ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลอนดิเน่ เดอ ว็องต์ นางแอ่นแห่งสายลม

    ลำดับตอนที่ #17 : 16. ทางเลือกของอินดิเวีย(

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 55


    ดีค่ะ

        มาอัพตามนัด หลายคนบอกว่าอยากจะรู้ว่าเวโรน่าจะเป็นยังไงต่อไป เอาไว้อาทิคย์หน้ารู้แน่นอนค่ะ สำหรับอาทิตย์นี้ลองเดาสิคะว่าพวกปีศาจทั้งห่าจะทำยังไงกับจดหมายที่ได้รับ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   

                     
    ท้องฟ้าในยามเย็นสะท้อนสีแดงฉานราวกับสีของเพลิงที่กำลังลุกโหม ซึ่งก็เข้ากับบรรยากาศที่ร้อนระอุของฟรัวโก ประเทศที่เคยได้รับความคุ้มครองจากวิญญาณแห่งธาตุไฟ แต่ที่ทำให้เหล่าข้าราชบริพารที่เข้านอกออกในห้องบนยอดหอคอยสูงรู้สึกว่าอากาศอบอ้าวมากกว่าทุกวัน กลับเป็นชายที่นั่งอ่านจดหมายอยู่ที่หัวโต๊ะในใจกลางห้อง

    ทั้งที่ภายในห้องนี้มีแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียนถึงสามคน แต่พวกเขากลับพร้อมใจกันนั่งเงียบๆ รอให้ชายผู้นี้ได้มีโลกส่วนตัวอย่างเต็มที่ ต่างคนต่างทำเป็นสนใจกับสุราและกับแกล้มที่นางกำนัลนำมาต้องรับ แต่ในเวลาเดียวกันก็ลอบสังเกตุดูว่าเจ้าของสถานที่ที่ไม่สนใจจะแตะต้องน้ำเมาเลิศรส กำลังมีสีหน้าและทีท่าอย่างไร

    ชายที่ควรจะมีดวงตาสีแดงดั่งเปลวไฟแต่กลับมีความคล้ายคลึงกับสีของโลหิตสดๆ มากกว่า กำลังไล่เรียงเนื้อหาจดหมายในมือ ยิ่งได้อ่านมากเท่าไรดวงตาก็ฉายแววดุดันขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้นางกำนัลที่ยืนรับใช้ภายในห้องต่างขนลุกด้วยความหวาดกลัว

    “บัดซบ!” ทันที่อ่านจดหมายถึงบรรทัดสุดท้าย ชายผู้นั้นก็สบถออกมาด้วยความขุ่นเคือง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง การกระทำของเขาทำให้เหล่านางกำนัลต่างสะดุ้งสุดตัว ยิ่งได้เห็นสายตาประหนึ่งอยากจะฆ่าใครสักคนพวกเธอก็ทำได้แค่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ

    “ใจเย็นๆ สิ ฮีเทเรียส” โฮคัชในร่างหนังชราของกษัตริย์แห่งโซโลเวียแสร้งตักเตือนให้ใจเย็นขณะเดียวกันก็เหลือบมองเหล่านางกำนัลที่ยืนตัวสั่นถึงจะเสหลบสายตาแต่ก็แอบจ้องมองนายของตนตาเขม็ง อย่าว่าแต่พวกเธอเลย แม้แต่ทหารองครัก์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ชะเง้อเข้ามาดู บางทีก็น่าจะแอบเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย

    “พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะไม่ต้องคอยดูแลพวกเราหรอก” เพราะเห็นแล้วว่าหากปล่อยเอาไว้ คะแนนนิยมของเจ้าผู้ครองฟรัวโกคงจะตกทะลุผืนดิน บรานโดจึงเปิดโอกาสคนพวกนั้นให้ออกจากห้องพร้อมทั้งถือสิทธิในฐานะแขกเมืองเอ่ยปากไล่พวกทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “แล้วบอกพวกข้างนอกด้วยว่าไม่ต้องเฝ้าประตู ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าคิดร้ายกับพวกเราแล้ว”

    “เพคะ” หัวหน้านางกำนัลชุดนั้นรีบนำคนอื่นๆ ย่อกายและออกจากห้องอย่างลนลาน แล้วบรานโดได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวที่ต้องเรียกว่าเป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่นานนักก็ไม่สามารถสัมผัตได้ถึงสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่หน้าห้อง ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำอนุญาตง่ายๆ จะทำให้เหล่าข้าราชบริพารยอมทำตามได้อย่างรวดเร็ว

    บรานโดมองไปทางประตูจนแน่ชัดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น จึงหันกลับไปดูเพื่อนที่นั่งนิ่งแต่สายตาที่มองจดหมายในมือช่างเกรี้ยวกราด ปีศาจแห่งความมัวเมาก็จึงทำหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจ ดูเหมือนว่า ปีศาจแห่งการฆ่าฟันในรูปลักษณ์ขององค์กษัตริย์แห่งฟรัวโกจะมีโลกส่วนตัวสูงจนไม่มีข้าราชบริพารคนไหนอยากเข้าใกล้ ดังนั้นเมื่อได้รับการเปิดโอกาสให้ออกห่าง พวกเขาถึงได้รีบไปราวกับกลัวว่าจะเปลี่ยนใจ

     

                    พรึ่บ! เปรี้ยง!

