คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : 24. อาร์เพีย vs เวโรน่า
ตูม!
เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องตามมาจากเบื้องหลังส่งผลให้เวโรน่าที่ซัดปีศาจระดับสามจนร่างสลายกลายเป็นผุยผงต้องหันมองต้นเสียง ถึงจะไม่พูดอะไรแต่แววตาฉายความกังวลจนเผลอให้ปีศาจอีกตนกางคมเล็บจากทางด้านหลัง
โครม! ก่อนที่คมเล็บจะได้สัมผัสตัวเวโรน่า คาร์ลที่มองเห็นการเล่นลอบกัดของปีศาจตนนั้นก็ถลันเข้าขวางแล้วซัดปีศาจตนนั้นจนกระเด็นไปทางหนึ่ง ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนหันมองเจ้านายสาวอย่างตำหนิและพูดเตือน “อย่าเหม่อสิ เจ้าหญิง”
“พวกนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่า” เวโรน่าได้แต่ยิ้มแหยๆ แทนคำขอโทษราชองครักษ์หนุ่มที่ให้ความนับถือมี่ต่างพี่ชาย ขณะเดียวกัน ใบหน้าน่ามองของเธอก็เต็มไปด้วยความกังวล หลังจากที่ได้ยินอึกทึกได้ไล่หลังมาไม่ชาดระยะ
แน่นอนว่าคาร์ลก็พอเดาได้เช่นกันถึงความดุเดือดของท้องพระโรงที่คงจะไม่ต่างอะไรกับสนามรบ ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่พอดูเมื่อเทียบจำนวนมนุษย์สองกลุ่มกับปีศาจที่ต้องรับมือ แต่ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนก็พอประเมินความหนักหนาของคู่ต่อสู้ที่ต้องรับมือได้ และที่มั่นใจมากกว่านั้นก็คือ หากเขายอมเออออตามไปด้วย เวโรน่าจะต้องชวนให้กลับไปช่วยพวกเขาแน่ๆ
ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนแสร้งไม่พูดอะไรให้เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนต้องนึกหันหลังกลับไปสู่ภยันตรายที่ใครๆ ต่างเปิดโอกาสให้เธอรอดชีวิต แต่เมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำมองตรงมาราวกับอยากได้ยินเหลือเกินว่าเขาคิดเห็นอย่างไร คาร์ลก็ได้แต่แต่ส่ายหน้าพลางชี้ให้เห็นเหล่าปีศาจที่ดาหน้าเข้ามาเพื่อยืนยันปัญหาอันหนักหนาที่เขากับเวโรน่ากำลังเผชิญ “ถ้าให้เทียบกัน กระหม่อมคิดว่า พวกเราต่างหากที่น่าเป็นห่วงมากกว่านะ”
“ก็น่าจะใช่” เพราะปีศาจที่ดาหน้าเข้ามาไม่ขาดสาย เวโรน่าจึงได้แต่ยอมรับความหนักหนาของตนในมุมมองของคาร์ลอย่างง่ายดาย หนึ่งเจ้าหญิงและหนึ่งราชองครักษ์จึงได้แต่วิ่งตามหาเจ้าชายเรอินไปพลางรับมือกับเหล่าปีศาจที่ไล่ล่าพวกเธอราวกับแมวจับหนูไปพลาง ความยุ่งวานวายตรงหน้าทำให้เวโรน่าลืมเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในท้องพระโงไปเสียสนิท
หนึ่งเจ้าหญิงและหนึ่งราชองครักษ์ฝีมือดีของเอควอเลี่ยนยังคงเข้าไปภายในส่วนลึกของปราสาท ถึงเส้นทางจะวกวนทั้งบันไดที่คดเคี้ยวและช่องทางเดินที่หลากหลาย แต่ก็ดูจะไม่เป็นอุปสรรคในการก้าวย่างแม้แต่น้อย เวโรน่าไม่เปิดประตูตรวจสอบทุกห้องที่ผ่านไปราวกับมั่นใจว่าเจ้าชายเรอินจะต้องอยู่ที่ไหน
โครม! อาวุธขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายกระบองของปีศาจตนหนึ่งเฉียดเวโรน่าชนิดรับรู้ถึงสายลมร้อน ความรุนแรงของมันทำให้กำแพงด้านหนึ่งถึงกับเป็นรูโหว่ แต่ก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะทำอะไรเธอ คาร์ลก็กระโดดเข้าขวางพร้อมทั้งตวัดดาบในมือจนศีรษะของปีศาจตนนั้นขาดกระเด็นแล้วสลายกลายเป็นฝุ่นละออง
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมกระหม่อม” ราชองครักษ์หนุ่มถามอย่างห่วงใยแล้วใบหน้าเคร่งเครียดก็คลายกังวลลงเมื่อเห็นเวโรน่าส่ายหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำดูแน่วแน่และไม่หวาดหวั่นกับอันตรายเมื่อครู่นี้เวลาเดียวกันก็มองซ้ายขวาราวกับระวังพวกปีศาจที่ชอบโผล่มาทีเผลอ
“แน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าพี่จะอยู่ที่ของเสด็จแม่” ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าองค์ราชินิแห่งเอควอเลี่ยนคือใคร แต่เวโรน่าก็ยังเผลอเรียกสรรพนามที่คุ้นชิน ซึ่งคาร์ลเองก็ไม่ได้คิดจะแก้ไขการเรียกนี้เพราะเข้าใจดีว่าเวโรน่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทำใจได้
“หม่อมชั้นคิดว่าต้องเป็นที่นั่น” ราชองครักษ์หนุ่มยืนยันแน่นหนัก แววตามีแต่ความเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตนเอง “บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม แต่นอกจากห้องขององค์ราชินีหม่อมชั้นก็คิดถึงที่อื่นๆ ไม่ออกเหมือนกัน”
