ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A L I V E : อ ะ ไ ร [CLEAN EDIT]

    ลำดับตอนที่ #2 : อรัมภบท

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 53


    /> /> />

    ท่ามกลางอวกาศเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาลเกินที่จะจินตนาการ แม้จะเป็นที่ที่มืดดำที่สุดแต่กลับไม่ได้ว่างเปล่าดังที่ตามนุษย์เห็น มีสัญญาณอ่อนๆแพร่อยู่ทั่วในช่วงคลื่นต่างๆ ราวกลับว่ามันถูกส่งสัญญาณมาจากแหล่งที่อยู่ไกลแสนไกล  ณ ที่สัญญาณในปัจจุบันกลายเป็นอดีตเมื่อหลายร้อยหรือหลายพันปีก่อน

                    ...(ซ่า)....ว.สี่ศูนย์ ที่โค้งปลาหมอขอรถพยาบาล.....ไปให้สุดขอบฟ้า จะไม่มองย้อนมา.... Do you know what's worth fighting for...คั่นเขาป๋าเขาไล่เอาคนผู้ฮ้ายไปพิจารณา.... เหล่านี้เป็นกระแสตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์ของสังคมไทย....มีการสอบสวนคดีสำคัญกรณี...ฮัลโหลอ้อม!--

                    “ค่ะพี่โอ๊ต จะสั่งอะไรเพิ่มอีกล่ะ นี่มีความคิดจะออกเดินทางไปไหนเนี่ย สั่งอย่างกับคราวนี้จะไปแล้วไม่กลับ”  เสียงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของชื่อตอบระคนสงสัย  เพราะแม้แต่ในครั้งที่เดินทางไปในดินแดนที่มีความขัดแย้ง ชายผู้เป็นทั้งเจ้านาย พี่ชายและเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยดูกังวลเท่านี้มาก่อน

                    “เออน่า ลืมบอกว่าของของพี่ในออฟฟิศ พวกมึงเอาไปแบ่งกันใช้ได้เลยนะ พอดีที่ที่พี่ไปมันไกลมากๆ เลยอาจจะอยู่โน่นซักหลายๆปีหน่อย อย่าเพิ่งบอกส้มนะเว้ยเดี๋ยวมันเป็นห่วง  ยังไงก็จะคิดถึงพวกมึงทุกๆคนเลย” ชายหนุ่มกล่าว

                    “ค่ะ จะปิดปากเงียบเลย พวกหนูก็จะคิดถึงพี่เหมือนกัน  แต่กลับมาอย่าลืมของฝาก...” ยังไม่ทันจะจบประโยค สายก็ถูกตัดไปเสียก่อน ชายหนุ่มส่ายหน้า ไม่ว่าจะไปไหนก็ถามหาของฝากตลอด ถ้าฝากซื้อล่ะก็พอไหว แต่ให้ซื้อมาฝากคงแย่หน่อย เนื่องด้วยโรคทรัพย์จางเรื้อรังที่รักษายังไงก็ไม่หายขาดเสียที ภาพพื้นหลังโทรศัพท์เป็นเขากับทีมงานและเด็กๆในค่ายนับสิบกำลังยิ้มอย่างเริงร่าขณะที่ฉลองในวันประกาศปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ซึ่งตรงกับวันสุดท้ายของค่ายพอดิบพอดีที่มุมขวาบนมีข้อความ “จำไว้ไม่ลืมเลือน”ตามด้วยวันที่ 

    เขามองดูพร้อมๆกับคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นสักครู่ ก่อนจะปิดเครื่องพร้อมยกเบียร์กระป๋องขึ้นซดจนหมดแล้ววางกระป๋องเปล่ารวมกับกระป๋องอื่นๆในถุง  นานหลายชั่วโมงเลยทีเดียวที่เขามาอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ นับตั้งแต่ที่ดวงตะวันยังอยู่เหนือหัวส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับจะแผดเผาทุกอย่างที่อยู่เบื้องล่างกระทั่งอ่อนกำลังลงทอแสงทองอาบท้องฟ้าสนธยาก่อนที่ความมืดจะโรยตัวลงพร้อมๆกับที่ดวงตะวันลับขอบฟ้าไป มือเปียกๆที่เปื้อนหยดน้ำจากไอน้ำที่กลั่นตัวรอบกระป๋องเบียร์แกะโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว จนแยกซิมการ์ดโทรศัพท์  และเมมโมรี่การ์ด ออกจากตัวเครื่องได้ เขาบรรจุมันลงในซองพลาสติกเล็กๆซึ่งติดป้ายที่มีตัวอักษรประหลาดเรียงกันเหมือนเป็นหมายเลขบางชุด ก่อนที่คำอุทานเสียงดังจะดึงสายตาของเขาให้มองตรงหน้า