                    เสียงลุกไหม้และเสียงการทำลายของอะไรสักอย่าง ทำให้บรานโดต้องหันไปมอง แล้วปีศาจแห่งความหลอกลวงก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมทั้งนึกชมตัวเองที่กะจังหวะได้ยอดเยี่ยม เพราะภาพจดหมายที่ลุกไหม้กับข้าวของที่พังพินาศด้วยพลังของปีศาจแห่งการฆ่าฟัน คงจะไม่เหมาะเท่าไรนักหากปล่อยให้เหล่าข้าราชบริพารของฟรัวโกได้เห็นแล้วเอาไปซุบซิบนินทาเท่าไรนัก

                    “ใจเย็นหน่อยสิมอเดอร์” บรานโดเอ่ยนามที่แท้จริงของปีศาจแห่งการฆ่าฟัน พลางจ้องเขม็งเป็นเชิงห้ามปราม ก่อนจะหันไปมองครี๊ดและโฮคัชที่มองมาทางเขาด้วยสีหน้าสนุกสนาน ไม่บอกก็รู้ว่าปีศาจทั้งสองกำลังรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรให้ปีศาจที่มีพลังทำลายล้างสูงอย่างมอเดอร์ยอมสงบลง

                    “ข้าว่ามอเดอร์ก็ใจเย็นลงมามากแล้วนะ” ครี๊ดพยายามกลั้นเสียงหัวเราะพร้อมทั้งพยักเพยิดกับโฮคัช ซึ่งปีศาจแห่งความหลอกลวงก็เห็นด้วย “นั่นสิ! ไม่อย่างนั้นทั้งห้อง ทั้งพวกเรา และมนุษย์พวกนั้นคงไม่ได้อยู่กันสบายอย่างนี้

    บรานโดได้แต่ส่ายหน้าให้กับการเข้าข้างที่ไม่เข้าท่า เขาได้แต่มองครี๊ดและโฮคัชยักคิ้วให้ ถึงปีศาจทั้งสองจะไม่บอกว่าพวกเขาขบขันเรื่องอะไร แต่ปีศาจแห่งความมัวเมากลับรู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นตัวตลกของผองเพื่อน ดวงตาสีเขียวเข้มประดุจมรกตที่ไม่ได้เจียระไนยทอประกายหงุดหงิดใจใส่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ แต่กระนั้นบรานโดก็รู้ดีว่าตนเองกำลังจ้องมองใครเป็นพิเศษ

    “อย่ามองข้า อย่างนั้นสิ” โฮคัชรีบออกตัวเมื่อมองเห็นสายตาเอาเรื่องของบรานโด ใบหน้าของชายสูงอายุกเพราะคลุมหนังชราขององค์กษัตริย์แห่งโซโลเวียมีรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับจะกวนประสาท “ข้าคิดอย่างนั้นจริงๆ ถึงได้พูดออกไป”

    “เฮ้อ” บรานโดได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกบังคับให้เล่นบทเป็นคนนิสัยไม่ดีที่พาลหาเรื่องคนชราไม่มีผิด แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ทอประกายราวจะสะกดความขบขัน ปีศาจแห่งความมัวเมาจึงเอ่ยถามด้วยความหมั่นไส้ “ไม่ใช่ว่านายกำลังสนุกที่เห็นฉันต้องทำหน้าที่ห้ามปรามมอเดอร์อย่างนั้นหรือ”

    “ก็นิดหน่อย” ปีศาจแห่งความหลอกลวงจรดนิ้วชี้กับนิ้งโป้งเพื่อยืนยันความคิดของตน ก่อนที่เขาจะหันไปมององค์กษัตริย์แห่งฟรํวโกที่นั่งขบฟันจนสันเป็นนูน “เจ้าชายแห่งฟรัวโกเขียนมาว่าอย่างไรบ้าง มอเดอร์”

    ปีศาจแห่งการฆ่าไม่ตอบคำถามนอกจากจะยกแก้วเหล้าของตนขึ้นดื่มเพื่อดับอารมณ์ขุ่นเคือง บรานโดจึงถอนใจแล้วตวัดมือเรียกองเถ้าถ่านของจดหมาย เมื่อรับรู้ข้อความของเจ้าชายจากฟรัวโก ครี๊ดหันไปสอบถามความเห็นจากเพื่อน “เนื้อหาคล้ายๆ กับจดหมายของซิเลซิโอแล้วกับเจ้าทหารรับจ้างที่นายเลือกนะบรานโด”

    “มันไม่ได้คล้ายหรอก เนื้อหามันเหมือนกันราวกับนัดกันเขียนด้วยซ้ำไป” ปีศาจแห่งความมัวเมายิ้มเหยียด ขณะที่ปีศาจหนุ่มแห่งความละโมบก็ได้แต่ครุ่นคิดสงสัย

    ตั้งแต่ได้รับจดหมายจากเจ้าชายแห่งเมทัลลิก ครี๊ดก็รีบส่งข่าวไปโซโลเวียแล้วมุ่งหน้ามาฟรัวโก ก่อนจะมาพบกับบรานโดที่ยืนไม่สบอารมณ์รอเขาอยู่หน้าประตูเมือง ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรโฮคัช เมื่อเข้ามาถึงห้องประชุมที่มอเดอร์จัดไว้โดยเฉพาะก็พบปีศาจแห่งการฆ่าฟันนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในมือของมอเดอร์มีจดหมายที่ยังไม่เปิดอ่าน  หากแต่สีหน้าขุ่นใจของเจ้าตัวก็สื่อได้อย่างดีว่า ปีศาจแห่งการฆ่าฟันคงจะคาดเดาไว้ว่าจดหมายที่อยู่ในมือจะต้องไม่ใช่ข่าวที่ดีอย่างแน่นอน

    ซึ่งที่คาดการเอาไว้ก็ไม่ผิดพลาด เพราะจดหมายของตัวแทนแต่ละประเทศที่เขียนมา มีเนื้อหาไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือ พบผู้หญิงที่ชื่อลอนดิเน่และมังกรสีเงินแล้ว แต่ตัวแทนที่พวกเขาคัดสรรดันไปพบเจ้าหล่อนพร้อมกับตัวแทนประเทศอื่นๆ

    แต่ที่คิดไม่ถึง ก็คือ แทนที่หญิงสาวคนนั้นจะกำจัดตัวแทนของพวกเขา เจ้าหล่อนกลับยินยอมให้สังหารเธอแต่โดยดี โดยมีเงื่อนไขคือให้พวกเขาหาผู้ชนะให้ได้ก่อน ซึ่งครี๊ดก็ได้แต่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายฟังบรานโดเอ่ยชมด้วยความประทับใจในวิธีการตัดกำลังที่บ่งบอกถึงสติปัญญาของเด็กสาวที่นอเช่คัดสรร

