ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลอนดิเน่ เดอ ว็องต์ นางแอ่นแห่งสายลม

    ลำดับตอนที่ #1 : เปิดเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 54


    ดีค่ะ

    ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อวานนี้ไม่ได้มาอัพ พอดีไปช่วยงานรุ่นพี่รับปริญญา (เขาจบโทค่ะ) โอ๋โดนฝนก็เลยไม่สบาย กินยาแล้วเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม วันนี้เลยรับมาอัพแก้ตัวค่ะ 

    เรื่องใหม่นี้ น่าจะให้ความสนุกกับผู้อ่านได้ไม่น้อยไปกว่าเกวน ถึงจะมีเนื้อหาไม่เหมือนกัน แต่ก้ขอให้ทุกคนสนุกกับเรื่องนี้นะคะ แล้วพบกันทุกวันอาทิตย์ค่ะ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------                                                                                                    

                    “ยายจ๋าๆ ทำไมพวกเราจะต้องอยู่แต่ในบ้านทั้งๆที่พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดินอย่างนี้ละจ๊ะ”

                    คำถามอันไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่อยู่บนตักของหญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก มีขึ้นขณะที่เธอกำลังเห็นผู้ที่มีอายุมากกว่าต่างก็ช่วยกันปิดประตูหน้าต่างของบ้านหลังนั้นพร้อมทั้งตรวจสอบว่ามันมั่นคงหนาแน่นจนไม่สามารถจะทำให้ใครหรืออะไรหลุดรอดเข้ามาได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่จะพ้นเวลาที่ดวงอาทิตย์อัสดงไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

                    เด็กน้อยคงสงสัยที่ได้เห็นความหวาดหวั่นบนใบหน้าของคนในบ้าน เธอยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่า ไม่ใช่แค่บ้านของเธอที่ทำเช่นนี้ แต่บ้านทุกหลังในชุมชนแห่งนั้นก็ทำแบบเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ชุมชนของพวกเขาที่ทำเช่นนั้น หากแต่ทุกครัวเรือนของประเทศทั้งห้าที่ตั้งอยู่บนทวีปเอลเปญญาก็ทำแบบเดียวไม่ต่างกัน

                    “ยายจ๋า” เสียงเรียกของเด็กน้อยพร้อมทั้งดวงตากลมโตที่จ้องมองอย่างไร้เดียงสาส่งผลให้หญิงชราต้องโอบกอดร่างน้อยๆ ไว้ในอ้อมกอด นางมองดูท่าทีหวั่นหวั่นของเด็กที่โตมากพอจะรู้ประสาและเข้าใจว่าทำไมทุกบ้านจะต้องทำเช่นนั้น แล้วทำน้ำเสียงที่ร่าเริงพลางยื่นข้อเสนอที่ทำให้กับพวกเด็กต้องยิ้มร่าด้วยความยินดี “เอ้า เด็กๆ อยากฟังนิทานกันไหม”

                    “เย้” เสียงใสๆ ของเด็กดังกันให้เซ็งแซ่โดยเฉพาะเด็กหญิงน้อยๆ บนตักนาง เรียกรอยยิ้มอย่างสมใจที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกอันเศร้าสร้อยของเธอได้ ก่อนที่หญิงชราก็มองเหม่อไปเบื้องหน้าราวกับนึกถึงนิทานที่ท่านกำลังจะเล่าให้พวกเขาฟัง

     

                    “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีก่อน”

                    หญิงชราเริ่มเรื่องราวของนิทานด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและอบอุ่น หากในกระแสเสียงนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและสิ้นหวัง “อย่างที่รู้กันว่าบนทวีปเอลเปญญาของเรามีประเทศอยู่ห้าประเทศ มัลเทลิก เอควอเลี่ยน โซโลเวีย อาร์เบอรี และ ฟรัวโก ที่เป็นประเทศของพวกเรา”

