื่นวงกลมวงแล้ววนเหล้าที่ ตีกระทบใส่กัน....
       ....ผู้ถือสิทธิบรรณารักษ์ ห้องสมุดต้องสาป ชื่อเรียกยาวแบบนั้น ขอย่อสั้นว่า บนนณารักษ์ เฉยๆละกัน
    แล้ว...ไอ้ ห้องสมุดต้องสาป มันคืออะไรละเนี่ย....
        ผมมองดูห้องสีดำคล้ำที่ทุกอย่างดูเป็นภาพวาดที่สัมผัสได้จริง ทั้งชั้นหนังสือทั้งที่วางของ ถึงจะไม่รู้ว่า
    ห้องสมุดที่ไหนมีตู้เสื้อผ้ากับชั้นเก็บอาหารมีอยู่ในโลกรึไหม แต่มันก็มีอยู่ที่นี้
        "หิวจังแฮะ..."ผมลูบท้องแล้วลุกขึ้น เดินไปหยิบนมที่ซื้อ กินลองท้องไป ความรู้สึกที่ชวนให้สงสัยนี้ ไม่เคยทำให้ผม
    หวาดกลัว อยู่คนเดียว....อีกแล้วสินะ
       "ง่วงจังเลยแฮะ...พักสักหน่อยดีกว่า..."
       เสียงฝนกระทบดังข้างๆหูค่อยเงียบลง....

     "นี้ เปลี่ยนกันไหม"
      เสียงนั้นเรียบเฉยแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจและสดใส เสียงของผู้หญิง
      "ไม่ตอบอีก เชอะ"
      ความมืด...ไม่สิ สีดำ โลกใบนั้นมีแต่สีดำ
      "เฮ้อ..."
       ทั้งที่มีแคคนเดียว....ฮึ ชีวิตฉันเนี่ยน้า
     
      เสียงฝนยังดังไม่หยุด ผมลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองเผลอหลับไป ทั้งๆที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา
      "เอาละ...กุญแจสินะ"
       "นี่จ๊ะ"
       "อ้าว..."
       "อะไรเหรอค่ะ"
        "นี้ฉันยังไม่ได้เริ่มหาเลยนะ ทำไมชิงเอามาให้ก่อนเลยนะละ"
       ดูท่าจะหลับไปสักสิบนาที พอนึกขึ้นได้ว่า ถ้ามันล็อคก็ลองไขมันดูสิ กุญแจจะต้องอยู่ในห้องนี้
    อยู่แล้ว ไม่นึกว่าพอกำลังจพเริ่มทำอะไรขึ้นมาจริงจังก็ถูกตอบกลับด้วย คำว่า สิ้นเรื่องแล้วสินะ
        รับกุญแจมาจากบนโต๊ะ ภาพวาดที่เริ่มดูออกว่าเป็นเด็กผู้หญิงจางหายไป ให้ตาย กุญแจสองดอก
    หืม ทำไม มันมีสขาวกับสีดำคนละดอก สีที่แตกต่างจากสภาพความเป็นจริงของที่นี้ แต่ยังคงรูปร่างของภาพวาด
    ด้วยมือจิตกรเอาไว้
       "หรือว่า...กุญแจนี้สามารถเปิดประตูไปไหนก็ได้!!!"
       "ใช่ไหมว้า ลองเปิดดูสิ"
        "บอกอะไรมากกว่านี้ได้ไหม"
        "อืม.....ฉันไม่พูดกับใครมานานแล้วนะค่ะ ลืมไปแล้วว่าต้องบอกอะไรบ้าง"
        "เหรอ ตามนั้น"
        เสียบลูกกุญแจแล้วบิด หนึ่งในสามประตู บานนี้อยู่ห่างออกไปจากทิศขวาของกระจกสามบานนั้น
    ประตูไม้สีดำทมิฬที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อยแต่ยังคงมองเห็นความงดงามอยู่บ้าง เอ่อ จะมีใครมาสนใจความงามของประตู
    เหมือนเราไหมนะ ไม่น่ามี
         ดึงออกมา สิ่งที่ตอบคือ ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ผมอยากได้ดคมไฟหรือไฟฉายสักอัน
       "สู้ๆค่ะ"
        "มั่นใจว่าเดินเข้าไปได้ ไม่ใช่พอเดินเข้าไปแล้ว ถูกตัวอะไรคาบไปกินหรอกนะ"
        "เอ๋...."
       "เฮ้อ...ช่างเถอะ เอาสาระไม่ได้เลยสินะ จากเธอเนี่ย"
       ถึงบอกว่าหาสาะรไม่ได้ แต่ผมก็คงไม่ต่างกัน สาระ อะไรพวกนั้น เวลาจะมีมันก็มีมาเองแหละ
    เดินเข้าไปโดยไม่มีอะไรติดมือไป ความมืดกลืนกินร่างผมและสายตาก็มองไม่เห็นอะไรอีก...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×