ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องย่อ

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 57


    ดินแดนชวาโบราณมีกษัตริย์วงศ์หนึ่งเรียกว่า  วงศ์สัญแดหวาหรือวงศ์เทวา  เพราะว่าสืบเชื้อสายมาจากเทวดา  คือ  องค์ปะตาระกาหลา  กล่าวกันว่าวงศ์นี้มีพี่น้องสี่องค์  องค์พี่ครองเมืองกุเรปัน  องค์ที่สองครองเมืองดาหา  องค์ที่สามครองเมืองกาหลัง  และองค์ที่สี่ครองเมืองสิงหัดส่าหรี  กษัตริย์วงศ์เทวามีอานุภาพยิ่งใหญ่ด้วยยศศักดิ์  ถือตัวว่าเป็นชนชั้นสูงจึงอภิเษกกันเฉพาะในวงศ์พี่น้อง  นอกจากนี้ทั้งสี่เมืองเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งมเหสีได้ 5 องค์  ตามลำดับตำแหน่ง  คือ  ประไหมสุหรี  มะเดหวี  มะโต  ลิกู  เหมาหราหงี  แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองหมันหยาซึ่งเป็นเมืองเล็กกว่า  กล่าวคือ  เจ้าเมืองนี้มีราชธิดาสามองค์  องค์โตชื่อนิหลาอระตา  ได้ไปเป็นประไหมสุหรีเมืองกุเรปัน  องค์ที่สองชื่อ  ดาหราวาตี  ได้ไปเป็นประไหมสุหรีเมืองดาหา  ส่วนองค์สุดท้องชื่อ  จินดาส่าหรี  ได้อภิเษกกับโอรสท้าวมังกัน  และได้ครองเมืองหมันหยา

              ท้าวกุเรปันมีโอรสองค์แรกกับลิกู  ชื่อว่า  กะหรัดตะปาตี  ต่อมามีโอรสกับประไหมสุหรีเป็นหนุ่มรูปงามและเก่งกล้าสามารถมาก  ชื่อ  อิเหนา  หรือ  ระเด่นมนตรี  และมีราชธิดาชื่อวิยะดา  ส่วนท้าวดาหามีราชธิดากับประไหมสุหรีชื่อ  บุษบา  และมีโอรสชื่อ  สียะตรา  บุษบามีอายุไล่เลี่ยกับอิเหนา  ท้าวกุเรปันจึงหมั้นบุษบาให้กับอิเหนา  และสียะตราก็หมั้นหมายกันไว้กับวิยะดา

              ส่วนระตูหมันหยากับประไหมสุหรีก็มีราชธิดาชื่อระเด่นจินตะหรา  อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอิเหนา  ท้าวสิงหัดส่าหรีกับประไหมสุหรีมีโอรสชื่อระเด่นสุหรานากง  ราชธิดาชื่อระเด่นจินดาส่าหรี  ท้าวกาหลังมีราชธิดาชื่อ  ระเด่นสกาหนึ่งรัด  ซึ่งเป็นคู่ตุนาหงันของสุหรานากง

              เมื่อพระอัยยิกาที่เมืองหมันหยาสิ้นพระชนม์  ท้าวกุเรปันมอบหมายให้อิเหนาไปร่วมพิธีถวายพระเพลิงพร้อมกับกะหรัดตะปาตี  อิเหนาพบจินตะหราก็หลงรัก  จนพิธีถวายพระเพลิงเสร็จแล้วก็ยังไม่ยอมกลับกุเรปัน  ท้าวกุเรปันจึงต้องอ้างว่าประไหมสุหรีจะมีพระประสูติกาลให้กลับมาเป็นกำลังใจให้พระราชมารดา  อิเหนาจำใจต้องกลับมาประจวบกับพระราชมารดาประสูติ  พระราชธิดาหน้าตาน่ารัก  นามว่า  ระเด่นวิยะดา