”ลองไปที่นั่นก่อนก็ได้” เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเชื่อในสัญชาติญาณของราชองครักษ์หนุ่ม เวโรน่าจึงหันหน้าขึ้นบันไดที่ทอดไปยังชั้นบนของปราสาท แต่เมื่อก้าวขึ้นไปได้แค่สองสามก้าวเธอก็ชะงักฝีเท้าเพราะเสียงโครมครามและเสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าปีศาจ แล้วหันไปสบตากับคาร์ลในทันที
“เสียงร้องพวกนั้นเป็นของพวกปีศาจ เจ้าหญิง” คาร์ลแจ้งรายละเอียดราวกับไม่ใส่ใจในเสียงเอะอะที่ดังสนั่น ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มบางๆประหนึ่งนี่คือเรื่องธรรมดา ส่วนเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนที่นิ่งฟังเสียงกรีดร้องอยู่พักใหญ่ก็ถอนหายใจออกมาหลังจากแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของลอนดิเน่หรือคนอื่นๆ
“ถ้าอย่านั้นก็รีบไปเถอะ จะได้รีบกลับไปดูพวกนั้น” เมื่อรู้ดีว่าไม่สมควรจะย้อนกลับไป เวโรน่าจึงก้าวเท้าไปตามขั้นบันไดที่ทอดสูงขึ้นไป เวลาเดียวกันเธอก็เร่งราชองครักษ์ด้วยน้ำเสียงร้อนรน “บอกตรงๆ นะฉันไม่สบายใจ อะไรบางอย่างกำลังบอกฉันว่า พวกนั้นต้องเจออะไรที่ร้ายแรงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดแน่ๆ”
“ถึงเสียที”
เวโรน่าบอกกับตัวเองเบาๆ ทั้งที่ลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอแทนความเหนื่อยอ่อนที่มีในเวลานี้ การเดินขึ้นมาที่ห้องบรรทมขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนไม่ใช่งานที่หนักหนา แต่การปะทะกับปีศาจที่เข้ามาไม่ขาดสายต่างหากที่ทำให้เวโรน่ารู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ
ตึง! คาร์ลที่ทำหน้าระวังหลังเบื่องตัวมาอยู่ด้านหน้าพร้อมทั้งใช้เท้าถีบประตูห้องบรรทมอย่างไม่คิดขออนุญาต ในมือของราชองครักษ์หนุ่มกำดาบไว้แน่นเพื่อระวังเหตุไม่คาดคิดที่อาจจะรออยู่ในห้อง แต่คนที่เข้าไปก่อนก็มีอันต้องชะงักและยืนขวางเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนเอาไว้อย่างตั้งใจเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“เจ้าพี่อยู่ในนั้นไหม คาร์ล” เพราะราชองครักษ์หนุ่มบดบังภาพภายในห้อง เวโรน่าจึงมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน แต่เมื่อร่างสูงหนาของคาร์ลยังไม่เขยื้อนทั้งยังไม่ตอบคำถามใดๆ เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็เริ่มนิ่วหน้าแล้วร้องถามด้วยความสนใจ แต่เมื่อยังได้รับเป็นความเงียบงัน เธอก็หงุดหงิดถึงขีดสุด สองมือผลักแผ่นหลังที่บดบังทุกอย่างให้ออกไปจากสายตา
“หลีก!” เวโรน่าออกคำสั่งเสียงดุดันหลังจากทุ่มเทแรงที่มีผลักราชองครักษ์หนุ่มให้กระเด็นไปอีกทาง เมื่อทำได้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำก็กราดมองไปรอบๆ ห้องเพื่อค้นหาเจ้าชายหนุ่มแห่งเอควอเลี่ยน แต่เมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ในใจกลางห้องบรรทมที่กว้างขวาง เวโรน่าก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่างก่อนจะกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้มั่นใจในประสาทการมองของตนเอง
สิ่งที่เวโรน่าเห็นก็คือ ก้อนผลึกขนาดใหญ่สีใส ความสูงของมันท่วมศีรษะของคาร์ลที่จัดเป็นคนสูงมากคนหนึ่งไปเกินช่วงแขน ความแวววาวและแข็งแกร่งของมันทำทีแรกเวโรน่าเข้าใจว่ามันคือเพชรขนาดมหึมา แต่ไอเย็นที่แผ่ออกมาจนรู้สึกหนาวเหน็บก็ทำให้รับรู้ว่านี่คือผลึกน้ำแข็งขนาดยักษ์ ที่สำคัญมันคือผลึกน้ำแข็งที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเพชรและไม่น่ามีวันละลายเสียด้วย
แต่ถึงจะได้พบผลึกน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็ยังไม่ทำให้เวโรน่าหวาดหวั่นจนทำให้แทบหยุดหายใจได้เท่ากับสิ่งที่อยู่ภายใน ความใสสะอาดแวววาวของผลึกน้ำแข็งช่วยให้มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจน เปลือกตาทั้งสองปิดสนิทไม่สามารถบอกสีของดวงตา ใบหน้าคมคายจนน่าใจเต้นดูไม่ต่างจากคนที่กำลังนิทรา รูปร่างสูงงามสง่า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างเชื้อพระวงศ์ชาวเอควอเลี่ยนชั้นสูง มือข้างหนึ่งถือดาบผลึกน้ำแข็งแน่น
“เจ้าพี่” เวโรน่าเรียกชายหนุ่มผู้ถูกกักขังในผลึกน้ำแข็งเสียงสั่นเครือหลังจากแน่ใจว่า ชายที่มองเห็นผ่านม่านน้ำตาคือเจ้าชายเรอินพี่ชายของเธอจริงๆ ถึงจะทำใจมาบ้างแล้วเกี่ยวกับความปลอดภัยของเจ้าชายหนุ่มที่มีโอกาสน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่เวโรน่าก็ยังไม่สามารถทำใจให้สงบกับสิ่งที่ได้เห็นได้ น้ำตาใสๆ ไหลรินจากดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำไม่ขาดสาย มือที่สั่นเทาเผลอเอื้อมหมายสัมผัสอย่างห่วงหา