     แต่น่าขัดใจสำหรับครี๊ดก็คือ แทนที่เจ้าพวกนั้นจะตีกันหาผู้ชนะให้รู้แล้วรู้รอด กลับวางตัวเป็นผู้สังเกตการณ์และคอยจับตามองซึ่งกันและกัน เรียกว่า ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเสียจนน่าหมั่นไส้ ข้อดีเพียงข้อเดียวที่ปีศาจแห่งความละโมบพอรับได้ก็คือ ทำให้ตัวแทนของอินดิเวียที่เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนมีความเกรงใจจนต้องทำตามกติกาไปด้วยอีกคนหนึ่ง

    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ครี๊ดรู้สึกผิดหวัง ก็คือเรื่องของนอเช่ ทั้งที่คาดหวังเอาไว้ว่าเมื่อพวกเขาได้พบเดเรคและลอนดิเน่ก็จะต้องได้ข่าวคราวของนอเช่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ตัวแทนพวกเขาต่างยืนยันตรงกันว่าไม่พบนอเช่ ถึงแม้จะได้พบกับเดเรคในร่างของเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจแล้วก็ตาม

    เดเรคเปิดเผยตัวตนของพวกเขาให้กับตัวแทนทั้งหลายได้รู้ ปีศาจหนุ่มแห่งความละโมบได้แต่นึกสงสัยว่ามนุษย์หน้าโง่ที่ยอมเป้นหมากให้พวกเขาจะคิดอย่างไร และยิ่งเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของพวกเขาเวลาที่รู้ความจริง

    ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นปีศาจจริงๆหรือไม่ ทำไมไม่หลอกล่อเจ้าพวกนั้นมาที่เมทัลลิก ปีศาจแห่งความละโมบได้แต่นึดหงุดหงิดใจพร้อมทั้งนึกไว้ว่า ถ้าซิเลซิโอพาเจ้าพวกมาได้เขาจะเปิดเผยร่างของปีศาจให้เจ้าชายหนุ่มแห่งเมทัลลิกได้รู้เพื่อเป็นของขวัญตามไปในโลกหลังความตายเลยทีเดียว!

     


    “แล้วเราจะเอายังไงกับเรื่องนี้”

    โฮคัชทำท่าเหมือนจะเดือดร้อนกับการมาเยือนของเด็กสาวที่นอเช่คัดสรร สาเหตุที่ปีศาจแห่งความหลอกลวงดูไม่ยินดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะความหวาดหวั่นต่อฝีมือของหญิงสาว แต่เป็นเพราะความเกรงใจในเพื่อนฝูง เนื่องจากเขาผู้เอ่ยปากเองว่าจะไม่ร่วมลงเล่นในการพนันในครั้งนี้

    “เจ้ากำลังดีใจจนตัวสั่นเลยสินะที่อยู่ๆ ก็ได้โอกาสอย่างไม่คาดฝัน“ น่าเสียดายที่ท่าทีกังวลใจของโฮคัชไม่สามารถหลอกลวงให้บรรดาเพื่อนที่รู้นิสัยอันแท้จริงได้ บรานโดตั้งคำถามโดยที่ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มน้อยๆ สายตาที่บอกว่าเขารู้เท่าทัน ทว่าเมื่อเห็นโฮคัชก็ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าเรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัย บรานโดก็หันไปสอบถามความเห็นจากมอเดอร์ราวกับจะบอกว่า เขายินดีให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ปีศาจแห่งการฆ่าฟันต้องการ “แล้วนายจะว่ายังไง มอเดอร์ ถ้าโฮคัชได้โอกาสนี้”

    “ฉันเห็นด้วยถ้าจะให้โฮคัชจัดการ” ครี๊ดออกเสียงก่อนเป็นคนแรกทั้งที่ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบจากมอเดอร์เลยแม้แต่น้อย “ถ้าเป็นเจ้านี่คงมีวิธีปั่นหัวเจ้าพวกนั้นได้สนุกแน่ๆ”

    “อ้อมค้อมเสียเวลา” คำตอบที่ไม่น่าฟังและไม่ใช่สิ่งที่ต้องการของมอเดอร์ทำให้บรานโดได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปมองโฮคัชที่จ้องมองเพื่อนด้วยความยำเกรงเวลาที่ได้ยินความต้องการของปีศาจแห่งการฆ่า “ส่งปีศาจไปกำจัดพวกมันเสียเลยจะได้หมดเรื่อง”

    “แต่ถ้าทำอย่างนั้น เราจะไม่ได้ข่าวของนอเช่นะ” ปีศาจแห่งความมัวเมาแสร้งท้วงลอยๆ ดวงตาสีเขียวประดุจหยกที่ไม่ได้เจียระไนยมองเพื่อนด้วยความคาดหวังบางอย่าง แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อพบว่า ชื่อของปีศาจสาวแห่งความหยิ่งทระนงยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เอามาอ้างอิงได้เสมอ

    “คิดว่าโฮคัชจะหาข่าวของนอเช่ได้อย่างนั้นหรือ” มอเดอร์ปรามาสอย่างไม่ไว้หน้า ปีศาจแห่งการฆ่าหันมองเพื่อนด้วยความไม่เชื่อถือ แต่โอคัชที่ชื่นชอบการเล่นสนุกกับมนุษย์ก็ไม่พลาดที่จะยืนยันอย่างมั่นใจเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส

    “รับรองด้วยพลังปีศาจแห่งความหลอกลวง” โฮคัชออกปากแข็งขัน สีหน้าบอกถึงความหมายมาดต่อความสนุกสนานที่จะเกิดขึ้น “ฉันจะจัดการกับเดเรคแล้วก็เจ้าเด็กพวกนั้นให้สนุก”

    “ดี ข้าอนุญาตให้เจ้าจัดการกับเจ้าพวกนั้น จงทำให้พวกมันสับสนหวาดหวั่นและฝังใจในพลังและอำนาจของพวกเราไปจนถึงโลกหน้า” เมื่อเห็นโฮคัชมั่นใจขนาดนั้น มอเดอร์จึงพยักหน้าเป็นการอนุญาตเรียกรอยยิ้มสมใจจากผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ปีศาจที่สวมหนังของชายชราค้อมศรีษะลงอย่างนอบน้อม ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม “น้อมรับคำสั่ง”

