ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลอนดิเน่ เดอ ว็องต์ นางแอ่นแห่งสายลม

    ลำดับตอนที่ #23 : 22. ปีศาจแห่งความริษยา

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 55


       ดีค่ะ

    วันนี้เข้ามาอัพได้ดีใจจัง แหะ แหะ

    ลอนดิเน่ได้เป็นรูปเลช่มแล้วค่ะ เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะได้เป็นเจ้าของกันแล้ว เป็นยังไงคะ สนุกหรือเปล่า  ส่วนใครที่ยังไใม่ได้ซื้อก็ไม่เป็นไรนะคะ เนื้อหาในเวป โอ๋ก็ยังมาอัพต่อไป แต่ตอนเก่าๆ ก็ขออนุญาตลบค่ะ

    วันที่ 1 เมษายนนี้ โอ๋จะไปงานมีทติ้งของสถาพร ใครไปก็ไปทักทายกันนะคะ เจอกันที่ห้องมีทติ้งรูม2 ค่ะ

    ___________________________________________________________
           


       
       กึก กึก กึก

                    เสียงร้องเท้าส้นสูงของอาร์เพียที่กระทบกับพื้นหินสะท้อนไปทั่วทางเดิน ปีศาจสาวเดินนำลิ่วโดยไม่สนใจสักนิดว่าแขกที่เธอออกมาต้อนรับจะเดินตามมาทันหรือไม่ ใบหน้าที่จำแลงอย่างงดงามมีแต่ความบึ้งตึง ความขุ่นมัวจากเหตุการณ์ที่ลานหน้าปราสาท

                    ลอนดิเน่ เดเรค และเฟรมเอรัสเดินตามปีศาจสาวเป็นกลุ่มแรก ถึงใบหน้าจะนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ยามผ่านประติมากรรมน้ำแข็งที่ใช้ชีวิตของคนจริงๆ มาเป็นแกนใน แต่ในประกายตาสีฟ้าสดใสของลอนดิเน่ก็สะท้อนความอ่อนไหวออกมา ไม่มีใครเดาได้ว่าเธอคิดอย่างไรกับสิ่งที่ได้เห็น แต่ที่ต่างแน่ใจตรงกันก็คือ ลอนดิเน่ไม่ชอบงานศิลปะของปีศาจสาวแห่งความริษยาอย่างแน่นอน

                    เดเรคขนาบข้างด้วยอาการเฉี่อยชาแต่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง ทว่าความระมัดระวังที่เขามีนั้นไม่ได้เป็นไปเพราะหวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของอาร์เพียและอินดิเวีย หากแต่เป็นความโมโหจนลืมตัวของลอนดิเน่ที่อาจจะประทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ต่างหาก เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจรู้จักนิสัยหญิงสาวที่ตนให้การดูแลมานับสิบปี จึงรู้ดีว่าถึงลอนดิเน่จะพยายามเปิดประสาทรับรู้ทุกทิศทาง มือทั้งสองของเธอก็กำแน่นเพื่อสะกดความกรุ่นโกรธ

                    แต่อย่างน้อยในเวลานี้เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจก็มีผู้ช่วยชั้นดี เพราะเฟรมเอรัสที่อยู่อีกด้านเองก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อระวังอันตรายที่อาจจะได้รับรวมทั้งลอบสังเกตไม่ให้ลอนดิเน่เผลอลงมือทำอะไรที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าเจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกจะเต็มใจในหน้าที่นี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เขาก็เก่งพอที่จะใช้สายตาเตือนสติลอนดิเน่เวลาที่เห็นริมฝีปากสีกุหลาบของเธอเม้มเข้าหากันแน่น

    กลุ่มที่เดินตามหลังลอนดิเน่ เดเรค และเฟรมเอรัส คือเวโรน่ากับคาร์ลที่เอาแต่เดินดูประติมากรรมน้ำแข็งที่สร้างจากมนุษย์จริงๆ อันเรียงรายเต็มสองข้างทางด้วยแววตาเจ็บปวด เจ้าหญิงและราชองครักษ์แห่งเอควอเลี่ยนจดจำใบหน้าของประติมากรรมเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีและแน่ชัดเข้าไปทุกทีว่า ในเวลาไม่มีเหล่าข้าราชบริพารในปราสาทแห่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว

                    “ทำไมองค์ราชินีถึงต้องแช่แข็งพวกเขา” ถึงรู้ดีว่าไม่ควรจะถามให้เสียอารมณ์แต่คาร์ลก็อดใจไว้ไม่ได้ ราชองครักษ์หนุ่มตั้งคำถามเสียงต่ำพยายามสะกดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างเต็มที ดวงตามีแต่ความไม่เข้าใจและคาดไม่ถึงว่าปีศาจสาวอย่างอินดิเวียจะเหี้ยมโหดขนาดนี้

                    “ก็พวกมันขัดสายตา แค่องค์ราชินีประกาศตัวและครอบครองเอควอเลี่ยนอย่างเป็นทางการ เจ้าพวกนี้ก็เอาแต่ร้องไห้เจ้าน้ำตา ร้องโวยวายกันอยู่ได้” อาร์เพียดอบด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระขณะมองไปยังประติมากรรมน้ำแข็งเหล่านั้น ใบหน้างามเหลือบมองราชองครักษ์หนุ่มด้วยสีหน้ารำคาญเต็มทน “ไม่ปล่อยให้เป็นอาหารของพวกปีศาจชั้นต่ำก็บุญขนาดไหนแล้ว”

