คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 2.สารท้ารบ
วันนี้มาอัพแต่มืด เพราะยังไม่ได้นอน (ขึ้นเวรอยู่ค่ะ) ขอบคุรสำหรับการติดตามและความเห็นที่บอกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ โอ๋เองก็หวังว่าจะทำให้ทุกคนสนุกเหมือนกันค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยอดหอคอยที่อยู่สูงที่สุดในบรรดาหอคอยของปราสาทที่งดงามของฟรัวโกในยามนี้ดูจะเหน็บหนาวและน่าสะพรึงกลัวมากกว่าทุกค่ำคืน ความเคร่งเครียดที่แผ่ซ่านจากผู้นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุม เก้าอี้ตัวหนึ่งยังว่างอยู่ โดยที่ชายหนุ่มอีกสี่คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ความหวั่นเกรงจากผู้ที่เป็นแขกเริ่มมีมากขึ้นเป็นลำดับยามที่ชายผู้นั่งอยู่บนหัวโต๊ะเริ่มอารมณ์เสีย กับการมาไม่ตรงเวลาของผู้นัดหมายคนสุดท้าย
“ไง ขอโทษนะ ที่มาช้าไปหน่อย” เสียงหวานกังวานของหญิงสาวผู้มาคนสุดท้ายไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายนึกอยากให้อภัยเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเขาทำคือการปรายตามองพร้อมทั้งส่งคำตำหนิมาทางสายตาโดยไม่สนใจว่าร่างที่เข้ามาใหม่จะมีรูปโฉมน่ามองหรือแต่งกายเปิดเผยเนื้อหนังมังสาสักแค่ไหน
หากเป็นคนอื่นคงจะเสียความเชื่อมั่นและถอยหลังไปหลายๆ ก้าว หากแต่เธอกลับไม่ได้แสดงอาการหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่งามจ้องมองคนรู้จักราวกับจะโปรยเสน่ห์ เรียวขาคู่งามยังคงเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยท่วงท่าประดุจนางพญา เมื่อได้ระยะที่เหมาะสมเธอก็หมุนตัวเสียหนึ่งรอบส่งผลให้เส้นผมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยาวสยายต้องปลิวตามแรงเหวี่ยง
“สมเป็นร่างขององค์ราชินีคนงามแห่งเอควอเลี่ยนเลยเห็นไหม” หญิงสาวที่หน้าตาดูแล้วน่าจะมีอายุเกินสามสิบหันมาชื่นชมความงดงามของตนเองก่อนจะอวดให้ใครๆ ในที่นั้นเพื่อหวังฟังเสียงชื่นชม “ถึงจะเหนื่อยไปหน่อยที่ต้องบริหารบ้านเมือง แต่เห็นไหมว่าสิบกว่าปีแล้ว ยังงดงามไม่เปลี่ยนเลย”
“เจ้านั่นหรือเหนื่อย พูดอย่างกับเจ้าลงมือบริหารบ้านเมืองเอง” คำถามกลั้วหัวเราะจากร่างสูงกำยำล่ำสันมองเห็นกล้ามเป็นมัดๆ บนอาภรณ์ที่แสดงถึงชนชั้นระดับราชวงศ์ รวมไปถึงเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและเพชรนิลจินดาบ่งบอกถึงสถานะและประเทศที่ได้ครองครอง แต่สิ่งเหลือนั้นไม่สามารถเย้ายวนใจองค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยน ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากจะเรียกอาการแง่งอนจากเธอเท่านั้น “แล้วนี่ยังไม่เบื่อร่างนี้อีกหรือ อินดิเวีย”
“จะมีใครที่มีร่างอันงดงามและฐานะอันสูงส่งเท่าร่างนี้ได้ล่ะ ครี๊ด” ชายชราที่นั่งมองการโต้คารมของคนทั้งคู่เอ่ยอย่างขบขัน เสียงแหบพร่าของเขายังคงหัวเราะยามที่ได้เหน็บแนมเพื่อน “ดูอย่างเจ้าสิ ชอบร่างกายอันหนุ่มแน่น ชอบเงินตราและเพชรนิลจินดาจนเลือกที่จะปลอมเป็นองค์กษัตริย์แห่งมัลเทลิกเลยไม่ใช่หรือไง”
