ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอน ๑
ตอน ๑
“เพลง....ตกลงมีคนมารับหรือเปล่าจ๊ะ ถ้าไม่มีพี่จะไปส่งให้”
โสภาหญิงวัยสามสิบปี ถามไถ่เพื่อนร่วมทางรุ่นน้อง ขณะเดินแวกฝูงชนที่ดูจะหนาแน่นและวุ่นวายของสนามบินจนดูแล้วน่าปวดหัว
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่โสภา....เห็นคุณพ่อบอกว่าจะให้ลุงโป่งมารับค่ะ แต่เพลงยังไม่เห็นเลย”
ระพีพรรณ หรือชื่อที่เพื่อน ๆ และคนใกล้ชิดเรียกเธอว่า
“เพลง”
หญิงสาวหน้าใสวัยยี่สิบห้าปีบอกเพื่อนต่างวัย ขณะที่ในมือก็เข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยสัมภาระต่าง ๆ เดินคู่ไปกับโสภามาจากประตูของผู้โดยสารขาเข้า
“พี่โสภา....”
เสียงเด็กหนุ่มร้องเรียกชื่อผู้เป็นพี่สาว จนทำให้คนทั้งสองช่วยกันมองหาต้นเสียง แล้วก็พบเขาที่โบกไม้โบกมือกวักพี่สาวที่รวมตัวอยู่กับผู้คนที่มารอรับญาติตัวเองที่ต่างก็เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันกับสองสาว
“คิน....โอ้โห....ไม่เจอตั้งนานน้องพี่โตเป็นหนุ่มแล้วนะเนี๊ยะ หล่อด้วย ไหนดูสิ มาให้พี่กอดหน่อย คิดถึงจังเลยน้องพี่”
โสภาละมือจากรถสัมภาระ และก็อ้าแขนรับน้องชายที่โผเข้ามากอดพี่สาวด้วยความคิดถึง โดยที่ไม่ได้สนใจกับสายตาของผู้คนที่มองมาดูการกระทำของทั้งสองคน
“สวัสดีครับพี่โสภา”
เขากราบแนบกับอกพี่สาวด้วยความนอบน้อม ภคินเป็นน้องชายคนกลางของโสภา อายุห่างกันห้าปี และโสภาก็มีน้องชายอีกคน อายุห่างจากภคินสามปี
“เอ่อ....ตายจริงลืมแนะนำเลย....คิน...นี่เพลง หรือระพีพรรณ เพื่อนพี่ ที่เรียนโทอยู่ด้วยกัน คนที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง ว่าช่วยเหลือพี่เรื่องเงินตอนที่เรียนอยู่ด้วยกันน่ะ”
โสภาแนะนำน้องชายให้รู้จักระพีพรรณ ที่ยืนดูและยิ้มให้สองพี่น้องแสดงความรักใคร่กัน ทำให้ตัวเองคิดถึงพี่ชายตัวดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้
“พี่พี”
ของเธอจะตัวโตมากแค่ไหน จะหล่อเหลาเอาการ และช่วยงานพ่อได้แค่ไหนแล้ว
“สวัสดีครับคุณเพลง...ยินดีที่ได้รู้จักครับ ต้องขอบคุณเพลงมาก ๆ ครับที่ช่วยพี่โสภาชื่อคุณเพลงติดหูผมอยู่บ่อย ๆ ครับ”
ภคินกล่าวทักทายเธอ พร้อมกับมองมาหาหญิงสาวที่มีหน้าตาที่สวยอย่างหาตัวจับยาก เขาเคยแต่ได้ยินพี่สาวเล่าเรื่องเธอให้เขาฟัง ว่าเป็นคนคอยหยิบยื่นเงินทองให้โสภาใช้เวลาที่ขัดสน เพราะฐานะทางบ้านของเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก แต่พี่สาวก็อยากจะไปเรียนต่อโทที่เมืองนอก หลังจากจบปริญญาตรีด้านมัฑนากรและก็ทำงานไปได้สักระยะ แต่อยากจะเรียนต่อ
แล้วก็ในช่วงที่พี่สาวเขาเรียน เขาก็รับหน้าที่ดูแลพ่อที่แก่แล้วกับน้องชายอีกคนที่กำลังเรียนมหาลัยปีสุดท้ายอยู่นี้ ส่วนพี่สาวก็เรียนไปทำงานไปด้วย เพราะฐานะทางบ้านไม่ใคร่จะร่ำรวยนัก แค่พอมีอยู่มีกินไม่ขัดสนมากเท่านั้นเอง เขาพินิจดูหญิงสาวที่น่าจะอยู่ในวัยเดียวกับเขาด้วยความกังขา และก็ให้นึกแปลกใจกับการแต่งตัวของหญิงสาวที่ดูจะไม่เหมือนคนที่เป็นนักเรียนนอกเอาเสียเลย