                    “นางปีศาจ!” ได้ยินอย่างนั้นราชองครักษ์หนุ่มก็แทบจะระงับโทสะไม่อยู่ มือทั้งสองข้างของราชองครักษ์หนุ่มกำแน่นและอาจจะถลาเข้าไปบีบคออาร์เพียถ้าไม่ติดที่สายตาห้ามปรามที่ทิ่มแทงเสียจนคนถูกมองรู้สึกได้จากจากซิเลซิโอ และแจ็คเคิลที่เดินตามหลังมาติดๆ

    “ทำไม โกรธอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ความผิดของข้าหรือพระนางอินดิเวียสักหน่อย” อาร์เพียชะงักการก้าวย่างมาจากคำเรียกแสนชิงชังที่คนเรียกทำเสียงเหมือนกระอักเลือด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยั่วเย้ามองราชองครักษ์หนุ่มแห่งเอควอเลี่ยนก่อนจะเบนสายตาไปทางเวโรน่า ก่อนจะคลี่ยิ้มเลือดเย็นและปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำปีศาจสาวยังโยนความชั่วร้ายทั้งมวลให้กับคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย “ถ้าจะโกรธ เจ้าก็ไปโกรธผู้หญิงที่ชื่อลอนดิเน่สิ”

    อาร์เพียค่อยๆ หันไปมองเหยื่อของความผิดด้วยสีหน้าสาแก่ใจ เมื่อเห็นสายตาทุกคู่จ้องมองมายังปีศาจสาวด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่พวกเขาจะหันไปยังลอนดิเน่ หลังจากได้ยินคำอ้างของอาร์เพีย “เพราะถ้าแม่นี่ยอมให้เจ้าหญิงเวโรน่าตัดหัวมาถวาย พระนางอินดิเวียอาจจะปราณีเจ้าพวกนี้ก็ได้”

     

    ถึงจะรู้ดีว่าเส้นทางที่อาร์เพียเดินนำอยู่นั้นมีจุดหมายอยู่ที่ใด แต่การเดินทางเข้าพบปีศาจสาวแห่งความริษยาดูจะทอดยาวและไม่มีที่สิ้นสุด ถึงสองเท้าจะก้าวย่างตามทางเดินแต่เวโรน่าก็ได้แต่เหม่อมองตามแผ่นหลังบอบบางของลอนดิเน่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน เวโรน่าได้แต่นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ลอนดิเน่รู้สึกอย่างไรกับคำพูดใส่ร้ายของปีศาจสาว

    คำพูดของอาร์เพียยังวนเวียนอยู่ในหัวของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนและไม่สามารถสลัดให้หลุดไปได้โดยง่าย ยิ่งได้เห็นความเฉยชาและการก้าวย่างอย่างคนไม่รู้สึกรู้สา เวโรน่าก็ได้แต่นึกขุ่นมัวน้อยๆ ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ลอนดิเน่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับสถานการณ์อันเลวร้ายในปราสาทหลังนี้ แต่เวโรน่าก็อยากจะได้ยินลอนดิเน่พูดจาร้ายๆ ใส่อาร์เพียสักหน่อยเพื่อความสะใจ

    “เธอคงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของอาร์เพียหรอกนะ” คำถามที่ดังขึ้นข้างตัวเรียกให้เวโรน่าตื่นจากอาการเหม่อลอยโดยง่าย เมื่อหันไปมองคนถามจึงพบเฟรมเอรัสที่ไม่รู้ว่าถอยลงมาเดินในระนาบเดียวกันเมื่อไร ดวงตาสีน้ำตาลแดงของเจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกเต็มไปด้วยความอยากรู้ในห้วงคิดของเธอ

    “ฉันไม่เลวขนาดจะกล้าคิดอย่างนั้นหรอก” เวโรน่าส่ายหน้าพลางปฏิเสธ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำฉายชัดหนักแน่น ก่อนจะแสดงความเห็นส่วนตัวที่ทำให้ลอนดิเน่ถึงกับชะงักขาของตนเอง “เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจว่า ทั้งที่ถูกใส่ร้ายแบบนี้ทำไมลอนดิเน่ถึงเฉยอยู่ได้ น่ากวนประสาทให้ยายอาร์เพียเส้นเลือดสมองแตกสักที”

    พรืด! เสียงลมผ่านจมูกราวกับไม่สามารถสะกดความขบขันของตนได้ดังมาทางด้านหลังและข้างๆ หู ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะเดาได้ คนที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ คงมีแค่นายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีกับราชองครักษ์หนุ่มของเอควอเลี่ยนเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนเฟรมเอรัสและซิเลซิโอก็ส่ายหน้าราวกับระอาใจ ขณะที่เดเรคก็ถอนหายใจให้กับความคิดเด็กๆ “เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นน่าจะสนุกกว่าการกวนประสาทอาร์เพียนะ”

    “ฉันคิดว่าเธอจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลอนดิเน่เสียอีก” ซิเลซิโอพูดออกมาอย่างนึกทึ่ง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจของเขาบอกได้อย่างดี เพราะปกติมักจะเห็นเจ้าหล่อนกระฟัดกระเฟียดทุกครั้งที่มีเรื่องขัดใจ เจ้าชายแห่งเมทัลลิกจึงไม่นึกไม่ฝันจะได้เห็นเวโรน่าที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ได้ขนาดนี้

    “เพราะถ้าจะหาคนผิด ก็มีแค่ฉันเท่านั้น” คำตอบของเวโรน่าทำให้เฟรมเอรัส แจ็คเคิล ซิเลซิโอ หรือแม้กระทั่งเดเรคถึงกับหันมองอย่างไม่อยากเชื่อประสาทรับฟังของตนเอง ผิดกับคาร์ลที่มองเจ้าหญิงของตนเองด้วยสายตาชื่นชมในความคิดความอ่านของเจ้านายสาว