    “ประเทศทั้งห้ามีดินแดนที่มีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน อย่างฟรัวโกของพวกเราจะมีอากาศค่อนข้างร้อนและดูแห้งแล้งกว่าเมื่อเทียบกับโซโลเวียและยังไม่ชุ่มชื้นไปด้วยต้นไม้เหมือนกับอาร์เบอรีที่อยู่ใกล้ๆ กัน“ หญิงชรายังคงเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ขณะที่เด็กๆ ก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครคิดจะสอบถามอะไรทั้งนั้น “ที่ประเทศต่างๆมีความแตกต่างกันขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะภูมิประเทศที่ตั้ง หากแต่ความเชื่อของพวกเราทุกคนกลับคิดว่า เป็นเพราะการได้รับความคุ้มครองจากวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้า”

    “วิญญาณแห่งธาตุคืออะไรค่ะ” เด็กสาวดัวจ้อยคนเดิมเอ่ยซักถามด้วยไม่เคยได้ยินคำเรียกนี้มาก่อน ซึ่งคำถามของเธอก็เรียกสายตาที่ปวดร้าวจากหญิงชราได้ไม่น้อย นางกอดร่างนุ่มนิ่มพร้อมทั้งยิ้มให้เธออย่างอ่อนหวานก่อนจะตอบคำถามนั้น “ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณแห่งธาตุคืออะไร เรารู้กันแค่ว่ามันมีพลังงานที่ทำให้โลกใบนี้เป็นไปอย่างสมดุล ทำให้ปีศาจไม่สามารถอยู่บนดินแดนของเราได้นานนัก ที่แน่ใจอยู่หนึ่งอย่างก็คือ มันได้รับการดูแลและปกป้องจากราชวงศ์ทั้งห้าที่ปกครองประเทศ”

    “ราชวงศ์ทั้งห้าที่ปกครองแต่ละประเทศได้ดูแลประเทศที่ตนเองปกครองอย่างเต็มความสามารถ พวกเขาสนใจในทุกข์สุขของประชาชนอย่างเราๆ ในเวลานั้นพวกเรามีความสุขกันมาก ยามกลางวันก็ทำงานอย่างมีความสุข ยามค่ำคืนก็สังสรรค์รื่นเริงอย่างสนุกสนานเกือบทุกคืน บางครั้งพระราชาก็จะลงมาร่วมเฉลิมฉลองกับพวกเรายามมีเทศกาล บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขไร้ซี่งความหวาดกลัวอย่างเช่นทุกวันนี้

    “แล้วทำไมหนูถึงออกไปนอกบ้าตอนกลางคืนอย่างนั้นบ้างไม่ได้ล่ะจ๊ะ” เด็กน้อยนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานี้ ทำไมเธอถึงไม่มีโอกาสได้ออกไปชมดวงจันทร์ยามค่ำคืน ออกไปดูดวงดาวเล่านิทาน หรือออกไปฟังเสียงจิ้งหรีเรไรร้องเพลงข้างนอกบ้าน คำถามอันไร้เดียงสาทำให้หญิงชราต้องถอนหายใจออกมา

     

    “ก่อนที่ยายจะตอบคำถาม ยายของเล่าให้ฟังอีกนิดหน่อย”

    หญิงชราหันไปยิ้มบางๆ ให้กับหลานสาวก่อนจะบอกเล่าเรื่องที่เธอต้องการจะแจ้งให้ได้รู้อย่างไม่รอคำตอบ “ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกแห่งนี้มักมีสองด้าน มืดและสว่าง ดีและชั่ว หัวเราะและร้องไห้ บนทวีบเอลเปญญาก็เช่นกัน ทวีปของเรามีทวีบคู่ขนานที่มีความชั่วทั้งปวง เราเรียกมันว่าโลกปีศาจ”

    เด็กหญิงถึงกับตาโตยามที่ได้ยินคำว่าปีศาจ ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มขบขันจากผู้เป็นยายได้ไม่น้อย นางโอบกอดเด็กหญิงเอาไว้แนบอกเพื่อปลอบขวัญ “ระหว่างโลกแห่งนี้และโลกปีศาจเราจะมีประตูบานหนึ่งเป็นทางไปมาหาสู่กัน แต่เรียกให้ถูกก็คงต้องบอกว่าเป็นทางที่ปีศาจผ่านเข้ามาเพื่อก่อความวุนวายให้กับโลกของเรามากกว่า

