ตอนที่ 46 : 9.1
บทที่ 9
ดวงตาที่คลอคล่ำไปด้วยหยาดน้ำใสๆ บ่งบอกความเจ็บปวดที่เธอได้รับ มัญชุลิกาเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ากว้าง หัวใจนึกถึงใครบางคนที่เป็นกำลังใจให้เธอยืนหยัดอยู่บนไร่ผืนนี้
“พี่ชัชขา นกยูงเหนื่อยเหลือเกินค่ะ เมื่อไรพี่ลันจะให้อภัยเราคะ เมื่อไร...”
น้ำเสียงที่พูดส่งไปถึงคนบนฟากฟ้าสั่นระริก หยาดน้ำตาที่คลอเต็มสองตาค่อยๆ ไหลรินอาบสองแก้ม วงแขนทั้งสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แน่นยามที่ต้องการกำลังใจ เธอไม่มีใครสักคน...มีเพียงอ้อมกอดของตัวเองเพียงเท่านั้น มัญชุลิกาโอบกอดตัวเองแน่นขึ้นอีกนิด เข่าทั้งสองข้างยกชันขึ้น ศีรษะพิงกรงลวดขนาดใหญ่อย่างหมดแรง เธอเหนื่อยเหลือเกิน ไม่ได้เหนื่อยกายแต่เธอเหนื่อยหัวใจที่สุด เมื่อต้องสู้เอาชนะกับความเกลียดของผู้ชายคนหนึ่ง ถึงในอดีตผู้ชายคนนั้นจะรักเธอมากแค่ไหน แต่ในเวลานี้เธอมองหาความรักเดิมๆ จากผู้ชายคนนั้นไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว ความแค้นเปลี่ยนแปลงความรักให้กลับกลายเป็นความเกลียด ลวรรษเกลียดเธอ...มัญชุลิกาฝืนยิ้มออกมาเพื่อเยาะเย้ยตัวเอง ใช่! เขาเกลียดเธอ แต่เธอล่ะ...กลับเก็บความรักนั้นเอาไว้ เธอเพิ่งตระหนักดีวันนี้เองว่าการที่รักผู้ชายที่เกลียดเรานั้นมันมีแต่ความเจ็บปวดเช่นไร...เจ็บไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
สายตาเปื้อนหยาดน้ำตามองเข้าไปในกรงนกยูง ความคิดที่แอบเก็บเอาไว้อย่างดีใจเมื่อได้เจอนกยูงเหล่านี้ คราแรกเธอคิดว่าเขาเลี้ยงเจ้านกยูงพวกนี้เพราะเธอ เมื่อหลายปีก่อนเธอเคยบอกว่าหากเธอมีไร่ใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดเธอจะเลี้ยงเจ้านกยูง ซึ่งในเวลานั้นลวรรษบอกกับเธอว่า เขาจะตั้งชื่อไร่ว่ามัญชุลิกา ซึ่งเป็นชื่อของเธอ แต่พอมาได้ยินมยุรินพูดความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป ลวรรษไม่ได้รักเธอเหมือนเมื่อหกปีก่อน เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกเหล่านั้นให้กับเธออีก มีเพียงความเกลียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เธอรู้สึกได้ ดวงตาเจ็บช้ำมองไปทั่วกรงใหญ่และเจ้านกยูงทั้งสี่ตัวสิ่งเหล่านี้ เขาทำเพื่อมยุริน...เจ้าของชื่อที่มีความหมายคล้ายเจ้านกยูงทั้งสี่ตัว ลวรรษจะรู้ตัวไหมว่าเขากำลังทำร้ายผู้หญิงถึงสามคน มยุริน ชงโค แล้วก็เธอ
ร่างสูงเดินวนไปเวียนมาหลายรอบเมื่อมองไม่เห็นหญิงสาวคนที่เขามองหาตลอดทั้งวัน วันนี้เขาไม่เห็นมัญชุลิกาแม้แต่น้อยนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ร่างบางก็หายเข้ากลีบเมฆ หลายต่อหลายครั้งอยากเดินเข้าไปถามจำปาถามกษินว่าเห็นหญิงสาวบ้างไหม แต่ทิฐิมันก็ค้ำคอ แล้วดูสิจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมัญชุลิกาเดินกลับเข้าห้อง
ลวรรษหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ของใครบางคน ร่างสูงหลบเข้ากำบังกายหลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุด หัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลไหววาบอย่างยินดีเมื่อเห็นร่างบางของใครบางคนเดินเข้ามา ก่อนที่ความยินดีจะเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดเมื่อเธอไม่ได้เดินมาคนเดียวแต่ยังมีกษินเดินมาด้วย ดูทั้งคู่ยิ้มแย้มมีความสุขกันเหลือเกิน
“ขอบคุณพี่ษินมากนะคะ ความจริงนกยูงเดินมาคนเดียวก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกนกยูง พี่เตือนอะไรอย่างนะ อย่าไปไหนมืดๆ คนเดียวอีก กรงนกยูงนั่นถึงแม้จะอยู่ในไร่ของเราแต่ที่ตรงนั้นมันมืดแล้วก็เปลี่ยวเพราะคุณลันไม่ให้ใครเข้าออกบริเวณนั้นง่ายๆ”
กษินเตือนหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ เมื่อสักครู่เขาเดินตรวจตราภายในไร่เหมือนทุกวันกลับรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างบางนั่งขดกายพิงกรงเจ้านกยูงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไม่เป็นไร พี่เตือนนกยูงก็เพราะเป็นห่วง อีกอย่างพี่ทำเพื่อคุณลัน”
รอยยิ้มจืดชืดปรากฏบนใบหน้าหวานที่ดูเศร้าสร้อยนั้นเล็กน้อย
“กลัวนกยูงจะสร้างความยุ่งยากให้กับไร่นี้หรือคะ”
“เปล่า พี่รู้นะว่าคุณลันกับนกยูงรู้สึกอย่างไรต่อกัน คุณลันโดนความแค้นบดบังความรู้สึก พี่อยากให้นกยูงอดทนอีกนิด คนที่เคยเจ็บปวดมาก กว่าจะกลับมาเชื่อใจใครได้อีกครั้งมันก็ต้องใช้เวลา”
“บางทีเขาอาจไม่ได้มีนกยูงเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ ที่นี่เขาก็มีคุณยุรินและคุณชงโค”
ใบหน้าคมเข้มของกษินเฝื่อนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของใครอีกคนหนึ่ง แต่ก็ฝืนเก็บความรู้สึกเอาไว้จนสุดความสามารถ
“พี่ยุรินคุณลันไม่ได้คิดอะไรเป็นอื่นแน่นอน แต่สำหรับคุณชงโค...คุณลันกำลังหลอกตัวเองอยู่”
“บางทีคนที่หลอกตัวเองอยู่อาจเป็นนกยูงก็ได้ ขอบคุณพี่ษินนะคะ”
มือหนาของกษินเอื้อมไปจับมือบางของมัญชุลิกามากุมเอาไว้พร้อมกับบีบหนักๆ เล็กน้อยเพื่อตอกย้ำให้หญิงสาวได้รู้สึกว่าเธอไม่เดียวดาย เขายังเอาใจช่วยเธอถึงที่สุด
“เชื่อมั่นในความรักที่นกยูงมีให้คุณลันสิ เชื่อพี่”
รอยยิ้มเซียวๆ ของมัญชุลิกาแย้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ทั้งๆ ที่ในหัวใจเธอไม่อาจเชื่อมั่นตามที่กษินพูดได้เลยว่าลวรรษยังมีเธออยู่ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความแค้นของเขาหลงเหลืออยู่อีก