เพราะเธอจะสวมผ้าถุงที่เป็นผ้าฝ้ายยาวคลุมไปเกือบถึงข้อเท้า ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อยืดที่แนบติดกับร่างที่ดูจะกลมบางน่ามองนัก ตรงเอวมีเข็มขัดที่ทำจากเส้นไหมถักเป็นเป็นเกลียวกลม ๆ และผูกหลวม ๆ ไว้ ปล่อยให้ปลายที่เป็นพุ่มสีเหลืองอร่ามหย่อนลงมาตามแนวต้นขาจนเกือบถึงเข่า และก็มีสร้อยเส้นยาว ที่ทำจากหินสีเขียวมรกตร้อยเข้าด้วยกัน แล้วตรงจี้ก็จะเป็นหินแผ่นใหญ่กลมแบน แล้วก็มีรูค่อนข้างใหญ่ตรงกลาง ยึดไว้กับตัวสร้อย ส่วนผมเธอนั้น ถ้าให้เขาเดาก็น่าจะยาวสลวย แต่ก็ถูกม้วนเก็บเอาไว้ด้านหลังอย่างสวยงาม แล้วก็มีปิ่นที่ทำจากไม้ปักไข้วกันไว้สองอัน
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณภคิน เจอตัวจริงซักทีนะคะ ได้ยินแต่ชื่อพี่โสภาเล่าให้เพลงฟังค่ะ”
เธอทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับน้องชายเพื่อนต่างวัยของเธอ ระพีพรรณ ได้พบกับโสภาเมื่อสามปีที่แล้ว ตั้งแต่โสภาไปใหม่ ๆ ส่วนเธอนั้นก็ยังเรียนปริญญาตรีอยู่นั่นเอง ทั้งคู่ได้รู้จักกันด้วยความบังเอิญที่โสภากำลังหางานทำแต่ก็ยังหาไม่ได้ บวกกับเงินที่มีจากเมืองไทยไปก็ใกล้หมดเต็มที
ระพีพรรณจึงเอื้อเฟื้อให้ไปพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นที่เธอเช่าบิดาซื้อไว้ตั้งแต่สมัยเธอถูกส่งไปใหม่ ๆ และทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่ดีด้วยกันตั้งแต่นั้นมาจนระพีพรรณและโสภาได้เริ่มเรียนโทออกแบบภายในด้วยกัน ทั้งคู่ดูจะเป็นเพื่อนต่างวัยที่รักและเข้าใจกันในหลาย ๆ เรื่อง เพราะชอบและมีมุมมองอะไร ๆ ที่คล้าย ๆ กัน แล้วระพีพรรณก็คอยช่วยเหลือเพื่อนต่างวัยเอาไว้หลายครั้ง เมื่อโสภามีปัญหาเรื่องเงิน
ส่วนระพีพรรณนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย ด้วยบิดาจะส่งเงินไปให้ใช้อย่างไม่ขาดมือตลอด ตั้งแต่ที่เธอได้ถูกพ่อส่งให้ไปเรียนที่เมืองนอก ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบ หรือจบ ป. หกแล้วนั่นเอง
“ตกลงเพลงให้พี่ไปส่งนะ ลุงโป่งกับพี่พีของเพลงยังไม่มาเลย”
โสภาถามเธอพร้อม ๆ กับมองไปรอบ ๆ หาคนที่คิดว่าจะเป็นคนมารับเพื่อนรุ่นน้อง
“คงไม่ต้องแล้วหละค่ะพี่โสภา โน่นค่ะ เพลงเห็นลุงโป่งแล้วค่ะ อยู่ด้านโน้นค่ะ สงสัยแกจะจำเพลงไม่ได้ค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว...งั้นเราแยกกันตรงนี้นะคะ พี่โสภามีเบอร์บ้านเพลงแล้วนะคะ มีอะไรเราค่อยโทรคุยกันใหม่ค่ะ....งั้นเอาไว้พบกันใหม่นะคะคุณภคิน ขอตัวก่อนค่ะ”
เธอรีบบอกลาเพื่อน หลังจากที่มองเห็นชายสูงอายุ ที่ผอมและก็ตัวดำยืนหันรีหันขวางหาเธอเจ้านายสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี
“สวัสดีค่ะลุงโป่ง....จำเพลงไม่ได้เหรอคะ”
เธอทักทายชายที่ชื่อโป่ง ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล และสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“คุณเพลงเหรอครับ โอ้โห...ลุงจำคุณเพลงไม่ได้ครับ ดูสิโตเป็นสาว สวยขนาดนี้ ใครจะจำได้ครับ”
