คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ถอดความ(ร้อยแก้ว)
ถอดควมเป็นร้อยแก้ว
ที่มา: http://www.ebook.mtk.ac.th/main/forum_posts.asp?TID=1796
ท้าวกะหมังกุหนิงปราศรัยกับระตูปาหยังและระตูประหมัน
ท้าวกะหมังกุหนิงนั่งอยู่บนที่ประทับเห็นระตูปาหยัง กับ ระตูประหมันน้องชายทั้งสองก็เรียกให้มาร่วมนั่งด้วยกัน แล้วจึงไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกับเหล่าระตูเมืองเล็กๆ พร้อมทั้งปรึกษาหารือเรื่องที่จะไปตีเมืองดาหา เหล่าระตูต่างๆ ก็ตอบรับด้วยดี ยินดีที่จะไปออกรบด้วย ซึ่งเป็นที่พอใจแก่ท้าวกะหมังกุหนิงอย่างยิ่ง จึงเชิญให้เหล่าระตูต่างๆไปพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ก็ยังเรียกน้องทั้งสองไว้ แล้วจึงเล่าเรื่องตามจริงทั้งหมดให้ฟังจนส่งสารไป ฝ่ายน้องทั้งสองได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ไม่เห็นด้วยจึงทูลทัดทานไ ปว่าไม่ควรยกกองทัพไปต่อกรกับเหล่าวงศ์อสัญแดหวา ซึ่งมีพระเดชานุภาพและเชี่ยวชาญในการรบจนเป็นที่เลื่องลือ ถึงขนาดว่ามีเมืองมาขอเป็นเมืองขึ้นนับร้อย การยกทัพไปรบกับเมืองดาหาจึงเหมือนกับหิ่งห้อยแข่งกับแสงอาทิตย ์ มีแต่จะพ่ายแพ้ จึงขอให้พี่ลองคิดไตร่ตรองดูก่อน เพราะผู้หญิงสวยๆใช่ว่าจะมีแต่เพียงพระธิดาของท้าวดาหาเสียที่ไ หน
ท้าวกะหมังกุหนิงก็ตอบไปว่าที่ไปไม่ใช่ไปรบกับท้าวดาหา เพียงแต่จะไปรบชิงนางบุษบาจากจรกาเท่านั้น ระตูทั้งสองจึงกราบทูลไปว่า ตอนนี้บุษบายังอยู่กับพระบิดาที่เมืองดาหา หากเกิดศึกชิงตัวนางขึ้น ท้าวดาหาก็ย่อมจะต้องไปบอกความแก่เมืองพี่น้องทั้ง ๓ เมืองเป็นแน่ จะทำให้เกิดศึกกระหนาบขึ้น เกินกำลังที่เราจะรับไหว ยิ่งถ้าเสียทีในการรบ ก็จะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่จรกา
ท้าวกะหมังกุหนิง ก็ตอบไปว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจอันตัวอิเหนานั้นไปอยู่เมืองหมันหยา ได้สักปีกว่าแล้ว ทำให้พระญาติวงศ์โกรธมาก คงจะไม่ยกพลมา ครั้นเมืองกาหลังกับสิงหัดส่าหรียกทัพมา ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวแต่อย่างใด ส่วนจรกา ล่าสำนั้น ต่อให้ยกพลมาเป็นสิบแสน(ล้าน) หากโดนโจมตีประเดี๋ยวเดียวก็คงหนีเข้าป่าไป ขอให้น้องทั้งสองเห็นแก่หลานด้วย หากไม่ได้นางมาก็คงจะตรอมใจตาย พี่ก็คงจะต้องตายเพราะลูกตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ไหนๆถ้าจะต้องตาย จะเร็วจะช้าก็ตายเช่นกัน หากโชคดีก็คงจะได้ดังที่หวังไว้ น้องทั้งสองเมื่อฟังพี่ชายพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่กล้าขัดอะไรอีกต่ อไป ท้าวกะหมังกุหนิงก็ชวนไปนอนพักผ่อน
ท้าวดาหาเสด็จออกรับทูตกะหมังกุหนิง
พอบ่ายสามโมง ท้าวดาหาอาบน้ำ แต่งตัวออกไปยังท้องพระโรง นั่งลงบนที่ประทับให้ยาสาเบิกตัวราชทูตเข้าเฝ้า อำมาตย์รับคำสั่งรีบเชิญทูตเข้าเฝ้า แล้วให้อาลักษณ์รับสารมาอ่าน ในสารก็กล่าวไว้ว่า "ท้าวกะหมังกุหนิงขอถวายความเคารพมา ด้วยท้าวกะหมังกุหนิงมีลูกชาย และออกไปล่าสัตว์ในป่าบังเอิญพบรูปของนางบุษบาที่กลางป่า ชะรอยว่าตัววิหยาสะกำและนางบุษบานี้จะเป็นเนื้อคู่กัน วิหยาสะกำนั้นก็เฝ้าแต่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปนาง หวังว่าเราทั้งสองเมืองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันและขอพึ่งบารมี ไปจนตาย"
ท้าวดาหาทรงทราบจุดประสงค์ ก็ตรัสตอบราชทูตไปว่า นางบุษบานั้นได้ยกให้หมั้นหมายกับจรกาไปแล้ว ทั้งยังนัดวันวิวาห์ไว้ด้วย การที่จะรับของหมั้นจากระตูนี้ก็เกรงว่าจะเป็นการผิดประเพณี คนเขาจะติฉินนินทาเอาได้ เครื่องราชบรรณาการจงคืนไป เมื่อราชทูตได้ฟังดังนั้นก็กราบทูลท้าวดาหาว่าท้าวกะหมังกุหนิง สั่งให้ทูลท้าวดาหาด้วยว่าหากไม่ยอมยกบุษบาให้กับวิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมตกแต่งบ้านเมืองให้มั่นคง