“อุ๊ย! มาเห็นจนได้” ถึงคำพูดจะเหมือนกับสำนึกผิดที่ปล่อยปละละเลยให้เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนมาเห็นสภาพของเจ้าชายเรอิน แต่น้ำเสียงที่ไม่ต่างกับการเย้ยหยันที่ดังจากเบื้องหลังส่งผลให้มือที่สั่นเทาของเวโรน่าต้องหยุดชะงักก่อนที่จะได้สัมผัสผลึกน้ำแข็งที่กักขังเจ้าชายเรอิน
ถึงจะยังไม่เห็นตัวแต่น้ำเสียงที่เสียดแทงความรู้สึกก็ทำให้เวโรน่าเดาได้ไม่ยากว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลัง เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนค่อยๆ หันกลับไปมองต้นเสียงอย่างช้าๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำฉายแววแข็งกร้าวนานทีเดียวกว่าที่เวโรน่าจะเค้นเสียงเรียก “อาร์เพีย”
“เพคะ เจ้าหญิง” ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วขานรับเสียงอ่อนหวานไม่ได้ผิดไปจากที่คาดการณ์เลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้างดงามจากการจำแลงยิ้มหวานแต่เต็มไปด้วยความชิงชัง ร่างเย้ายวนในอารภรณ์อันยั่วเย้ามองไม่เห็นบาดแผลหรือความขมุกขมอมเลยแม้แต่น้อย ราวกับเจ้าหล่อนไม่มีส่วนใดๆ กับเสียงอึกทึกข้างล่าง
“เจ้า!” เมื่ออีกฝ่ายกวนประสาทกลับมาแบบนี้ เวโรน่าจึงได้แต่กัดฟันแน่น คาร์ลที่เห็นการปะทะคารมของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนและปีศาจสาวรับใช้ได้แต่นิ่วหน้า เขาคิดถึงลอนดิเน่ขึ้นมาอย่างไม่ได้ ราชองครักษ์หนุ่มรู้สึกอยู่เพียงว่าถ้าลอนดิเน่อยู่ที่นี่ คนที่ต้องทำหน้าเหมือนกระอักเลือดจะต้องเป็นอาร์เพียอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าหญิง!” คาร์ลก็ตะโกนเรียกเวโรน่าเสียงลั่นรีบถลันออกขวางพร้อมกับอาวุธที่อยู่ในมือ ทั้งที่เมื่อครู่ยังคิดถึงฝีปากคมกริบของลอนดิเน่ แต่เขาจำต้องยุติความคิดทั้งมวลไว้แค่นั้น เมื่อมองเห็นอาวุธที่ปรากฏในมือของอาร์เพียพร้อมทั้งการรุกไล่แบบไม่บอกกล่าวผิดวิสัยของปีศาจสาว
เคร้ง!
เสียงอาวุธเข้าปะทะดังสนั่นไปทั้วห้องบรรทมที่กว้างขวาง คาร์ลอาศัยจังหวะที่ระวังพร้อมหลบหลีกให้อาร์เพียเสียหลักพร้อมทั้งเตะตวัดเข้ากลางลำตัว เวลานี้เขาไม่ได้มองปีศาจสาวเป็นหญิงสาวชาวมนุษย์ที่ชายหนุ่มทุกคนควรถนอมปกป้อง แต่ราชองครักษ์หนุ่มมองปีศาจสาวเป็นตัวอันตรายที่อาจจะทำร้ายเจ้าหญิงคนสำคัญของเอควอเลี่ยนได้ทุกลมหายใจ
ปึก! ร่างยั่วเยาของอาร์เพียกระแทกกับกำแพงหนาตามแรงส่งที่รุนแรง แล้วปีศาจสาวก็รีบหลบไปอีกทางเมื่อมองเห็นสายสีเงินของดาบคมกริบได้ตวัดตรงเข้ามา เสียงของคมดาบที่ฟาดเข้ากับกำแพงหน้าดังโครมพร้อมๆ กับเศษหินที่กระเด็นออกมาจนเฉี่ยวหน้าของเธอ
“อ๊ะ” อาร์เพียอุทานในลำคอด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นว่านอกจากเศษหินที่กระเด็นจนเกือบสร้างบาดแผลบนใบหน้างามก็จังมีผลึกน้ำแข็งแสนคนพุ่งตรงมาราวดับลูกธนู ซึ่งร่างที่ลอยอยู่บนอากาศถึงกับหมดหนทางหลบ ปีศาจสาวจึงใช้ดาบในมือทำลายผลึกน้ำแข็งเหล่านั้น ใบหน้ายังคงเย้ยหยันให้กับการโจมตีที่เจาหล่อนเห็นว่าไร้ประโยชน์
แต่ถึงอาร์เพียจะหลบหลีกลิ่มน้ำแข็งที่พุ่งมาราวกับพายุธนูได้อย่างง่ายดาย แต่ปีศาจสาวกลับต้องได้พลาดท่าจากความประมาทที่ไม่คาดคิด แต่ใครจะไปคาดถึงว่าเวโรน่าจะกล้าและบ้าบิ่นขนาดพุ่งตัวตามลิ่มน้ำแข็งทั้งหลายอย่างไม่หวั่นเกรงต่อลูกหลงที่อาร์เพียใข้ทำลายผลึกน้ำแข็งเหล่านั้น ถึงสองแขนจะมีบาดแผลจนเห็นรอยเลือดเป็นริ้วๆ แต่เธอก็สามารถใช้คมดาบสร้างบาดแผลให้ประดับใบหน้าที่จำแลงของอาร์เพีย
กรี๊ด! ปีศาจสาวกรีดร้องสุดเสียงเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดบนใบหน้า ถึงจะไม่ส่องกระจกปีศาจสาวเดาได้ในทันทีว่าใบหน้าที่งดงามของตนเองจะต้องเกิดบาดแผลและเลอะไปด้วยเลือดสีแดงจนดูน่ารังเกียจ ทันทีที่ร่างงดงามจากการจำแลงลงสู่พื้นดวงตาของอาร์เพียจึงฉายแววแข็งกร้าวทอความเกลียดชังใส่เวโรน่า
“ของตอบแทนคำเย้ยหยันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” แต่ถึงจะได้รับกระแสเกลียดชังแต่เวโรน่ากลับยังยิ้มหยันให้ปีศาจสาวพร้อมประกาศความผิดของอีกฝ่าย คราวนี้ มาดของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนดูจะช่วยให้ร่างเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยอำนาจและพลัง ใบหน้างามที่ขมุกขมอมยังเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์ น้ำเสียงที่เอาแต่ใจดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะสามารถทำให้คนฟังนึกหวั่นเกรงยามที่ได้ยินการออกคำสั่ง “ปล่อยเจ้าพี่ของข้าออกมาเดี๋ยวนี้”