                    “ว้าย! ดูนั่นสิเธอ พี่นิ้วกลางๆ!” หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มอุทานสีหน้าตื่นราวกับเห็นตัวประหลาด พร้อมกับเรียกเพื่อนๆให้หันมาดู “ใช่พี่นิ้วกลางไหมคะ?”กลุ่มหญิงสาวในชุดนักศึกษาเดินใกล้เข้ามายังม้านั่งที่เขานั่งอยู่ พร้อมๆกับที่คนหนึ่งในกลุ่มถาม

                    “ไม่ใช่มั้งครับน้อง”เขาตอบน้ำเสียงยียวนก่อนจะแกะเบียร์กระป๋องใหม่ขึ้นซดอึกใหญ่ แต่แทนที่จะมีความรู้สึกด้านลบ หญิงสาวกลับรู้สึกจะชอบท่าทียียวนกวนบาทานี้มากกว่า ซึ่งเข้ากันดีกับชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบของเขา

                    “กวนอ่ะพี่ เนี่ยๆ หนูชอบพี่มากๆเลย ตามอ่านมาตั้งแต่ ไอซีไม่มีขา  โลกบิต อาจารย์ในร้านซาลาเปา”  “สิ่งมีชีวิตในห้องแล็บ  เล็ตซึโก!ไซแอนติสซึ  ปลอกสายไฟในมหาสมุทร......ฯลฯ  เอ้อ! ดาวหางบนทางลาดยางด้วย”  อีกสองคนร่ายยาวแสดงคุณสมบัติแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามผลงานมาอย่างเหนียวแน่น พอได้ยินแล้วก็ชื่นใจแต่ยังมีคำถามหนึ่งที่เขาขาดไม่ได้เวลาแฟนๆเข้ามาทัก

                     “จริงอ่ะ ว่าแต่ซื้อหรือยืมเค้ามาอ่านเนี่ย?”  

                    “ยืมค่ะ!”อย่างที่คาดสาวๆพร้อมใจกันตอบสีหน้าแช่มชื่น ชายหนุ่มยิ้มตอบแหยๆแต่ก็ดีแล้วล่ะที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทนที่จะเป็นละครน้ำเน่า เรื่องลี้ลับหรือแนวซุบซิบดาราเหมือนเมื่อก่อน

                    “พี่อย่างเก่งเลยอ่ะ เคลื่อนไหวจนเรื่องในอุดมคติอย่างสังคมวิทยาศาสตร์กลายเป็นจริงขึ้นมาได้  แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ  เห็นพี่เป็นบก.วารสารวิทยาศาสตร์ไทย แถมยังออกค่ายวิทยาศาสตร์สู่ชุมชนตลอดด้วย” พวกหล่อนตัดบท หันไปคุยเรื่องอื่น

                    “เฮ้ย! ไม่หรอก พี่ไม่ได้ดันเรื่องคนเดียวซะหน่อย ถ้าไม่มีเครือข่ายคนรุ่นใหม่ๆอย่างพวกเรา ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ ส่วนเรื่องงานก็เหนื่อยหน่อยแหละ  แต่เพื่อสังคม เพื่อชาติแล้วพี่ก็ยอม” เขาถ่อมตัว ก่อนจะพูดทำเท่แววตาเป็นประกาย ทั้งสามสาวแทบจะกรี๊ดดังๆ ราวกับเด็กมัธยมต้นคลั่งศิลปินเกาหลี จากนั้นเขาก็ยกเบียร์ขึ้นจิบก่อนที่สาวๆจะแซว

                    “ทีแรกหนูนึกว่าเอาโฟโตช็อพแต่งเอา  แต่พอเห็นตัวจริงแล้วหน้าเด็กเหมือนในรูปเลย อายุก็จะสามสิบแล้วแต่หน้าอย่างกับเด็กปีหนึ่ง  เออ กินเบียร์มากระวังอ้วนนะคะ” ชายหนุ่มแขม่วท้องทันที ประโยคหลังๆทำเขาสะอึก  เพราะเริ่มมีพุงเล็กๆจากการรวมตัวกันของไขมันหน้าท้องบ้างแล้ว