    “ที่สำคัญ” มอเดอร์มองโอคัชด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจและการกำชับ “อย่าให้นอเช่เป็นอันตรายโดยเด็ดขาด ถ้ารู้ว่าเธออยู่ที่ไหนให้รีบส่งข่าวทันที”

    โฮคัชยิ้มร่าเตรียมพยักหน้าอีกครั้งหนึ่งหากแต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อประตูห้องถูกผลักเข้ามาอย่างแรงพร้อมกับใบหน้าแข็งกร้าวของใครคนหนึ่งที่ประกาศลั่น “ไม่มีทาง! ยายเด็กลอนดิเน่กับเดเรคจะไม่มีโอกาสได้ไปโซโลเวียเด็ดขาด!  


     

    ปัง!

    เสียงประตูที่ดีดกลับเพื่อปิดกั้นโลกภายนอกที่อบอุ่นสร้างบรรยากาศให้คุกรุ่นและเหน็บหนาว ความเงียบงันกระจายตัวไปรอบๆ อานาบริเวณของห้องแห่งนั้น เหล่าปีศาจระดับสูงทั้งสี่ที่เพิ่งจะได้ข้อตกลงต่างมองแขกผู้มาใหม่และไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความรำคาญ ความสงสัย และความสนใจ

    “มาสายกว่าที่คิดนะอินดิเวีย” บรานโดดูจะรู้ดีว่าตนเองเหมาะสมที่จะเริ่มบทสนทนากับปีศาจสาวมากที่สุด เนื่องจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจของเจ้าหล่อนที่บอกว่า เธอกำลังอิจฉาริษยาในตัวโฮคัชที่ได้รับมอบหมายในหน้าที่สำคัญและที่ทำให้ปีศาจสาวแห่งความริษยาบังเกิดความริษยามากขึ้นไปอีกก็คือความห่วงหาที่มอเดอร์มีให้กับนอเช่ไม่เปลี่ยนแปลง

    “นั่งลงสิ เหล้าของฟรัวโกวันนี้รสดีกว่าทุกครั้งเลยนะ” ปีศาจหนุ่มแห่งความมัวเมาพยามเชิญชวนเพื่อนสาวให้ร่วมโต๊ะประชุม เขาได้แต่คาดหวังว่าจะทำให้ความอึมครึมของบรรยากาศดีขึ้น ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันจะเป็นไปได้ยากก็ตา

    “คงไม่จำเป็นหรอกมั้ง บรานโด” อินดิเวียประสานสายตาเข้ากับปีศาจแห่งความมัวเมา เธอรู้ดีว่าปีศาจหนุ่มกำลังสงสัยในการมาของเธออยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันไปจ้องมองสายตาที่เต็มไปด้วยความรำคาญของมอเดอร์ที่เหลือบมาแล้วเสไปมองทางอื่น การกระทำของเขาสร้างความน้อยใจให้กับปีศาจสาวอยู่ไม่น้อย “เจ้าของบ้านยังไม่คิดจะเชิญฉันเลย”

    “ไม่เอาน่า อินดิเวีย” ครี๊ดยิ้มหวานเอาใจพลางตบลงที่เก้าอี้ว่างข้างตัว ดวงตายังเต็มไปด้วยด้วยความสนใจในการคัดค้านของปีศาจสาว

    “นั่งเถอะอินดิเวีย ฉันกำลังสนใจว่า อะไรทำให้เธอมั่นใจว่าพวกนั้นจะไม่มาโซโลเวีย ในเมื่อคนของพวกเราต่างก็แจ้งข่าวมาตรงกัน” โฮคัชที่รีบสนับสนุนการกระทำของปีศาจหนุ่มแห่งความละโมบโดยไม่ต้องรอสัญญาณใดๆ พร้อมกันนั้นก็รีบตั้งคำถามด้วยความสนใจในความมั่นใจที่ล้นเหลือพลางยื่นจดหมายของซิเลซิโอที่ได้จากครี๊ดให้อินดิเวีย “หรือว่าเจ้าหญิงแห่งเอควอเลี่ยนส่งข่าวไม่เหมือนกับของพวกเรา”

    “เปล่า” อินดิเวียที่ในที่สุดก็ยอมนั่งร่วมวงสุราเอ่ยปฏิเสธเมื่อเอาจดหมายของเจ้าชายหนุ่มแห่งเมทัลลิกอ่านผ่านตา “จดหมายของเวโรน่าก็คล้ายๆ กับของคนของพวกนายนั่นแหละ”

    “อ้าว! แล้วไหนบอกว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่ไปโซโลเวียยังไงล่ะ” บรานโดนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อเหลือบไปทางมอเดอร์ ปีศาจแห่งความมัวเมาก็แทบจะหัวเราะออกมาเมื่อพบว่า ภายใต้ท่าทีรำคาญใจปีศาจแห่งการฆ่าก็กำลังแอบสนใจการพูดคุยของพวกเขา

    “เพราะฉันจะทำให้เจ้าพวกนั้นเปลี่ยนใจ” ปีศาจสาวแห่งความริษยาเอ่ยแผนการของตนด้วยความมั่นใจ พร้องคลี่ยิ้มบางๆ ทำให้ใบหน้าที่ถึงจะมีรอยแผลเป็นยังคงงดงามดูเต็มไปด้วยเสนห์อันยั่วยวนใจ ก่อนจะประกาศการลงมือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว “แล้วตอนนี้ลูกเต๋าก็ได้ทอยไปแล้วอีกไม่นานทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ฉันหวัง”