“ทีแรกข้าคิดจะส่งเจ้าไปสบายโดยไม่ต้องทรมานเพราะเห็นแก่ที่เคยเห็นเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อย” อาร์เพียที่กำลังโกรธจนตัวสั่นมองเวโรน่าอย่างฉุนเฉียว ดวงตาดูแดงก่ำราวกับโลหิตสดๆ ร่างที่เคยบอบบางเริ่มเปลี่ยนไป คาร์ลรับดึงเวโรน่าให้มาอยู่ด้านหลังเมื่อรับรู้สึกถึงไอประหลาดที่ไม่เป็นมิตร
แล้วลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริง เมื่อใบหน้าที่เคยงดงามดูน่าเกลียดน่ากลัวด้วยดวงตาสีแดงดั่งโลหิต จมูกแหลมงุ้มและเขี้ยวที่เห็นเต็มปาก ร่างกายของอาร์เพียดูใหญ่โตขึ้นตามลำตัวปกคลมไปด้วยขนคลายๆ กับขนนกสีเขียวสด แขนที่เคยเห็นอยู่สองข้างคราวนี้แตกงอกขึ้นมานับได้เจ็ดแขนแต่ก็พอมองเห็นรอยแตกหักของส่วนที่น่าจะเป็นแขนที่แปด ท่อนร่างของปีศาจสาวเหมือนกับสัตว์ปีกบางขนิดมองเห็นกรงเล็บที่แหลมคม “แต่เมื่อเจ้ากำแหงใส่ข้า ก็จงทรมานไปจนตายเถอะ นังตัวแสบ!”
“เจ้าหญิงหลบ” คาร์ลผลักเวโรน่าไปอีกทางเมื่ออาร์เพียโถมเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว รูปร่างอันใหญ่โตของเธอดูจะไม่เป็นอุปสรรคต่อสถานที่แห่งนี้สักเท่าไรนัก ปีศาจสาวให้อุ้งเท้าที่ไม่ต่างจากกรงเล็บอันแหลมคมกระทืบตรงมายังจุดที่เวโรน่ายืนอยู่เมื่อครู่ ความรุนแรงทำให้พื้นห้องแตกเป็นวง ซึ่งถ้าคาร์ลไม่ผลักเธอหลบ ร่างของเวโรน่าคงแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เคร้ง! ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนตวัดดาบในมือไปที่แผ่นหลังอันเป็นเป้าหมายสำคัญและเล่นงานได้ง่าย แต่เขาก็ได้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายอย่างที่คิดเมื่อขนที่ขึ้นปกคลุมแผ่นหลังกลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแรง แล้วร่างของท่านราชองครักษ์ฝีมือดีก็ถึงกับลอยละลิ่ว เมื่ออาร์เพียใช้มือที่มีเล็บคมกริบพุ่งเข้ากลางช่องท้อง ถคงจะระวังตัวแต่ความเร็วที่เป็นเท่าทวียามคืนร่างเดิมของอาร์เพียก็ทำให้ปีศาจสาวสามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์ได้
โครม! ร่างสูงของคาร์ลลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นเสา เลือดออกตามบาดแผลราวกับสายน้ำ คาร์ลรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั่วร่างกาย ความเจ็บที่เปลี่ยนความชาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ราชองครักษืหนุ่มนึกอย่างจะนอนแผ่เสียตรงนั้น แต่เวลาก็ไม่มีให้ได้ทำอย่างใจ เขารีบกระเสือกกระสนร่างที่มีแต่บาดแผลให้ออกจากที่ตรงนั้นเมื่อมองเห็นกรงเล็บเท้าของอาร์เพียกำลังพุ่งตรงมาทางเขา
อ๊าก! คาร์ลร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ถึงจะพยายามหลบหลีกแต่ร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยก็ทำให้เคลื่อนไหวช้าลง เขาจึงได้รับบาดแผลสาหัสเพิ่มขึ้นมาจากกรงเล็บแสนคมที่กระทืบลงมาเต็มแรง คงต้องบอกว่ายังดีที่ไม่โดนเต็มๆ เพราะถ้าโดนแบบไม่หลบเลย ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนคงจะได้เหลือแต่ชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
“หลบเก่งนักนะ” อาร์เพียคำรามด้วยความสะใจจนห้องแห่งนั้นสั่นสะเทือน กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งจากบาดแผลฉกรรจ์ทำให้จิตใจของปีศาจสาวเบิกบาน ใบหน้าน่ากลัวแฝงไปด้วยสนุกสนานที่ได้เห็นการหลบหนีของราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยน ขณะเพียรรุกไล่อย่างไม่ลดละและชอบใจทุกครั้งที่เหยื่อของเธอได้เห็นบาดแผลที่เพิ่มขึ้น
ในที่สุด คาร์ลก็รูตัวว่าคงไม่ทัดทานอาร์เพียต่อไปไม่ไหว ความอ่อนล้าจากแรงกระแทก แผลที่นับไม่ถ้วนและเลือดที่ไหลรินไม่ขาดสาย ทำให้ร่างกำยำของราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนไม่ต่างกับชิ้นเนื้อชโลมเลือด เขาได้แต่นอนหายใจแผ่วเบาไม่สามารถจะออกแรงหลบหลีกได้อีกต่อไป
“คราวนี้ไม่รอดแน่” ปีศาจสาวประกาศลั่นเมื่อมองเห็นสารรูปของคาร์ลที่เวลานี้ดูหมดสภาพ ซึ่งก็ทำให้อาร์เพียยิ้มร่าออกมาหลังจากได้ทรมานชายหนุ่มจนพอใจ เท้าที่มีกรงเล็บคมยกสูงขึ้นก่อนจะกระทืบลงอย่างเต็มแรงเพื่อปลดชีพของเขาเสีย “ตายเสียเถอะ”
ปึก!