              อย่างไรก็ตามอิเหนายังหาทางกลับไปเมืองหมันหยาอีก  โดยอ้างว่าจะไปประพาสป่า  แล้วปลอมตัวเป็นโจรป่าชื่อ  มิสารปันหยี  ระหว่างทางได้รบกับระตูบุศิหนา  น้องชายสุดท้องของระตูปันจะรากันและระตูปักมาหงัน  ปรากฏว่าระตูบุศสิหนาตายในที่รบ  นางดรสาซึ่งเพิ่งเข้าพิธีอภิเษกกับระตูบุศสิหนาจึงกระโดดเข้ากองไฟตายตามพระสวามี  ส่วนระตูจะรากันและระตูปักมาหงันยอมแพ้และถวายพระธิดาและพระโอรสให้อิเหนา  คือ  นางสะการะวาตี  นางมาหยารัศมี  และสังคามาระตา  เมื่ออิเหนาเข้าเมืองหมันหยาได้ก็ลักลอบเข้าหานางจินตะหรา  แล้วได้สองนางคือ  นางสะการะวาตีและนางมาหยารัศมีเป็นชายา  และรับสังคามาระตาเป็นน้องชาย

              ท้าวกุเรปันเรียกอิเหนากลับเมืองถึงสองครั้ง  พร้อมทั้งนัดวันอภิเษกระหว่างอิเหนากับบุษบา  แต่อิเหนาไม่ยอมกลับ  สั่งความตัดรอดนางบุษบา  ท้าวกุเรปันและท้าดาหาทราบเรื่องก็ขัดเคืองพระทัย  ท้าวดาหาถึงกับหลุดปากว่าถ้าใครมาขอบุษบาก้จะยกให้

              ฝ่ายจรกา  ระตูเมืองเล็กเมืองหนึ่ง  และเป็นอนุชาของท้าวล่าส่ำ (ท้าล่าส่ำผู้นี้มีธิดา  คือ  ระเด่นกุสุมา  เป็นคู่หมั้นของสังคามาระตา)  จรกาเป็นชายรูปชั่วตัวดำ  แต่อยากได้ชายารูปงาม  จึงให้ช่วงวาดไปแอบวาดภาพราชธิดาของเมืองสิงหัดส่าหร  คือ  นางจินดาส่าหรี  ครั้นทราบข่าวว่านางบุษบาสวยงามมากจึงให้ช่างวาดแอบวาดภาพนางบุษบาอีก  ช่างวาดแอบวาดภาพได้ 2 ภาพ  คือ  ตอนนางบุษบาเพิ่งตื่นบรรทบและภาพที่แต่งองค์เต็มที่  ขณะเดินทางกลับองค์ปะตาระกาหลาบันดาลให้รูปนางบุษบาที่ทรงเครื่องตกหายไป  จรกาได้เห็นภาพที่เพิ่งตื่นบรรทมเท่านั้นก็หลงใหลถึงกับสลบลงทันที

              เมื่อจรกาได้ข่าวจากช่างวาดภาพว่าบุษบาร้างคู่ตุนาหงัน  จึงรีบให้ระตูล่าส่ำ  พี่ชายมาสู่ขอบุษบา  ท้าวดาหากำลังโกรธอิเหนาอยู่แม้จะรู้ว่าจรการูปชั่ว  ต่ำศักดิ์  แต่เมื่อพลั้งปากว่าใครมาขอก็จะยกให้  จึงจำใจยากนางบุษบาให้จรกาและกำหนดการวิวาห์ภายในสามเดือน

              กล่าวถึงกษัตริย์อีกวงศ์หนึ่ง  องค์พี่ครองเมืองกะหมังกุหนิงมีพระโอรสชื่อวิหยาสะกำ  องค์รองครองเมืองปาหยัง  องค์สุดท้องครองเมืองปะหมันสลัด

              อยู่มหาวิหยาสะกำโอรสท้าวกะหมังกุหนิง  เสด็จประพาสป่าแล้วพบภาพวาดของนางบุษบาทรงเครื่องที่หายไปก็คลั่งไคล้หลงถึงกับสลบเช่นกัน  ท้าวกะหมันกุหนิงรักและเห็นใจโอรสมาก  จึงให้คนไปสืบว่านางในภาพนั้นเป็นใครแล้วให้แต่งทูตไปขอ  แต่ท้าวดาหามอบนางบุษบาให้จรกาแล้วจึงปฏิเสธไป  เมื่อไม่สมหวังท้าวกะหมังกุหนิงจึงยกทัพมาชิงนางบุษบา  โดยแจ้งระตูปาหยังและระตูปะหมันน้องชายและหัวเมืองทั้งหลายยกทัพมาช่วยรบด้วย

