ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอน ๘
ตอน ๘
“เพลงทางนี้จ๊ะ...”
โสภายืนโบกมือให้เธอที่เพิ่งก้าวพ้นออกจากประตูบ้านของดนุพร หลังจากเวลาสามทุ่มของคืนวันเสาร์หลังจากเสร็จงานไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งเธอคิดว่ามันช่างเป็นระยะเวลาที่ยาวที่สุดในชีวิตของเธอเลยทีเดียว หญิงสาวหันไปหาเจ้าของเสียงและก็ส่งยิ้มให้ด้วยความดีใจ และแปลกใจอยู่ในที
“พี่โสภา....สวัสดีค่ะ แล้วพี่รู้ได้ยังไงคะว่าเพลงจะออกมาเวลานี้”
เธอถามเมื่อเดินมาหา และก็ยิ้มทักทายภคินที่เพิ่งจะก้าวขาออกมาจากรถตรงที่นั่งคนขับ ทันทีที่เห็นเธอเดินมาถึง
“พี่ก็เดาเอาน่ะสิว่าเพลงจะต้องอยากจะกลับบ้าน เป็นยังไงบ้างทำงาน นายดำหน้าดุคนนั้น ใช้งานเพลงหนักไหม”
โสภาถามขณะที่ทั้งสองเดินไปขึ้นรถตรงเบาะหลัง และก็ถูกขับออกไปโดยภคิน
“นี่ไงคะ....”
ระพีพรรณยื่นตารางการทำงานให้โสภาดูแทนคำตอบ
“คุณเพลงจะแวะซื้ออะไรก่อนเข้าบ้านหรือเปล่าครับ”
ภคินถามเธอ ขณะที่โสภามัวอ่านดูตารางทำงานของเธอด้วยความตั้งใจ
“คงไม่ค่ะ เพลงอยากจะถึงบ้านเร็ว ๆ ค่ะ คิดถึงคุณพ่อจะแย่แล้ว ขอบคุณนะคะภคินที่มารับเพลง”
เธอบอกออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“โอ้ย.....ยายเพลง ทำไมมันโหดขนาดนี้นี่ ใจจริงจะไม่ได้พักกินข้าวกินปลากันเลยเหรอนี่ ใจดำจริง ๆ เลยนายคนนี้”
โสภาบ่น เมื่ออ่านตารางละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
“แล้วเพลงไม่เหนื่อยแย่เหรอจ๊ะ”
“นี่ไงคะผลงาน” เธอแบบมือยื่นให้โสภาดู
“โอ้โห...ดูสิเป็นแผลเลย”
โสภารีบยกมือขึ้นมาดูแล้วก็อุทานออกมา เพราะมือของเพื่อนรักนั้นจะเป็นแผลที่เพิ่งจะแห้งบ้าง และก็มีผ้าพลาสเตอร์แปะไว้บ้าง บางจุดก็ยังมีตุ่มใส ๆ บ้าง
“ทำยังไงได้หละคะพี่โสภา ยังไง ๆ เพลงก็ต้องทำอยู่ดี อีกหน่อยเพลงก็คงจะชินค่ะ ขอบคุณนะคะพี่โสภาที่ห่วงเพลง ความจริงไม่ต้องมารับเพลงก็ได้ค่ะ เพลงจะนั่งแท็กซี่กลับก็ได้ค่ะ” เธอบอก
“จะเป็นไรไปจ๊ะ แค่อาทิตย์ละครั้ง นี่ก็ดึกแล้วด้วย เกิดแท็กซี่พาไปทำมิดีมิร้ายเข้าจะว่ายังไง ต่อไปถ้าวันไหนพี่มารับไม่ได้ พี่จะให้คินมารับนะเพลง ห้ามกลับคนเดียวเด็ดขาด”
โสภากำชับเธอด้วยความห่วงใย และก็ยิ้มให้เพื่อนต่างวัยอีกครั้ง
“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบรับและยิ้มตอบไป
“แน่ใจนะคะว่าจะไม่เข้าบ้าน”
ระพีพรรณถามโสภา หลังจากที่ภคินจอดรถที่บ้านตัวเองแล้ว
“ไม่ดีกว่าจ๊ะ เอาไว้พรุ่งนี้เย็น ๆ พี่จะมาเยี่ยมคุณลุงก็แล้วกัน และก็จะนอนกับเพลงเลย วันจันทร์เช้าจะได้ไปส่งให้ เดี๋ยวเพลงไปไม่ทัน อีตาดำหน้าดุก็จะยกเลิกสัญญาอีก งั้นพี่ไปนะจ๊ะ เจอกันพรุ่งนี้จ๊ะ”
โสภาบอก หลังจากที่ตัวเองลงจากรถลงมาส่ง ระพีพรรณ แล้วตัวเองก็เดินมาเพื่อจะขึ้นนั่งด้านหน้าไปกับน้องชาย หลังจากที่ทั้งสองสาวทำตัวเป็นคุณนายนั่งหลังรถมาจากบ้านดนุพรแล้ว
“ก็ได้ค่ะ เจอกันนะคะ .... ขอบคุณอีกครั้งนะคะภคิน”
เธอไม่ลืมที่จะขอบคุณเขา แล้วก็รอให้รถของสองพี่น้องขับออกไป แล้วตัวเองก็เดินเข้าบ้านไป และก็ตรงไปยังห้องนอนของพ่อเป็นสิ่งแรก ประตูห้องพ่อไม่ได้ปิดเอาไว้ หญิงสาวมองเห็นร่างพ่อที่หลับสนิทโดยมีโป่ง กำลังดูแลอย่างใกล้ชิด
“หลับแล้วครับคุณเพลง ตอนแรกบอกว่าจะรอคุณเพลง แต่สงสัยจะรอไม่ไหวก็เลยหลับไปแล้ว” โป่งบอก