ท้าวดาหาได้ฟังดังนั้นก็ประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าจะทำสงครา มก็ตามใจ เมื่อรับสั่งเช่นนั้นแล้วก็เสด็จเข้าพระราชฐานชั้นในทันที
เมื่อราชทูตกลับไปแล้ว ท้าวดาหาก็เปิดหน้าต่างออกมาสั่งเสนาให้รีบไปทูลพระเชษฐาและ พระอนุชาทั้งสองรวมถึงจรกาว่าจะมีข้าศึกยกมาชิงชัย
ท้าวกุเรปันมีราชสารถึงอิเหนาและระตูหมันหยา
ท้าวกุเรปันรู้ว่ามีข้าศึกจึงเขียนสารลับให้เสนาถือไปยังเมืองหมันหยา ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งแจ้งให้อิเหนารีบยกทัพมามา ส่วนอีกฉบับหนึ่งให้ถวายท้าวหมันหยาให้เสนารีบไปในเวลา ๑๕ คืน ดะหมังรับคำสั่งจึงนำสารรีบออกจากท้องพระโรงร้องเรียกบ่าวไพร่พ ร้อมกันรีบขี่ม้าออกจากกุเรปันไปทันที
เมื่อดะหมังทูลลาไปแล้วท้าวกุเรปันจึงคิดตรึกตรองในเรื่องราวแล ้วมีรับสั่งกับกะหรัดตะปาตีว่าศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักอิเหนาจะลำบาก หงอยเหงา และไม่มีที่ปรึกษา จงยกทัพไปสมทบกับทัพอิเหนารีบยกทัพไปช่วยอย่าให้ข้าศึกประชิดเม ืองได้ กะหรัดตะปาตีรับคำสั่งว่าจะไปในวันพรุ่งนี้ ในเวลารุ่งเช้ากะหรัดตะปาตี เข้าที่สรงสนานอาบน้ำที่ปนด้วยน้ำหอมบรรจงแต่งกายในชุดวันเสาร์ ประดับเจียระบาด ปั้นเหน่งเพชร ตาบทิศทับทรวง สวมสร้อยสังวาลประสานกัน กำไลแขน แหวนเพชรประดับพลอย สวมชฎาทัดดอกไม้ เหน็บอาวุธที่เอวแล้วเข้าเฝ้าท้าวกุเรปัน ท้าวกุเรปันจึงอวยพรให้มีเดชานุภาพปราบศัตรูให้แพ้พ่ายไป กะหรัดตะปาตีรับพรแล้วออกไปที่กองทัพขึ้นขี่ม้าเคลื่อนทัพออกไป เดินทางจนถึงทางร่วมเมืองหมันหยาก็ให้หยุดทัพรอทัพของอิเหนา
ทัพเมืองกาหลังยกมาสมทบ
ตำมะหงงและดะหมัง เสนาเมืองกาหลังเร่งยกกองทัพมาพร้อมทหารอาสาห้าหมื่นล้วนมีความ สามารถ ช้าง ม้า อาวุธครบครัน มีธงสำคัญนำหน้ายกทัพออกจากเมืองมาถึงทางร่วมริมดงก็พบกับทัพ ของสุหรานากงจึงยกทัพมาพร้อมกัน
ทูตของท้าวกะหมังกุหนิงที่ถือสารไปยังเมืองดาหาก็กลับเข้าเฝ้าท ้าวกะหมังกุหนิง พร้อมกับทูลว่าได้นำสารไปถวายท้าวดาหา ท้าวดาหาทราบเรื่องทุกประการแต่ตัดขาดว่าได้ยกนางบุษบาลูกสาวให ้กับจรกาพร้อมกับกำหนดวันแต่งงานไว้เรียบร้อย ทั้งยังส่งคืนของทั้งหมดที่ได้นำไปให้ ไม่ได้เกรงใจท้าวกะหมังกุหนิงสักนิดและยังบอกไปอีกว่าถ้าท้าวดา หาไม่ยอมยกนางบุษบาให้ก็ขอให้เตรียมตกแต่งป้องกันบ้านเมืองเพื่ อจะรับศึกที่จะยกไป ถึงขั้นบอกไปเช่นนี้ ว่าจะมีข้าศึก แต่ท้าวดาหาก็ยังไม่สนใจ กลับบอกว่าตามแต่ใจ เมื่อได้ฟังแล้ว ท้าวกะหมังกุหนิงก็รู้สึกโกรธมาก พูดว่า "ดูดู๋เจ้าเมืองดาหาตนอุตส่าห์อ่อนข้อไปง้อเขาควรที่จะพูดจาดีๆ กลับตัดไมตรี อันตัวเรานั้นก็มี
เดชานุภาพ อาณาจักรก็กว้างใหญ่ เพราะฉะนั้นจะต้องไปเอาตัวบุษบามาให้ได้ ถ้าไม่ได้จะไม่ยอมกลับเมือง และจะสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่" ทูตทั้งสองได้ทูลอีกว่าในวันที่จะออกจากเมืองมาได้ยินท้าวดาหาส ั่งเสนีให้รีบไปแจ้งเรื่องแก่ท้าวกุเรปันเชษฐา ท้าวสิงหัสส่าหรี และท้าวกาหลังอนุชารวมทั้งจรกา เห็นว่ากษัตริย์ทั้งสี่เมืองจะมาช่วยป้องกันเมืองดาหา
ท้าวกะหมังกุหนิง ได้ฟังก็โกรธมากจึงมีประกาศว่าถึงกษัตริย์ทั้งสี่กรุงจะมาช่วยร บเป็นศึกใหญ่ก็ไม่กลัวจะรบให้แหลกเป็นผุยผงแล้วมีพระราชโองการใ ห้อำมาตย์ตำมะหงง ดะหมังเร่งเกณฑ์พวกไพร่พลที่มีความสามารถในการสงครามเลือกทหาร
ทั้งสี่เหล่าที่เคยทำลายค่ายขวากหนาม รวบรวมได้สามสิบหมื่นให้วิหยาสะกำเป็นกองหน้า กองหลังให้ระตูปาหยังและระตูประหมันสองน้องชาย ส่วนท้าวกะหมังกุหนิงนั้นเป็นจอมทัพคอยหนุนทัพหน้าไม่กลัวเกรงพ วกวงศ์เทวัญจะต่อสู้กันให้ปรากฏเป็นศักดิ์ศรีในครั้งนี้ เมื่อสั่งมหาเสนาแล้วจึงถามขุนโหราทั้งสี่ว่าจะยกทัพไปในวันพรุ ่งนี้จะดีร้ายประการใด