              ท้าวกุเรปันจึงเรียกตัวอิเหนาจากเมืองหมันหยามาช่วยท้าวดาหาทำศึกกับท้าวกะหมังกุหนิง  อิเหนาเป็นฝ่ายมีชัยในศึกครั้งนี้  อิเหนาสังหารกะหมังกุหนิง  สังคามาระตาสังหารวิหยาสะกำ  ระตูปาหยังกับปะหมันยอมแพ้ขอเป็นเมืองขึ้น  เมื่อเสด็จศึกอิเหนาเข้าเฝ้าท้าวดาหา  เมื่อได้พบกับนางบุษบาก็หลงรักทันที  จึงหาทางขัดขวางพิธีอภิเษกโดยการลักพาตัวบุษบาไปซ่อนไว้ในถ้ำ  องปะตาระกาหลากริ้วที่อิเหนาทำไม่ถูกต้อง  จึงบันดาลให้เกิดลมหอบนางบุษบาไปจากอิเหนา  อิเหนาและนางบุษบาต่างต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นเวลาหลายปีจึงได้กลับมาพบกัน

     Z�*��蟀 �x ��ดาหาจะได้กองทัพจากเมืองอื่นมาสมทบ จะทำให้เอาชนะยากขึ้นไปอีก ดังนั้นจะเป็นอย่างไรก็ขอให้สุดแท้แต่บุญแต่กรรม แล้วท้าวกะหมังกุหนิงก็เสด็จกลับเข้าข้างใน

     

              วิหยาสะกำเดินทัพมา ก็ตีเมืองเล็ก ๆ ตามรายทางไปด้วยและให้ตรวจตราจัดทัพเดินทางมาเป็นทัพหน้าตามทาง มาได้ ๑๐ วันก็มองเห็นกำแพงเมืองดาหาอยู่ลิบๆ มองเห็นปราสาทราชวังเรียงรายกัน จึงหยุดทัพแล้วตั้งค่ายไว้ที่ชายป่า

              ท้าวกะหมังกุหนิง เร่งรีบยกทัพมาใกล้ทุ่งเมืองดาหาเห็นธารน้ำไหลใสเย็นมีร่มเงาจา กต้นไทรบังแสงแดดจึงสั่งเสนีให้ตั้งทัพแบบนาคนามตามตำราสงคราม   ดะหมังรับคำสั่งออกมาเกณฑ์ทหารให้ถากถางที่ทำค่ายหน้าค่ายหลัง ยกหอรบขึ้นเป็นชั้น ๆ ชักปีกกาขึงถึงกัน  ผูกเป็นราวสามชั้นมัดให้แน่นแบบขันชะเนาะ  ตั้งป้อมวางเป็นระยะใส่ที่กำบังและไม้เสี้ยมแหลมเป็นอาวุธอย่าง เหมาะสม  ตามสนามเพลาะพูนดินให้เต็มใช้ไม้ไผ่เจาะทะลวงปล้องทำเป็นช่องใส ่ปืน  ปลูกโรงรถโรงช้าง โรงม้าเพื่อผูกไว้ไม่ให้แตกตื่นใช้เสาตะลุงไว้ผูกช้าง  สนามก็ปราบจนเลี่ยนเตียน  เร่งทำตำหนักน้อยใหญ่ และทำเพิงรายรอบทั้งซ้ายขวา  ภายนอกค่ายปักขวากหนามไว้อย่างมากมายจนรอบค่าย  และจัดทหารออกตระเวนวางหลุมกับดักและคอยสอดแนมข้าศึก  ส่วนในค่ายให้ประชุมการรบ

              ท้าวกะหมังกุหนิง เห็นค่ายเสร็จจึงชวนวิหยาสะกำโอรสและเรียกระตูปาหยังกับระตูประ หมันน้องชายทั้งสองลงจากรถขึ้นไปยังพลับพลาที่พัก