“เจ้านั่นมันโชคดีที่ทันได้สิงสู่ร่างของกษัตริย์แห่งมัลเทลิกก่อนที่มันจะกลายเป็นอาหารของพวกเร่รอนนั่นต่างหากล่ะ โฮคัซ” ชายที่อยู่เลยวัยกลางคนหันมายักคิ้วให้กับผู้ที่เลือกอยู่ในร่างอันแก่ชรา “จะมีใครเหมือนนาย ขนาดได้กษัตริย์หนุ่มแห่งโซโลเวียมาแบบตัวเป็นๆ นายดันเลือกจะจับเจ้านั่นขังแล้วใช้หนังของอดีตกษัตริย์วัยชราแทน ฉันไม่ใจความคิดนายเลยจริงๆ”
“เพราะเจ้ามันไม่ฉลาดเหมือนข้ายังไงล่ะ บรานโด” ผู้สวมบทบาทเป็นอดีตกษัตริย์แห่งโซโลเวียที่ในเวลานี้ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งเพราะใช้คำล่อลวงผู้อื่นว่าองค์กษัตริย์ได้สวรรคต เอ่ยวาจาดูถูกเพื่อนพร้อมทั้งชี้ข้อดีของการเป็นคนชราให้ได้ฟัง “คนแก่มันถูกละเลย ใครๆก็มองข้าม พูดจาก็น่าเชื่อถือ ทำผิดก็ได้รับการให้อภัยเพราะเห็นว่าอายุมาก ซึ่งข้าคิดว่า มันเหมาะสมกับข้าแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นการที่ข้าเลือกเป็นตัวข้าเองแล้วใช้วิธีสะกดจิตคนอื่นๆ ให้คิดว่าข้าคือกษัตริย์แห่งอาร์เบอรี มันคงจะเป็นวิธีการที่แย่สินะ” บรานโดหันไปเอ่ยถามเพื่อนที่อยู่ร่างของกษัตริย์ชรา ก่อนจะหันไปมองเพื่อนอีกคนที่เอาแต่นั่งเงียบ “แต่ใครจะคิดว่ามอเดอร์จะใจดียอมสะกดทุกคนในฟรัวโกให้เชื่อว่าเขาคือองค์ชายฮีเทเรียส แถมยังได้ขึ้นครองราชย์แทนกษัตริย์ที่ตายไปเสียด้วย”
ปัง!
เสียงของฝ่ามือที่ตบลงบนโต๊ะประชุมจากชายที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหัวโต๊ะ ทำให้วงสนทนาต้องเงียบกริบ ยิ่งได้เห็นสายตาที่ไม่ชอบใจต่อการกระทำของพวกเขาก็ทำให้แขกในที่ประชุมต่างสงบปากสงบคำของตนเองลง ขณะที่อินดิเวียก็รีบนั่งลงบนที่ว่างของเธอยามที่น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างคนที่หมดความอดทน “ข้าไม่ได้เรียกพวกเจ้ามางานเลี้ยงรวมรุ่นกันนะ!”
“แล้วเรียกพวกเราด้วยเรื่องอะไรล่ะ” ถึงแม้บรรยากาศในยามนี้จะดูน่าหวาดหวั่นเนื่องจากเจ้าของสถานที่ยังคงแผ่ความไม่พอใจออกมาไม่ขาดระยะ หากแต่บรานโดก็ยังสามารถใจเย็นแล้วยิ้มแย้มยามที่เอ่ยถามความต้องการของปีศาจที่ได้ครอบครองฟรัวโก “มีอะไรทีทำให้ ’ราชา’ อย่างนายขุ่นเคืองใจได้กันนะ”
น่าเสียดายที่คำถามที่ปนเปไปกับคำเยินยอของบรานโดไม่สามารถทำให้เกิดความพึงพอใจต่อคนที่อาศัยนามฮีเทเรียส ดวงตาสีแดงเข้มราวกับโลหิตจึงมองดูพวกเขาด้วยความไปชอบใจในอาการเฉื่อยชาที่มีขึ้นในขณะนี้ ยิ่งได้เห็นสายตาที่จ้องมองมาราวกับจะถามถึงธุระ เขาก็อดที่จะตำหนิไม่ได้ “อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่รู้ข่าวว่าในเวลานี้ได้มีนักปราบปีศาจออกมากำจัดพวกของเราตามเมืองต่างๆ”