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะลุงโป่ง”
“ก็บ่นถึงแต่คุณเพลงครับ แล้วก็บ่นว่ากว่าจะครบห้าปี นานจังเลย แล้วก็บ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่องครับ” โป่งบอก
“โถ่....คุณพ่อ....ลุงโป่งไปพักผ่อนเถอะค่ะ เพลงจะไปอาบน้ำแล้วก็จะมานอนเป็นเพื่อนคุณพ่อค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”
เธอบอกและยิ้มให้โป่ง ไม่นานโป่งก็ออกไปจากห้อง ส่วนเธอก็เลี่ยงขึ้นไปห้องนอนตัวเองแล้วก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็กลับมานอนห้องกำพลด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะทำสวนมาทั้งวัน
โป่งเดินเข้ามาในครัวแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นระพีพรรณกุลีกุจอกับไข่ดาวในกะทะ
“โอ้โห....วันนี้คุณเพลงทำอาหารเองเหรอครับ”
“ค่ะลุงโป่ง อยู่ที่โน่นเพลงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า และก็ลงมาช่วยป้าแพงเตรียมอาหารเช้าค่ะ แต่ตอนนี้เอาอาหารฝรั่งไปก่อนนะคะ ต่อไปเพลงคงจะทำอาหารไทยเป็นบ้างค่ะ” เธอบอก
“ป้าแพง....คุณเพลงหมายถึงแม่แพง แม่ครัวของเราหนะเหรอครับ” โป่งถามด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ เพลงโชคดีมากเลยค่ะ ที่ไปเจอป้าแพงที่โน่น ป้าแพงสอนเพลงหลายอย่าง สอนซักผ้า รีดผ้า ทำอาหาร และก็คอยดูแลเพลงด้วยนะคะ”
เธอบอก ขณะที่ตักไข่ดาวใส่จานทั้งสามจาน
“แล้วนายดำรู้หรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้ค่ะ ไม่มีใครรู้ เพราะเพลงบอกป้าแพงว่าให้ปิดเอาไว้ กลัวแกจะถูกนายดำไล่ออกค่ะ” เธอตอบ
“ดีแล้วหละครับ”
“งั้นลุงโป่งกินข้าวนะคะ วันนี้เพลงจะให้ลุงโป่งหยุดพักค่ะ เหนื่อยมาทั้งอาทิตย์แล้ว ต่อไปนี้ลุงโป่งต้องพักทุก ๆ วันอาทิตย์ค่ะ”
เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
“ได้ครับคุณเพลง แต่ความจริงลุงไม่ต้องหยุดก็ได้ครับ หยุดแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน บ้านช่อง ลูกเต้าก็ไม่มี จะมีก็แต่คุณเพลงกับคุณท่านเท่านั้นครับ” โป่งออกตัว
“ลุงโป่งก็ไปตลาด ไปวัด หรือทำอะไรก็ได้ค่ะ เพลงอยากให้ลุงโป่งพักผ่อนค่ะ อันไหนที่เพลงพอทำได้ เพลงก็จะทำเองค่ะ ลุงโป่งลำบากเพราะเรามามากแล้ว แต่ยังไงลุงโป่งก็คงจะลำบากไปอีกสักพัก ถ้าเพลงได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว เพลงจะให้ลุงโป่งอยู่เฉย ๆ ค่ะ และจะหาสาว ๆ มาคอยดูแลให้ด้วยค่ะ ดีไหมคะ”
เธอบอกออกไปด้วยความอารมณ์ดี
“ขอบคุณครับ งั้นอีกห้าปีลุงก็คงจะได้มีเมียกับเขาสักทีนะครับ”
โป่งยิ้มและตอบกลับด้วยความชื่นชมลูกสาวเจ้านายยิ่งนัก
“แน่นอนค่ะ เอ้านี่...เสร็จแล้วค่ะ ลุงโป่งนั่งกินที่โต๊ะนะคะ เดี๋ยวเพลงจะไปรับคุณพ่อก่อน เมื่อเช้าตื่นแต่เช้าและก็นั่งอ่านหนังสืออยู่” เธอบอกและก็เดินหายจากครัวไป
ใบหน้าที่แทบจะหาความสุขไม่ได้ เพราะความห่วงใยลูกสาวของกำพล พอมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ กันในเวลานี้
“คุณพ่อยิ้มอะไรคะ”
เธอถามพ่อหลังจากที่ล๊อครถเข็นเอาไว้ที่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่ของบ้าน
“พ่อดีใจที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เพลงน่ะลูก นี่ถ้ามีเจ้าพีอยู่ด้วยพ่อก็คงจะนอนตายตาหลับเสียที” เขาบอกลูกสาว