    “ทำอะไรว่องไวสมเป็นเธอ” ครี๊ดเอ่ยชมทั้งที่นึกเสียดายที่ตนเองคิดไม่ถึงมาก่อน คำชมของปีศาจแห่งความละโมบเรียกรอยยิ้มกว้างจากอินดิเวียได้อย่างง่ายดาย ใบหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยประหนึ่งนางพญาที่เหนือกว่าใครๆ แต่ไม่นานนักอาการเชิดของปีศาจสาวแห่งความริษยาก็ต้องเปลี่ยนเป็นการนั่งคอแข็งเมื่อได้รับคำตำหนิซึ่งมาจากปีศาจผู้ได้ปกครองฟรัวโก “ทำอะไรไม่เข้าท่า”

    ครี๊ดกับโฮคัชก็หันไปสบตาเป็นสัญญาณว่าบรรยากาศกำลังกร่อยขึ้น ส่วนบรานโดก็หันไปถลึงตามองเพื่อห้ามปรามเพื่อน แต่การกระทำของปีศาจแห่งความมัวเมาไม่ได้ทำให้มอเดอร์ยอมสงบปากสงบคำแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้บรานโดต้องกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างพอจะเดาว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้เห็นมอเดอร์หันมาสบตากับอินดิเวียตรงๆ แล้วเอ่ยคำสั่งที่บอกว่า ปีศาจสาวจะต้องทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว “ยับยั้งสิ่งที่เจ้าได้ลงมือทำไปซะ หรือไม่ก็แก้ไขให้เด็กพวกนั้นไปที่โซโลเวียเหมือนเดิม”

    “ทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าสั่ง” อินดิเวียถามเสียงแข็งก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง มือทั้งสองข้างตบลงที่โต๊ะด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด ดวงตาสีม่วงเข้มจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ความเงียบงันก่อตัวขึ้นท่ามกลางกระแสความกดดันที่ต่างสาดใส่กัน

    “เพราะข้าต้องการให้เจ้าทำเช่นนั้น” มอเดอร์มองปีศาจสาวด้วยสายตาขุ่นมัวไม่สร่างซา ซึ่งนั่นก็ไม่คลาดไปจากการความคิดของปีศาจตนอื่นๆ เท่าใดนัก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างไม่ชอบใจในความเห็นของปีศาจแห่งการฆ่าฟันนั่นก็คือคำพูดของเขานั้นมีแต่สิ่งที่เรียกว่าคำสั่งแต่ไร้ซึ่งเหตุผล “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ข้าเพิ่งจะตกลงใจให้เป็นธุระของโฮคัช”

    “ทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้” อินดิเวียเอ่ยถามเสียงสูง พยายามสะกดความกราดเกรี้ยวของตน ดวงตาสีม่วงเข้มปีศาจสาวแห่งความริษยาจ้องมองปีศาจหนุ่มแห่งการฆ่าด้วยสายตาราวกับจะตัดพ้อ ไม่นานนักใบหน้างดงามยังมีรอยยิ้มที่เย็นเยียบ ก่อนจะเพิ่มความเย้ยหยันยามที่เอ่ยคำถามถึงความรู้สึกที่แท้จริง “หรือว่าเจ้ากลัวข้าจะทำอะไรนอเช่สุดที่รักของเจ้าล่ะ มอเดอร์”

    ได้ยินคำถามของปีศาจสาว บรานโด ครี๊ด และโฮคัชก็ทำหน้ากลัดกลุ้มใส่กัน พวกเขาต่างพร้อมใจกันทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ที่ดีด้วยการนั่งมองอย่างเงียบๆ เพราะมีความเห็นตรงกันว่า ถึงจะพูดอะไรออกไปก็ปีศาจทั้งสองก็ไม่คิดจะใส่ใจฟังอยู่แล้ว

    “อย่างเจ้านะหรือ อินดิเวีย” ดวงตาสีโลหิดฉายความไม่พอใจในคำพูดของปีศาจสาว มอเดร์มองอินดิเวียชนิดศรีษะจรดปลายเท้า ราวกับจะเน้นย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างของเธอและนอเช่ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเป็นใคร แล้วนอเช่เป็นใคร”

    “ข้าก็คือ อินดิเวียแห่งความริษยา ส่วนยายนั่นก็คือนอเช่แห่งความหยิ่งทระนงยังไงล่ะ” ปีศาจสาวแห่งความริษยาแจ้งสถานะของตนเองอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาที่ทอประกายออกมาบ่งบอกว่าตนเองไม่ได้มีสิ่งใดที่ด้อยกว่าปีศาจสาวแห่งความหยิ่งทระนง ทว่าเมื่อรอยยิ้มเย้ยหยันของมอเดอร์ และสายตาที่บอกว่าเขาไม่เคยมองเห็นความเท่าเทียมระหว่างปีศาจสาวทั้งสอง ปีศาจสาวแห่งความริษยาก็แทบกรีดร้องออกมา

    “อย่ามองข้าด้วยสายตาอย่างนี้นะมอเดอร์!” อินดิเวียลุกยืนเต็มความสูงพลางตวาดลั่นอย่างโกรธเคือง ทั้งที่อยากจะแสดงความเกรี้ยวกราดให้มากกว่านี้ แต่สายตาปีศาจแห่งการฆ่าที่แสนเย็นชาและไม่เคยมีเงาของเธอสะท้อน ปีศาจสาวแห่งความริษยาก็นึกริษยานอเช่ขึ้นอีกเท่าตัว

    อินดิเวียต้องสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ เธอรู้ดีว่าต่อให้กรีดร้องจนคนทั้งฟรัวโกได้ยิน แต่ปีศาจผู้ครอบครองฟรัวโกก็ไม่เคยจะได้ยินเสียงของเธอ เมื่อคิดได้เช่นนั้นปีศาจสาวแห่งความริษยาก็หาทางทำให้ปีศาจหนุ่มตรงหน้ารู้สึกเจ็บแสบ โกรธแค้น ชิงชัง หรือรู้สึกอะไรก็ได้ที่จะทำให้เงาของเธอสะท้อนอยู่บนดวงตาคู่นั้น

    ในที่สุด ปีศาจสาวก็ยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในความด้อยค่าเมื่อต้องเอาตนเองไปเทียบกับเจ้าหญิงแห่งแดนปีศาจ “จริงอยู่ ที่โลกปีศาจข้าอาจจะด้อยกว่านอเช่ที่เป็นเจ้าหญิงแห่งโลกปีศาจ”