                ฝ่ายทหารของเมืองดาหาออกสอดแนมข้าศึกเห็นข้าศึกยกทัพมาถึงชายป่ าเห็นขบวนทัพหน้าทัพหลังตั้งค่ายมีธงทิวมากมายเสียงคนตัดไม้ราบ ไปทั้งป่าต่างคนรีบขึ้นม้าควบเข้าเมืองทันทีแจ้งแก่ปาเตะเสนาผู ้ใหญ่  ปาเตะตกใจจดเอาทุกถ้อยคำรีบเข้าเฝ้าท้าวดาหาว่าข้าศึกยกมาตีเมื องมากมายทั้งช้างม้ารถเสียงดังสนั่นดังเสียงคลื่นในมหาสมุทรก็ไ ม่ปานตอนนี้ตั้งอยู่ที่เนินทรายชายทุ่งติดป่าต่อกัน    ท้าวดาหาได้ฟังก็ตรึกตรองว่าอันศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขามาส ู่ขอนางบุษบาแล้วไม่ยกให้คิดน้อยใจอิเหนาที่แกล้งให้เกิดความวุ ่นวายไปทั่ว  ทั้งเสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูลจนมีศึกยกมาทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั้งแผ่นดิน  ท้าวดาหาจึงให้เสนาไปเกณฑ์พลรักษาเมืองเอาไว้ให้มั่น คอยดูท่าทีของข้าศึก  และจะคอยทหารที่ให้ไปแจ้งเรื่องแก่ท้าวกุเรปันพี่ชายและท้าวสิง หัดส่าหรี กับ กาหลังน้องชายว่าจะยกทัพมาช่วยหรือไม่อย่างไรหากไม่ยกมาช่วยก็จ ะทำสงครามตามลำพังจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

              กล่าวถึงสุหรานากง และเสนาเมืองกาหลังยกทัพเดินทางนอนป่าสิบห้าวันก็เดินทางมาถึงเ มืองดาหา เมื่อถึงกลางเมืองจึงหยุดทัพแล้วชวนตำมะหงงไปเข้าเฝ้า  ท้าวดาหาเห็นสุหรานากงกับเสนาเมืองกาหลังก็ดีใจมากที่น้องชายขอ งตนส่งกองทัพมาช่วยรบแต่การศึกครั้งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น  เพราะนางบุษบานั้นอัปลักษณ์คู่หมั้นก็ไม่รักแกล้งทำอย่างสมใจ   แต่ท้าวดาหาก็ถามไปว่าเมืองกุเรปันส่งใครมาช่วยรบ      สุหรานากงก็ตอบไปว่าท้าวกุเรปันได้ให้กะหรัดตะปาตียกทัพมาสมทบก ับอิเหนา  

              ท้าวดาหาได้ฟังเช่นนั้นก็ประชดอิเหนา ว่า  กะหรัดตะปาตีมาช่วยก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจ แต่อิเหนาเล่า เขาจะมาทำไม ท้าวกุเรปันเรียกให้กลับกี่ครั้งก็ไม่ยอมจากเมืองหมันหยาจนตัดข าดการแต่งงาน  มีศึกประชิดเมืองก็เพราะใคร   เห็นทีคงจะรักเมียมากกว่าญาติ  ถ้ามาก็เห็นว่าคงจะมาเพราะกลัวท้าวกุเรปันเสียมากกว่า   แล้วท้าวดาหา

    บอกสุหรานากงว่าคงไม่ต้องคอยอิเหนาหรอก แล้วให้สุหรานากงไปพักผ่อน   สุหรานากงจึงขอถวายชีวิตให้เพื่อรับใช้ท้าวดาหา และอาสาไปออกรบกับทัพของท้าวกะหมังกุหนิง

     

    ดะหมังกุเรปันถวายสารท้าวหมันหยาและอิเหนา

              กล่าวถึงดะหมังจากเมืองกุเรปัน เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหมันหยาก็ตรงไปยังเรือนพักของอิเหนาเ ข้าเฝ้าถวายพระราชสารแก่อิเหนา   อิเหนาคลี่สารของท้าวกุเรปันออกอ่าน ซึ่งในสารนั้นกล่าวว่าตอนนี้มีข้าศึกมาตั้งทัพประชิดเมืองดาหา ขอให้อิเหนารีบยกพลไปตีให้ทันท่วงที ถึงไม่เห็นแก่บุษบาก็ขอให้เห็นแก่ท้าวดาหาผู้เป็นอา   ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะใครไปทำงามหน้าไว้ให้ เสียคำพูดให้อายชาวเมืองดาหา ครั้งนี้จะเมินเฉยอีกทำให้เสียศักดิ์ศรีก็แล้วแต่ใจ ถ้าไม่มาช่วยก็ขาดกันอย่าได้เผาผีกันอีกเลย   เมื่ออิเหนาได้อ่านดังนั้น ก็ถอนใจด้วยความสงสัยว่าบุษบาจะงามถึงเพียงไหนเชียวจึงถูกใจระต ูทุกเมือง แค่เพียงเห็นรูปก็จะพากันมาตายเสียแล้ว หากงามเหมือน