“อีกไม่นานเราก็จะได้อยู่ด้วยกันค่ะคุณพ่อ เพลงสัญญาค่ะ”
เธอเดินเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อแล้วให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
“พ่อจะรอนะลูก ถ้าเราได้บ้านกับกิจการเราคืนแล้ว พ่อจะปรับปรุงบ้านเรา ให้มีสภาพเหมือนเมื่อตอนที่เพลงยังเด็ก ๆ ดีไหมลูก ตอนนี้มันรกไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร”
เขาบอกด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“แล้วว่าแต่เจ้านายลูกน่ะ เขาใช้งานหนักหรือเปล่าลูก พ่อเห็นกว่าเราจะได้โทรคุยกันทีก็หลังสามทุ่มไปแล้ว ช่วงกลางวันคงจะยุ่งมากใช่ไหมลูก”
กำพลถามด้วยความอยากรู้ ทำให้สีหน้าของระพีพรรณที่พอจะแจ่มใสอยู่เมื่อครู่ แทบจะหุบลงทันที เมื่อนึกถึงเรื่องที่แต่งโกหกพ่อเอาไว้ แล้วถ้าพ่อรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่บอกเธอบอกเอาไว้แต่แรก ผลจะออกมาเป็นยังไงกัน แต่หญิงสาวก็ไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ กับภาระที่เธอกำลังแบกเอาไว้อยู่
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะคุณพ่อ แต่เพลงไม่อยากจะให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับคนอื่น ๆ น่ะ....เพลงว่าเราไปดูปลากันดีกว่านะคะ ไม่ได้ให้อาหารปลามานานแล้ว”
หญิงสาวบอกและรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที แล้วก็เข็นรถเข็นของพ่อตรงไปบึงขนาดใหญ่ที่ทำไว้ที่กลางสนามหญ้า และมีปลานานาพันธ์ที่พ่อเธอและโป่งสรรหามาเลี้ยงเอาไว้เมื่อสมัยก่อน
“เดี๋ยวเย็น ๆ พี่โสภาจะมาเยี่ยมคุณพ่อนะคะ แล้วก็จะมาพักบ้านเราคืนหนึ่งค่ะ แล้วพี่โสภาก็จะไปส่งเพลงที่ ๆ ทำงานค่ะ” เธอบอกหลังจากที่ให้อาหารปลาเสร็จแล้ว
“ดีเลยลูก เพื่อนลูกคนนี้คุยเก่งดี พ่อชอบ อยู่กับเจ้าโป่ง วัน ๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเลย” เขาบอก
“งั้นเพลงว่าคุณพ่อเข้าบ้านนอนพักขาก่อนนะคะ หย่อนไว้นาน ๆ เดี๋ยวขาจะบวมนะคะ แล้วเย็น ๆ เราค่อยมาเดินเล่นอีกค่ะ” เธอบอก และก็เข็นรถบิดาตรงเข้าบ้านไป
“ดูแลคุณแม่กับยายดา แทนพี่ด้วยนะดำ บอกท่านว่าอีกไม่นานพี่ก็จะกลับไปอยู่กับท่านแล้ว”
เด่นณรงค์บอกน้องชายผ่านกระจกใส ที่กั้นเอาไว้ระหว่างผู้ต้องหา กับญาติที่มาเยี่ยม
“พี่เด่นไม่ต้องห่วงนะครับ คุณแม่กับยายดาสบายดี ตาดอนก็สบายดีครับ แล้วเมื่อไหร่พี่จะให้ผมเอาหลานมาเยี่ยมบ้างหละ”
เขาถามพี่ชาย และก็ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่เด่นณรงค์ได้ยินเกือบทุกครั้ง ที่น้องชายมาเยี่ยม แต่เขาก็ไม่ยอมให้แม่และหลานย่างกรายเข้ามาในนี้เลยสักครั้งเดียว ด้วยไม่อยากให้แม่ได้เห็นสภาพที่ไม่น่าดูนัก แล้วกลับไปเสียใจภายหลัง และเขาก็ไม่อยากให้หลานต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานที่แบบนี้ด้วย
“อย่าเลยดำ เอาไว้พี่ไปหาพวกเขาเองดีกว่า อีกไม่กี่ปีแล้ว แล้วช่วงนี้อาการยายดาเป็นยังไงบ้าง”
เขาถามเพราะห่วงน้องสาว
“ก็ดีขึ้นครับ ได้พยาบาลมาใหม่ คนนี้หน้าจะเอายายดาอยู่ นี่ก็ทำงานได้หลายเดือนแล้ว สิ้นเดือนนี้ผมว่าจะขึ้นเงินเดือนให้เขาด้วย จะได้มีกำลังใจดูแลยายดาให้นาน ๆ....พี่อยู่ในนี้ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ตอนนี้ไอ้พวกที่มันทำให้ครอบครัวเราต้องแตกแยก มันก็กำลังได้รับกรรมของมันกันอย่างถ้วนหน้า และผมก็จะทำให้พวกมันเจ็บปวดมากกว่าที่พวกเราได้รับไปอีกร้อยเท่าพันเท่าเลยทีเดียว” เขาบอกกับพี่ชายด้วยสีหน้าแห่งความเจ็บแค้น