ก่อนที่ฝ่าเท้าที่มีเล็บแหลมคมของอาร์เพียจะได้สัมพัสร่างที่หายใจรวยรินของราชองครักษ์หนุ่ม ปีศาจสาวก็ต้องเลิกคิ้วให้กับเกราะใสที่กั้นขวาง แล้วความประหลาดใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดอย่างเท่าทวีเมื่อมองเห็นร่างสมส่วนของเวโรน่าเบื้องหลังเกราะใสที่ทนทางไม่ต่างกับเพชร ไอเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามาราวกับจะแช่งแข็งกรงเล็บบ่งบอกถึงพลังในการสร้างเกราะน้ำแข็งของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนได้เป็นอย่างดี
“ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่” น้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันดังกึกก้องห้องบรรมขององค์ราชินี มือทั้งเจ็ดกางเล็บพร้อมลงแรงใส่เกราะน้ำแข็งที่เวโรน่าสร้างไว้เต็มแรงที่มี ดวงตาสีโลหิตจ้องมองเวโรน่าด้านหลังเกราะน้ำแข็งอย่างเกลียดชังและหมายให้เธอกลายเป็นเนื้อเละๆ ในพริบตา
โครม! เสียงของกรงเล็บคมที่กระแทกเกราะน้ำแข็งดังสนั่น หากแต่เกราะที่สร้างจากผลึกน้ำแข็งด้วยฝีมือของเวโรน่ากลับดูแข็งแรงกว่าที่ตาเห็น อาร์เพียถึงกับงุนงงไม่น้อยกับความสามารถที่ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนที่เธอมองมาตลอดว่าไม่เอาไหนจะทำได้ขนาดนี้
ไม่ใช่แค่อาร์เพียที่สงสัยในความสามารถของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยน หากแต่เวโรน่าเองก็ยังประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอมองเกราะขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเธอและร่างที่หายใจรวยรินของคาร์ลอย่างไม่อยากเชื่อสายตาและไม่อยากเชื่อว่านี่คือผลงานของเธอเอง เพราะเวโรน่าจำได้ว่า ตอนที่ถลาเข้ามาขวางคาร์ลจากกรงเลบแหลมคมของอาร์เพีย เธอไม่เร่ายเวทย์มนต์หรือคาถาใดๆ มีเพียงความปราถนาที่จะช่วยราชองครักษ์หนุ่มเท่านั้นเอง
“ออกมาเวโรน่า! ถ้าเจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้ อย่าเอาแต่หดหัวอยู่ในเกราะของเจ้าสิ” ปีศาจสาวที่อยู่เบื้องนอกร้องท้าอย่างฉุนเฉียวขณะที่เวโรน่าได้แต่พิจารณาเกราะที่สร้างจากน้ำแข็ง แล้วก็ได้แต่ยกแขนขึ้งทั้งสองข้างยามที่มองเห็นกรงเล็บเท้าที่กระหน่ำลงมาหมายจะกระทืบเกราะที่ป้องกันเธอให้แตกเป็นชิ้นเล้ก
ปึง! ปึง! ปึง! หลังจากที่ทุ่มแรงทำลายเกราะตรงหน้าเสียหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล อาร็เพียก็เริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ ความงุนงงสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ส่งผลให้ปีศาจสาวร้องท้าให้เวโรน่าออกมา ไม่เพียงแค่นั้น ปีศาจสาวยังข่มขู่ด้วยความลำพองในพลังของตน “ถ้าจะอยู่ในนั้นก็อยู่ให้ตลอด ไม่อย่างนั้น ถ้าไอ้เกราะบ้าๆ นี่พังลงเมื่อไร เจ้าจะกลายเป็นแค่เศษเนื้อ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หลังจากได้ยินอารืเพียร้องท้าอยู่ครู้หนึ่ง เวโรน่าก็จ้องมองปีศาจสาวอาร์เพียด้วยสายตาเอาเรื่อง ก่อนที่เธอจะออกมายืนนอกเกราะที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเองและคาร์ล เมื่อออกมาประจันหน้ากับอาร์เพียเวโรน่าก็ใช้หางตามองไปที่ราชองครักษ์หนุ่มพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมองเห็นเกราะที่แข็งแกร่งยังให้การคุ้มครองคนเจ็บเจียนตาย
ดาบในมือของเวโรน่าถูกกำแน่น ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองหาทางนี้ทีไล่และวิธีการเอาตัวรอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะเดียวกันเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็เลือกที่จะเคลื่อนกายออกห่างจากราชององครักษ์หนุ่มและห้องบรรทมขององค์ราชินี ในใจก็หวังจะพาปีศาจสาวให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้ เวโรน่าคงพอจะมองออกแล้วว่าหากยังขืนต่อสู้อยู่ที่นี้ ทั้งคาร์ลและเจ้าชายเรอินอาจถูกลูกหลงจนแย่ไปกว่านี้ก็เป็นได้