    จินตะหราก็ว่าไปอย่าง  จึงบอกแก่ดะหมังไปว่าจะยกทัพไปในอีก ๗ วัน  แต่ดะหมังรีบทูลว่าต้องรีบไปในทันที เพราะตอนนี้ข้าศึกยกทัพมาติดพระนครแล้ว               

             

              อิเหนาเกรงกลัวท้าวกุเรปันพระบิดาสุดที่จะเลื่อนวันไป  ทั้งรักทั้งกลัวห่วงหน้าพะวงหลังคิดแล้วก็ทอดถอนใจจึงสั่งตำมะห งงให้รีบจัดทัพใหญ่ทั้งทัพม้า ทัพรถ ทัพช้างเลือกทหารที่มีความสามารถทั้งทหารปืนและทหารดาบ  อิเหนาจะตัดศึกใหญ่ด้วยกำลังที่เข้มแข็งแม้นข้าศึกหนีก็จะทำลาย ให้สิ้นไป  ถือเอาฤกษ์พรุ่งนี้จะยกทัพไปช่วยเมืองดาหาเมื่อสั่งเสร็จอิเหนา ก็ไปเข้าเฝ้าท้าวหมันหยา  เมื่อไปถึงเขตวังในก็ลงจากหลังม้าเข้าท้องพระโรงทันที   ดะหมังเมืองกุเรปันก็เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาเช่นกันแล้วถวายสารแก่ เจ้าเมืองหมันหยา

              ท้าวหมันหยารับสารจากดะหมังคลี่ออกอ่านทันทีในสารมีใจความว่า   ตัวท้าวหมันหยามีลูกสาวให้แต่งตัวยั่วชายจนอิเหนาต้องร้างคู่ไป หลงรักไปติดพันช่างไม่อายผู้คน  ตอนนี้มีศึกประชิดเมืองดาหา จนเกิดเรื่องวุ่นวายเสียงานการวิวาห์ไปหมดต่างคนก็หมางใจกัน ในการสงครามครั้งนี้ถ้าไม่ไปช่วยก็จะตัดญาติขาดมิตรกันไปก็แล้ว แต่ใจ   เมื่ออ่านสารแล้วท้าวหมันหยากลัวท้าวกุเรปันขุ่นเคืองจึงยื่นสา รให้แก่อิเหนาและกล่าวว่า เห็นหรือไม่อิเหนาหลานรักเจ้าไม่เชื่อฟังคำจึงทำให้มีความผิดไป ด้วย    แล้วเร่งให้อิเหนารีบยกทัพไปช่วยเมืองดาหาหากไม่ไปก็จะไม่ให้อย ู่กับนาง

    จินตะหรา   พร้อมทั้งให้ระเด่นดาหยนคุมกองทัพของเมืองหมันหยาไปด้วย  ได้ฤกษ์ยกทัพไปในตอนเช้าพรุ่งนี้

                     อิเหนารับคำสั่งแล้วลาไปยังปราสาทนางจินตะหรา    เมื่อไปถึงก็เข้าแนบชิดนางทอดถอนใจแล้วแจ้งเรื่องราวแก่นางว่าด ะหมังถือสารจากพระบิดาว่าเมืองดาหาเกิดศึกให้อิเหนารีบยกทัพไปช ่วยในวันพรุ่งนี้ขอให้นางจงอยู่ดีอย่าโศกเศร้าเสียใจเสร็จศึกแล ้วจะรีบกลับทันที

              นางจินตะหรา ได้ฟังก็แค้นใจสะบัดหน้าหันหลังให้พร้อมกับตัดพ้อต่อว่าอิเหนาว ่าจะไปปราบข้าศึกหรือจะกลับไปหวนคืนสู่คู่หมั้นเก่า กันแน่ ไหนบอกว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะตายจากกัน นางก็หลงเชื่อ ไม่รู้ว่าภายหลังจะมาเป็นเช่นนี้ แล้วอีกนานเท่าไหร่เล่าอิเหนาจะกลับมา