    “ความโชคร้ายของพวกเขา มันไม่ได้เป็นความผิดของเธอ” เพราะเวโรน่าพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง เฟรมเอรัสจึงถลึงตาปรามแจ็คเคิลที่กำลังจะอ้าปากกวนประสาท เขามองหญิงสาวข้างกายแล้วก็ได้แต่ปลอบโยน น้ำเสียงอันอ่อนโยนของเจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกช่วยให้เวโรน่ารู้สึกดีขึ้น ถึงไม่อยากจะยอมรับแต่เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็มีความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างประหลาด

    อาจเป็นเพราะเฟรมเอรัสดูเป็นกลางที่สุดในบรรดาตัวแทนทั้งสี่ประเทศ เจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกไม่แสดงท่าทีเอนเอียงเป็นฝ่ายลอนดิเน่อย่างนายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีที่เอาแต่เข้าข้างกันจนหน้ามั่นไส้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ทำท่ารังเกียจลอนดิเน่ราวกับไม่อยากจะใช้อากาศหายใจร่วมกันอย่างเจ้าชายแห่งเมทัลลิกที่จนป่านนี้ก็ไม่มีใครรู้สาเหตุของการเกลียดชัง

    บางทีเจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกก็มักทำเรื่องขัดใจให้ลอนดิเน่ประสาทเสียได้โดยการใช้คำพูดไม่กี่คำ แต่ในเวลาเดียวกันเจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกกลับได้รับความไว้วางใจจากเดเรคเสียจนไม่น่าเชื่อว่านอกจากลอนดิเน่ เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจจะนึกชื่นชมมนุษย์หน้าไหนในโลก แต่เพราะเฟรมเอรัสเลือกจะทำตัวนิ่งอ่านไม่ออกและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาขอวางตัวเป็นกลางในทุกปัญหาเขาจึงเป็นที่ยำเกรงของใครๆ อย่างไม่รู้ตัว

    “และมันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร” เฟรมเอรัสละไว้ให้เวโรน่าหาคำมาแทนเอาเองว่า ใครคือคนที่เจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกพูดถึง ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองประติมากรรมน้ำแข็งที่สร้างจากมนุษย์ที่มีชีวิตด้วยสายตาสมเพช “คนพวกนี้อาจจะโชคไม่ดีที่อยู่ที่นี่ตอนที่ปีศาจแห่งความริษยาที่ชื่ออินดิเวียกำลังหงุดหงิด พวกเขาถึงได้เป็นอย่างนั้น”

    “แล้วพวกเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม” เวโรน่าถามลอยๆ ถึงจะไม่คิดไม่คาดหวัง แต่เธอก็ภาวนาให้ใครสักคนให้คำตอบหรือคำสัญญาใดๆ เพื่อสร้างความหวังให้กับตนเอง

    “หากพูดตามหลักทฤษฎี ถ้าเรากำจัดอินดิเวียได้ พวกเขาก็น่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ” แจ็คเคิลที่ไม่รู้ไปเปลี่ยนตัวกับคาร์ลตอนไหนแสดงความคิดเห็นแล้วหันไปถามเฟรมเอรัสข้ามหัวของเวโรน่า ดวงตาสีอำพันยังมีประกายเชื่อมั่นขณะที่มองไปทางลอนดิเน่เหมือนจะสื่อกลายๆ ว่าในที่นี้ยังพอมีคนที่น่าจะกำจัดปีศาจสาวแห่งความริษยาได้

    “ปีศาจที่เราต้องการกำจัดเป็นถึงผู้ถูกเสนอชื่อเป็นราชินีแห่งแดนปีศาจนะ” เวโรน่าค้านด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักแน่น ถึงจะได้เห็นฝีมือของลอนดิเน่แต่เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็ยังไม่ศรัทธาในพลังของหญิงสาวสักเท่าไรนัก “ต่อให้เป็นยายนั่น แค่เอาตัวรอดได้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้วล่ะ”

    “แต่เราถอยหนีไม่ได้แล้ว” เฟรมเอรัสส่ายหน้าให้กับความคิดตัดทอนกำลังใจ เขาเหลือบมองลอนดิเน่ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ขณะเดียวกันก็พูดกลางๆ เพื่อให้เวโรน่าได้ทำใจไว้บ้าง “เราไม่มีทางรู้หรอกว่า อนาคตมีอะไรรอเราอยู่ อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครสัญญาได้ว่า พวกเขาจะกลับมาเหมือนเดิมหากเรากำจัดอินดิเวียได้”

     

    ยิ่งเดินเข้าใกล้ท้องพระโรงของเอวควอเลี่ยนมากเท่าไร เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนนึกยินดีที่มองเห็นประติมากรรมน้ำแข็งบาดตาวางอยู่บางตาก่อนจะไม่มีเหลือให้เห็นในทางเดินส่วนสุดท้ายที่เป็นเพียงทางโล่งกว้างซุ้มประตูสูงที่อยู่สุดเส้นทางที่ทอดยาวในความรู้สึกของเวโรน่า ช่วยบอกให้รู้กันถ้วนหน้าถึงปลายทางที่กำลังรออยู่

    แต่เมื่อลอดผ่านซุ้มประตู หัวใจของเวโรน่าก็แทบจะหยุดเต้น เบื้องหน้าของเธอคือบันไดสี่ห้าขั้น ที่ทอดลงสู่พื้นท้องที่อันกว้างใหญ่ แต่ตอนนี้พื้นที่เหล่านั้นได้ถูกจับจองด้วยกองทัพปีศาจอย่างแน่นขนัด ไม่ใช่แค่บนพื้นเบื้องล่างแต่ตามขื่อคานก็คับคั่งไปด้วยปีศาจที่สามารถบินได้มากหมายหลายตัว