“พี่ว่าพอเถอะดำ แค่นี้พวกนั้นก็ได้รับกรรมมากพอแล้ว พี่ไม่อยากให้ดำจองล้างจองผลาญพวกเขาอีก ใครทำกรรมอะไรเอาไว้ อีกไม่นานก็ต้องได้รับผลกรรมนั้นเอง”
เขาบอกน้องด้วยสีหน้าของคนที่สละแล้วซึ่งความอาฆาต
“ยังหรอกพี่เด่น ผมยังจะต้องสั่งสอนพวกมันให้หนักกว่านี้อีก แต่พี่เด่นไม่ต้องห่วงหรอกนะ ไอ้วิธีล้างแค้นของผมน่ะ มันไม่ได้ไปเข่นฆ่าพวกมันหรอก วิธีนั้นมันเอาไว้สำหรับคนที่สิ้นคิดเท่านั้น แต่สำหรับผม พวกมันจะต้องเหมือนตายทั้งเป็น มันจะต้องได้ลิ้มลองรสชาติการสูญเสียสิ่งที่มันรัก และหวงแหน ว่ารสชาติของการถูกทำลายมันเป็นยังไง”
เขาบอกพี่ชายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสะใจ เมื่อนึกถึงทายาทของกำพล ที่กำลังรับผลกรรมแทนพ่อ โดยการนั่งทำงานต่าง ๆ นานา ตามคำบัญชาการของเขา ไม่จบสิ้นแต่ละวัน
“ก็แล้วแต่ดำก็แล้วกัน แต่ยังไง ก็อย่าใช้วิธีที่รุนแรงจนทำให้ตัวเองต้องเดือดเนื้อร้อนใจ หรือต้องมาลงเอยแบบพี่ก็แล้วกันนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่คงจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว.....และพี่ก็ขอบใจดำมาก ที่ทำให้ครอบครัวของเรากลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง พี่ภูมิใจในตัวดำจริง ๆ”
เด่นณรงค์บอกน้องชาย และก็ดูเหมือนว่าดนุพรจะได้ยินคำบอกเล่าของพี่ชายเกือบแทบทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมพี่ชายก็ว่าได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ เท่าที่พี่เสียสละเพื่อพวกเราก็มากพอแล้ว.....ผมเอาหนังสือมาฝากหลายเล่ม คงจะถูกใจพี่นะครับ พี่เองก็รักษาตัวด้วยนะครับ อีกไม่นานเราคงจะได้อยู่ร่วมกันแบบครอบครัวซักที”
เขาบอกพี่ชายด้วยความภาคภูมิใจไม่แพ้กัน
“งั้นพอแค่นี้ก่อนนะครับ เอาไว้วันหลังผมจะมาเยี่ยมพี่ใหม่ แล้วพี่จะเอาอะไรหรือเปล่าครับ ผมจะได้หามาให้”
เขารีบตัดบท เมื่อเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณเตือนว่าใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว
“ไม่เอาอะไรแล้วหละ ที่นี่ก็มีทุกอย่างครบ ไม่ขาดอะไร คนติดคุกทุกวันนี้ ได้รับอะไร ๆ หลายอย่างจากราชการ ไม่แพ้กับคนข้างนอกหรอก จะมีก็แต่อิสระภาพเท่านั้นที่เราขาด งั้นเอาไว้เจอกันใหม่นะ” เขาบอก
“ครับพี่”
ดนุพรรับปากพี่ชาย แล้วก็นั่งมองหน้าเด่นณรงค์ ที่กำลังจะเดินจากไป เพราะเจ้าหน้าที่คุมขังเข้ามาคุมตัวไปเพราะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว เขามองตามพี่ชายไปจนร่างของเด่นณรงค์หายลับไปจากประตู แล้วเขาก็หลับตาพริ้มลงด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด
ที่จู่ ๆ บทสนทนาก็ต้องหยุดชะงักลง ด้วยขอบเขตของเวลา และอิสระภาพของพี่ชาย ทำให้ความโกรธแค้นทั้งหมดในหัวใจ แล่นไปหาทายาทของกำพลอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเขาก็ลุกออกจากสถานที่นั้น ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และเจ็บแค้นไม่แพ้กัน