              อิเหนาชี้แจงว่าไม่เคยคลายความรักในตัวจินตะหราเลย แต่ตนมีเหตุจำเป็นต้องไป เพราะท้าวกุเรปันให้กลับสองครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เกิดศึกสงคราม ไม่อาจจะขัดได้ แล้วจึงยื่นสารให้จินตะหราอ่าน   นางจินตะหราก็รู้สึกคับแค้นใจไม่มองดูสารแล้วคร่ำครวญว่า  อนิจจาความรักนั้นก็เหมือนน้ำที่ไหลเชี่ยว ไฉนเล่าจะไหลกลับคืนมา คงไม่มีหญิงใดจะเจ็บช้ำไปกว่านาง  เพราะหลงเชื่อ หลงรัก ถึงตอนนี้แล้วจะไปโทษใครได้ เสียแรงหวังที่จะฝากชีวิตไว้กับอิเหนาแต่ก็ไม่ปราณี  ที่จักรีบเสด็จไปนั้นก็เข้าใจเพราะนางบุษบานั้นคู่ควรกับอิเหนา ไม่ต่ำศักดิ์เหมือนนาง  ต่อไปชาวเมืองดาหาก็จะนินทาได้ นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ   อิเหนาปลอบโยนให้จินตะหราคลายความโศกเศร้า ว่าที่อิเหนาไปนั้น แม้บุษบาจะสวยก็จริง แต่อิเหนาตัดสัมพันธ์ไปแล้ว   จรกาจึงมาทำการสู่ขอและเตรียมการวิวาห์พอท้าวกะหมังกุหนิงทราบก ็มาสู่ขอนางอีกเมื่อไม่ได้นางจึงเกิดศึกในเมืองดาหาเพื่อช่วงชิ งนางบุษบาไม่ใช่ว่านางไม่มีใคร  อันข่าวลือที่ว่าบุษบางามนักนั้นแต่ก็งามสู้นางจินตะหราไม่ได้  ครั้งนี้จำเป็นจึงต้องจำจากไปเพราะเกรงกลัวท้าวกุเรปันบิดาต่าง หาก  หากเสียเมืองดาหาก็เหมือนเสียถึงวงศ์ตระกูลมีแต่จะถูกนินทา    ขอให้นางคิดให้ดีเมื่อไปแล้วก็ไม่อยู่นานจะรีบกลับมาหานาง นางอย่าได้โศกเศร้าเสียใจ อิเหนาหอมแก้มนางและประคองขึ้นบนตัก  นางจิตะหราเห็นสารแล้วค่อยบรรเทาความทุกข์ความแคลงใจ   นางบอกอิเหนาว่าจะไปทำศึกก็ตามใจแต่เมื่อเสร็จศึกให้คิดถึงเมือ งหมันหยาและรีบกลับมานางจะรอ    อิเหนารับขวัญนางแล้วว่าคงเป็นเวรกรรมที่ต้องจากไปก็ขอฝากนางมาหยารัศมีและนางสการะวาตี ให้จินตะหราดูแลเพราะนางทั้งสองห่างไกลบิดามารดาอย่าได้เคียดแค ้นหึงหวงถ้าผิดก็ให้เมตตานางทั้งสอง

    อย่าถ ือโทษโกรธเคือง  แล้วถอดสังวาลให้นางจินตะหราไว้ดูต่างหน้า

     

    อิเหนาเข้าเฝ้าระตูหมันหยาและถวายบังคมลา

              อิเหนาทูลลาท้าวหมันหยาและประไหมสุหรี  ต่างองค์ต่างอวยพรให้เดินทางปลอดภัยและให้ข้าศึกศัตรูพ่ายแพ้  แล้วอิเหนาก็ทูลลากลับมาที่ตำหนักของตน

     