โหรรับคำสั่งจากท้าวกะหมังกุหนิงคลี่ตำราตรวจดูชะตาท้าวกะหมังก ุหนิงกับวิหยาสะกำเห็นว่าชะตาถึงฆาต หากยกทัพในวันพรุ่งนี้ แต่หากรอก่อนเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากนั้นไม่เป็นไร ท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังโหรทำนายดังนั้นจึงกล่าวว่าได้มีคำสั่ง
ออกไปแล้ว พระองค์คิดว่าหากยับยั้งการยกกองทัพไปรบ จะอับอายขายหน้าเหล่าไพร่พลว่าตนขลาดกลัวข้าศึก ดังนั้น ถึงแม้ตัวตายก็จะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นได้ อีกทั้งหากยกทัพช้าไป เมืองดาหาจะได้กองทัพจากเมืองอื่นมาสมทบ จะทำให้เอาชนะยากขึ้นไปอีก ดังนั้นจะเป็นอย่างไรก็ขอให้สุดแท้แต่บุญแต่กรรม แล้วท้าวกะหมังกุหนิงก็เสด็จกลับเข้าข้างใน
วิหยาสะกำเดินทัพมา ก็ตีเมืองเล็ก ๆ ตามรายทางไปด้วยและให้ตรวจตราจัดทัพเดินทางมาเป็นทัพหน้าตามทาง มาได้ ๑๐ วันก็มองเห็นกำแพงเมืองดาหาอยู่ลิบๆ มองเห็นปราสาทราชวังเรียงรายกัน จึงหยุดทัพแล้วตั้งค่ายไว้ที่ชายป่า
ท้าวกะหมังกุหนิง เร่งรีบยกทัพมาใกล้ทุ่งเมืองดาหาเห็นธารน้ำไหลใสเย็นมีร่มเงาจา กต้นไทรบังแสงแดดจึงสั่งเสนีให้ตั้งทัพแบบนาคนามตามตำราสงคราม ดะหมังรับคำสั่งออกมาเกณฑ์ทหารให้ถากถางที่ทำค่ายหน้าค่ายหลัง ยกหอรบขึ้นเป็นชั้น ๆ ชักปีกกาขึงถึงกัน ผูกเป็นราวสามชั้นมัดให้แน่นแบบขันชะเนาะ ตั้งป้อมวางเป็นระยะใส่ที่กำบังและไม้เสี้ยมแหลมเป็นอาวุธอย่าง เหมาะสม ตามสนามเพลาะพูนดินให้เต็มใช้ไม้ไผ่เจาะทะลวงปล้องทำเป็นช่องใส ่ปืน ปลูกโรงรถโรงช้าง โรงม้าเพื่อผูกไว้ไม่ให้แตกตื่นใช้เสาตะลุงไว้ผูกช้าง สนามก็ปราบจนเลี่ยนเตียน เร่งทำตำหนักน้อยใหญ่ และทำเพิงรายรอบทั้งซ้ายขวา ภายนอกค่ายปักขวากหนามไว้อย่างมากมายจนรอบค่าย และจัดทหารออกตระเวนวางหลุมกับดักและคอยสอดแนมข้าศึก ส่วนในค่ายให้ประชุมการรบ
ท้าวกะหมังกุหนิง เห็นค่ายเสร็จจึงชวนวิหยาสะกำโอรสและเรียกระตูปาหยังกับระตูประ หมันน้องชายทั้งสองลงจากรถขึ้นไปยังพลับพลาที่พัก
ฝ่ายทหารของเมืองดาหาออกสอดแนมข้าศึกเห็นข้าศึกยกทัพมาถึงชายป่ าเห็นขบวนทัพหน้าทัพหลังตั้งค่ายมีธงทิวมากมายเสียงคนตัดไม้ราบ ไปทั้งป่าต่างคนรีบขึ้นม้าควบเข้าเมืองทันทีแจ้งแก่ปาเตะเสนาผู ้ใหญ่ ปาเตะตกใจจดเอาทุกถ้อยคำรีบเข้าเฝ้าท้าวดาหาว่าข้าศึกยกมาตีเมื องมากมายทั้งช้างม้ารถเสียงดังสนั่นดังเสียงคลื่นในมหาสมุทรก็ไ ม่ปานตอนนี้ตั้งอยู่ที่เนินทรายชายทุ่งติดป่าต่อกัน ท้าวดาหาได้ฟังก็ตรึกตรองว่าอันศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขามาส ู่ขอนางบุษบาแล้วไม่ยกให้คิดน้อยใจอิเหนาที่แกล้งให้เกิดความวุ ่นวายไปทั่ว ทั้งเสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูลจนมีศึกยกมาทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั้งแผ่นดิน ท้าวดาหาจึงให้เสนาไปเกณฑ์พลรักษาเมืองเอาไว้ให้มั่น คอยดูท่าทีของข้าศึก และจะคอยทหารที่ให้ไปแจ้งเรื่องแก่ท้าวกุเรปันพี่ชายและท้าวสิง หัดส่าหรี กับ กาหลังน้องชายว่าจะยกทัพมาช่วยหรือไม่อย่างไรหากไม่ยกมาช่วยก็จ ะทำสงครามตามลำพังจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม
กล่าวถึงสุหรานากง และเสนาเมืองกาหลังยกทัพเดินทางนอนป่าสิบห้าวันก็เดินทางมาถึงเ มืองดาหา เมื่อถึงกลางเมืองจึงหยุดทัพแล้วชวนตำมะหงงไปเข้าเฝ้า ท้าวดาหาเห็นสุหรานากงกับเสนาเมืองกาหลังก็ดีใจมากที่น้องชายขอ งตนส่งกองทัพมาช่วยรบแต่การศึกครั้งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะนางบุษบานั้นอัปลักษณ์คู่หมั้นก็ไม่รักแกล้งทำอย่างสมใจ แต่ท้าวดาหาก็ถามไปว่าเมืองกุเรปันส่งใครมาช่วยรบ สุหรานากงก็ตอบไปว่าท้าวกุเรปันได้ให้กะหรัดตะปาตียกทัพมาสมทบก ับอิเหนา