                    “แหะๆขอบคุณที่ชม ส่วนเรื่องเบียร์พี่จะระวังนะครับ”เขาตอบ คิดถึงตอนที่เคยไปล้อพี่ชาติ ผู้อาวุโสแห่งค่ายวิทยาศาสตร์สู่ชุมชน ใครว่าการคุยเรื่องอายุไม่ควรคุยกับผู้หญิงอย่างเดียว ผู้ชายก็ไม่ควรนำขึ้นเป็นหัวข้อสนทนาด้วยเช่นกัน

                    “พี่ใช้ครีมยี่ห้ออะไร หน้างี้เด้งเชียว”อีกคนโพล่งถาม 

                    “ไม่ได้ใช้ครีมอะไรนี่  แค่เราออกกำลังกาย กินอาหารครบห้าหมู่ ดูแลสุขภาพอนามัยดีๆเท่านี้ก็ทั้งแบ๊วทั้งเด้งแล้ว” ชายหนุ่มตอบตามสูตรทั้งๆที่กระป๋องเบียร์นับสิบข้างตัวเป็นหลักฐานขัดแย้งชั้นดี

                    “แหลอ่ะพี่  ถ้าไม่ได้ใช้ครีมอะไรก็น่าจะมีเคล็ดลับอย่างอื่นมั่งแหละ”อีกคนเสริม ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก สาวๆรอฟังอย่างตั้งใจก่อนที่เขาจะเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา

                    “คงต้องอยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลามั้ง?” สาวๆอึ้งกับคำตอบ ความเงียบปกคลุมซักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดปัด 

                    “บ้า ใครจะไปทำได้ล่ะ มันขึ้นอยู่กับยีนส์ของเราด้วยแหละ พอดียีนส์พี่มันเป็นอย่างงี้ พี่ก็เลยต้องทำให้ตัวเองแก่ให้ทันเพื่อนๆไง” หญิงสาวทั้งสามทำหน้าผิดหวังก่อนจะคุยกันต่อสักพัก เมื่อจบบทสนทนาทั้งหมดถ่ายรูปด้วยกันโดยใช้กล้องมือถือ จากนั้นนักศึกษาหญิงกลุ่มนี้จึงเดินจากไปพร้อมๆกับรอยยิ้มทั้งของเขาและกลุ่มหญิงสาว  เขาโบกมือให้เป็นการบอกลา 

                    ความจริงแล้วการอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายอะไรชายหนุ่มกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ หากแต่จุดหมายหรือสิ่งที่มุ่งหวังนั้น ในวันนี้ได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อใครแม้จะเป็นเพียงแค่บางส่วนก็ตาม  นานหลายปีเลยทีเดียวที่เขาและเครือข่ายฅนวิทย์ ค่อยๆโค่นล้มเสาหลักความงมงายแห่งสังคมเหมือนปลวกที่กัดกินไม้ไปทีละเล็กละน้อยจนบัดนี้ปลวกที่มีไม่กี่สิบตัว ได้กลายเป็นหมื่นตัว แสนตัว และในที่สุดเสาหลักต้นนี้ก็หักโค่นลงพร้อมๆกับที่เสาหลักต้นใหม่ได้ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงจากรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งนั่นก็คือ เสาหลักแห่งวิทยาศาสตร์นั่นเอง

                    ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงัดของสวนสาธารณะ ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพาย ลักษณะของมันคล้ายกับเอานาฬิกาจับเวลาดิจิตอลรูปทรงทันสมัยวางแปะอยู่บนแผงไอซีซึ่งซ้อนกันหลายๆชั้นมีสายไฟรุงรังพันกันไปทั่วหากแต่มีสัญลักษณ์เล็กๆติดเพื่อบอกว่าสายไหนเป็นสายอะไร ด้านข้างนั้นมีพอร์ทอินพุตเอาท์พุตต่างๆซึ่งดูแล้วคล้ายกับการผสมผสานเทคโนโลยีเก่าและเทคโนโลยีใหม่โดยใช้อุปกรณ์แสวงเครื่อง นอกจากนี้ยังมีถังทรงกระบอกที่ตั้งอยู่ข้างๆม้านั่งซึ่งภายนอกดูคล้ายถังขยะหากแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยขดลวดสีเงินม้วนเต็มไปหมด