อาร์เพียจ้องมองการกระทำของเวโรน่าเขม็งด้วยความสงสัยว่าเธอจะมาไม้ไหน ขาที่ไม่ต่างกับขาของสัตว์ปีกขยับตามการเคลื่อนไหวของเวโรน่าทุกก้าวย่าง ดวงตาสีโลหิตจ้องมองไม่ให้คลาดสายตาในทุกอิริยาบท เมื่อเห็นได้จังหวะที่เหมาะสม อารืเพียก็กระโจนเข้าใส่เวโรน่าหมายจะสร้างบาดแผลให้กับร่างที่บอบบางและขมุกขมอม
โครม! เกรงเล็บของอาร์เพียกระแทกกำแพงจนกลายเป็นรูโหว่ แต่เวโรน่าที่ระวังตัวไว้อยู่แล้วก็สามารถหลบหลีกได้อย่างว่องไว แล้วฉวยโอกาสที่ไถลตัวออกจากห้องบรรทมขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนในทันที แล้วผลึกน้ำแข็งที่ไม่ต่างกับคมมีดก็พุ่งใส่อาร์เพีย โดยที่คนสร้างมันขึ้นมาได้ฉวยจังหวะที่ปีศาจสาวกำลังปัดป้องวิ่งหนีไปตามทางเดิน
แฮ่ก แฮ่ก แอ่ก เวโรน่าวิ่งสุดฝีเท้าทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเบื้องหลังม่ปีศาจสาวตามล่าอย่างไม่ลดละ บางจังหวะที่หลบเลี่ยงไม่ได้ เธอก็หันมาโจ้มตีใส่บ้าง ถีงแม้จะไม่สามารถสร้างบาดแผลแต่อย่างน้อยๆ ก้ช่วยให้รอดพ้นจากคมเล็บของอาร์เพียได้หลายคราว
“ยังจะคิดหนีอีกหรือ!” อาร์เพียตวาดก้องทางเดิน มือข้างหนึ่งกมายตบลงกลางหลังของเวโรน่า แต่เคราะยังดีที่เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนยังมีฝีมืออยู่บ้าง จึงเดาความคิดของปีศาจสาวออก เวโรน่ารีบเอี้ยวตัวหลบแต่ความถึงกระนั้นคมเล็บของอาร์เพียวก็ข่วนเข้ากลางหลังจนเกิดบาดแผล คนได้แผลเกือบจะร้องออกมาแต่เมื่อนึกถึงคาร์ลที่ต้องเจ็บตัวและเจ้าชายเรอินที่อยนู่ในสภาพแช่แข็งเพื่อเธอ เวโรน่าจึงเม้มปากของตนเองแน่นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับอาร์เพียพร้อมตวัดดาบในมือเข้าที่ข้อมือข้างนั้น
กรี๊ด! เสียงกรีดร้องของอาร์เพียดังก้องให้กับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้ ดวงตาสีโลหิตจ้องมองใบมีดจมลึกไปครึ่งหนึ่งของข้อมือสลับกับผู้เป็นเจ้าของอาวุธร้ายด้วยสายตาเกลียดชัง เลือดไหลรินสีแดงฉานและเปรอะเปื้อนไปทั่วตามแรงสะบัดของปีศาจสาว ถึงจะไม่มีผลใดๆ ในด้านพลังจากโจมตีเพราะยังมีแขนที่ใช้การได้อีกหกแขน แต่ความอับอายเพราะบาดแผลจากฝีมือของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จัดเป็นม้านอกสายตาอย่างเวโรน่าก็ทำให้ปีศาจสาวอยู่ในอารมณ์เลือดเข้าตาเอาง่ายๆ
“อย่าอยู่เลย!” คราวนี้ ปีศาจสาวบุกตะลุยใส่เวโรน่าอย่างขาดสติ ดวงตาสีโลหิตดูแดงก่ำเป็นเท่าทวี มือข้างหนึ่งดึงดาบที่ปักคาข้อมือให้หลุดออกแล้วเหวี่ยงทิ้งนอกปราสาท สองเท้าไล่ตามหมายจะเหยียบให้เวโรน่าจมดิน แล้วอาร์เพียก็ได้แต่หงุดหงิดกราเดเกรี้ยวอยู่คนเดียวเมื่อเจ้าหญิงของเอควอเลี่ยนได้แสดงฝีมือการเอาตัวรอดได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งที่สภาพร่างกายจะย่ำแย่จากบาดแผลที่ได้รับเมื่อครู่นี้
“บ้าเอ้ย!” เวโรน่าได้แต่สบถพลางนิ่วหน้าอย่างผิดหวังเพราะคาดหวังให้ตนเองสามารถตัวมือของอาร์เพียได้สักข้าง แต่เรี่ยวแรงและอาวุธที่ใช้ดูจะไม่เอื้ออำนวยทำให้ปีศาจสาวอาร์เพียคลุ้มคลั่ง เธอก็ได้แต่พยายามหลบหลีกเท่าที่สังขารจะเอื้ออำนวย ยิ่งเห็นดาบคู่มือซึ่งมีเกี่ยรติประวัติสร้างบาดแผลไว้ที่ข้อมือของอาร์เพียต้องกระเด็นออกนอกหน้าต่าง เธอก็ได้แต่นึกเสียดายพลางทำใจว่าตนเองอาจจะไม่รอดก็เป็นไปได้