    อิเหนากรีฑาทัพไปกรุงดาหา

              พอรุ่งเช้า อิเหนาทรงช้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออกพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ โหรา และชีพราหมณ์พอได้ฤกษ์ก็ลั่นฆ้องดังสนั่นกึกก้องไปทั้งสนาม  ปุโรหิตทำพิธีตัดไม้ข่มนามตามตำราพิชัยสงคราม  ทั้งทัพหน้า ทัพหลัง ทัพหลวงพร้อมกัน ทหารโบกธงทองกระบี่ครุฑ  พวกฝรั่งจุดปืนใหญ่ให้สัญญาณ  ชีพราหมณ์ทำพิธีเบิกโขลนทวารอ่านคาถาอาคม เคลื่อนกองทัพ ออกจากเหมืองหมันหยา มุ่งตรงไปเมืองดาหา ระหว่างทางอิเหนาโศกเศร้าเสียใจอาลัยรักนางทั้งสามยิ่งนัก ว่าป่านนี้จะคร่ำครวญหา  ใครจะปลอบนาง  คิดถึงความหลังแล้งยิ่งใจหายคิดไปก็อายพวกไพร่พลจึงชักม่านปิดท ั้งสี่ทิศเหมือนจะบังแสงดวงอาทิตย์     ลมพัดกลิ่นดอกไม้เหมือนกลิ่นผ้านางที่เปลี่ยนมา  ได้ยินเสียงนกยูงร้องก็คิดว่าเป็นเสียงของนาง    จึงเผยม่านออกมาเห็นแต่ต้นไม้ใบไม้จึงเอนตัวลงพิงหมอนเอามือก่า ยหน้าผากคิดถึงความรักก็ยิ่งเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา     ประสันตาพี่เลี้ยงเห็นเช่นนั้นก็ขี่ช้างมาข้างท้ายชี้ชวนให้ชมธ รรมชาติของป่าไปตลอดทาง ว่าป่านี้แปลกตากว่าป่าไหนๆ ไว้เสร็จศึกแล้วน่าจะชวนนางทั้งสามมาเที่ยวพักผ่อนให้สบาย    อิเหนานิ่งฟังอยู่นานก็คลายทุกข์แล้วลุกขึ้นถามว่าป่านี้หรือสน ุกว่าพลางอิเหนาก็มองไปถามว่าไหนล่ะอย่าโกหกกัน

               ประสันตาแกล้งทำตกใจทูลว่าอยู่ดงนี้เพราะช้างเดินเลยมาแล้วแต่ด งข้างหน้ายังมี  อิเหนายิ้มแล้วตอบว่าโกหกซึ่ง ๆ หน้าช่างไม่อาย ยังมาเฉไฉไปอีกคนอะไรน่าจะผลักให้ตกจากช้างท่าจะดี  

               อิเหนาชมนกชมไม้ต่าง ๆ  เห็นนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนกเบญจวรรณ นกนางนวล นกจากพราก  นกแขกเต้าที่กำลังเกาะต้นเต่าร้าง นกแก้ว นกตระเวนไพร นกเค้าโมง นกคับแค ก็ให้นึกไปถึงนางทั้งสามตลอดทาง  เดินทางมาหลายวันก็มาถึงทางร่วมเมืองกุเรปันพบกับกองทัพของกะหร ัดตะปาตีอิเหนาก็ให้หยุดกองทัพ

                    กะหรัดตะปาตีพี่ชายอิเหนา เห็นทัพอิเหนายกมาก็ดีใจ  บอกว่าท้าวกุเรปันบิดาให้คุมทัพมารอทัพอิเหนาเพื่อไปช่วยเมืองด าหามาคอยอยู่หลายวันแล้วข่าวว่าข้าศึกประชิดเมืองแล้วจะได้รีบไ ป   อิเหนาจึงว่าการเดินทางทัพนั้นอ้อมกว่ากุเรปัน  แล้วทั้งสองทัพก็จัดทัพเข้ากระบวนเดียวกันเร่งรีบยกทัพไปยังกรุ งดาหาทันที เมื่อถึงชายแดนเมืองดาหา อิเหนาก็หยุดตั้งค่ายนามครุฑตามตำราพิชัยสงคราม   แล้วให้ตำมะหงงรีบไปกราบทูลท้าวดาหา  ให้กราบทูลอย่าให้ขุ่นเคืองใจ  ตำมะหงงรับคำสั่งแล้วควบม้าไปทันทีเมื่อไปถึงก็แจ้งยาสาเสนาเมื องดาหาว่าบัดนี้อิเหนา และกะหรัดตะปาตีจากกุเรปันยกทัพมาช่วยพระธิดาดาหาแล้วจงพาเข้าเ ฝ้ากราบทูลเรื่องราวให้กระจ่าง 

              ยาสาดีใจมากพาตำมะหงงเข้าไปท้องพระโรงทันที  ตำมะหงงกราบทูลว่าบัดนี้อิเหนากับกะหรัดตะปาตียกทัพมามากมายหลา ยแสนตั้งอยู่ปลายแดนเมืองดาหา  ท้าวดาหารู้ว่าอิเหนายกทัพมาช่วยก็มีความดีใจเพราะอิเหนามีความ เก่งกล้าสมารถเห็นว่านางบุษบาจะไม่เป็นอันตราย   แต่ไม่แสดงออกให้ใครเห็น  ยิ้มแล้วกล่าวว่าอิเหนายกทัพมาช่วยก็ขอขอบใจ  แล้วให้ตำมะหงงไปเชิญให้เข้ามาในเมืองจะได้พักผ่อนให้สบาย  ตำมะหงงกราบทูลว่าอิเหนารู้ตัวดีว่ามีความผิดติดตัวอยู่ จึงขอทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้ามาถวายบังคม ท้าวดาหาจึงไม่ได้รับสั่งอะไร แต่ถามสุหรานากงว่าจะทำศึกในเมือง หรือจะไปช่วยพี่ ๆรบ