                    โชคดีจริงๆที่คราวนี้เป็นพิกัดที่มีไฟใช้  ประหยัดพลังงานไปได้เยอะเลยทีเดียว เขาคิดพลางประกอบอุปกรณ์และต่ออินพุตเอาท์พุต ชายหนุ่มกดปุ่มเพื่อเปิดเครื่อง  มีแสงกระพริบสักพักก่อนที่จอโฮโลแกรมแสดงผลขึ้นมาเหนืออุปกรณ์ เป็นรูปสามมิติพร้อมด้วยตัวอักษรประหลาดแสดงรายละเอียดต่างๆ  หากแต่มีจุดเด่นที่ตรงกลางจะมีตัวอักษรขนาดใหญ่หกชุดกำลังเปลี่ยนค่าไปเรื่อยๆ โดยชุดที่อยู่ซ้ายสุดจะเปลี่ยนค่าอย่างรวดเร็วกว่าชุดที่อยู่ด้านขวาคล้ายกับมันกำลังนับถอยหลังถึงเหตุการณ์บางอย่าง  เขาอุ้มมันเดินมาจากม้านั่งจนตัวอักษรสองชุดที่อยู่มุมล่างขวาตรงกันคล้ายกับว่ามันเป็นพิกัดซึ่งแสดงจุดที่เครื่องอยู่กับจุดที่จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่าง  สายไฟขนาดใหญ่ที่เตรียมมาพ่วงกับถังทรงกระบอกก่อนจะลากไปต่อกับเสาไฟของสวนสาธารณะ ขณะที่สายตาระแวดระวังว่าอาจจะมีผู้อื่นพบเห็น  และสายไฟอีกชุดถูกต่อออกมาจากถังทรงกระบอกเข้าสู่อุปกรณ์อีกที จนเมื่อพร้อมเสร็จชายหนุ่มอุ้มอุปกรณ์ไว้แน่นรอคอยเวลาที่กำลังนับถอยหลังซึ่งบัดนี้เหลือเพียงตัวอักษรชุดสุดท้ายเท่านั้นซึ่งกำลังวิ่งอยู่ก่อนที่จะสับสวิตช์บางตัว

                    “แก่แล้วท่าทางจะเลอะเลือนแฮะพี่โอ๊ต  คอยดูเหอะ กลับมาจะทวงค่าพนันให้ครบทุกบาททุกสตางค์เลย”อ้อมบ่น แต่ก็ทำตามที่ผู้เป็นรุ่นพี่บอก  สำรองข้อมูลและเตรียมแหล่งจ่ายไฟฉุกเฉิน ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉายหลายชุด รวมทั้งเทียนไขราวกับจะเกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่  ไม่ทันขาดคำไฟฟ้าก็ดับทั้งเมืองแผ่วงกว้างกินรัศมีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นสวนสาธารณะที่ชายหนุ่มอยู่

                    ท่ามกลางความมืดมิดของสวนสาธารณะปรากฏแสงเรืองไม่สม่ำเสมอ ใกล้เสาไฟเกิดความร้อนสูงที่ถังทรงกระบอก ร้อนจนเปลือกด้านนอกแทบละลายออกมาจนหมดเผยให้เห็นบางส่วนที่เป็นขดลวดเรืองแสงสีฟ้าซึ่งอยู่ภายใน ชายหนุ่มเฝ้าสังเกตตาไม่กระพริบ ไม่ว่าจะกี่รอบก็แก้ปัญหาการสูญเสียพลังงานไม่ได้สักที ขณะที่เกจวัดพลังงานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  เขารีบป้อนค่าบางอย่างลงในวัตถุคล้ายนาฬิกาจับเวลานั้นก่อนจะเอาซองพลาสติกซึ่งบรรจุซิมส์การ์ดและเมโมรี่ยัดลงในกระเป๋าที่ซึ่งภายในมีซองแบบเดียวกันนับร้อยๆซอง และแต่ละซองนั้นสัญลักษณ์ไม่ซ้ำกันแม้แต่ซองเดียว เขาปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนจะกอดอุปกรณ์ประหลาดไว้แน่น   กระทั่งเกจวัดพลังงานถึงจุดปลายสุด ก็เกิดแสงสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิดของสวนสาธารณะ 

    ในชั่วพริบตาแสงสว่างนั้นก็หายไปพร้อมๆกับชายหนุ่มและอุปกรณ์ประหลาดของเขา  พร้อมๆกับปรากฏรอยตัดเรียบกริบบนพื้นลึก
    2-3 เซนติเมตรในลักษณะครึ่งทรงกลมรัศมีประมาณ 2 เมตร และคลื่นกระแทกอันเกิดจากการขยายตัวของอากาศทำให้วัตถุขนาดเล็กๆเช่น กระป๋องเบียร์ หรือฝุ่นดินโดนพัดฟุ้งกระจัดกระจายไปทั่ว เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เหลือทิ้งไว้เพียงขดลวดเรืองแสงที่ความสว่างกำลังมอดดับลงและพาดหัวข่าวบนหน้าสื่อต่างๆในวันรุ่งขึ้น ถึงไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×