    สายตาเรืองแสงในความมืดจ้องมองตรงมายังพวกเธอเป็นทางเดียว ก่อนที่ปีศาจที่ยืนออกอยู่เบื้องล่างจะยอมหลีกทางตรงกลางที่กว้างขวางมากพอจะให้พวกเธอเดินเข้าไป การกระทำไม่ต่างอะไรกับการเชื้อเชิญปีศาจพวกนั้นเรียกรอยยิ้มจากอาร์เพียได้อย่างง่ายดาย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยั่วยวนจ้องมองมาที่ลอนดิเน่อย่างท้าทาย “หวังว่าเจ้าคงจะกล้าลงไปนะ”

    “เธอจะเดินนำหรือจะให้ฉันเดินเข้าไปเองล่ะ” ลอนดิเน่เอ่ยถามง่ายๆ ไม่เปลี่ยนสีหน้า รอยยิ้มน้อยๆ ที่มีในหน้า สร้างความเกรี้ยวกราดให้กับปีศาจสาวอาร์เพียอยู่ไม่น้อย มือทั้งสองของเจ้าหล่อนกำแน่นก่อนจะยกสูงหมายจะตบหน้าลอนดิเน่สักฉาดให้สมกับท่าทีอวดดี แต่แววตาเอาเรื่องของเดเรคที่จ้องมองอยู่ ก็ทำให้อาร์เพียไม่กล้าแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา

    “ตามมา!” อาร์เพียสะบัดหน้าหนีแล้วเดินกระแทกเท้านำลอนดิเน่เข้าไปในใจกลางดงปีศาจพวกนั้น ตลอดทางทั้งสายตาจ้องมองราวกับจะเข้ามาจับฉีกร่างของเธอ เสียงคำรามข่มขู่ และเสียงอาวุธกระทบพื้นเป็นจังหวะ ทว่าลอนดิเน่ก็เดินตามปีศาจสาวอย่างสงบไร้วี่แววหวาดหวั่น เดเรคที่เดินเคียงข้างเหล่มองปีศาจพวกนั้นอย่างนึกรำคาญ ส่วนเฟรมเอรัสที่เร่งฝีเท้าให้มายืนขนาบอีกข้างก็มองพวกปีศาจราวกับประเมินพลังและระดับชั้นตามความรู้เรื่องปีศาจวิทยาที่ได้รับการสั่งสอนจากเดเรค

    ส่วนเวโรน่าที่เดินตามมาเป็นแถวที่สอง ตอนนี้แถวของเธอมีนายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีและเจ้าชายหนุ่มแห่งเมทัลลิกขึ้นมาขนาบเป็นแถวสี่คน ที่เป็นอย่างนั้นเพราะแจ็คเคิลพอจะมองเห็นอาการหวาดผวาของเวโรน่าเวลาที่ได้เห็นสายตาของพวกปีศาจเหล่านั้น สีหน้าของเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนดูซีดเผือดและหันรีหันขวางอย่างกังวลใจ

    นายทหารรับจ้างหนุ่มจึงหันไปมองเพื่อขอความเห็นจากซิเลซิโอก่อนที่เขาจะเดินเคียงข้างเวโรน่าเพื่อกันอันตรายจากเหล่าปีศาจแสนกักขฬะ ถึงจะไม่พูดอะไรแต่การกระทำของเขาก็ช่วยให้ใบหน้าซืดเผือดของเวโรน่าดูมีสีเลือดขึ้น เมื่อเหลือบมองเจ้าชายหนุ่มแห่งเมทัลลิกที่เดินขนาบข้างกับคาร์ล ก็มองเห้นใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความตึงเครียดสายตาที่เขาจ้องมองไม่ใช่พวกปีศาจมากมายที่กำลังแสดงการข่มขวัญ แต่เป็นร่างบอบบางที่นั่งเด่นเป็นนางพญาบนบัลลังก์หน้าพวกเขา

    “มากันแล้วหรือ ปล่อยให้ข้ารอจนเบื่อเลย” อินดิเวียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ชุดบางเบาจนมองเห็นสัดส่วนข้างในดูไม่แหมาะกับสภาพอากาศ ใบหน้างามยังคงมีรอยแผลเป็นที่รักษาไม่หายพยักหน้าให้กับการค้อมกายของอาร์เพียพลางโบกมือเพื่อไล่ปีศาจสาวไปอีกทาง ขณะทำหน้าที่ทักทายแขกทั้งหลายด้วยมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี “การเดินทางคงจะเรียบร้อยดีสินะ”

    “เพราะเจ้าเมตตาไม่ส่งปีศาจไปขัดแขนขัดขาการเดินทางจึงสะดวกดี” ลอนดิเน่ตอบคำถามเหล่านั้นในทันทีซึ่งคำตอบของเธอก็สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในที่นั้น ดวงตาสีฟ้าสดใสที่จ้องมองปีศาจสาวแห่งความริษยาฉายแววกวนประสาทในความรู้สึกของผู้มอง ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์จ้องมองไปที่ลอนดิเน่อย่างเกลียดชังจนเห็นได้ชัดและอาจลงมือทำอะไรสักอย่างถ้าไม่เห็นสายตาเอาเรื่องของเดเรคที่จ้องมายังเธอชนิดตาไม่กระพริบ