    ได้ยินเช่นนั้น ครี๊ดก็หันไปมองบรานโดราวกับคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบของปีศาจแห่งความมัวเมา ว่าทำไมจู่ๆ ปีศาจสาวแห่งความริษยาก็ยอมรับในความด้อยค่าเมื่อครั้นยังอยู่ในดินแดนปีศาจ แต่แล้วเขาก็ยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่สมกับเป็นอินดิเวียที่พวกเขารู้จัก “แต่ที่แดนมนุษย์ ข้าคือองค์ราชินีแห่งเควอเลี่ยน เป็นหญิงที่งามที่สุด และเป็นปีศาจที่มีพลังไม่แพ้ปีศาจตนใดในดินแดนแห่งนี้”

     เมื่อเห็นว่ามอเดอร์ส่งสายตาสนใจว่าเธอกำลังจะพูดอะไร เธอก็ยิ้มออกมาหวังกวนประสาทและพูดจากวนโทสะอย่างตั้งใจ “เผลอๆ พลังของข้าคงจะมีมากพอที่จะฆ่าแม่เจ้าหญิงแห่งโลกปีสาจที่มาตกอับในแดนมนุษย์ได้ง่ายๆ ราวกับขยี้แมลงสักตัวละมัง”

    แล้วอินดิเวียก็เห็นมือข้างหนึ่งของปีศาจหนุ่มแห่งการฆ่ามีเปลวเพลิงลุกไหม้ ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเขาเป็นอย่างดี แต่ก่อนที่เขาจะลงมือทำอะไรรุนแรงกับเธอ มือข้างนั้นก็สะบัดเปลวไฟให้ไปลุกไหม้ข้าวของต่างๆ ราวกับจะใช้มันเป็นเครื่องระบายความกราดเกรี้ยวที่มี

    “ถ้าเจ้าแตะต้องนอเช่ เจ้าก็จะไม่ต่างอะไรกับแก้วใบนี้” เมื่อรั้งสติของตนเองไม่ให้เผลอทำอะไรรุนแรง มอเดอรก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นบีบจนแหลกละเอียดก่อนจะเกิดเปลวไฟลุกไหม้จนมองไม่เห็นแม้แต่เศษเถ้าธุลี ดวงตาสีโลหิตจ้องมองอินดิเวียราวจะสื่อให้รู้ว่า เขาจะทำเช่นนั้นกับเธอ หากเธอลงมือทำร้ายนอเช่อย่างที่พูดจริงๆ

     

    “มอเดอร์!

    บรานโดเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก ไม่ใช่แค่ปีศาจแห่งความมัวเมา ครี๊ดและโฮคัชเองก็จ้องมองมายังปีศาจแห่งการฆ่าอย่างขุ่นเคือง โดยเฉพาะครี๊ดที่หันมามองอินดิเวียด้วยความเห็นใจ ยิ่งได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่อินดิเวียเผลอแสดงออกมาชั่วครู่ เขาก็ยิ่งไม่พอใจในสิ่งที่มอเดอร์แสดงออกมา

    สำหรับปีศาจแห่งความละโมบ อินดิเวียเป็นเพื่อนที่น่าคบกว่านอเช่ ถึงแม้จะเป็นปีศาจสาวที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาแต่ก็แสดงทุกอย่างอย่างเปิดเผยและยอมรับในความริษยาของตนเอง คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เหมือนกับนอเช่แห่งความหยิ่งทระนงที่ไม่เคยมองพวกเขาด้วยสายของการยอมรับ ความหยิ่งทระนงของนอเช่ทำให้เจ้าหล่อนเป็นพวกใช้สายตามากกว่าคำพูด และการมองของเธอก็ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิด เพราะไม่เคยมองไม่เคยออกว่าปีศาจสาวผู้นั้นคิดอะไร ต้องการอะไร

    ทั้งที่พวกเขาทั้งห้าคนมาก่อน มีพลังและคุณสมบัติที่ไม่น้อยหน้าใคร แต่เมื่อน่อเช่มีต้นกำเนิดพลังเหมือนกับองค์ราชาปีศาจ ปีศาจสาวก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหญิงแห่งโลกปีศาจ เป็นว่าที่ราชินีที่จะได้ปกครองเหล่าปีศาจน้อยใหญ่ โดยที่ไม่มีใครเอ่ยถ่ามพวกเขาสักคำเลยว่า พวกเขาที่เคยเป็นผู้ถูกเสนอชื่อมีความคิดอย่างไรกับการคัดสรรเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อินดิเวียจะบังเกิดความริษยาในตัวนอเช่อย่างท่วมท้น

    “ทำไม นอเช่สำคัญกับเจ้ามากหรือไง” คำถามของอินดิเวียเรียกครี๊ดให้กลับมาสนใจกับสถานการณ์อันตึงเครียด เขาได้แต่มองการตอบโต้ของเพื่อนทั้งสอง ไร้ซึ่งความเห็นใดๆ เนื่องจากรู้ดีว่า คำพูดที่เอ่ยไปอาจจะสร้างความเลวร้ายให้เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

    “แน่นอน ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับนอเช่” คำตอบอันหนักแน่นของมอเดอร์และสายตาทีเหม่อลอยไปทางอื่นราวกับไม่ต้องการจะจ้องมองสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและริษยาของอินดิเวีย ใบหน้างามขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนซีดเผือดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การกระทำของปีศาจแห่งการฆ่าทำเอาครี๊ดแทบจะลุกไปหักคอเพื่อนโทษฐานพูดไม่คิด หากไม่ติดว่าบรานโดและโฮคัชจะถลึงตามองเขาเป็นการปราม