โป่งร้องทักเธอด้วยความไม่แน่ใจ และดีใจระคนกันไป
“แล้วคุณพ่อกับพี่พีไม่มารับเพลงเหรอคะ”
เธอถามหาพ่อกับพี่ชายที่บอกว่าจะมารับเธอ เมื่อครั้งที่เธอโทรมาบอกว่าจะกลับวันไหน
“คุณท่านติดธุระครับ คุณพีก็เหมือนกัน มาไม่ได้ ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ”
โป่งบอกเธอ แล้วก็รีบเดินนำหน้าเธอออกไปจากสนามบินโดยที่ไม่คิดจะรอให้เธอไตร่ถามอะไรอีก
“ทำไมคุณพ่อไม่เปลี่ยนรถซักทีคะลุงโป่ง คันนี้เก่ามากแล้วนะ”
เธอถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเธอจำได้ว่ากลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว บิดาก็ยังใช้รถคันนี้อยู่ จะว่าด้วยขัดสนเรื่องการเงินก็ไม่น่าจะใช่
“คุณท่านชอบคันนี้ครับคุณเพลง”
โป่งตอบแค่นั้น ขณะควบรถแล่นอยู่บนถนน ท่ามกลางจราจรที่หนาแน่นของกรุงเทพ เพื่อมุ่งหน้าไปบ้าน แต่ก็ไม่วายที่จะหันมาหาหญิงสาว ที่นั่งคู่มากับเขาด้วยความรัก ระพีพรรณจะไม่ค่อยชอบนั่งเบาะหลังเหมือนกำพลผู้พ่อและระพีพงศ์ เมื่อเวลาที่โป่งขับรถให้ จะด้วยเพราะเหตุผลอะไรเขาก็ไม่รู้ได้ อาจจะเป็นเพราะเธอเห็นว่าเขานั้น อยู่กับครอบครัวมานานแล้ว ตั้งแต่เธอยังเล็ก ๆ โป่งก็อยู่ช่วยงานแทบทุกอย่างให้เธอกับครอบครัวมาก็เป็นได้
ในความคิดของโป่งนั้น ระพีพรรณจะมีนิสัยที่นุ่มนวล อ่อนหวาน เข้าใจคนง่าย ขี้สงสาร เห็นใครลำบากเธอก็จะช่วย เขาจำได้ว่าเมื่อเด็ก ๆ ระพีพรรณจะหอบเอาของกินจากบ้าน ไปแจกให้เด็ก ๆ ที่มาเล่นแถวบ้านเป็นประจำ ผิดกับกำพลและระพีพงศ์ผู้พี่ ที่ได้พ่อมาเกือบหมด คือมีจิตใจที่ไม่ค่อยจะเป็นธรรม เห็นชีวิตคนยากจนเป็นผักปลา เกเร ไม่รักเรียน จนทำให้ผู้พ่อต้องเดือดร้อนใจไม่ว่างเว้น
เพราะต้องคอยเก็บกวาดสิ่งที่ลูกทำสกปรกเอาไว้บ่อย ๆ ด้วยเพราะกำพลนั้นรักลูกมาก เลี้ยงลูกแบบตามใจ ใช้เงินซื้อเอาเป็นว่าเล่น ไม่ว่าลูกจะทำอะไร อยากได้อะไร กำพลก็ไม่เคยขัด เพราะเขาอยากจะให้ลูกได้สบาย ไม่อยากให้เป็นเหมือนเขาตอนที่พ่อแม่หนีจากประเทศจีน แล้วมาตั้งตัวที่นี่ใหม่ ๆ แล้วก็มีเขา
“สงสัยคุณพ่อคงจะมีความหลังกับรถคันนี้นะคะ ก็เลยอยากจะเก็บเอาไว้”
เธอสรุปตามแบบของคนที่เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้เป็นอย่างดี
“ทำไมบ้านเงียบจังเลยคะลุงโป่ง ดูสิคะโทรมด้วย ไม่เห็นเหมือนคราวก่อนที่เพลงกลับมาเลย”
หญิงสาวที่อยู่ในชุดผ้าถุง อดถามโป่งไม่ได้ เพราะเมื่อลงจากรถที่เพิ่งจะจอดไว้ที่บ้าน แล้วก็มองสำรวจไปรอบ ๆ แล้วก็รู้สึกว่าบ้านไม่เหมือนเดิม
“ลุงไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ครับคุณเพลง ลุงว่าคุณเพลงมาเหนื่อย ๆ ไปพักก่อนเถอะนะครับ แล้วลุงจะพาไปพบคุณท่าน”
โป่งบอกเธอ แล้วก็รีบช่วยยกกระเป๋าออกจากกระโปร่งรถ
“แล้วคนในบ้านไปไหนหมดคะลุงโป่ง”
เธอไม่วายที่จะถาม
“คุณเพลงไปพักก่อนเถอะนะครับ เอาไว้ค่อยคุยกับคุณท่านเองก็แล้วกัน ลุงจะเอากระเป๋าไปไว้ให้ที่ห้องนะครับ”