ร่างสูงของกษินเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเองทิ้งให้มัญชุลิกายืนอยู่กับความเงียบ ใบหน้าหวานเงยแหงนขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านตรงที่เป็นตำแหน่งห้องของลวรรษ ไฟที่ปิดมืดทำให้หญิงสาวยิ้มเยาะตัวเองอีกครั้ง มีหรือคนอย่างเขาจะเป็นห่วง หรือห่วงหาเธอ มีแต่เธอเท่านั้นที่บ้าคิดเพ้อเจ้อไปเพียงคนเดียว ร่างบางเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองด้วยหัวใจที่เบาหวิว ในขณะที่ผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากต้นไม้ด้วยใบหน้าถมึงทึง สันกรามขบเข้าหากันจนเห็นเป็นรอยปูดออกมาสองข้าง มือหนากำเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดปูดออกมาทั้งสองแขน นึกว่าหายไปไหน...ที่แท้ก็ไปขลุกอยู่กับไอ้กษิน ป่านนี้คงปลอบใจกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ดวงตาที่มองเต็มไปด้วยความแค้นปะปนไปกับความปวดร้าว ในที่สุดเขาก็เชื่อใครไม่ได้สักคน ชายหนุ่มคิดก่อนจะเดินกลับไปห้องตัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แต่เขากลับเพียรบออกตัวเองว่ามันคือความโกรธและเกลียด
เช้าวันใหม่ที่แสนจะไม่สดใสเอาเลยสำหรับมัญชุลิกามาเยือนอีกครั้ง หญิงสาวมองไปรอบๆ เพื่อมองหน้าชายหนุ่มแต่รอบข้างกลับปราศจากร่างสูงของลวรรษ รอยรื้นในดวงตาปรากฏมาอีกนิดเมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ได้อยากเห็นเธอเหมือนที่เธออยากเห็นเขาหรอก ถึงจะน้อยใจและโกรธเขาสักเพียงไหน แต่ขอให้มีเขาอยู่ในสายตาของเธอแค่นั้นก็พอแล้วมัญชุลิกาคิดก่อนจะเสมองพื้นเพื่อหลบหลีกความอ่อนแอนั้นจากสายตาคนรอบข้าง
“นกยูง...นกยูง...”
สาวน้อยเจ้าของชื่อนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อคนงานคนหนึ่งเรียกเธอพร้อมกับเดินออกไปจากฝูงชนเหล่านั้นเหมือนเธอจะมีเรื่องคุยกับเธออย่างเป็นความลับ
“มีอะไรหรือเปล่าพี่ใจ”
“พี่มีอะไรจะบอก แต่นกยูงต้องเก็บไว้เป็นความลับนะ ถ้าคุณลันรู้มีหวังพี่โดนไล่ออกแน่ๆ”
“มีอะไรหรือคะพี่ใจ”
“นกยูงอยากให้คุณลันหายโกรธไหม พี่จะบอกวิธีทำให้พันธุ์อ้อยงอกงาม พี่ว่าวิธีนี้ต้องทำให้คุณลันเห็นความดีของนกยูงแน่ๆ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ถ้าสิ่งที่พี่ใจพูดคือเรื่องจริง เธอก็ดีใจ อย่างน้อยเธอก็สามารถทำให้ลวรรษไว้ใจว่าเธอทำงานได้ดี และถ้าพันธุ์อ้อยที่เป็นความรับผิดชอบของเธองอกงามจริงๆ ความหวังที่ลวรรษจะให้อภัยและยอมทำตามคำร้องขอของเธอคงเป็นจริงเสียที
“จริงหรือพี่ใจ ทำอย่างไรคะ”
“เอาหัวน้ำส้มสายชูหนึ่งขวด ผสมน้ำหนึ่งกระป๋องรดพันธุ์อ้อย มันจะช่วยฆ่าเชื้อราทำให้อ้อยที่ขึ้นใหม่สวยขึ้น”
แววตายินดีของมัญชุลิกาฉายวาบอย่างดีใจ อย่างน้อยเธอก็สามารถทำให้ลวรรษไม่ตราหน้าว่าเธอนำความหายนะมาสู่ไร่ของเขาได้อีก รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าหวานทันทีก่อนจะเดินกลับไปรอขึ้นรถประจำที่นั่งของตัวเอง ในขณะที่คนบอกสูตรกระหยิ่มยิ้มในหน้า เงินที่เธอได้รับจากแม่บ้านมันคุ้มค่าทีเดียว ไม่คิดว่านังนกยูงมันจะหลอกง่ายขนาดนี้ เอาน้ำส้มสายชูราดเข้าไปมีหวังอ้อยได้เน่าแน่ๆ และเมื่อลวรรษรู้มีหวังไร่ระเบิด