    แต่ประตูบานนั้น ที่พวกเราเรียกกว่า ประตูแห่งสายลม ที่เรียกมันเช่นนั้นเพราะประตูบานนั้นจะมีพายุหมุนคุ้มครองไม่ให้ใครเข้าใกล้มันได้ ซึ่งแน่นอนว่า พวกปีศาจที่คิดจะออกมาก่อกวนพวกเราก็ถูกสายกระแสลมเชือดเฉือนจนชีวิตดับสูญ เล่ากันว่า ยิ่งปีศาจมีพลังมากเท่าไรสายลมก็จะบาดคมและแรงกล้ามากเท่านั้น 
             
                 ดังนั้นจึงไม่มีปีศาจที่ดุร้ายรอดพ้นมาสักคน จะมีก็แต่ปีศาจที่มีพลังอ่อนแอก็อาจจะรอดพ้นมาได้ แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้นานเพราะพลังของวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าได้กัดกร่อนจนต้องตายก่อนที่จะพ้นออกจาก
    ป่าแห่งความสิ้นหวัง อันเป็นที่ตั้งของประตูแห่งสายลมเสียอีก

    แต่ถึงอย่างไร ทุกอย่างในโลกล้วนต้องมีด้านลบของมัน สำหรับสายลมแรงที่พัดประดุจพายุหมุนที่ทำหน้าที่คุ้มครองประตูก็เช่นกัน ว่ากันว่าทุกๆ สิบสองปี ในคืนที่สิ้นปีที่สิบสองที่ข้ามไปสู่เวลาของปีใหม่ สายลมจะอ่อนแรงลงจนทำให้ปีศาจสามารถฝ่าประตูออกมาเพื่อคุกคามมนุษย์ได้มากขึ้น 
                   เพื่อไม่ให้ชาวบ้านอย่างเราต้องถูกพวกปีศาจทำร้าย ทางกษัตริย์ที่ปกครองประเทศทั้งห้าจึงได้ร่วมมือกันด้วยการยกเหล่าทหารกล้าเข้าไปรอรับปีศาจพวกนั้นถึงป่าแห่งความสิ้นหวัง ซึ่งจะกระทำการเช่นนี้ทุกสิบสองปี ทำให้ชาวบ้านอย่างพวกเรานอมหลับได้อย่างเป็นสุข”

     

    น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและความสุขที่เกิดขึ้นในคราวก่อนทำให้เด็กหญิงต้องเขย่าท่อนแขนเพื่อเรียกร้องความสนใจราวกับจะสื่อว่านางยังเล่านิทานไม่จบ ซึ่งก็ทำให้หญิงชราต้องจูบที่แก้มยุ้ยๆ ของเธออย่างรักใคร่แล้วเล่าเรื่องราวต่อจากนั้น

    “แต่เมื่อสิบสองปีก่อน ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น ไม่มีใครบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ป่าแห่งความสิ้นหวัง พวกเรารู้เพียงแค่ว่า สายลมที่คุ้มครองประตูได้หายไป ประตูถูกเปิดกว้าง ทำให้ปีศาจมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามา และที่น่ากลัวก็คือ เล่ากันว่าในบรรดาปีศาจพวกนั้นยังมีที่มีพลังอำนาจสูงมากถึงห้าตัวหลุดออกมาด้วย พวกมันทำลายกองทัพจนสูญสิ้น ลือกันว่าแทบจะหาผู้รอดชีวิตนับคนได้ 

                      ยิ่งไปกว่านั้น ในคืนที่เกิดเรื่องวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าก็ยังสาปสูญอย่างไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร จากนั้นเหล่าประเทศทั้งห้าก็เปลี่ยนไป ราชวงศ์สิ้นความสนใจในทุกข์สุขของประชาชน พวกเขาไม่สนใจว่าตอนนี้มีปีศาจมากมายคอยจับตัวแลกลักพาพวกเราไปเป็นเครื่องสร้างความสำราญและอาหาร สิ่งที่พวกเราทำได้คือการเก็บตัวให้อยู่แต่ในบ้ายามที่สิ้นแสงตะวัน ถึงแม้มันจะไม่ช่วยอะไรมากนั้นแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

     