ท้าวดาหาได้ฟังเช่นนั้นก็ประชดอิเหนา ว่า กะหรัดตะปาตีมาช่วยก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจ แต่อิเหนาเล่า เขาจะมาทำไม ท้าวกุเรปันเรียกให้กลับกี่ครั้งก็ไม่ยอมจากเมืองหมันหยาจนตัดข าดการแต่งงาน มีศึกประชิดเมืองก็เพราะใคร เห็นทีคงจะรักเมียมากกว่าญาติ ถ้ามาก็เห็นว่าคงจะมาเพราะกลัวท้าวกุเรปันเสียมากกว่า แล้วท้าวดาหา
บอกสุหรานากงว่าคงไม่ต้องคอยอิเหนาหรอก แล้วให้สุหรานากงไปพักผ่อน สุหรานากงจึงขอถวายชีวิตให้เพื่อรับใช้ท้าวดาหา และอาสาไปออกรบกับทัพของท้าวกะหมังกุหนิง
ดะหมังกุเรปันถวายสารท้าวหมันหยาและอิเหนา
กล่าวถึงดะหมังจากเมืองกุเรปัน เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหมันหยาก็ตรงไปยังเรือนพักของอิเหนาเ ข้าเฝ้าถวายพระราชสารแก่อิเหนา อิเหนาคลี่สารของท้าวกุเรปันออกอ่าน ซึ่งในสารนั้นกล่าวว่าตอนนี้มีข้าศึกมาตั้งทัพประชิดเมืองดาหา ขอให้อิเหนารีบยกพลไปตีให้ทันท่วงที ถึงไม่เห็นแก่บุษบาก็ขอให้เห็นแก่ท้าวดาหาผู้เป็นอา ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะใครไปทำงามหน้าไว้ให้ เสียคำพูดให้อายชาวเมืองดาหา ครั้งนี้จะเมินเฉยอีกทำให้เสียศักดิ์ศรีก็แล้วแต่ใจ ถ้าไม่มาช่วยก็ขาดกันอย่าได้เผาผีกันอีกเลย เมื่ออิเหนาได้อ่านดังนั้น ก็ถอนใจด้วยความสงสัยว่าบุษบาจะงามถึงเพียงไหนเชียวจึงถูกใจระต ูทุกเมือง แค่เพียงเห็นรูปก็จะพากันมาตายเสียแล้ว หากงามเหมือน
จินตะหราก็ว่าไปอย่าง จึงบอกแก่ดะหมังไปว่าจะยกทัพไปในอีก ๗ วัน แต่ดะหมังรีบทูลว่าต้องรีบไปในทันที เพราะตอนนี้ข้าศึกยกทัพมาติดพระนครแล้ว
อิเหนาเกรงกลัวท้าวกุเรปันพระบิดาสุดที่จะเลื่อนวันไป ทั้งรักทั้งกลัวห่วงหน้าพะวงหลังคิดแล้วก็ทอดถอนใจจึงสั่งตำมะห งงให้รีบจัดทัพใหญ่ทั้งทัพม้า ทัพรถ ทัพช้างเลือกทหารที่มีความสามารถทั้งทหารปืนและทหารดาบ อิเหนาจะตัดศึกใหญ่ด้วยกำลังที่เข้มแข็งแม้นข้าศึกหนีก็จะทำลาย ให้สิ้นไป ถือเอาฤกษ์พรุ่งนี้จะยกทัพไปช่วยเมืองดาหาเมื่อสั่งเสร็จอิเหนา ก็ไปเข้าเฝ้าท้าวหมันหยา เมื่อไปถึงเขตวังในก็ลงจากหลังม้าเข้าท้องพระโรงทันที ดะหมังเมืองกุเรปันก็เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาเช่นกันแล้วถวายสารแก่ เจ้าเมืองหมันหยา
ท้าวหมันหยารับสารจากดะหมังคลี่ออกอ่านทันทีในสารมีใจความว่า ตัวท้าวหมันหยามีลูกสาวให้แต่งตัวยั่วชายจนอิเหนาต้องร้างคู่ไป หลงรักไปติดพันช่างไม่อายผู้คน ตอนนี้มีศึกประชิดเมืองดาหา จนเกิดเรื่องวุ่นวายเสียงานการวิวาห์ไปหมดต่างคนก็หมางใจกัน ในการสงครามครั้งนี้ถ้าไม่ไปช่วยก็จะตัดญาติขาดมิตรกันไปก็แล้ว แต่ใจ เมื่ออ่านสารแล้วท้าวหมันหยากลัวท้าวกุเรปันขุ่นเคืองจึงยื่นสา รให้แก่อิเหนาและกล่าวว่า เห็นหรือไม่อิเหนาหลานรักเจ้าไม่เชื่อฟังคำจึงทำให้มีความผิดไป ด้วย แล้วเร่งให้อิเหนารีบยกทัพไปช่วยเมืองดาหาหากไม่ไปก็จะไม่ให้อย ู่กับนาง
จินตะหรา พร้อมทั้งให้ระเด่นดาหยนคุมกองทัพของเมืองหมันหยาไปด้วย ได้ฤกษ์ยกทัพไปในตอนเช้าพรุ่งนี้
อิเหนารับคำสั่งแล้วลาไปยังปราสาทนางจินตะหรา เมื่อไปถึงก็เข้าแนบชิดนางทอดถอนใจแล้วแจ้งเรื่องราวแก่นางว่าด ะหมังถือสารจากพระบิดาว่าเมืองดาหาเกิดศึกให้อิเหนารีบยกทัพไปช ่วยในวันพรุ่งนี้ขอให้นางจงอยู่ดีอย่าโศกเศร้าเสียใจเสร็จศึกแล ้วจะรีบกลับทันที
นางจินตะหรา ได้ฟังก็แค้นใจสะบัดหน้าหันหลังให้พร้อมกับตัดพ้อต่อว่าอิเหนาว ่าจะไปปราบข้าศึกหรือจะกลับไปหวนคืนสู่คู่หมั้นเก่า กันแน่ ไหนบอกว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะตายจากกัน นางก็หลงเชื่อ ไม่รู้ว่าภายหลังจะมาเป็นเช่นนี้ แล้วอีกนานเท่าไหร่เล่าอิเหนาจะกลับมา