โป่งบอกเธอแล้วรีบถือเอากระเป๋าเดินเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะรอเจ้านายสาวเลยแม้แต่น้อย ยังความสงสัยให้กับระพีพรรณไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะความอ่อนแรงมาจากการเดินทางหลายชั่วโมงนั่นเอง จึงเดินเข้าบ้านและขึ้นไปยังห้องตัวเอง เพื่อพักผ่อนเอาแรง
กลิ่นหอมของขิงโชยมาใส่จมูก จนทำให้ระพีพรรณที่กำลังเดินลงบันไดมาหลังจากพักผ่อนมาหลายชั่วโมงแล้ว หญิงสาวมุ่งหน้าไปยังห้องครัว เพราะเข้าใจว่าแม่ครัวคงจะจัดอาหารไว้รอเธอไว้หลายอย่าง
“อ้าว....ลุงโป่งทำอะไรคะ”
ระพีพรรณทักโป่งเมื่อเห็นเขาง่วนอยู่หน้าเตา พร้อม ๆ กับในมือมีชามใบย่อม
“ลุงทำโจ๊กให้คุณเพลงเสร็จพอดี หิวไหมครับ ลุงว่าคุณเพลงกินอะไรก่อน แล้วค่อยไปพบคุณท่านดีกว่าครับ”
โป่งพูดพร้อม ๆ กับเดินนำหน้าเธอ ตรงไปยังห้องอาหาร ที่มีโต๊ะอาหารตัวยาว และมีเก้าอี้เกือบสิบกว่าตัว ทำให้ระพีพรรณนึกถึงบรรยากาศของมื้ออาหารเมื่อหลาย ๆ ครั้ง ที่อบอุ่นและมีความสุข พร้อมหน้าพ่อลูก และบรรดาญาติ ๆ พ่อที่มาร่วมกินอาหารกันเต็มบ้าน
“ทำไมลุงโป่งต้องทำให้เพลงด้วยหละคะ แล้วป้าแพงไปไหน แล้วคนอื่น ๆ อีก”
เธอถามหาแม่บ้านคนโปรด ที่มีหน้าที่ทำอาหารให้เธอกินตั้งแต่เล็ก ๆ จนเธอไปเมืองนอก และก็ยังได้พบกันเมื่อครั้งที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้านนั่นเอง
“แม่แพงลาออกไปแล้วครับ คุณเพลงกินก่อนนะครับ เดี๋ยวลุงจะไปดูอะไรนอกบ้านก่อน แล้วพอคุณเพลงอิ่มแล้ว ค่อยไปหาคุณท่านกัน”
โป่งรีบพาร่างที่ผอมเตี้ย ออกจากห้องอาหารไปโดยเร็ว ประหนึ่งกลัวว่าจะต้องตอบคำถามเจ้านายสาวอีกก็ไม่ไปปาน
หลังจัดเสร็จจากอาหารมื้อแรกแล้วระพีพรรณก็ตามโป่งมายังห้องนอนของบิดา ด้วยความสงสัย ว่าทำไมบิดาไม่ลงไปหาเธอ และร่วมรับประทานอาหารด้วย เหมือนครั้งที่เธอมาบ้านครั้งก่อน แต่ก็ไม่ทันได้สอบถามอะไร ประตูห้องก็ถูกโป่งเปิดออกอย่างช้า ๆ
“คุณพ่ออยู่ไหนคะ”
เธอถาม เพราะไม่เห็นร่างของบิดาปรากฏอยู่ในห้องเมื่อมองไปรอบ ๆ ห้อง
“คุณท่านนอนอยู่ที่เตียงครับคุณเพลง”
โป่งบอกด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย แล้วก็เดินนำเธอ ตรงไปยังเตียงนอนของกำพล
“คุณพ่อ ๆ เป็นอะไรคะ คุณพ่อไม่สบายเหรอคะ”
ระพีพรรณรีบตรงไปหาบิดาที่เตียงทันที และโอบกอดบิดาด้วยความรัก เมื่อเห็นบิดานอนทอดร่างที่ผอมแห้งอยู่ที่เตียงนอนที่เธอคุ้นตา เพราะเคยมาอาศัยนอนกับบิดาเมื่อยังเด็ก ๆ
“ยายเพลงลูกพ่อ กลับมาแล้วเหรอลูก ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูกพ่อ”
กำพลอ้าแขนโอบกอดลูกสาวที่เขารักไว้ ทั้ง ๆ ที่ตัวยังคงนอนทอดร่างอยู่ที่เตียงนั่นเอง แล้วดวงตาก็พล่ามัวจนแทบมองไม่เห็นหน้าบุตรสาว เพราะมีน้ำตาไหลเอ่อออกมาด้วยความดีใจ ที่เห็นหน้าลูกสาวคนเล็ก จนโป่งที่ยืนดูคนทั้งสอง ต้องรีบเข้าไปหยิบกระ ดาษทิชชู่ส่งให้เจ้านายซับน้ำตาด้วยความสังเวชใจ
“คุณพ่อเป็นอะไรคะ ลุงโป่ง ทำไมคุณพ่อถึง....”