    “และนี่คือเหตุผลที่ทำให้หนูต้องอยู่แต่ในบ้านในยามค่ำ”

    หญิงชราหันมาบอกกับเด็กน้อยในอ้อมแขน ซึ่งใบหน้าอันไร้เดียงสาดูจะครุ่นคิดจนคิ้วขมวด แล้วเธอก็หันไปถามผู้เป็นยายด้วยความสงสัย “แล้วไม่มีใครคิดจะไล่ปีศาจพวกนั้นกลับไปหรือจ๊ะ หนูจะได้ออกไปดูดวงจันทร์ข้างนอกเสียที”

    “เคยมี แต่พวกเขาตายหมดแล้ว” หญิงชราถอนหายใจอย่างเศร้าสลดยามที่นึกถึงคนที่ยอมอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องความสุขของปวงชน “ปีศาจมีมากเกินกว่าพวกเขาจะต้านทานไหว ยังไม่รวมเหล่าปีศาจระดับสูงที่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”

     “แปลว่าท่านแม่คงจะยังไม่ได้ข่าว” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งฟังนิทานอยู่ที่มุมห้องเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่น้อย ซึ่งก็ทำให้คนในครอบครัวต้องหันมองเขาด้วยความสงสัยรวมไปถึงหญิงชราที่เป็นประมุขของบ้าน “ข่าวอะไรอย่างนั้นหรือ”

    “ได้ยินมาว่าได้มีคนทำหน้าที่รับอาสาปราบปีศาจ ใช้สมญานามว่า 'นางแอ่นแห่งสายลม'” ข่าวคราวของเขาเรียกความตื่นเต้นจากทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี “เห็นบอก ฝีมือดีมาก ถึงกับลือว่า ถ้านางแอ่นบินผ่านไปทางไหน สายลมจะพัดพาให้ปีศาจในที่นั่นดับสลายไปหมด ที่สำคัญยังคิดราคาไม่แพงอีกด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นเราจ้างเขามาบ้างดีไหม” ใครบางคนเสนอความเห็นด้วยประกายแห่งความหวังหากแต่ความหวังและความยินดีก็มลายไปพร้อมกับเสียงทัดทานของประมุขของบ้าน “อย่าเลยไม่มีประโยชน์หรอก”

    “ทำไมล่ะจ๊ะยาย” ได้ยินคำห้ามที่เฉียบขาดของผู้เป็นยาย หลานสาวตัวน้อยจึงอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ ดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดูเหือดแห้งลงราวกับรู้ว่าโอกาสที่จะได้ออกไปชมจันทร์นอกบ้านได้ดูลางเลือนลงอีกครั้ง จนผู้ที่เอ่ยห้ามปรามนึกสงสารก่อนจะชี้แจงเหตุผลที่ทำให้นางตัดสินใจเช่นนั้น

    “เพราะต่อให้มีคนคิดไล่ปีศาจพวกนั้น แต่ตราบใดที่ประตูที่เชื่อมต่อแดนปีศาจยังไร้สายลมคุ้มครองและวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้ายังไม่ปรากฏ ยายก็ยังมองไม่เห็นว่าจะทำอะไรให้ดีขึ้นมาได้เลยลูก” หญิงชราทอดถอนใจด้วยความท้อแท้ เรียกความสิ้นหวังให้กับร่างน้อยๆ ในอ้อมแขน ก่อนที่เธอจะเงยหน้ามองผู้เป็นยายด้วยความสงสัยยามที่ได้ยินคำปลุกปลอบที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

    “แต่ยายก็เชื่อนะลูก” ถึงแม้รอยยิ้มที่มีให้จะดูแห้งแล้ง หากแต่ในดวงตาคู่นั้นก็ยังมีประกายของความคาดหวัง แววตาคู่นั้นเรียกพลังแห่งความหวังให้ลุกโชนในจิตใจของทุกคนในครอบครัวยามที่ได้ยินความเชื่ออย่างคนที่มีศรัทธาต่อเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่สาปสูญ “ยายเชื่อว่าสักวันวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าจะกลับมา ปีศาจจะจากไป ประตูแห่งสายลมจะมีสายลมพัดพา แล้วพวกเราจะกลับมาสงบสุขอย่างเดิม”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×