รอยยิ้มจาง ๆ ที่ส่งให้ลูกชายที่หน้าบ้าน ทันทีที่เขาลงจากรถด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก เธอเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกชายไม่น้อย เพราะทุก ๆ ครั้งหลังจากกลับจากเยี่ยมพี่ชายแล้ว เขาจะมีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนักแทบทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นผลมาถึงความรู้สึกของเธอด้วยเช่นกัน เธอรักและคิดถึงเด่นณรงค์มาก แต่ก็ไม่อยากจะฝืนความต้องการของลูกชายคนโตได้ ที่ไม่อยากให้แม่ไปเยี่ยม
“พี่เด่นเป็นยังไงบ้างลูก”
เธอถามคำถามแรกทันทีที่ลูกชายเดินมาถึง และยิ้มจาง ๆ ให้มารดาพร้อมกับเดินเข้าไปเข็นรถเข็นให้มารดา ให้กลับเข้าไปห้องนั่งเล่น
“น้ำมะตูมเย็น ๆ ค่ะ คุณดำ”
นิตยาที่เดินมาพร้อมกับในมือถือถาดเครื่องดื่มมาด้วย ประหนึ่งเธอจะรู้ว่าดนุพรต้องการอะไร
“ขอบคุณมากครับนิด”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบ และก็รับแก้วน้ำจากมือนิตยามาดื่ม
“แตนไปตามระพีพรรณมาหาฉันหน่อย ให้มาเดี๋ยวนี้”
เขาสั่งแตนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดุ จนทำให้นิตยาและลัดดามองหน้ากันด้วยความสงสัย เพราะร้อยวันพันปีตั้งแต่ ระพีพรรณเข้ามาอยู่ในบ้านก็หลายเดือนแล้ว เขาแทบจะไม่มองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
“แตนไม่ต้องแล้ว มานั่นแล้ว”
ลัดดาบอกแตน เพราะได้ยินเสียงรถที่จอดหน้าบ้านและก็มีดอนวิ่งลงจากรถเดินเข้าบ้านมา โดยมีระพีพรรณหอบกระเป๋านักเรียนเดินตามเข้ามาติด ๆ
“คุณย่าสวัสดีครับ คุณพ่อสวัสดีครับหน้านิดสวัสดีครับ”
ดอนเดินเข้ามาไหว้คนทั้งสาม
“แม่เพลงมาหาคุณดำก่อน”
นิตยารีบร้องเรียก ระพีพรรณที่กำลังจะรีบเดินเอากระเป๋านักเรียนของดอนขึ้นไปเก็บไว้ข้างบน เพราะเธอรู้ดีว่าแม่ลูกสองคนนั้น ไม่ปรารถนาที่จะได้เห็นหน้าเธอเท่าไหร่นัก และมันก็ดีสำหรับเธอด้วย ที่ไม่ต้องทนกล้ำกลืนฝืนปั้นหน้า ทนให้ลัดดาและดนุพรพูดถากถาง โดยที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้ได้เลย
“แตนพาคุณดอนขึ้นไปข้างบนก่อน และเอากระเป๋าไปด้วย และก็อาบน้ำให้คุณดอนด้วยเลย เดี๋ยวฉันจะดูคุณป้ารอเอง”
นิตยาสั่งหลานสาวทันทีที่ระพีพรรณเดินมาถึง และเธอก็นั่งลงที่พื้น เหมือน ๆ กับเด็กรับใช้คนอื่น ที่จะต้องนั่งพื้นเวลามารับใช้เจ้านาย ซึ่งเธอเองนั้นต้องฝืนความรู้สึกเป็นที่สุดที่จะต้องทำแบบนี้
“มีอะไรคะ” เธอถาม
“เธอมานี่ซิ” ดนุพรนั่งไข้วห้างและเรียกให้เธอไปนั่งใกล้ ๆ เขา
“ถอดรองเท้าให้หน่อย ถุงเท้าด้วย”
เขาบอกหน้าตาเฉย สร้างความมึนงงให้นิตยาและลัดดาอีกครั้ง เพราะปกติเขาจะไม่เคยให้ใครยุ่งเรื่องพวกนี้เลย ระพีพรรณเองก็ถึงกับชะงักกับคำสั่งการของเขา และท่าทางที่เหยียดหยามเธอในที
“เร็วสิ ฉันบอกให้ถอดรองเท้าให้ฉันไง ทำได้มั้ย ถ้าทำไม่ได้ ก็ลาออกไปซะ”
เขาขึ้นเสียงแทบจะตวาดเธอ จนระพีพรรณต้องมองหน้าเขาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด กับคำสั่งที่เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะทำ และเธอก็ค่อย ๆ ยื่นมือไปแก้สายรองเท้าเขาออก แล้วน้ำตาแห่งความเจ็บปวดมันก็ไหลออกมาเมื่อรองเท้าข้างที่สองถูกถอดออก และมือเธอก็ค่อย ๆ บรรจงถอดถุงเท้าออก แล้วก็ค่อย ๆ คลานออกมา และหันหลังจากคนทั้งสามไป
“เดี๋ยว....”