    “ไม่คิดว่าเจ้าจะลดตัวมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กเลยนะ เดเรค” อินดิเวียยิ้มหวานให้กับเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ ดวงตายั่วเย้ามองหาใครบางคนที่ไม่เห็นในที่แห่งนี้ “แล้วนอเช่ไม่มาด้วยหรือ”

    “นอเช่ไม่อยากลดตัวมายุ่งกับเจ้า” เดเรคตอบคำถามด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขาทำเหมือนไม่อยากจะสนทนากับปีศาจสาวแห่งความริษยาเสียเต็มประดา ก่อนจะวางมือบนบ่าของลอนดิเน่แล้วยิ้มเย้ยให้กับแผลเป็นบนใบหน้าของอินดิเวีย “แค่ลอนดิเน่ก็เหลือแหล่แล้ว รู้สึกแผลบนหน้าเจ้าจะรักษาไม่หายเลยนี่นะ”

    “เดเรค!” อินดิเวียเรียกชื่อเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจเสียงสูง แต่เมื่อเห็นใบหน้ากวนประสาทของเขาปีศาจสาวแห่งความริษยาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะระงับโทสะ เมื่อตั้งสติได้แล้วเธอก็หรี่ตามองมือหนาบนบ่าลอนดิเน่แล้วเอ่ยกระแนะกระแหนด้วยความริษยาและหวังยั่วยุ

    “แต่แม่ปีศาจสูงส่งก็ช่างใจกว้างเหลือเกินนะ ถึงกล้าปล่อยให้เจ้ามากับแม่เด็กนี่” อินดิเวียมองลอนดิเน่ศีรษะจรดปลายเท้าสลับกับมองไปยังเดเรค สายตาที่สื่อความไม่ชอบมาพากลฉายชัดจนใครๆ ในที่นั้นสัมผัสได้ “เขาว่ากันว่ามนุษย์สาวๆ จะมีกลิ่นกายหอมยวนใจ เจ้าคิดยังไงล่ะ”

    ปีศาจสาวแห่งความริษยาคลี่ยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจเมื่อมองเห็นเจ้าชายแห่งผ่ามังกรปีศาจนิ่วหน้า อินดิเวียจ้องมองมาที่ลอนดิเน่อีกครั้งแล้วพูดจากวนประสาทเดเรคแต่เนื้อหานั้นไม่ต่างกับการตั้งใจใส่ความให้ลอนดิเน่เสื่อมเสีย “เจ้าเองก็คงจะรู้ดีกว่าใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามติดมาด้วยขนาดนี้หรอกใช่ไหม”

    “อย่าปากเสียอินดิเวีย!” เดเรคตวาดใส่ปีศาจสาวอย่างไม่ไว้หน้า ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองเอาเรื่องมองเห็นเปลวไฟที่ลุกโชน “ลอนดิเน่สูงส่งเกินกว่าที่เจ้าจะว่าร้าย”

    “ก็แค่เด็กมนุษย์โง่ๆ ที่คิดอาจหาญต่อกรกับปีศาจเรื่องอำนาจอย่างข้า” อินดิเวียแทบจะกรีดร้องและกระทืบเท้าเร่าๆ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าปีศาจมากมายปีศาจสาวแห่งความริษยาจึงทำได้แค่ยิ้มแสยะให้กับเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ที่จับจ้องลอนดิเน่เต็มไปด้วยความริษยา ก่อนที่คิ้วโก่งสวยจะเลิกขึ้นอย่างสนใจเมื่อเห็นเฟรมเอรัสนิ่วหน้ามองเธอ

    “ยินดีต้อนรับสู่เอควอเลี่ยน ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง เจ้าชายจากฟรัวโก” อินดิเวียยิ้มหวานพลางขยับท่านั่งจนมองเห็นต้นขาอันอวบอิ่ม ดวงตาพราวระยับด้วยความยินดีแล้วความแพรวพราวก็เพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อมองเห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่เธอไม่รู้จักกำลังจ้องมองมา “แล้วสองคนนั้น”

    “ซิเลซิโอ เมทัลลิก้า ตัวแทนจากเมทัลลิก” ซิเลซิโอแนะนำตัวเองโดยไม่เปิดโอกาสให้ปีศาจสาวแห่งความริษยาได้เอ่ยปากถาม ดวงตาสีสนิมจ้องมองอินดิเวียด้วยความไม่ไว้วางใจ

    “แจ็คเคิล ฟาราโอริสเป็นตัวแทนจากอาร์เบอรี” นายทหารรับจ้างแห่งอาร์เบอรีแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงห่างเหินไม่เป็นมิตร รู้สึกไม่พอใจในคำพูดของอินดิเวียที่มีต่อลอนดิเน่เมื่อครู่เป็นอย่างมาก ก่อนจะส่งสัญญาณให้เวโรน่าเดินออกมาเบื้องหน้าก่อนจะแสร้งเอ่ยถาม “แล้วจะไม่ทักทายตัวแทนที่พระองค์ส่งไปหน่อยหรือองค์ราชินี”

    “จะทักทายทำไมก็เห็นแล้วว่ายังไม่ตาย” อินดิเวียยิ้มแสยะให้กับสูกสาวนอกไส้ ดวงตาแข็งกร้าวไร้แววปรานีอย่างแต่ก่อนสร้างความปวดร้าวให้กับเวโรน่า “ดวงแข็งดีนี่ แต่ก็คิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องรอดเพราะเดเรคคงไม่อยากให้มนุษย์ต่ำต้อยมีวาสนาได้ตายด้วยคำสาปของปีศาจชั้นสูง”