เธอถามด้วยความสงสัย เมื่อไม่เห็นบิดาขยับเขยื้อนตัวเลย
“คุณท่าน....เอ่อ...”
โป่งแทบจะพูดไม่ออก
“เจ้าโป่ง...มาพยุงฉันนั่งหน่อยสิ”
กำพลที่นอนแบเบาะอยู่ สั่งลูกน้องคู่ใจ
“คุณพ่อขา คุณพ่อเป็นอะไรคะ บอกเพลงหน่อยได้ไหมคะ”
เธอพร่ำถามบิดา ขณะที่ช่วยพยุงร่างที่ไม่มีแม้แต่แรง โดยมีโป่งช่วยอีกข้างหนึ่งและเธอก็เอาหมอนที่บิดาเพิ่งใช้หนุนนอนจัดวางตั้งไว้กับหัวเตียงเพื่อให้เขาได้นั่งและพิงหมอนจะได้นั่งสบายขึ้น
“พ่อไม่ค่อยสบายลูก อีกหน่อยก็หาย เพลงไม่ต้องเป็นห่วงพ่อนะลูก ไหนได้อะไรจากเมืองนอกมาฝากพ่อบ้าง ลูกสาวพ่อดูสิ ไม่เจอกันไม่กี่ปี ลูกสาวพ่อตัวโตขึ้นตั้งเยอะแหนะ แล้วยังสวยเหมือนแม่ของลูกสมัยสาว ๆ ด้วย”
กำพลบอกลูกสาวแล้วพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวมีรอยยิ้มจาง ๆ ให้เธอ
“เพลงมีปริญญาโทมาฝากคุณพ่อค่ะ แล้วก็ภาพวาดของครอบครัวเรา ที่เพลงวาดเองด้วยค่ะ แต่คุณพ่อต้องรอหน่อยนะคะ เพราะเพลงส่งมาทางเรือรวมกับข้าวของอื่น ๆ ค่ะ”
เธอบอกบิดา เพราะข้าวของที่ติดตัวมานั้น แทบจะไม่ได้ครึ่งของที่ถูกส่งมาทางเรือ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานศิลป์ที่เธอทำขึ้นเอง ด้วยความชอบส่วนตัว เมื่อว่างเว้นจากการเรียน
“พ่อภูมิใจในตัวลูกจริง ๆ เลย”
กำพลพูดพร้อม ๆ ทั้งน้ำตาก็เอ่อไหลออกมาให้ลูกสาวเห็นเพราะห้ามเอาไว้ไม่ไหว จนหญิงสาวต้องเอากระดาษคอยซับให้ “พี่พีไปไหนคะ คุณพ่อ เพลงไม่เห็นตั้งแต่เพลงมาคราวก่อนแล้ว ทำไมพี่พีไม่มาดูแลคุณพ่อคะ”
เธอถามเพราะความสงสัย เพราะเมื่อครั้งก่อนที่กลับมา พ่อบอกว่าส่งพี่ชายไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียจะได้เอากลับมาใช้บริหารงานของครอบครัว หญิงสาวก็ไม่ได้คิดอะไร มาก เพราะจะโทรศัพท์คุยกับพี่ชายค่อนข้างบ่อย หรืออย่างน้อยก็เดือนละครั้ง แต่พี่ชายจะเป็นฝ่ายโทรหาทุกครั้ง เพราะเธอโทรมาที่บ้านก็ไม่เคยเจอพี่ชายเลย
“เพลงพ่อขอโทษนะลูก ที่การกลับมาของลูกครั้งนี้ ทุก ๆ อย่างที่บ้านเรามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ลูกหวังเอาไว้ พ่อเฝ้ารอวันที่ลูกพ่อ กลับมาหลายปีแล้ว ลูกคือที่พึ่งสุดท้ายของพ่อ”
กำพลพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก
“มีอะไรคะพ่อ ทำไมพ่อพูดอย่างนี้คะ”
เธอถามด้วยความอยากรู้
“เดี๋ยวนี้บ้านเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วหละลูก....”