เขาเรียกเธอเอาไว้ แล้วหญิงสาวก็หันหน้ากลับมา เมื่อน้ำตาที่อาบแก้มอยู่ถูกปาดออกไป
“มีอะไรคะ”
เธอถามและมองหน้าเขา
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องมีหน้าที่ใส่ถุงเท้า รองเท้าให้ฉัน ก่อนฉันออกไปทำงานทุกวัน และก็กลับมาก็ต้องทำเหมือนวันนี้ด้วย แค่นี้หละไปได้แล้ว ไปไหนก็ไป ฉันเกลียดขี้หน้าเธอ ลูกไอ้คนขี้โกง”
เขาด่าเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน โดยไม่ได้สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง มืออีกข้างที่ไม่มีรองเท้ากำแน่นเข้าหากัน ด้วยความรู้สึกโกรธเขาจัด ที่ลามปามไปถึงผู้ให้กำเนิดเธอ แต่ก็ด้วยความที่ระพีพรรณเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีคนหนึ่ง เธอจึงไม่หลงปากไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก ในใจก็ท่องเอาไว้ว่าเพื่อพ่อ เพื่อบ้าน และเพื่อหลาย ๆ คนที่รอเธออยู่
“แม่ว่าดำมาเหนื่อย ๆ ไปพักก่อนเถอะลูก เดี๋ยวถึงเวลาอาหารแล้ว แม่จะให้คนไปตาม”
ลัดดาพยายามทำให้สถานะการณ์ที่ตึงเคลียดค่อย ๆ คลายลง ส่วนนิตยาเองก็ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยเห็นดนุพรประพฤตัวแบบนี้มาก่อนนั่นเอง
“ครับแม่”
แล้วเขาก็เดินขึ้นข้างบนไป โดยไม่ได้สนใจสายตาของทั้งสองที่มองมาด้วยความมึนงง แต่ลัดดาก็เข้าใจความรู้สึกของลูกชายได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงโปร่ง กับชุดทำงานชุดเดิมของดนุพร ที่ไม่ยอมเปลี่ยนออกจากเมื่อกลางวัน เขายืนมองสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักสาดกระทบกับหน้าต่างที่เป็นกระจกที่ห้องนั่งเล่น สายตาที่แดงกร่ำเพราะฤทธิ์เหล้าที่ถืออยู่ในมือ ดนุพรไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ประกายของสายฟ้าที่แล็บลงมาเป็นระยะ ๆ บวกกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
มันทำให้เขานึกถึงวันที่เขาพยุงแม่ออกมาจากบ้านกำพล หลังจากที่ได้รับการปฏิเสธเรื่องคืนทรัพย์สมบัติให้ ภาพของเขาที่หอบแม่และน้องหนีออกมาจากบ้านพักคนงานก่อสร้างในคืนนั้น ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายมาอย่างหนัก เหมือนเป็นการซ้ำเติมให้เขากับแม่และน้องยิ่งนัก
“ทนอีกหน่อยนะครับแม่ อีกไม่นานก็จะถึงทางแยกแล้ว จะได้เรียกแท็กซี่ แถวนี้ก็ไม่มีรถวิ่งผ่านด้วย ฝนตกหนักอย่างนี้รถก็คงจะติด หารถยากหน่อยนะครับ”
เขาประคองมารดาที่มีอาการแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะความเสียใจ ที่ลูกทั้งสอง ไปเสียรู้นายกำพล
“ดำพาแม่ไปหาพี่เด่นด้วยนะลูก แม่คิดถึงตาเด่น ทำไมลูกทำอะไรไม่ปรึกษาแม่ก่อน ให้แม่ตายเสียดีกว่า ที่จะยอมทนให้ลูกแม่ติดคุก ลูกรู้มั้ยว่าในคุกน่ะ มันมีสภาพยังไง แล้วพี่เด่นจะอยู่ได้ยังไง”
ลัดดาร่ำไห้เพราะเสียใจ จนขาก้าวแทบจะไม่ออก
“แม่ครับผมขอโทษครับแม่ ผมกับพี่เด่นไม่คิดว่าไอ้กำพลมันจะกลับคำพูดแบบนี้ พี่เด่นบอกกับผมเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามันเป็นคน มีสัจจะ มันรักลูกมัน และมันจะยอมทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ลูกมันติดคุก กับสมบัติของเราเพื่อแลกกับอิสระภาพลูกมัน พี่เด่นบอกว่ามันจะต้องยอม แล้วมันก็รับปากผมกับพี่เด่น ว่ามันจะคืนให้เรา”
เขาบอกมารดาด้วยความไม่เดียงสาของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะผ่านโลกภายนอกมาไม่กี่ปี
“คุณแม่ดาหิวค่ะ”
ดรุณีที่เดินตามมารดาและพี่ชาย โดยที่มีร่มใบเล็ก ๆ ถือเอาไว้ในมือเพื่อกันฝนให้ตัวเอง
“โถ่...ยายดาลูกแม่ ทนอีกหน่อยนะลูก”
ลัดดาอ้าแขนโอบกอดลูกสาว และร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