การเดินทางจากท้องพระโรงที่อยู่หอคอยหนึ่งมาสู่ส่วนพระราชฐานชั้นในที่เป็นอีกหอคอยหนึ่งถือว่าเป็นระยะทางที่ไกลเอาเรื่อง นับว่ายังโชคดีที่แจ็คเคิลอาศัยทางเชื่อมของสองหอคอยนี้มาเหมือนๆ กับเวโรน่า จึงตามรอยมาได้ถูกทาง ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้จะหาพวกเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนพบไหม
ครั้งแรกที่ได้เห็นชายหนุ่มที่เชื่อว่าน่าจะเป็นเจ้าชายเรอินที่ถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้องที่น่าจะเป็นห้องบรรทมของราชงศ์ชั้นสูงพระองค์หนึ่ง แจ็คเคิลก็ตระหนักได้ถึงพลังของปีศาจสาวแห่งความริษยา ยิ่งได้เห็นซากปรักหักพังของการต่อสู้ที่ดุเดือด ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้รู้ว่าร่างที่อาร์เพียใช้ในเวลานี้คงจะไม่ใช่ร่างที่โสภาอย่างเคยเห็นอย่างแน่นอนอน
“เวโรน่า” คิดได้อย่างนั้นแจ็คเคิลก็เอ่ยชื่อเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนอย่างนึกใจหาย ดวงตาสีอำพันพยายามกวาดสายตาหาเวโรน่า กระทั่งสายตาไปจนสะดุดที่ร่างโชกเลือดของคาร์ลที่อยู่ในเกราะแข็งแรงราวกับเพชร แต่ไอเย็นที่แผ่ซ่านก็บอกให้เขารู้ถึงวัตถุดิบที่ใช้สร้างเกราะชิ้นนี้
เกราะน้ำแข็งที่แข็งแกร่งประดุจเพชรสร้างมาจากพลังเวทย์ของใครสักคนทำให้แจ็คเคิลได้แต่นึกทึ่ง ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่นายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีก็เดาะลิ้นราวกับคาดเดาได้ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ในเวลานี้ชื่อของเวโรน่าเป็นคำตอบเดียวที่พอจะนึกได้
ปึก! แจ็คเคิลใช้ขวานของตนทำลายเกราะน้ำแข็งในทันทีหลังจากเห็นคาร์ลมีอาการที่ร่อแร่เต็มทน แต่แล้วเขาก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อเห็นความทนทานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่นานนักใบหน้าของนายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีก็สื่อออกมาราวกับเข้าใจในอะไรบางอย่าง เขาสูดลมหายใจก็เข้าลึกพร้อมทั้งผนึกพลังเวทย์ของตนเองใส่ในขวานคู่มือ พริบตาเข้าก็ตวัดขวานในมือใส่เกราะน้ำแข็งตรงหน้าอีกครั้ง
เพล้ง! คราวนี้เกราะที่เคยทนทานแตกกระจาย เสียงมันสนั่นกังวาลไปทั่วห้อง เมื่อเกราะตรงหน้าแตกละเอียดแจ็คเคิลก็รีบเข้าไปดูอาการของคาร์ลแล้วก็ถอนกายใจอย่างโล่งอกที่สัมผัสได้ถึงเสียงของลมหายใจ แววตาที่มุ่งมั่นของของคาร์ลทำให้แจ็คเคิลส่ายหน้าให้กับบาดแผลฉกรรจ์ที่ราชองครักษ์หนุ่มได้รับก่อนจะตัดสินใจรักษาเบื้องต้นเพื่อประทังชีวิต
“ฉันจะตามไปดูยายเวโรน่าเอง” หลังจากห้ามเลือดให้หยุดไหลได้แล้วจึงให้สัญญาเพื่อให้อีกฝ่ายยอมนอนรออยู่ตรงนี้ไปพลางๆ ก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น แต่แจ็คเคิลก็ได้รับความเชื่อใจจากราชองครักษ์หนุ่มอยู่ไม่น้อย เพราะคาร์ลพยักหน้าแล้วปล่อยร่างกายให้ได้พักราวกับสื่อว่าเขาได้ปล่อยความรับผิดชอบให้กับนายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรี
“ฝากเจ้าหญิงด้วย ช่วยเธอทีนะ” ราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนที่ยังหายใจรวยรินเอ่ยปากฝากฝังเจ้าหญิงของตนโดยไม่สนใจว่า แจ็คเคิลจะเต็มใจรับหรือไม่ เขาค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ แต่หูก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังห่างไกลขึ้นทุกที
“ทางนี้สินะ” การสะกดรอยตามเวโรน่าไม่เป็นเรื่องยากของนายทหารรับจ้างหนุ่มร่องรอยการต่อสู้ที่มีให้เห็นตลอดทาง แต่รอยเลือดที่กองเป็นหย่อมๆ และเสียงของการต่อสู้ที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้แจ็คเคิลต้องรีบเร่งฝีเท้าของตนอย่างนึกกังวล
ตูม!