    “เสด็จแม่” ถึงจะบอกตนเองให้เข้มแข็งแต่เมื่อได้ยินคำตักรอนไร้น้ำใจของอินดิเวีย เวโรน่าก็แทบจะร้องไห้ออกมา ทั้งที่รู้อยู่แล้วถึงตัวตนที่แท้จริงของปีศาจสาวแห่งความริษยา ทว่าเมื่อได้เห็นหน้า เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนก็เผลอเรียกด้วยถ้อยคำที่คุ้นเคยอย่างลืมตัว 

    “ยังละเมออยู่อีกหรือเวโรน่า” อินดิเวียที่นั่งบนบัลลังก์สูงยืนขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าที่บอกถึงความรังเกียจทำให้เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนถึงกับถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าน่าจะรู้นะว่าข้าคือใคร”

    ไร้คำตอบใดๆ จากเวโรน่านอกจากอาการส่ายหน้าราวกับปฏิเสธความจริงทุกอย่างตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำเอ่อล้นด้วยน้ำตาใสๆ เธอยังคงพึมพัมเรียกปีศาจสาวเสียงแผ่วเบา “เสด็จแม่”

    “นี่เจ้ายังจะคิดว่าข้าคือแม่เลี้ยงแสนสวยของเจ้าอย่างนั้นหรือ” ปีศาจสาวแห่งความริษยาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ไม่ชอบใจกับสถานะที่ต้องทนแสดงมานับสิบปี ร่างสวยงามที่มีความยั่วเย้าเดินลงจากบัลลังก์ด้วยท่วงท่าที่สง่างามเมื่อมาหยุดตรงหน้าเวโรน่า อินดิเวียก็ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางลูกสาวนอกไส้ให้เงยขึ้นมาสบสายตาอันแข็งกร้าว ใบหน้างามมีรอยยอิ้มที่ไม่ต่างกับการเย้ยในที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกความจริงให้ ความจริงที่คนทั้งวังเอควอเลี่ยนรู้ดียกเว้นแต่เจ้า”

    เวโรน่าสั่นหน้าไปมาใบหน้างามเลอะเทอะไปด้วยหนาดน้ำตา แต่ความเศร้าโศกของเธอก็ไม่อาจทำให้ปีศาจสาวที่ได้ครองเอควอเลี่ยนมีสีหน้าอย่างอื่นนอกจากความรำคาญใจ อินดิเวียปล่อยมือที่เชยคางเวโรน่าแล้วเดินขึ้นไปยืนบนบัลลังก์แล้วแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่กึกึก้อง “ข้าคือ หนึ่งในผู้ถูกหมายตาให้เป็นราชินีแห่งโลกปีศาจ อินดิเวีย...ปีศาจแห่งความริษยา”

    คำแนะนำตัวที่ไม่ต่างจากคำตัดรอนสร้างความเสียหายทางใจให้กับเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนได้ไม่น้อย เวโรน่าเงยหน้าจ้องมองอินดิเวียนิ่งค้าง ใบหน้าดูซีดเผือดเหมือนคนที่กำลังช๊อค ขาทั้งสองข้างอ่อนล้าจนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น น้ำตามากมายไหลรินไม่ขาดสายทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัว ทว่าสองหูก็ได้ยินอย่างชัดเจนในคำถามที่ไม่ต่างกับคำเย้ยหยัน “ทีนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่า ข้าสูงส่งเกินกว่าจะเป็นแม่ของเจ้าเพียงใด”

     

    เฮ!

    สิ้นคำพูดของอินดิเวีย เสียงโห่ร้องของพวกปีศาจก็ดังกึกก้องท้องพระโรงกระทำราวกับข่มขวัญ อาวุธมากมายกระทบกับพื้นเป็นจังหวะจนได้สัญญาณให้หยุดจากปีศ่าจสาวแห่งความริษยา ความสงบจึงได้กลับมาดังเดิม

    “ชอบงานศิลปะของข้าไหม” อินดิเวียเอ่ยถามโดยไม่ระบุให้ใครต้องตอบร่างอันนั่งลงบัลลังก์ด้วยท่าทีที่ยั่วเย้า “ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อต้อนรับพวกเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”

    “จะชอบมากกว่านี้ถ้าเจ้าจะทำให้พวกเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม” ลอนดิเน่บอกง่ายๆ ขณะที่เคลื่อนกายออกมายืนเผชิญหน้ากับอินดิเวีย ถึงจะทำหน้ากวนสายตาคนมองแต่ดวงตาสีฟ้าสดใสของลอนดิเน่ก็ดูขุ่นมัวเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด “ดูตรงไหนว่าสวย ฝีมือห่วยเอามากๆ เสียด้วยสิ”

    เสียงติของลอนดิเน่เรียกสายตาลุกวาวจากอินดิเวียได้ทันที เดเรคได้แต่ตบหน้าผากตนเอง ถึงจะอยากเอ่ยปรามแต่พอได้เห็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าสดใสที่มองมาทางตนด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พลางยกสองมือเป็นเชิงอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ตามสบาย ก่อนที่เขาจะหันมองไปรอบๆ เพื่อคอยระวังการเล่นไม่ซื่อของพวกปีศาจที่เขาบอกว่าเป็นพวกต่ำชั้น

    “ปล่อยไว้อย่างนี้จะดีหรือครับ” แจ็คเคิลถามเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ นายทหารหนุ่มแสดงความไม่เห็นด้วยในการกระทำของลอนดิเน่อย่างชัดเจน “เหมือนเอาน้ำมันไปราดในกองไฟเลยนะครับ”