พูดได้แค่นั้น น้ำตาของกำพลก็ไหลพรั่งพรูออกมาอีก และก็เผยความอ่อนแอให้ลูกสาวได้เห็น จนทำให้เธอมีสีหน้าที่กังวลกับอาการของพ่อ
“ผมว่าคุณท่านพักก่อนเถอะครับ แล้วผมจะเล่าให้คุณเพลงฟังเอง หมอไม่อยากให้คุณท่านคิดอะไรมาก”
โป่งเข้ามาพยุงเจ้านาย ที่ไอค๊อก ๆ ออกมาทั้ง ๆ ที่น้ำตายังไหลออกมาไม่ขาด
“คุณพ่อพักก็ได้ค่ะ เพลงไม่กวนคุณพ่อแล้ว เอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่นะคะ”
เธอเห็นด้วยกับโป่ง แล้วก็ช่วยโป่งพยุงร่างของบิดาให้ลงไปอยู่ในท่านอนเหมือนเดิม
“เพลงไปพักเถอะลูก พ่อไม่เป็นอะไรมากแล้ว พ่ออยากอยู่คนเดียว”
กำพลบอก พร้อม ๆ กับดวงตาก็ปิดลงเพื่อเป็นการหนีความละอายใจที่มีต่อลูกสาว ผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่น้อย
“คุณพ่อเป็นแบบนี้นานหรือยังคะลุงโป่ง”
ระพีพรรณเอ่ยถามโป่งทันทีที่ทั้งสองลงมานั่งที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจับอยู่ตามเก้าอี้
“สามปีที่แล้วครับคุณเพลง”
โป่งตอบอย่างไม่เต็มปากนัก
“แล้วทำไมไม่ มีใครบอกเพลงเลยคะ” เธอถาม
“คุณท่านไม่อยากให้คุณเพลงไม่สบายใจครับ และอีกอย่างถ้าคุณเพลงรู้ เดี๋ยวคุณเพลงก็จะคงไม่อยากจะเรียนต่อ เพราะต้องรีบกลับมาดูท่าน จะเสียการณ์ไปเปล่า ๆ คุณท่านบอกว่ากลับมาแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้” โป่งบอก
“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะแล้วพี่พีไปไหน ทำไมไม่มาดูแลคุณพ่อคะลุงโป่ง หรือว่าพี่พีเกเรทำเรื่องให้คุณพ่อกลุ้มใจ ใช่ไหมคะลุงโป่ง”
เธอถามด้วยความอยากรู้
“คุณเพลงครับ คุณพี...เอ่อ...คุณพีติดคุกอยู่ครับ ติดก่อนที่คุณท่านจะเป็นแบบนี้ไม่ถึงปีครับ” โป่งบอก
“อะไรนะคะ ทำไมคะลุงโป่ง ช่วยเล่าให้เพลงฟังหน่อยได้ไหมคะ”
เธอถามด้วยความตกใจที่ได้ยินเรื่องของพี่ชายที่เธอรัก
“คือว่าเมื่อหกปีที่แล้ว คุณพีกับพวกเพื่อน ๆ ถูกตำรวจจับข้อหาขับรถชนคนตายครับ คุณท่านก็วิ่งเต้นช่วยเต็มที่ หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ กว่าจะได้ประกันตัว พอประกันตัวได้ คุณท่านก็หาทางเอาเงินไปให้ทางคู่กรณี ไม่รู้เท่าไหร่ กว่าเขาจะยอมตกลงถอนฟ้อง แต่ไม่รู้ยังไงจู่ ๆ พวกนั้นก็กลับคำพูด ไม่ยอมตามที่ตกลงไว้ แล้วก็จะเอาเรื่องท่าเดียว และจะแจ้งข้อหากลับคุณท่านด้วย โทษฐานติดสินบนเจ้าพนักงาน ไอ้พวกที่ได้เงินไปก็เลยหัวหดไปตาม ๆ กัน เงินที่จ่าย ๆ ไปให้พวกนั้นก็สูญหมด คุณท่านก็วิ่งเต้นอยู่นาน ใครแนะนำว่าใครพอจะช่วยได้ท่านก็ทำ เจ้าทนายตัวดีของเราก็แสบ มันให้คุณท่านจ่ายเงินไม่รู้เท่าไหร่ สุดท้ายก็แพ้คดี คุณพีต้องติดคุกส่วนมันก็รวยเละไม่รู้กินเงินคุณท่านไปแล้วเท่าไหร่”