อิเหนาชี้แจงว่าไม่เคยคลายความรักในตัวจินตะหราเลย แต่ตนมีเหตุจำเป็นต้องไป เพราะท้าวกุเรปันให้กลับสองครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เกิดศึกสงคราม ไม่อาจจะขัดได้ แล้วจึงยื่นสารให้จินตะหราอ่าน นางจินตะหราก็รู้สึกคับแค้นใจไม่มองดูสารแล้วคร่ำครวญว่า อนิจจาความรักนั้นก็เหมือนน้ำที่ไหลเชี่ยว ไฉนเล่าจะไหลกลับคืนมา คงไม่มีหญิงใดจะเจ็บช้ำไปกว่านาง เพราะหลงเชื่อ หลงรัก ถึงตอนนี้แล้วจะไปโทษใครได้ เสียแรงหวังที่จะฝากชีวิตไว้กับอิเหนาแต่ก็ไม่ปราณี ที่จักรีบเสด็จไปนั้นก็เข้าใจเพราะนางบุษบานั้นคู่ควรกับอิเหนา ไม่ต่ำศักดิ์เหมือนนาง ต่อไปชาวเมืองดาหาก็จะนินทาได้ นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ อิเหนาปลอบโยนให้จินตะหราคลายความโศกเศร้า ว่าที่อิเหนาไปนั้น แม้บุษบาจะสวยก็จริง แต่อิเหนาตัดสัมพันธ์ไปแล้ว จรกาจึงมาทำการสู่ขอและเตรียมการวิวาห์พอท้าวกะหมังกุหนิงทราบก ็มาสู่ขอนางอีกเมื่อไม่ได้นางจึงเกิดศึกในเมืองดาหาเพื่อช่วงชิ งนางบุษบาไม่ใช่ว่านางไม่มีใคร อันข่าวลือที่ว่าบุษบางามนักนั้นแต่ก็งามสู้นางจินตะหราไม่ได้ ครั้งนี้จำเป็นจึงต้องจำจากไปเพราะเกรงกลัวท้าวกุเรปันบิดาต่าง หาก หากเสียเมืองดาหาก็เหมือนเสียถึงวงศ์ตระกูลมีแต่จะถูกนินทา ขอให้นางคิดให้ดีเมื่อไปแล้วก็ไม่อยู่นานจะรีบกลับมาหานาง นางอย่าได้โศกเศร้าเสียใจ อิเหนาหอมแก้มนางและประคองขึ้นบนตัก นางจิตะหราเห็นสารแล้วค่อยบรรเทาความทุกข์ความแคลงใจ นางบอกอิเหนาว่าจะไปทำศึกก็ตามใจแต่เมื่อเสร็จศึกให้คิดถึงเมือ งหมันหยาและรีบกลับมานางจะรอ อิเหนารับขวัญนางแล้วว่าคงเป็นเวรกรรมที่ต้องจากไปก็ขอฝากนางมาหยารัศมีและนางสการะวาตี ให้จินตะหราดูแลเพราะนางทั้งสองห่างไกลบิดามารดาอย่าได้เคียดแค ้นหึงหวงถ้าผิดก็ให้เมตตานางทั้งสอง
อย่าถ ือโทษโกรธเคือง แล้วถอดสังวาลให้นางจินตะหราไว้ดูต่างหน้า
อิเหนาเข้าเฝ้าระตูหมันหยาและถวายบังคมลา
อิเหนาทูลลาท้าวหมันหยาและประไหมสุหรี ต่างองค์ต่างอวยพรให้เดินทางปลอดภัยและให้ข้าศึกศัตรูพ่ายแพ้ แล้วอิเหนาก็ทูลลากลับมาที่ตำหนักของตน
อิเหนากรีฑาทัพไปกรุงดาหา
พอรุ่งเช้า อิเหนาทรงช้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออกพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ โหรา และชีพราหมณ์พอได้ฤกษ์ก็ลั่นฆ้องดังสนั่นกึกก้องไปทั้งสนาม ปุโรหิตทำพิธีตัดไม้ข่มนามตามตำราพิชัยสงคราม ทั้งทัพหน้า ทัพหลัง ทัพหลวงพร้อมกัน ทหารโบกธงทองกระบี่ครุฑ พวกฝรั่งจุดปืนใหญ่ให้สัญญาณ ชีพราหมณ์ทำพิธีเบิกโขลนทวารอ่านคาถาอาคม เคลื่อนกองทัพ ออกจากเหมืองหมันหยา มุ่งตรงไปเมืองดาหา ระหว่างทางอิเหนาโศกเศร้าเสียใจอาลัยรักนางทั้งสามยิ่งนัก ว่าป่านนี้จะคร่ำครวญหา ใครจะปลอบนาง คิดถึงความหลังแล้งยิ่งใจหายคิดไปก็อายพวกไพร่พลจึงชักม่านปิดท ั้งสี่ทิศเหมือนจะบังแสงดวงอาทิตย์ ลมพัดกลิ่นดอกไม้เหมือนกลิ่นผ้านางที่เปลี่ยนมา ได้ยินเสียงนกยูงร้องก็คิดว่าเป็นเสียงของนาง จึงเผยม่านออกมาเห็นแต่ต้นไม้ใบไม้จึงเอนตัวลงพิงหมอนเอามือก่า ยหน้าผากคิดถึงความรักก็ยิ่งเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา ประสันตาพี่เลี้ยงเห็นเช่นนั้นก็ขี่ช้างมาข้างท้ายชี้ชวนให้ชมธ รรมชาติของป่าไปตลอดทาง ว่าป่านี้แปลกตากว่าป่าไหนๆ ไว้เสร็จศึกแล้วน่าจะชวนนางทั้งสามมาเที่ยวพักผ่อนให้สบาย อิเหนานิ่งฟังอยู่นานก็คลายทุกข์แล้วลุกขึ้นถามว่าป่านี้หรือสน ุกว่าพลางอิเหนาก็มองไปถามว่าไหนล่ะอย่าโกหกกัน
ประสันตาแกล้งทำตกใจทูลว่าอยู่ดงนี้เพราะช้างเดินเลยมาแล้วแต่ด งข้างหน้ายังมี อิเหนายิ้มแล้วตอบว่าโกหกซึ่ง ๆ หน้าช่างไม่อาย ยังมาเฉไฉไปอีกคนอะไรน่าจะผลักให้ตกจากช้างท่าจะดี
อิเหนาชมนกชมไม้ต่าง ๆ เห็นนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนกเบญจวรรณ นกนางนวล นกจากพราก นกแขกเต้าที่กำลังเกาะต้นเต่าร้าง นกแก้ว นกตระเวนไพร นกเค้าโมง นกคับแค ก็ให้นึกไปถึงนางทั้งสามตลอดทาง เดินทางมาหลายวันก็มาถึงทางร่วมเมืองกุเรปันพบกับกองทัพของกะหร ัดตะปาตีอิเหนาก็ให้หยุดกองทัพ