“เอ้า พวกเราขึ้นรถ นกยูงนั่งข้างหน้ากับพี่ก็ได้”
มัญชุลิกายิ้มออกมาแหยๆ มองไปยังสายตาทุกคู่ที่มองเธอ แต่กษินก็พยักหน้าเรียกเธออีกครั้งทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้ รีบเดินเข้าไปนั่งในรถคู่กับเขาทันที
“พี่ษินไม่น่าเรียกนกยูงขึ้นนั่งหน้าแบบนี้เลยนะคะ พวกนั้นจะคิดว่าไง นกยูงไม่อยากเพิ่มศัตรูในไร่นี้อีก แค่เจ้าของไร่คนเดียวก็พอแล้ว”
เสียงนุ่มหวานฟังดูขมขื่นเล็กน้อยจนกษินหันมามองหน้าหญิงสาวด้วยความสงสาร แต่เขาก็ช่วยอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ตลอดระยะทางสายตาของมัญชุลิกาพยายามมองไปรอบด้านของไร่อ้อยแห่งนี้เพื่อมองหาใครอีกคน แต่ก็ไร้วี่แววร่างสูงของลวรรษ
“วันนี้คุณลันไม่อยู่หรือคะ”
กษินมองหน้าคนถามอย่างสงสาร เขาอุตส่าห์เลี่ยงที่จะพูดเรื่องของลวรรษแต่มัญชุลิกากลับถามถึงแบบนี้ เขาก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบอกความจริง และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ใบหน้าหวานซีดเผือดก่อนจะยิ้มเซียวๆ ราวกับเยาะเย้ยตัวเองที่กี่ครั้งก็ยังไม่เข็ด
“คุณลันไปรับคุณชงโคที่ไร่แต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะชวนกันเข้าเมือง”
“ไร่นี้คงใกล้จะมีงานมงคลแล้วมั้งคะ”
เสียงมัญชุลิกาสั่นเล็กน้อย เปลือกตาบางกะพริบถี่ๆ เพื่อขับไล่ความอ่อนแอที่เตรียมจ่ออยู่ในดวงตาทั้งคู่ของเธอ กษินไม่สามารถตอบคำถามของหญิงสาวที่นั่งข้างเขาได้เลย เพราะคำถามนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาปวดร้าวเช่นเดียวกัน ความรู้สึกที่เขาเก็บเอาไว้ลึกสุดหัวใจ เขาแอบชื่นชมชงโคมาก่อนลวรรษจะมาอยู่ที่นี่เสียอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะแย่งหรือชิงดีชิงเด่นเพราะเจียมตัวเสมอ เมื่อคิดว่าชงโคอยู่สูงเกินกว่าที่เขาจะดึงเธอลงมาตกต่ำด้วย ผู้จัดการไร่อย่างเขาเงินเดือนๆ หนึ่งไม่กี่บาท ถึงแม้ตอนนี้เงินเก็บของเขาที่ทำงานมาทั้งชีวิตจะมีพอทำให้ชงโคไม่ลำบากนักก็เถอะ แต่ความรักที่เขาต้องการไม่ใช่เพราะความสงสาร เพราะถ้าได้ความสงสารจากชงโค เขาก็คงรับไม่ได้ เขาขออยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตก็แล้วกัน ทั้งคู่เงียบกริบตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เมื่อถึงจุดหมายของไร่ก็ลงมือทำงานโดยไม่มีใครพูดอะไรกันอีกทั้งสิ้น มัญชุลิกามองพันธุ์อ้อยที่ตัดเอาไว้และเรียงกันเป็นระเบียบรอยยิ้มแห่งความหวังปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหวานอีกครั้ง เมื่อคิดว่าพันธุ์อ้อยของเธอจะงอกงามมากเพียงใด
![]() |
|
![]() |
|
เฮ้อ...นางเอกก็อย่างนี้เชื่อใจคนอีกละ