    ถึงจะรู้สึกขัดใจแต่เมื่อเห็นความหงุดหงิดในสายตาของบรานโดและโฮคัช ครี๊ดก็เข้าใจทันทีว่า ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่กำลังขุ่นเคืองใจกับการกระทำเอาแต่ใจของมอเดอร์ แต่ที่ทุกคนยังเลือกเป็นผู้ชมโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ก็มาจากเหตุผลเพียงข้อเดียว ก็คือ คนนอกอย่างพวกเขาไม่สามารถจะแทรกแซงใดๆ  เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของมอเดอร์และอินดิเวีย

    “นั่นสินะ” ในที่สุด อินดิเวียก็ยิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนออกมา ใบหน้าที่เคยไร้สีเลือดดูจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่สำหรับปีศาจทั้งสามกลับคิดว่า ใบหน้านั้นกำลังถูกแช่แข็งให้เป็นแบบนั้นมากกว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ “ไม่ว่าเมื่อไร นอเช่ก็เป็นหญิงที่สำคัญที่สุดในใจของเจ้าเสมอ”

    “และเป็นหญิงที่เจ้าไม่มีทางเอาชนะได้” มอเดอร์สบตากับอินดิเวียตรงๆ เป็นครั้งแรก ในดวงตาสีโลหิตอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างกำลังสะท้อนเงาของปีศาจสาว น่าเสียดายที่ความริษยาที่อัดแน่นไม่สามารถทำให้อินดิเวียมองเห็นภาพเงาของตนบนดวงตาคู่นั้น “นอเช่เป็นปีศาจที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าเจ้า ถึงนางจะมาอยู่ที่ดินแดนมนุษย์นานเกินกว่าจะมีอำนาจเท่าเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำอะไรนางได้ โอนเรื่องนี้ให้โอคัชจัดการไปซะ”

    “แปลว่า เจ้ากลัวข้าจะทำอะไรนอเช่จริงๆ สินะ” อินดิเวียสูดลมหายใจเข้าลึก พลางเคลื่อนกายออกจากโต๊ะประชุม ร่างในอาภรณ์เย้ายวนค่อยๆ เดินห่างจากวงสนทนาของปีศาจไปเรี่อยๆ ใบหน้าฉายแววเศร้าหมองจนเหมือนกับจะยอมจำนนต่อคำสั่งของมอเดอร์

    “แต่เสียใจด้วย” แล้วใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของอินดิเวียก็ฉายความดื้อดึงเอาแต่ใจชนิดว่าคงไม่มีใครห้ามปรามได้ ปีศาจสาวแห่งความริษยายิ้มเหมือนเย้ยให้กับมอเดอร์ด้วยความสาแก่ใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังทำหน้าเกรี้ยวกราดใส่ตน หลังจากได้ยินการตัดสินใจของเธอ “อย่างที่ข้าบอกไปแล้วว่า ลูกเต๋าทอยออกไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้หรอก”

    “อินดิเวีย!” มอเดอร์เรียกปีศาจสาวอย่างโกรธเคือง “มันจะบังอาจมากไปแล้วนะ เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้าอย่างนั้นหรือ”

    “ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ ในเมื่อการได้ทรมานนอเช่ก่อนที่แม่นั่นจะตายด้วยความเคืองแค้น เป็นยอดปราถนาของข้า” อินดิเวียยิ้มเย้ยอย่างสะใจ ยิ่งได้เห็นดวงตาสีโลหิตสะท้อนเงาของเธอทั้งที่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ปีศาจสาวก็ยิ่งสาแก่ใจ แล้วร่างงดงามขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนหันไปบอกลาปีศาจตนอื่นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เสแสร้งว่าเริงร่า “ข้าจะกลับรอรับชัยชนะที่เอคอวเลี่ยน พวกเจ้าเตรียมเรียกข้า ว่าองค์ราชินีได้เลย”

    “รู้ใช่ไหมว่าทำอะไรลงไป” มอเดอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว ทำให้ร่างบอบบางในอาภรณ์ยั่วยวนซึ่งกำลังเอื้อมไปสัมผัสบานประตูเพื่อเปิดออกหยุดชะงัก ปีศาจสาวก็สะบัดเดินออกไปทางประตูมองเห็นสายตาไม่ชอบใจที่มอเดอร์มีให้เธอไม่เปลี่ยนแปลง

    “แน่นอน มอเดอร์” อินดิเวียที่ใช้มือข้างหนึ่งยึดบานประตูเอาไว้ หันมายิ้มบางๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา ปีศาจสาวยืนยันความต้องการของตนเองราวกับไม่กลัวคำข่มขู่ที่เคยได้รับ “ถึงแม้เจ้าจะบอกว่า จะทำให้ข้าไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี หากข้าแตะต้องนอเช่ก็ตาม”

    มอเดอร์นิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจรับรู้ได้ถึงความผิดแปลกของปีศาจสาว เพราะถึงจะชอบพูดจาประชดประชันแต่อินดิเวียก็ทำตามความต้องการของเขาทุกครั้ง ปีศาจแห่งการฆ่าจึงนึกไม่ถึงว่าเธอกล้าขัดใจทั้งๆ ที่รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนหากทำเช่นนั้น “เจ้ามันบ้า”

    “อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้” อินดิเวียยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจในคำประนามที่เกรี้ยวกราด ดวงตาสีม่วงเข้มจ้องมองปีศาจหนุ่มแห่งการฆ่าด้วยสายตาตัดพ้อ “ข้าเป็นปีศาจแห่งความริษยานะมอเดอร์ เพราะฉะนั้น ถ้าข้าไม่สามารถทำให้เจ้าจดจำข้าได้จะถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ความริษยาของข้าก็คงจะไม่มีวันดับมอด”

     

    ครี๊ดหรี่ตามองดิเนดิเวียด้วยความกังขา เขาเริ่มแน่ชัดแล้วว่า การที่อินดิเวียริษยาในตัวนอเช่อาจจะไม่ใช่เพียงเรื่องการคัดสรรรัชทายาทแห่งแดนปีศาจ แต่ปีศาจหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความสง่างามและเรืองอำนาจเช่นมอเดอร์ต่างหากที่เป้นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