โป่งหยุดเล่าไว้แค่นั้น
“แล้วยังไงต่อคะ”
เธอถามด้วยความอยากรู้
“คุณท่านเสียใจมาก ที่ช่วยคุณพีไม่ได้ แล้วช่วงนั้น โรงงานก็ย่ำแย่ เพราะท่านมัวแต่วิ่งเต้นเรื่องคุณพี ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ คุณกำธรก็เลยไม่ค่อยจะพอใจ ถอนหุ้นออกหมด พอท่านรู้ ท่านก็โกรธมาก ทะเลาะกันใหญ่โตครับคุณเพลง จนเกือบจะฆ่ากันตาย ตอนนี้คุณกำธรก็ตัดพี่ตัดน้องกับคุณท่านแล้วครับ”
โป่งเล่าถึงกำธรผู้ที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของบิดาเธอ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
“โถ่.. คุณอา...แล้วยังไงต่อคะ”
“หลังจากนั้นไม่นานการเงินที่บ้านก็แย่ครับ คนงานก็กินนอกกินใน ส่วนคุณท่านก็มัวแต่เสียใจเรื่องคุณพีก็เลยไม่ค่อยจะได้สนใจสักเท่าไหร่ พอมารู้ตัวอีกทีก็เล่นเอาแก้แทบไม่ได้ เจ้าหนี้โทรตามไม่เว้นแต่ละวัน ในที่สุดคุณท่านก็เลย เอาบ้านนี้ไปจำนองไว้กับคุณเมธี ที่เป็นลูกค้าที่คุ้นเคยกันครับ แต่ก็ช่วยได้ไม่มากก็แย่ลงอีก ท่านก็เลยเอาหุ้นบริษัทที่ท่านมีไปจำนองไว้กับคุณเมธีอีกครับ”
“แล้วไงต่อคะ”
“พอเอาหุ้นไปจำนองก็ได้เงินมาแต่ลูกค้าที่โรงงานก็หมดความเชื่อถือไปแล้วครับ พากันยกเลิกออเดอร์เกือบหมด ของที่ทำเตรียมส่งลูกค้าก็ไม่ได้ส่ง เพราะเลยระยะเวลาไปนานแล้ว ท่านก็เลยไม่รู้จะทำยังไง ท่านเสียใจมาก กินเหล้าเมาจนเกิดอุบัติเหตุและเป็นอัมพาตอย่างที่คุณเพลงเห็นนั่นหละครับ”
โป่งเล่าพร้อม ๆ กับน้ำตาคลอเบ้า
“แล้วโรงงานหละคะ”
เธอถามต่อและน้ำตาก็เอ่อเบ้าไม่แพ้กับโป่งเลย
“พอเจ้าของเงินเห็นคุณท่านเป็นแบบนี้ กลัวจะไม่ได้เงินคืน เขาก็เข้าไปบริหารที่โรงงานแทนคุณท่าน โดยให้คุณท่านเซ็นต์ยินยอมให้ไปทำการแทน เพราะตอนนั้นยังไม่พ้นระยะเวลาจำนองแต่ตอนนี้เอ่อ” โป่งหยุดไว้แค่นั้น
“อะไรคะลุงโป่ง”
“มันเพิ่งจะหลุดไปเมื่อเดือนที่แล้วครับคุณเพลง คุณท่านก็เลยไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้เจ้าของใหม่เขาก็ไปดูแลกิจการแทนแล้ว บ้านนี้เขาก็ให้ลุงกับคุณท่านอยู่ไปก่อน แต่อีกไม่นานเขาก็คงจะมาให้เราย้ายออกมั้งครับ คุณท่านรอให้คุณเพลงมาก่อน แล้วค่อยหารือกันว่าจะเอายังไง”
“โถ่คุณพ่อ แล้วคุณพ่อจำนองไว้เท่าไหร่คะลุงโป่ง” เธอถาม
“ตอนแรก ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ต่อมาก็ไปขอเพิ่มกับเขา แต่เขาก็ให้นะครับ ตอนนี้ยังไม่รวมดอกก็ ห้าสิบล้านเห็นจะได้ครับ ถ้ารวมดอกก็ไม่รู้จะเท่าไหร่” โป่งบอกพร้อมกับมองหน้าเจ้านายสาวอย่างชั่งใจ แล้วเขาก็ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกจากตา
“ห้าสิบล้าน ทำไมมันมากจังเลยคะ แล้วคุณพ่อเอาเงินที่ไหนส่งให้เพลงใช้คะ หรือว่าเงินจาก....”