กะหรัดตะปาตีพี่ชายอิเหนา เห็นทัพอิเหนายกมาก็ดีใจ บอกว่าท้าวกุเรปันบิดาให้คุมทัพมารอทัพอิเหนาเพื่อไปช่วยเมืองด าหามาคอยอยู่หลายวันแล้วข่าวว่าข้าศึกประชิดเมืองแล้วจะได้รีบไ ป อิเหนาจึงว่าการเดินทางทัพนั้นอ้อมกว่ากุเรปัน แล้วทั้งสองทัพก็จัดทัพเข้ากระบวนเดียวกันเร่งรีบยกทัพไปยังกรุ งดาหาทันที เมื่อถึงชายแดนเมืองดาหา อิเหนาก็หยุดตั้งค่ายนามครุฑตามตำราพิชัยสงคราม แล้วให้ตำมะหงงรีบไปกราบทูลท้าวดาหา ให้กราบทูลอย่าให้ขุ่นเคืองใจ ตำมะหงงรับคำสั่งแล้วควบม้าไปทันทีเมื่อไปถึงก็แจ้งยาสาเสนาเมื องดาหาว่าบัดนี้อิเหนา และกะหรัดตะปาตีจากกุเรปันยกทัพมาช่วยพระธิดาดาหาแล้วจงพาเข้าเ ฝ้ากราบทูลเรื่องราวให้กระจ่าง
ยาสาดีใจมากพาตำมะหงงเข้าไปท้องพระโรงทันที ตำมะหงงกราบทูลว่าบัดนี้อิเหนากับกะหรัดตะปาตียกทัพมามากมายหลา ยแสนตั้งอยู่ปลายแดนเมืองดาหา ท้าวดาหารู้ว่าอิเหนายกทัพมาช่วยก็มีความดีใจเพราะอิเหนามีความ เก่งกล้าสมารถเห็นว่านางบุษบาจะไม่เป็นอันตราย แต่ไม่แสดงออกให้ใครเห็น ยิ้มแล้วกล่าวว่าอิเหนายกทัพมาช่วยก็ขอขอบใจ แล้วให้ตำมะหงงไปเชิญให้เข้ามาในเมืองจะได้พักผ่อนให้สบาย ตำมะหงงกราบทูลว่าอิเหนารู้ตัวดีว่ามีความผิดติดตัวอยู่ จึงขอทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้ามาถวายบังคม ท้าวดาหาจึงไม่ได้รับสั่งอะไร แต่ถามสุหรานากงว่าจะทำศึกในเมือง หรือจะไปช่วยพี่ ๆรบ
สุหรานากงทูลว่ามาอยู่ดาหานานแล้วจึงขออาสาออกไปช่วยอิเหนาและ
ก ะหรัดตะปาตีออกรบ เมื่อท้าวดาหาอนุญาต สุหรานากงก็กราบทูลลาออกมาเตรียมไพร่พลแล้วยกพลออกจากเมืองไปยั งค่ายของอิเหนา เมื่อไปถึงก็เข้าเฝ้าอิเหนาสนทนากันด้วยความยินดีเล่าเรื่องราว ตั้งแต่ต้นจนจบว่า เมื่อวันที่สุหรานากงมาถึงเมืองดาหาได้ทูลว่าอิเหนาจะยกทัพมาช่ วย ดูท่าทางท้าวดาหาจะขัดเคืองว่าไหนเลยจะจากเมืองหมันหยามาเพราะร ักเมียดังแก้วตาคงไม่มาแน่นอน เกิดศึกก็เพราะใครจนเดือดร้อนไปทั้งเมือง นับประสาอะไรกับท้าวดาหาแม้นตายก็คงไม่เผาผี อิเหนาได้ฟังก็ตอบว่าที่ท้าวดาหาขุ่นเคืองนั้นก็รู้กันอยู่อิเห นาไม่ถือโทษโกรธตอบคิดแต่จะทำศึกให้ได้ชัยชนะแล้วเข้าเฝ้าจะด่า ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ตำมะหงงทูลว่าท้าวดาหารับสั่งให้ทูลอิเหนาว่าท่านขอบใจมากเชิญเ ข้าในเมืองจะได้พักพล แต่ตำมะหงงทูลท้าวดาหาว่าอิเหนาจะขอทำศึกแก้ตัวก่อนเสร็จศึกแล้ วจึงจะเข้าเฝ้าดูท่าทีจะคลายความโกรธเคืองลงแล้ว อิเหนาได้ฟังตำมะหงงทูลก็รู้สึกสบายใจเสด็จกลับเข้าข้างใน สุหรานากงก็กลับไปยังที่พัก
อิเหนามีบัญชาให้จัดทัพเตรียมรบกับกะหมังกุหนิง
อิเหนา ได้ฟังพี่เลี้ยงเล่าเรื่องราวให้ฟังจึงสั่งตำมะหงงให้เร่งจัดทัพ ตำมะหงงรับคำสั่งแล้วรีบออกไปจัดทัพทันที
อิเหนาและอนุชากรีพาทัพเผชิญทัพกะหมังกุหนิง
เมื่อได้ฤกษ์ อิเหนา กะหรัดตะปาตี สุหรานากง สังคามาระตา และระเด่นดาหยน ต่างพากันเข้าที่อาบน้ำทิพย์มนต์ ทั้งห้าองค์ชำระร่างกายแล้วมหาดเล็กก็นำเครื่องทรงถวายบรรจงทาแ ป้งที่ปรุงด้วยกลิ่นดอกไม้ สวมใส่กางเกง สวมเสื้อสีต่าง ๆ รัดเข็มขัดที่ประดับด้วยเพชรพลอย สวมสังวาล สวมกำไลข้อมือแก้วจากพม่า สวมแหวนสวยงามระยับตา สวมมงกุฎและใส่ตุมหูเป็นอุบะเพชร เหน็บกริชอันมีฤทธิ์เสด็จออกมาที่เกยแก้ว ต่างองค์ขึ้นม้าพร้อมพลทั้งสี่เหล่า มหาดเล็กกั้นร่มทองเป็นสีต่างกันให้เดินทัพเป็นห้ากอง เสียงกลองเสียงปืนดังสนั่นครั่นครื้น ฝุ่นตลบอบอวนดังควันไฟ เมื่อมาใกล้กองทัพข้าศึกเห็นธงทิวปลิวไสวก็ให้หยุดทัพ
ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิง เห็นกองทัพใหญ่ตั้งมั่นขวางเมืองไว้จึงเรียกวิหยาสะกำโอรสและระ ตูปาหยัง กับระตูประหมันน้องชายรีบกระตุ้นม้าออกไปประจำที่กองทัพ แล้วประกาศให้เร่งตีทัพดาหาให้ได้ในวันนี้ ดะหมังรับคำสั่งก็รีบเข้าโจมตีทันที บ้างจุดปืนใหญ่ (ฉัตรชัย มณฑก นกสับ) นายกองแกว่งดาบควบม้าเข้าชิงชัยกัน ทหารเมืองกุเรปันใช้ปืนตับยิงสกัดไว้แล้วไล่ประจัญบานกัน ต่างฝ่ายต่างมีฝีมือ ต่อสู้กันจนถึงอาวุธสั้น ดาบสองมือโถมเข้าทะลวงฟัน พวกใช้กริชต่อสู้ก็ต่อสู้กันพลวัน ทหารหอกก็ป้องปัดอาวุธไม่หลบหนี ทหารม้ารำทวนเข้าสู้กัน บ้างสกัดหอกที่ซัดมา บ้างพุ่งหอก บ้างยิงเกาทัณฑ์ เข้าตะลุมบอนกันกลางสนามรบ ส่วนที่ตายทับกันเหมือนกองฟาง เลือดไหลนองไปทั่วท้องทุ่ง กองหลังก็หนุนขึ้นไปไม่ขาดสาย
สังคามาระคา เห็นข้าศึกโจมตีไม่หยุดก็โกรธมากแกว่งดาบขับม้าเข้าโจมตีข้าศึก ตามลำพัง อิเหนากับระเด่นทั้งสามหันไปดูเห็นสังคามาระตากล้าหาญไม่กลัวเก รงข้าศึกจึงขับม้าตามไป
ท้าวกะหมังกุหนิงมองเห็นอิเหนาและระเด่นทั้งสามจึงถามว่าใครคือ จรกา อิเหนายิ้มแล้วตอบว่ายกทัพมาจากเมืองกุเรปันเพื่อสังหารข้าศึกท ี่มาติดเมืองดาหา มาถามหาจรกานั้นไม่อยู่ในกองทัพนี้ ท้าวกะหมังกุหนิงรู้ว่าเป็นอิเหนาก็รู้สึกกลัวอยู่ลึก ๆ แต่แข็งใจตอบว่า อิเหนาอายุยังน้อยและรูปร่างก็สวยงามพอได้เห็นก็น่าเสียดายที่
ต้องมาตายเสียเปล่าไม่ควรต่อสู้กับท้าวกะหมังกุหนิง เพราะท้าวกะหมังกุหนิงกับอิเหนาไม่มีข้อขัดข้องหมองใจกันให้จรก ามารบเถิดจะได้ดูเล่นเป็นขวัญตา
อิเหนาจึงตอบว่าอันตัวจรกานั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองดาหานี้เมื่อท ้าวกะหมังกุหนิง หลับหูหลับตามารบผิดเมือง ทำให้ไพร่พลล้มตายเสียเปล่า ถ้าจะรบกับจรกาก็ต้องไปเมืองของจรกา หากไม่รู้จักทาง อิเหนาจะช่วยชี้ทางให้ แต่ถ้ายังขืนตั้งทัพประชิดดาหาอยู่อีก ก็คงจะต้องรบกัน เพราะถึงระตูจรกาจะไม่ยกทัพมา ตัวอิเหนาเองในฐานะพี่ชาย ก็ต้องปกป้องบุษบาผู้เป็นน้องให้ปลอดภัย
ท้าวกะหมังกุหนิงจึงชี้แจงว่า ที่ยกกองทัพมาหมายจะชิงตัวนางบุษบา เพราะถึงท้าวดาหาจะรับของหมั้นจากจรกาไว้แล้ว แต่ก็ยังมิได้อภิเษกสมรสกัน จรกาไม่ได้มาด้วยก็ดี จะได้ไม่มีก้างขวางคอ การชิงนางเช่นนี้ย่อมไม่ผิดธรรมเนียม เพราะเป็นประเพณีมาแต่โบราณ สุดแต่ว่าใครจะมีฝีมือมากกว่าก็ได้นางไป ดังนั้น เรื่องนี้คงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพี่ชาย เพราะฉะนั้นจงยกทัพกลับไปเสียดีกว่า อิเหนาจึงท้ารบกับท้าวกะหมังกุหนิง แล้วบอกว่าหากรักตัวกลัวตาย ก็ให้รีบมาก้มกราบแล้วยกทัพกลับเมืองไปเสีย
วิหยาสะกำได้ยินแล้วเคียดแค้นแทนท้าวกะหมังกุหนิง จึงกล่าวกับอิเหนาว่าอย่าปากกล้าโอหังลบหลู่ผู้ใหญ่ อย่าทะนงตัวว่าเก่ง เมื่อรบกัน ไม่ใครก็ใครก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง นี่ยังไม่ทันรบเลยก็มาพูดจาข่มขู่ให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้เสียแล้ว สังคามาระตาฟังวิหยาสะกำพูดดังนั้นก็โกรธ ขออาสารบกับวิหยากะกำ อิเหนาก็อนุญาตแต่กำชับเตือนว่าอย่าลงจากหลังม้า เพราะไม่ชำนาญเพลงดาบ ให้รบด้วยทวนบนหลังม้าซึ่งชำนาญดีแล้วจะได้มีชัยชนะในการรบ สังคามาระตาจึงขับม้าไปหยุดที่หน้าวิหยาสะกำ ร้องท้าให้รบด้วยเพลงทวน และแกล้งเยาะเย้ยว่าหากมีฝีมือควรคู่กับวงศ์เทวัญก็จะยกนางบุษบ าให้
วิหยาสะกำแค้นใจยิ่งนัก จึงถามออกไปว่าเจ้าผู้เก่งกล้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร อยู่เมืองไหนเป็นเชื้อสายตระกูลใด หรือเป็นเชื้อสายในวงศ์เทวัญของสี่เมืองจึงมาท้ารบช่างไม่กลัวต าย และผู้ที่ทรงม้าอยู่ในร่มมีใครบ้าง แล้วค่อยมารบกัน สั งคามาระตาได้ฟังก็โกรธมาก ก็ชี้แจงว่ามีอิเหนาเมืองกุเรปัน กะหรัดตะปาตีพี่ชายอิเหนา สุหรานากง แห่งเมืองสิงหัดส่าหรี ระเด่นดาหยนจากเมืองหมันหยา ตัวเราชื่อสังคามาระตาบุตรท้าวปักมาหงันเป็นน้องของอิเหนา วิหยาสะกำยิ้มเยาะแล้วว่ายังสงสัยว่าตัวสังคามาระตานั้นเป็นน้อ งอิเหนาได้อย่างไร หรือมีความรักใคร่กันขอให้บอกมาตามตรง