    “เรามาท้าตีท้าต่อยอยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก” เฟรมเอรัสให้ความเห็นคล้อยตามการกระทำของเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ เขาหันไปสั่งการซิเลซิโอและคาร์ลด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติเสียคนถูกสั่งให้ทำงานไม่กล้าปฏิเสธ “คาร์ลคอยดูเวโรน่า ส่วนซิเลซิโอระวังทางนั้นด้วย”

    “นายก็ระวังอย่าให้ลอนดิเน่ทำอะไรไม่บอกกล่าวก็แล้วกัน” เจ้าชายหนุ่มแห่งเมทัลลิกหันมาสำทับพร้อมทั้งส่ายหน้า เวลาเดียวกันก็นึกตกใจที่ตนเองยอมให้ความร่วมมือกับเฟรมเอรัสอย่างง่ายๆ ทั้งที่ทุกทีจะต้องคัดค้านไม่ชอบใจ

    ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งรู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วยการสั่งให้เจ้าชายหนุ่มแห่งฟรัวโกคอยกำกับลอนดิเน่ ราวกับเขา เฟรมเอรัสและลอนดิเน่เป็นพวกเดียวกัน แต่ถึงจะงุนงงในความคิดของตนแต่ซิเลซิโอก็ได้แต่ปลงใจ นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อล้อต่อเถียงและคงมีแต่ร่วมมือกันเท่านั้นถึงจะอยู่รอด

    “บังอาจมากนะ นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” อินดิเวียลุกจากบัลลังก์ชี้หน้าลอนดิเน่ด้วยความกราดเกรี้ยว “เจ้ามันก็ไม่ต่างจากเวโรน่า อ่อนแอ โง่เง่า เป็นแค่มนุษย์ที่ต้องทำตามคำสั่งของปีศาจ เป็นแค่หุ่นเชิด มีสิทธิอะไรมาสั่งข้า”

    “ฉันไม่ได้ทำตามคำสั่งของปีศาจ ไม่ได้เป็นหุ่นเชิด และที่สำคัญเวโรน่าก็ไม่ได้อ่อนแอหรือโง่เง่า ยายนั่นแค่จิตใจดีและรักคนที่ทำดีด้วยก็เท่านั้น” ลอนดิเน่เอ่ยปฏิเสธทุกคำกล่าวหาพร้อมทั้งปกป้องเวโรน่าในเวลาเดียวกัน มือข้างหนึ่งจับที่ข้อศอกของเวโรน่าพร้อมทั้งกระชากให้ลุกขึ้น การกระทำของเธออาจดูรุนแรงไปสักหน่อยแต่ก็ไม่มีใครคิดห้ามปราม

    “หยุดร้องไห้ได้แล้วเวโรน่า นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญ” ลอนดิเน่ออกแรงบีบที่ข้อศอกของเวโรน่า ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เวโรน่าต้องเงยหน้ามองจึงได้เห็นเสี้ยวหน้าของลอนดิเน่ที่ยังคงจ้องมองอินดิเวียไม่หลบสายตา “เธอเป็นเจ้าหญิงของเอควอเลี่ยน น่าจะรู้นี่ว่าในเวลาอย่างนี้ผู้สืบสายเลือดแห่งกษัตริย์จะต้องทำอะไรบ้าง”

    น้ำเสียงดุดันของลอนดิเน่ทำให้เวโรน่าได้แต่กระพริบตาถี่ๆ ความโศกเศร้าที่มีจางหายไปเกือบครึ่งยามที่ระลึกได้ถึงหน้าที่และตัวตนของตนเอง แล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อดวงตาสีฟ้าสดใสของลอนดิเน่จต้องมองมาที่เธอ “มีเรื่องที่ต้องทำไม่ใช่หรือ เจ้าหญิงเวโรน่าแห่งเอควอเลี่ยน”

    ดูเหมือนคำถามของลอนดิเน่จะไม่กระจ่างสักเท่าไรเพราะเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนเอาแต่นิ่วหน้านึกไม่ออกจนกระทั่งลอนดิเน่ถอนหายใจแล้วเอ่ยชื่อใครสักคนที่ไม่มีอยู่ในที่นี้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำจึงเบิกกว้างอย่างนึกได้ “คนไหนคือเจ้าชายเรอิน”

     เวโรน่ารีบลุกขึ้นแล้วหันมองไปรอบๆ ในทันที ความเป็นห่วงพี่ชายเพียงคนเดียวช่วยดึงสติให้เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนหลุดพ้นจากความโลกส่วนตัวได้อย่างดี เมื่อจ้องมองไปรอบๆ ท้องพระโรงแต่ไม่พบใครที่มีลักษณะคล้ายเจ้าชายเรอิน เวโรน่าก็หันไปมองปีศาจสาวที่นั่งยิ้มกริ่มบัลลังก์ ยิ่งได้เห็นใฝบหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน ความเสียใจ ความโกรธเคือง ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบปะทุขึ้นจนไม่สามารถจะควบคุมสติของตนเองได้ “ลงบัลลังก์นั่นเสีย แล้วเจ้าพี่เรอินของข้าอยู่ที่ไหน”

    “ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าสั่งและถามข้าด้วยวาจาเช่นนี้” น้ำเสียงกระชากไร้ความเคารพดังเก่าก่อนของเวโรน่าเรียกแววตาประหลาดใจให้กับอินดิเวียไม่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันใบหน้างามที่มีเสน่ห์ยั่วยวนก็ฉายแววถูกใจและสนุกสนาน “ปีกกล้าขาแข็งตั้งแต่เมื่อไร เมื่อกี้นี้ยังทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เลย”