    ปีศาจหนุ่มแห่งความละโมบเหลือบไปมองปีศาจหนุ่มแห่งความมัวเมา ข้อสงสัยนี้บรานโดเป็นผู้ตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้วสมัยที่พวกเขายังอยู่ที่ดินแดนของปีศาจ ปีศาจแห่งความมัวเคยให้ข้อคิดแกพวกเขาในเรื่องนิสัยของผู้หญิง เจ้านั่นบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือมนุษย์ต่างก็ต้องการจะเป็นคนสำคัญสำหรับคนที่ตนเองมีใจมากที่สุด

    “มันจะไม่มีทางเป็นเช่นนั้น” มอเดอร์ตอบด้วยความมั่นใจ สายตาของเขาอ่อนละมุนลงเมื่อนึกถึงปีศาจสาวแห่งความหยิ่งทระนง ซึ่งการกระทำของเขาก็ไม่ได้ต่างจากการเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟในใจของอินดิเวีย “นอกจากนอเช่ ข้าก็ไม่เคยเห็นใครในสายตา”

    ครี๊ดได้แต่ถอนหายใจ เขารู้สึกว่ากำลังได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของอินดิเวียทั้งที่ใบหน้างามก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าราวกับแช่แข็งไว้อย่างนั้น เขาได้แต่มองเพื่อนสาวด้วยความเห็นใจแต่ก็ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ที่จะมอบให้ได้ ไม่นานนักเขาก็ได้ยินอินดิเวียยอมรับความจริงที่เจ็บปวด “นั่นสินะ นอเช่อยู่ในสายตาของเจ้าเสมอ”

    อินดิเวียได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เธอไม่พอใจเท่าไรนักที่ไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ แต่ปีศาจสาวแห่งความริษยาเข้าใจดีว่า ไม่ว่าอย่างไร นอเช่ก็ยังคงอยู่ในสายตาของปีศาจแห่งการฆ่าและมีไม่ทางจะลบลืมภาพของนอเช่ได้เลยแม้แต่น้อย “เพราะฉะนั้น ข้าถึงคิดจะกำจัดนอเช่ เพราะอย่างน้อยๆ หากข้าทำสำเร็จ เจ้าก็ต้องเกลียดชังข้าไปจนกว่าโลกนี้จะสลาย”

    “เจ้า!” นี่เป็นครั้งแรกที่อินดิเวียกล้าประกาศเช่นนี้ ปีศาจแห่งการฆ่ามองปีศาจสาวด้วยความขุ่นเคือง มือข้างหนึ่งมีไฟลุกท่วมราวกับจะเผาไหม้ปีศาจสาวให้เป็นจุณ แต่เปลวไฟอันร้อนแรงก็ไม่ทำให้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ดวงตาสีม่วงเข้มที่ดูเย็นชาจนเหมือนกับเป็นน้ำแข็งจ้องมองนิ่งราวกับท้าทาย สายตาสื่ออกมาอย่างชัดเจนว่า วิธีเดียวที่จะทำให้เธอเปลี่ยนใจคือ ปีศาจหนุ่มต้องกำจัดเธอด้วยมือของเขาเดี๋ยวนี้

    ทั้งที่โดยปกติปีศาจหนุ่มจะทำลายทุกอย่างโดยไม่ไว้หน้า แต่การนิ่งเฉยอย่างไม่หวาดหวั่นของอินดิเวียก็ทำให้มอเดอร์ทำได้แค่ชูเปลวไฟค้างไว้ เขาได้แต่ส่งสายตาฮึดฮัดแล้วมองเมินไปทางอื่นอย่างไม่พอใจที่ไม่ได้เห็นท่าทีเกรี้ยวกราดหรือการมองค้อนด้วยความริษยาเช่นทุกครั้ง

    “ทำไมไม่ทำล่ะ เจ้าน่าจะรู้ดีว่า หากไม่กำจัดข้า ข้าก็ไม่มีทางหยุดในสิ่งที่ทำลงไป” เมื่อเห็นปีศาจแห่งการฆ่าได้แต่แสดงเปลวไฟราวกับข่มขู่ อินดิเวียก็เอ่ยถามช้าๆ ไร้ซึ่งคำประชดประชันเหมือนอย่างเคย เมื่อมองเห็นสายตาที่มี่มองมาทางเธอ ปีศาจสาวก็รู้สึกร้อนและมีอะไรบางอย่างจุกในลำคอ “เจ้ารู้ไหม ว่าการที่เจ้ากระทำของเจ้า มันทำให้ข้าอยากจะรู้เหลือเกิน”

    มอเดอร์หันมองด้วยความสงสัย จึงได้พบอินดิเวียยิ้มบางๆ ที่ดูงดงามและเศร้าสร้อยที่สุดในสายตาของเขา มือบอบบางของปีศาจสาวจับบานประตูแน่นอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาหันมามองเธอจึงถามทิ้งท้ายก่อนที่จะหายไปเบื้องหลังประตูราวกับไม่ต้องการจะรับฟังคำตอบ คำถามของอินดิเวียทำให้บรานโด ครี๊ดและโฮคัชหันมองมอเดอร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

    ขณะที่เพื่อนๆ ต่างจับจ้องเพื่อคาดหวังจะได้รับฟังความคำตอบ มอเดอร์กลับทำได้แค่นิ่วหน้าราวกับไขปัญหาไม่ออก อะไรบางอย่างกำลังก่อกวนจิตใจจนมือที่มีเปลวไฟถึงกับดับวูบ อะไรบางอย่างที่ว่านั้นก็คงจะเป็นแววตาและคำถามของอินดิเวียที่จากไป

    ดวงตาสีม่วงเข้มที่เต็มไปด้วยความคาดหวังแต่ก็เจ็บปวด ใบหน้าที่เต็มไปรอยยิ้มแต่กลับมองเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ คำถามที่เหมือนอยากจะรู้คำตอบแต่กลับจากไปโดยไม่ใยดี น้ำเสียงดั่งระฆังแก้วที่วนเวียนอยู่ในสมองจนไม่สามารถสลัดออกไปได้

    “ถ้าข้าตาย เจ้าจะจดจำข้าได้บ้างไหมนะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×