สังคามาระตาโกรธมากร้องว่าไอ้ข้าศึกวาจาหยาบคายมาถามเอาอะไรนัก หนา จึงตอบว่า“สุดแต่ว่าจิตพิศวาส ก็นับเป็นวงศ์ญาติกันได้” หลังจากที่เจรจาได้สักพักก็ลงมือรบกัน ทั้งสองสู้ด้วยทวนบนหลังม้าอย่างกล้าหาญ สง่างามร่ายรำยักย้ายเปลี่ยนแปลกระบวนท่าเพลงทวนอย่างชำนิชำนาญ ในที่สุดสังคามาระตา ก็แกล้งลวงให้วิหยาสะกำแทงทวนแล้วทำทีพ่ายหนี วิหยาสะกำหลงกลชักม้าเลี้ยวตาม สังคามาระตาตลบหลังกลับมาทันที แล้วแทงทวนสอดลอดเกราะของวิหยาสะกำทำให้วิหยาสะกำตกจากหลังม้า ตายทันที
เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นวิหยาสะกำถูกอาวุธตกจากหลังม้าก็โกรธ ยิ่งนัก ชักม้าแกว่งหอกเข้าใส่สังคามาระตาทันที อิเหนาจึงรีบควบม้าเข้ามาขวาง พุ่งหอกสกัดไว้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็รับไว้ได้ ทั้งสองรุกไล่กันไปมา ในที่สุด อิเหนาชักม้าออกรอ ไม่บุกเข้าไป คิดว่าท้าวกะหมังกุหนิงนั้นมีฝีมือในการใช้เพลงทวนบนหลังม้า ยากต่อการเอาชนะ จึงต้องออกอุบายให้รบด้วยเพลงดาบ จึงจะสามารถเอาชนะได้ อิเหนาจึงท้าให้ท้าวกะหมังกุหนิงมาสู้กันด้วยดาบ
ท้าวกะหมังกุ หนิงก็รับคำ ชักดาบออกมาจ้วงฟันอย่างคล่องแคล่ว เมื่อผ่านไปได้พักใหญ่ อิเหนานึกในใจว่าท้าวกะหมังกุหนิงก็เก่งเพลงดาบ ยากที่ใครจะทัดเทียม จึงต้องสู้ด้วยกริชซึ่งองค์เทวัญประทานให้ จึงจะเอาชนะได้ อิเหนาก็ร้องท้าท้าวกะหมังกุหนิงให้มารำกริชสู้อีกเช่นกัน ท้าวกะหมังกุหนิงก็ชักกริชเข้าปะทะต่อสู้อย่างไม่ครั่นคร้าม จนเมื่ออิเหนาเห็นท้าวกะหมังกุหนิงก้าวเท้าผิด จึงแทงกริชทะลุอกไปถึงหลังทำให้ท้าวกะหมังกุหนิงสิ้นใจตายทันที
กะหรัดตะปาตี ระเด่นดาหยน สุหรานากง เห็นอิเหนาสังหารท้าวกะหมังกุหนิงสิ้นชีวิตลง ทั้สามจึงชักม้าเข้าสังหารข้าศึก จนระตูปาหยังกับระตูประหมันพ่ายหนีไป
ระตูปะหมันและระตูปาหยังสุดที่จะทัดทานได้ก็แตกพ่ายไป ไพร่พลต่างกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง บ้างปลอมปนกับพลทหาร บ้างบ่าวหามใส่บ่าพาวิ่งหนี เครื่องแป้งทิ้งตกกระจายเกลื่อน บ้างหนามเกี่ยวหัวหูก็ไม่รู้สึกตัว บ้างก็หนีไปตามลำพัง บ้างก็ทิ้งปืนหนีไปแอบหลังเพื่อน พวกถูกปืนก็เซซังคลานหนี ระตูทั้งสองเมื่อกลับถึงค่ายก็ปรึกษากันขอยอมแพ้แก่อิเหนา เพื่อเป็นการรักษาชีวิตและรี้พลไว้ แล้วระตูทั้งสองก็เข้าเฝ้าอิเหนา
ระตูปะหมันและระตูปาหยังต่างกลัวจนตัวสั่นแจ้งแก่อิเหนาว่าทั้ง สองมีความผิดหนักหนาแต่ขอประทานชีวิตไว้จะขอเป็นข้ารับใช้ต่ออิ เหนาจนกว่าจะตายและจะส่งบรรณาการมาถวายตามประเพณี อิเหนาก็รับไว้เป็นเมืองขึ้น แล้วให้ทั้งสองนำศพของท้าวกะหมังกุหนิง และวิหยาสะกำไปทำพิธีตามราชประเพณี แล้วอิเหนาก็มาดูศพวิหยาสะกำ เห็นศพถูกทิ้งอยู่พิจารณาดูแล้วก็ใจหายเพราะยังเป็นหนุ่มอยู่รู ปร่างก็สวยงามนับว่าสมชายชาตรี ฟังแดงดังแสงทับทิม หน้าตางดงามรับกับคิ้ว ผมปลายงอนงามรูปร่างสมส่วนอย่างนี้บิดาจึงรักรักรักหนาจนต้องมา ตายเพราะลูก หากจรกางดงามอย่างวิหยาสะกำก็จะไม่ร้อนใจว่าจะมาปะปนศักดิ์กัน แล้วอิเหนาก็ขึ้นม้ากลับที่พักไป
ระตูปะหมันและระตูปาหยังกอดศพท้าวกะหมังกุหนิงพี่ชายร้องไห้รำพันออกมาด้วยความเศร้า ว่าท้าวกะหมังกุหนิงนั้นมีชื่อเสียงเกียรติยศปรากฏไปทั่วทุกแผ่ นดินทำสงครามทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นเพราะค ิดประมาทรักลูกมากเกินไปจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง อนิจจาวิหยาสะกำคงเป็นเวรกรรมแต่ครั้งก่อน เสียแรงที่มีกำลังมีความกล้าหาญต้องมาตายตั้งแต่ยังอายุน้อย ต่อไปนี้คงไม่ได้เห็นหน้า กลับบ้านเมืองไปคงจะมีแต่ความเงียบเหงา ทั้งสองระตูต่างโศกเศร้าเสียใจ.
ความคิดเห็น