“ใช่ครับ...คุณท่านบอกว่ายังไงก็ต้องให้คุณเพลงเรียนให้จบก่อน จะใช้เงินเท่าไหร่ท่านก็ยอม แล้วเงินที่เก็บเอาไว้ก็เกือบหมดไปแล้ว ตอนที่ส่งไปให้คุณเพลงเป็นค่าเครื่องมานี่หละครับ” โป่งบอกเธอ
“โถ่คุณพ่อ...ทำไมไม่บอกเพลงคะ ถ้าเพลงรู้ว่าเป็นแบบนี้ เพลงจะไม่เรียนค่ะ เพลงจะรีบกลับมาช่วยคุณพ่อ”
เธอพูดด้วยความรู้สึกสงสารบิดายิ่งนัก
“ลุงก็เคยบอกท่านครับ แต่ท่านก็ไม่ยอม สั่งให้คุณพีปิดคุณเพลงไว้ ห้ามให้รู้เด็ดขาด”
โป่งเล่าถึงระพีพงศ์
“แล้วพี่พีเป็นยังไงบ้างคะ ลุงโป่งแล้วเอ่อ...ติดคุกมากี่ปีแล้ว”
“หกปีแล้วครับคุณเพลง ต้องโทษทั้งหมดยี่สิบปี แต่เจ้าทนายบอกว่าติดจริง ๆ คงจะไม่ถึงหรอกครับ ถ้าทำตัวดี ก็ได้รับการอภัยโทษ น่าจะไม่กี่ปี คุณพีน่าสงสารเหลือเกินครับ ตอนติดคุกใหม่ ๆ แทบจะบ้า เพราะรับไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นครับ”
โป่งเล่าต่อ
“แล้วเพลงจะทำยังไงดีคะลุงโป่ง”
เธอถามด้วยความสับสน
“ลุงก็ไม่รู้ครับ ก็ต้องแล้วแต่คุณเพลง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้คุณเพลงคงต้องไปหาคุณเมธีก่อนครับ เผื่อเขาจะมีทางผ่อนผันเราได้บ้าง ลุงก็พอจะรู้จักแกเหมือนกัน ดูท่าทางแล้วแกก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ได้สักเท่าไหร่”
โป่งผู้ที่รู้เรื่องราวดีเล่าให้เธอฟังต่อ
“ลุงโป่งรู้ใช่ไหมคะว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ช่วยพาเพลงไปด้วย แต่ตอนนี้เพลงจะไปหาคุณพ่อก่อนค่ะ”
ระพีพรรณบอกแล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไปห้องของบิดา
“ผมคงจะให้คำตอบคุณคนเดียวไม่ได้หรอกนะครับคุณระพีพรรณเพราะผมเองก็ไม่ใช่เจ้าของเงินจริง ๆ ผมก็แค่รับมอบอำนาจเขามาอีกทีหนึ่ง คือมีคนเขาอยากจะช่วยคุณกำพล ก็เลยให้เงินผมมาครับ”
เมธีผู้ที่เป็นเจ้าหนี้บอกเธอ หลังจากเธอโทรมาขอนัดเขาเพื่อที่จะขอผ่อนผันหนี้สินเมื่อวานนี้ และเพื่อเป็นการตัดตอนขั้นตอน เขาจำเป็นจะต้องบอกระพีพรรณเพื่อเป็นการยืนยันว่าเรื่องที่เธอมาขอเจรจาเรื่องหนี้สินเป็นอันจะไม่สำเร็จผล เมื่อเธอลงทุนมาหาเขาถึงที่ทำงาน ซึ่งเมื่อก่อนมันเคยเป็นที่ทำงานของพ่อตัวเองมาก่อน
“แล้วคุณเมธีพอจะบอกได้ไหมคะว่าเป็นใคร”
เธอถามด้วยความสงสัย
“เอาเป็นว่าผมจะให้ชื่อและเบอร์โทรแล้วคุณก็ไปเจรจากับเขาก็แล้วกันครับ เพราะเมื่อวานผมโทรไปแจ้งไว้แล้ว เขาบอกว่าให้คุณไปหาเขาด้วยตัวเอง”
เขาบอกออกไปด้วยสีหน้าที่มีความรู้สึกสงสารทายาทกำพลยิ่งนัก ที่พอกลับมาได้ไม่กี่นาทีก็ต้องมารับรู้เรื่องหนัก ๆ แล้ว
“ขอบคุณค่ะ งั้นดิฉันขอตัวนะคะ เราไปกันเถอะค่ะลุงโป่ง”
เธอลาเขาด้วยความนอบน้อม
“ยินดีครับ ถ้ามีอะไรจะให้ผมช่วยก็รีบโทรมาหาผมตามนามบัตรนี้นะครับ หรือจะไปหาผมที่บ้านก็ได้ ผมก็จะทำงานอยู่ที่บ้านบ้างแต่ก็ไม่ได้ไปทุกวันครับ”
เขาบอกเธอ เพราะตัวเขาเองก็ได้รับคำสั่งมาให้มาดูแลกิจการที่โรงงานที่หลุดจำนองไปแล้ว มาตั้งแต่กำพลล้มป่วยแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น