    “ข้าไม่ได้ปีกกล้าขาแข็ง แต่ข้าเพิ่งจะนึกได้” เวโรน่าเดินออกมาเผชิญหน้ากับอินดิเวียด้วยท่าทีที่งามสง่าและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ดวงตาสีน้ำเงินจนเกือบดำจ้องมองอินดิเวียด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดกับที่ผ่านๆ มา “ข้าคือเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยน มีหน้าที่รับผิดชอบต่อราชวงส์และต่อพสกนิกรขาวเอควอเลี่ยนทุกคน เพราะฉะนั้น หากเจ้าคือเสนียดร้ายของเอควอเลี่ยน ข้าก็จะต้องกำจัดไปจากประเทศของข้า”

    “ปากดี!” อินดิเวียลุกจากบัลลังก์ด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์จ้องมองเวโรน่าราวกับจะจับฉีกเป็นชิ้นๆ “ข้าจำไม่ได้ว่าได้สอนให้เจ้าเป็นเด็กปากจัดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

    “ก็ดีแล้วนี่” เวโรน่ายิ้มเหยียดใส่หน้าปีศาจสาว มือข้างหนึ่งเรียกอาวุธของตนเองเองออกมาถือให้มั่น “บอกมา! เจ้าพี่เรอินอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นข้ามาเอาเจ้าไว้แน่ๆ”

    “เจ้ากล้าขู่ข้าหรือเวโรน่า” อินดิเวียเอ่ยถามอดีตลูกเลี้ยงสาวด้วยน้ำเสียงทึ่งจัด ไม่ได้สนใจการกระทำเพื่อความข่มขวัญนั่นจะทำให้อาร์เพียต้องขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อยเพื่อระวังภัยให้เจ้านายสาว บรรยากาศในท้องพระโรงดูตึงเครียดขึ้นเมื่อฝ่ายมนุษย์มีคนถืออาวุธในมือ และเชื่อด้วยว่าหากมีเสียงไรสักอย่างดังขึ้นการปะทะที่ประวิงมานานพอสมควรจะต้องเริ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “เอาเถอะ เห็นแก่ความเก่งกล้าของเจ้า ข้าจะบอกก็ได้ว่าเรอินอยู่ที่ไหน” ทั้งที่ถูกลูบคมขนาดนั้นแต่อินดิเวียกลับใจเย็นเกินคาด ใบหน้างามที่มีแต่ความเย้ายวนมองเวโรน่าด้วยสายตาชิงชังและสมเพช “เรอินเขาอยู่ในปราสาทหลังนี้นี่ล่ะ แต่เจ้าจะตามหาเข้าพบหรือเปล่ามันก็เป็นเรื่องของเจ้าล่ะนะ”

    “ทำไมเจ้าพี่ถึงไม่ออกมาพบข้า” เวโรน่านิ่วหน้าไม่ไว้วางใจต่อคำพูดของอินดิเวีย จากเหตุกาณ์หลายๆ อย่างที่ได้พบทำให้เจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนนึกระแวงไม่น้อย “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าพี่เรอิน”

    “คิดว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ” อินดิเวียไม่ตอบคำถามแต่กวนประสาทอดีตลูกเลี้ยงด้วยน้ำเสียงขบขัน ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ฉายแววเย้ยหยัน “ถึงข้าจะพึงใจเรอินค่อนข้างมาก แต่เจ้าคิดว่าข้าจะทำยังไงกับมนุษย์ที่กล้ามองเห็นเจ้าสำคัญกว่าข้าล่ะ เวโรน่า”

    ได้ยินเช่นนั้นเวโรน่าก็ถึงกับผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างอีกครั้งก่อนจะนิ่งขึงเป็นก้อนหิน คาร์ลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราชองครักษ์หนุ่มเริ่มเดาได้ว่าเจ้านายของตนจะอยู่ในสภาพเช่นไร มือทั้งสองเริ่มสั่นอย่างไม่รู้ตัว แล้วเขาก็หันมองเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำบริภาษที่มีต่อเจ้าชายคนเดียวของเอควอเลี่ยน

    “เรอินมันโง่ ถึงรู้ว่าข้าเป็นปีศาจก็ยังปล่อยให้ข้าปกครองเอควอเลี่ยนมาเป็นสิบปีเพื่อให้น้องสาวแสนน่ารักของตัวเป็นเด็กมีแม่ ทั้งที่ร่างนี้ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเจ้าเสียหน่อย” อินดิเวียมองเวโรน่าด้วยสายตาเกลียดชัง ความริษยาของปีศาจสาวมีมากจนมองเห็นได้ชัดเจน ใบหน้างามยังคงยิ้มเหยียดให้กับเจ้าชายหนุ่มที่ถูกพูดถึง

     ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของเวโรน่า ปีศาจสาวแห่งความริษยาก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนานในการสรรหาถ้อยคำมาสร้างความร้าวรานให้กับเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยน “ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีทั้งที่ตัวเองก็สร้างเรื่องโกหกคำโต”

    เวโรน่ากำมือของตนเองแน่น ริมฝีปากเม้มแน่นจนแทบรับรู้ได้ถึงความเจ็บและรสเหล็กของโลหิต และก่อนจะรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป อาวุธในมือก็พุ่งเข้าหาปีศาจสาวแทนสัญญาณการเริ่มต้นทันทีที่ได้ยินคำหยันที่มีให้กับพี่ชายคนเดียว “พอรู้ว่าข้าจะทำร้ายเจ้าก็วิ่งทะเร่อทะร่าเข้ามาขวาง ผู้ชายที่โง่ขนาดนี้ ถ้าหน้าตาไม่ดีจริงเข้าคงปล่อยให้เป็นอาหารปีศาจไปแล้วล่ะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×