               สุหรานากงทูลว่ามาอยู่ดาหานานแล้วจึงขออาสาออกไปช่วยอิเหนาและ

    ก ะหรัดตะปาตีออกรบ เมื่อท้าวดาหาอนุญาต สุหรานากงก็กราบทูลลาออกมาเตรียมไพร่พลแล้วยกพลออกจากเมืองไปยั งค่ายของอิเหนา  เมื่อไปถึงก็เข้าเฝ้าอิเหนาสนทนากันด้วยความยินดีเล่าเรื่องราว ตั้งแต่ต้นจนจบว่า  เมื่อวันที่สุหรานากงมาถึงเมืองดาหาได้ทูลว่าอิเหนาจะยกทัพมาช่ วย  ดูท่าทางท้าวดาหาจะขัดเคืองว่าไหนเลยจะจากเมืองหมันหยามาเพราะร ักเมียดังแก้วตาคงไม่มาแน่นอน  เกิดศึกก็เพราะใครจนเดือดร้อนไปทั้งเมือง  นับประสาอะไรกับท้าวดาหาแม้นตายก็คงไม่เผาผี   อิเหนาได้ฟังก็ตอบว่าที่ท้าวดาหาขุ่นเคืองนั้นก็รู้กันอยู่อิเห นาไม่ถือโทษโกรธตอบคิดแต่จะทำศึกให้ได้ชัยชนะแล้วเข้าเฝ้าจะด่า ว่าอย่างไรก็แล้วแต่     ตำมะหงงทูลว่าท้าวดาหารับสั่งให้ทูลอิเหนาว่าท่านขอบใจมากเชิญเ ข้าในเมืองจะได้พักพล  แต่ตำมะหงงทูลท้าวดาหาว่าอิเหนาจะขอทำศึกแก้ตัวก่อนเสร็จศึกแล้ วจึงจะเข้าเฝ้าดูท่าทีจะคลายความโกรธเคืองลงแล้ว    อิเหนาได้ฟังตำมะหงงทูลก็รู้สึกสบายใจเสด็จกลับเข้าข้างใน  สุหรานากงก็กลับไปยังที่พัก

     

    อิเหนามีบัญชาให้จัดทัพเตรียมรบกับกะหมังกุหนิง

              อิเหนา ได้ฟังพี่เลี้ยงเล่าเรื่องราวให้ฟังจึงสั่งตำมะหงงให้เร่งจัดทัพ  ตำมะหงงรับคำสั่งแล้วรีบออกไปจัดทัพทันที 

     

    อิเหนาและอนุชากรีพาทัพเผชิญทัพกะหมังกุหนิง

              เมื่อได้ฤกษ์ อิเหนา  กะหรัดตะปาตี  สุหรานากง สังคามาระตา และระเด่นดาหยน ต่างพากันเข้าที่อาบน้ำทิพย์มนต์  ทั้งห้าองค์ชำระร่างกายแล้วมหาดเล็กก็นำเครื่องทรงถวายบรรจงทาแ ป้งที่ปรุงด้วยกลิ่นดอกไม้  สวมใส่กางเกง  สวมเสื้อสีต่าง ๆ รัดเข็มขัดที่ประดับด้วยเพชรพลอย  สวมสังวาล  สวมกำไลข้อมือแก้วจากพม่า  สวมแหวนสวยงามระยับตา  สวมมงกุฎและใส่ตุมหูเป็นอุบะเพชร เหน็บกริชอันมีฤทธิ์เสด็จออกมาที่เกยแก้ว ต่างองค์ขึ้นม้าพร้อมพลทั้งสี่เหล่า มหาดเล็กกั้นร่มทองเป็นสีต่างกันให้เดินทัพเป็นห้ากอง  เสียงกลองเสียงปืนดังสนั่นครั่นครื้น ฝุ่นตลบอบอวนดังควันไฟ  เมื่อมาใกล้กองทัพข้าศึกเห็นธงทิวปลิวไสวก็ให้หยุดทัพ  

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×