เสียงระเบิดที่ดังมาจากด้านหนึ่งของปราสาทดูจะช่วยเตือนสติให่เวโรน่านึกดิ้นรนต่อสู้ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทางด้านลอนดิเน่จะเป็นอย่างไร แต่เสียงของการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้นก็บอกถึงความพยายามและไม่คิดยอมแพ้ของพวกที่อยู่ทางอีกด้านของปราสาทก็ทำให้เวโรน่ากัดฟันสู้
ปึก ปึก ปึก ลิ่มน้ำแข็งดูจะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเวโรน่า เพราะดาบที่เคยใช้ได้อัตรธานไปแล้วด้วยฝีมือของอาร์เพีย ถึงอานุภาพของมันจะไม่ทำให้อาร์เพียได้แผลเลยก็ตามแต่มันก็ยืดเวลาให้เจ้าแห่งเอควอเลี่ยนมองหาทางออกอื่นๆ
“ยังจะหาลูกไม้อะไรมายืดชีวิตเจ้าเวโรน่า!” อาร์เพียตวาดแหววอย่างขัดใจ ถึงลื่มน้แข็งที่เวโรน่าจะไม่สร้างบาดแผลใดๆ แต่ก็สร้างความรำคาญให้กับปีศาจสาวมากพอดู มือทั้งหกที่ยังใช้การได้โบกไปมาหมายจะตะปบเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนแต่เวโรน่าก็ว่องไวพอจะหลบหลีกและหลอกล่อด้วยลิ้มน้ำแข็งจนแคล้วคลาดได้ทุกครั้ง
ปีศาจสาวไล่ต้อนเวโรน่าให้เข้ามาอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง หลังจากมองเพียงปราดเดียวเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็จดจำได้ว่าที่นี่คือห้องทรงงานขององค์กษัตริย์ทุกรัชกาลซึ่งในเวลานี้เป็นห้องทรงงานของเจ้าชายเรอิน ห้องด้านน้อนที่เวโรน่ายืนอยู่เป็นบริเวณรับแขกจึงมีโซฟาขนาดใหญ่ ผนังมีม่านและชั้นหนังสือ รวมไปถึงดาบและอาวุธอีกหลากหลายที่ใช้ประดับ
เร็วเท่าความคิด เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนรีบถลาไปความดาบที่ประดับเอาไว้ เพราะถึงไม่แน่ใจว่าจะยังใช้การได้ดีแต่มันก็ย่อมดีกว่าใช้มือเปล่าๆ รับมือกับอาร์เพีย เวโรน่าอาศัยจังหวะที่อาร์เพียถลาเข้ามาตวัดดาบในมือใส่รอยแผลเก่า คราวนี้ดูเหมือนว่าความคมของดาบเล่มใหม่จะเหนือกว่าดาบของเธอเป็นอย่างมาก เพราะมันสามารถตัดมือข้างนั้นได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด
“กรี๊ด!” อาร์เพียร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ร่างสูงใหญ่ของปีศาจสาวถอยออกไปสองสามก้าวก่อนจะถลาเข้าหาเวโรน่าอย่างแค้นเคืองคลุ้มคลั่ง กว่าที่เวโรน่าจะไหวตัวหลบปีศาจสาวก็ใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่บ่าของเวโรน่าที่มัวแต่ยืนตะลึงกับมือของปีศาจที่ตนเองตัดได้
“โอ๊ย!” เมื่อเห็นกรงเล็บที่ไม่ต่างอะไรกับใบมีดพุ่งตรงมา เวโรน่าที่รู้ดีว่าคราวนี้คงหลบไปไม่ได้ง่ายๆ จึงใช้คมดาบเข้ารับแรงปะทะ ถึงจะสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับมือข้างนั้น แต่ความบ้าเลือดของอาร์เพียก็ทำให้เวโรน่าได้รับบาดแผลที่หัวไหล่ เธอถึงกับร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเลือดของราชวงศ์ไหลรินจากบาดแผลที่เกิดจากรอยเล็บทั้งห้า
“แก๊!” อาร์เพียที่ได้แผลเพิ่มมาอีกแผลหนึ่งร้องเรียกเวโรน่า ปีศาจสาวฉวยโอกาสที่เวโรน่ากำลังทรุดไม่ทันได้เคลื่อนตัวหลบไปไหนไม่ได้ ใช้หลังมือข้างหนึ่งตวัดเข้ากลางลำตัว พลังของปีศาจสาวทำให้ร่างบอบบางของเวโรน่าปลิวไปกระแทกกับสัญลักษณ์ของเอควอเลี่ยนที่ประดับอยู่บนคาน ร่างบอบบางที่มีเลือดไหลรินร่วงลงกับพื้นพร้อมสติที่เริ่มเลือนลาง ร่างทั้งร่างดูหนักอึ้งจนไม่รู้สึกถึงอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ร่วงใส่ตน ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่ทำจากทองคำ ธนูที่ประดับอยู่ใกล้ๆ ผ้าม่าน และธงที่ได้รับแรงสะเทือนจนหล่นลงมา
เวโรน่าเห็นอาร์เพียมองมายังเธออย่างพอใจ เธอเห็นปีศาจสาวค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้พร้อมยกเท้าสูงหมายจะกระทืบร่างบอบบางไร้ทางหลบหนีให้เหลือแต่เศษเนื้อ ซึ่งเวโรน่าเองก็ได้แต่จำยอมให้กับความพ่ายแพ้ น้ำตาใสๆ ไหลออกมาอย่างนึกกตำหนิในความอ่อนแอของตนเอง
เวโรน่าไม่ได้หลับตาให้กับกรงเล็บของอาร์เพียทว่าสิ่งที่มองเห็นหลังม่านน้ำตากลับทำให้เวโรน่าต้องนิ่วหน้าเพราะไม่ทันที่กรงเล็บเท้าจะแตะต้องผิวกายของเวโรน่า อะไรบางอย่างก็พุ่งผ่านจนปีศาจสาวต้องขยับหนีด้วยสัญชาติญาณ เพียงวูบเดียวเวโรน่าก็มองเห็นแผ่นหลังกำยำที่เริ่มคุ้นเคย
“เปลี่ยนตัวคู่ต่อสู้ดีไหมอาร์เพีย” ผู้เข้าขัดขวางพร้อมกับขวานเล่มใหญ่เอ่ยถามอาร์เพียด้วยน้ำเสียงที่เวโรน่าคุ้นเคย เมื่อเขาเหลือบมองเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็ได้เห็นดวงตาสีอำพันที่จ้องมองอย่างห่วงใย มือหนาที่อบอุ่นลูบลงบนศีรษะของเธอเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เธอคลายกังวล สติของเวโรน่าจึงดับวูบไปในที่สุด
ความคิดเห็น