“เราจะไปไหนคะพี่ดำ ดาเหนื่อยแล้ว ทำไมเราไม่นอนที่บ้านคะ ฝนตกหนักทำไมพี่ดำกับแม่ตากฝนหละคะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ”
ดรุณีที่เพิ่งจบชั้นประถมถามพี่ชายกับแม่ด้วยความไม่เข้าใจ ที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกแม่กับพี่สั่งให้เก็บข้าวของและออกมาจากห้องพัก
“เราจะไปอยู่ที่อื่นกันนะยายดา ไปเถอะอีกไม่นานก็จะถึงทางแยกแล้ว พี่จะพาไปกินข้าว”
เขาบอกน้องสาวผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะมารดาห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับน้อง เพราะยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วทั้งสามก็พากันเดินผ่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก กับข้าวของเครื่องใช้ที่จะเป็นที่ดนุพรพอจะหอบมาได้
ในที่สุดเขาก็พาแม่และน้องมาถึงบ้านพัก ที่พิสิทธิ์เพื่อนรักหาเอาไว้ให้ เพราะพ่อของเขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ด้วยมีคนเอาไปจำนองและไม่มาไถ่คืน พ่อของพิสิทธิ์จึงให้ดนุพรและแม่พักโดยไม่คิดเงิน
“เข้าบ้านก่อนนะครับแม่”
เขาประคองมารดาหลังจากที่จ่ายค่าแทกซี่แล้ว
“ไปยายดา เอาข้าวของเข้าบ้านได้แล้ว” เขาบอกน้อง
“สวัสดีครับคุณแม่”
พิสิทธิ์ไหว้ลัดดาด้วยความนอบน้อม
“ไหว้พระเถอะจ๊ะพิสิทธิ์ ขอบใจมาก ๆ นะ ที่ช่วยป้ากับดำ ถ้าแม่ไม่ได้เรา ป่านนี้ไม่รู้จะไปตกระกำลำบากที่ไหนก็ไม่รู้”
ลัดดากล่าวหลังจากที่เข้าไปอยู่บนบ้านไม้สองชั้นหลังเล็ก ๆ แล้ว
“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ บ้านนี้คุณพ่อก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร คนเช่าเขาเพิ่งจะย้ายออกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองครับ”
เขาบอกด้วยความนอบน้อม
“ขอบใจมากนะพิสิทธิ์ ถ้าไม่ได้นาย พวกเราก็คงจะแย่เหมือนกัน”
ดนุพรบอกเพื่อนรัก หลังจากที่แม่และน้องได้กินข้าวปลาและเข้านอนแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วแกจะทำยังไงต่อไปวะ เรียนก็ยังเรียนไม่จบ” เขาถามเพื่อนรัก
“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณแม่บอกว่าจะทำอาหารขายให้คนแถวนี้ ส่วนฉันก็คงจะไป ๆ มา ๆ จนกว่าจะเรียนจบนั่นหละ เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ฉันปวดหัวไปหมดแล้ว” เขาบอกเพื่อนกลับ
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ คุณพ่อบอกว่าถ้าเราเรียนจบเมื่อไหร่ จะให้เงินทุนไปเปิดบริษัทด้วยกัน แกก็จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนตอนนี้” พิสิทธิ์บอกเขา
“ถ้าฉันไม่ได้คุณลุงช่วย ก็คงจะแย่เหมือนกัน ฉันจะต้องกู้ฐานะของบ้านฉันคืนให้ได้ ไม่เชื่อคอยดูสิ แล้วฉันจะทำให้นายกำพลมันรับผลกรรมที่มันทำกับครอบครัวของฉันให้ได้ ฉันเกลียดพวกมัน ไอ้ชั่ว”
เขาสบถกับเพื่อนด้วยความโกรธแค้น
สายตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น กับการกระทำของกำพลเมื่อครั้งอดีตมันย้อนกลับมาอยู่ในความคิดของดนุพรอีกครั้ง
“ไอ้กำพล ไอ้คนชั่ว ไอ้คนขี้โกง แกจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสม”
เขารำพันอยู่คนเดียว
“ดำยังไม่นอนอีกเหรอลูก ดึกแล้วนะ”
ลัดดาเข็นรถออกมาดูลูกชาย ที่ตั้งแต่กินข้าวเสร็จก็นั่งดื่มเหล้าและก็นั่งจมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นไม่ยอมไปไหน
“ยังครับแม่”
เขาบอกมารดาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่าย
“คิดอะไรอยู่ลูก แม่ไม่เห็นดำเป็นแบบนี้มานานแล้วนะ”
เธอถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรครับแม่ ก็แค่คิดเรื่องเก่า ๆ ไปเรื่อยเปื่อย แม่ไปนอนเถอะครับไม่ต้องห่วงผม” เขาบอก
“แม่นอนไม่หลับหรอกลูก ฝนก็ตกหนัก ฟ้าก็ร้องโครมคราม แม่ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่” เธอบอกลูกชาย
“คุณท่านคะ ทานยาก่อนนอนค่ะ”
แตนเดินมาพร้อมกับถาดยาแล้วก็ยื่นไปให้ลัดดา
“ยาอีกแล้ว ฉันหละเบื่อจริง ๆ เลย ไม่รู้หมอจะให้กินไปจนฉันตายรึยังไงกันนี่”
ลัดดาบ่นพรึมพรำแต่ก็รับยามาจากแตนแต่โดยดี
“แตนไม่ตามระพีพรรณมาหาฉันหน่อยสิ เอาตาดอนเข้านอนเสร็จหรือยัง” ดนุพรสั่ง
“เสร็จแล้วค่ะคุณดำ เดินมานั่นไงคะ”
แตนบอกเมื่อเห็นระพีพรรณเดินลงบันไดมาจากชั้นบน โดยมีนิตยาที่เดินลงมาตรวจความเรียบร้อยก่อนเข้านอน
“เธอมานี่ซิ”
เสียงเขาเรียกเธอ ทำให้สีหน้าของระพีพรรณไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ไม่รู้ว่าเขาจะหาเรื่องให้ทำอะไรอีก แต่เธอก็เดินเข้ามาหาเขาตามคำสั่ง
“มีอะไรคะ”
เธอถามขณะนั่งลงกับพื้นใกล้ ๆ กับแตน และมีนิตยาเดินลงมาสมทบ
“ไปซื้อเหล้ามาให้ฉันหน่อย เอายี่ห้อนี้นะ เร็ว ๆ เข้า”
เขาสั่ง ทั้ง ๆ ที่เหล้ายังมีเหลืออีกหลายขวดที่ตั้งเรียงรายอยู่ที่บรา
“แต่ฝนกำลังตกหนักนะคะ ดิฉันจะไปยังไง”
เธอแย้งเพราะรู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการเหล้าอย่างที่บอกเธอไป
“ทำได้ไหมหละ ถ้าทำไม่ได้ก็หอบข้าวของกลับบ้านไปเลยไป นี่เงินเอาไป และก็ไปคนเดียวนะ อย่าให้ใครขับรถไปให้ รีบไปรีบมาด้วยฉันจะรอ....เอ้า”
เขาล้วงมือหยิบธนบัตรสีเทามาสองสามใบ แล้วก็โยนใส่หน้าเธอด้วยความเกลียดชัง
“ไปสิ....ยังจะมามองหน้าฉันอีก ไปให้พ้น ๆ ไป๊”
เขาด่าและไล่เธอ จนระพีพรรณต้องผืนใจหยิบเอาเงินที่เขาปาใส่หน้าแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น
“ไอ้พวกขี้โกง ฉันเกลียดแก”
ดนุพรด่าตามหลัง และปาแก้วเหล้าในมือตามหลังระพีพรรณที่กำลังจะเดินไป
“ถ้าไม่ได้เหล้าอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้านะ....ไป”
เขาไม่วายด่าตามเมื่อร่างระพีพรรณหายลับไปแล้ว ลัดดา นิตยา และแตนมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวในอารมณ์ที่แปรปรวนของเขา
“ดำพอเถอะลูก มันดึกมากแล้ว ฝนก็ตกหนักด้วย มันอันตราย ผู้หญิงตัวคนเดียวจะไปได้ยังไงกัน”
ลัดดาห้ามปรามเขา แต่สีหน้าก็หวาด ๆ กับอารมณ์เขาไม่น้อย
“ช่างมันสิแม่ แม่จำไม่ได้เหรอว่าพ่อมันทำยังไงกับเราไว้”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น พร้อม ๆ กับลุกเดินไปที่ประตูก็เห็นระพีพรรณเดินกางร่มไปตามถนนที่ลาดจากตัวบ้านไปหาประตูรั้ว
“นิด ไปโทรสั่ง รปภ. ว่าถ้าแม่นั่นออกไปจากรั้วบ้านแล้ว ให้ปิดประตู และถ้าแม่นั่นกลับมาแล้วห้ามเปิดรับเด็ดขาด ให้มันนอนตากฝนอยู่ตรงนั้นทั้งคืน ใครขัดขืนคำสั่ง ฉันจะไล่ออก ไม่เชื่อคอยดู”
เขาหันมาสั่งนิตยาเสียงแข็ง พร้อมกับดวงตาที่ดุดัน และเกลียดชังผู้ที่เขาพูดถึงเป็นที่สุด นิตยาได้แต่มึนงงกับคำสั่งเขา เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อน
“ไปสิ ฉันสั่งไม่ได้ยินรึไง หรือจะให้ฉันไล่เธอออกก่อน จำไว้นะ ใครเปิดประตูให้แม่นั่น ฉันจะไล่ออกทันที”
สิ้นเสียงสั่งการ เขาก็พาร่างที่สูงโปร่งเดินขึ้นบันไดไปดื้อ ๆ โดยไม่สนใจมารดาแล้วคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย
“เอายังไงคะคุณป้า”
นิตยาถามลัดดาด้วยความสับสน ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยประทับใจนัก ที่มีระพีพรรณเข้ามาอยู่ในบ้าน คอยแข่งบารมีความสวยงามกับตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้ปรารถนาให้ระพีพรรณจะต้องเผชิญชะตากรรมที่ค่อนข้างโหดร้ายแบบนี้เลย
“ไปทำตามตาดำสั่ง ก็ดีเหมือนกัน พ่อมันจะได้รู้ซักทีว่าการร่อนเร่กลางสายฝนมันเป็นยังไง”
ลัดดาบอกในที่สุด และก็เข็นรถเข็นเข้าห้องนอนไป โดยมีแตนตามไปติด ๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น