“ก็เคยได้ยิน” อินดิเวียเป็นคนแรกที่ตอบรับในเรื่องของข่าวลือที่เธอไม่เคยสนใจ “เห็นลือว่ามาจากป่าแห่งความสิ้นหวังคิดราคาไม่แพง เผลอๆ ก็ไม่ได้คิดเงินสักนิดเดียว”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจนี่ กำจัดเท่าไรก็ไม่หมดหรอก” ปีศาจที่ได้ครอบครองเมทัลลิกทำหน้าเบื่อหน่ายต่อข่าวที่ได้รับรู้ ครี๊ดหยิบเหรียญทองมาสะท้อนกับแสงสว่างจากคบไฟเล่นราวกับจะสื่อว่าตนเองไม่สนใจต่อข่าวลือนั้น “ประตูที่จะมาที่นี่ก็ไม่มีสายลมมาขวางแล้ว ยังไงก็เพิ่มได้เรื่อยๆ นั่นล่ะ”
“นั่นนะสิ จะกังวลไปทำไมกับแค่นักปราบปีศาจ” เสียงที่แก่ชราของโฮคัชบ่งบอกถึงความไม่ยำเกรงต่อข่าวลือไร้สาระแม้แต่น้อย ก่อนจะยกตัวอย่างที่คิดว่าน่าหวานเกรงมากกว่าเพื่อเปรียบเทียบ “ถ้าเป็นยายนอเช่ก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นค่อยน่าสนหน่อย”
“แต่ในดินแดนแห่งนี้ นอเช่ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้อยู่ดี” อินดิเวียหันไปแสดงความเห็นที่ฉีกออกไปดวงตาทอประกายท้าทายและเหยียดหยามในตุวบุคลลที่พวกเขากำลังพูดถึง “แม่คนสูงส่งนั่น ไม่มีทางจะกัดกินมนุษย์เพื่อดำรงชีพหรอก นี่ก็ไม่ได้ข่าวมาสิบกว่าปี ไม่ใช่ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
“นั่นสินะ“ บรานโดทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ยินชื่อที่ห่างหายไปสิบกว่าปี “พวกปีศาจที่แอบมาจากแดนปีศาจบอกว่ายายนั่นไม่ได้กลับไปในโลกปีศาจ เดเรคก็ด้วย หรือว่าพวกนั้นจะตายไปแล้วจริงๆ”
“อย่างลืมว่าเดเรคคือเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ เจ้านั่นย่อมสามารถอยู่ในดินแดนแห่งนี้นานแค่ไหนก็ได้ ด้วยรูปลักษณ์ของมังกร” น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นยะเยือกและแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังทำให้ไม่มีใครในที่นั้นจะทำเป็นลืมได้ว่าบุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั้นคือปีศาจแห่งการฆ่าฟันที่มีจิตใจอันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“นั่นสินะ ตอนนี้วิญญาณของธาตุก็หายไป ถ้ายายนอเช่จะยังอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลก” ความเห็นที่ปีศาจที่ชื่นชมในทองคำและของมีค่า เรียกความเคร่งเครียดให้กับผู้ที่เข้าประชุมในที่แห่งนั้น ถึงจะบอกว่า ตนเองไม่ได้มีอะไรที่ด้อยกว่าปีศาจสาวที่ทำหน้าที่มาตามพวกตนกลับไป หากแต่ความยำเกรงที่มีต่อเจ้าหล่อนก็ยังไม่คลายหายไปเท่าไรนัก
“ถึงจะยังอยู่ แต่น่อเช่ก็น่าจะอ่อนแอลง ถ้าสิบกว่าปีมานี่ยายนั่นยังอาศัยอยู่ในดินแดนของมนุษย์โดยไม่เสพเลือดเนื้อและวิญญาณของมนุษย์” มุมมองอีกด้านหนึ่งที่ปีศาจสาวมีขึ้นเรียกสายตาใคร่ครวญจากคนอื่นๆ ใบหน้างดมาดขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนยังเบ้ไปเล็กน้อยยามที่นึกถึงปีศาจสาวที่เธอรู้สึกพ่ายแพ้ไปเสียทุกอย่าง “ไม่แน่ ยายนั่นอาจจะขาดสารอาหารจนตายไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้”
“นอเช่ไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก” คำแย้งที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของมอเดอร์เรียกสายตาริษยาจากอินดิเวียได้ไม่น้อยยามที่ตระหนักได้ว่า ปีศาจที่ชื่นชอบการฆ่าฟันยังคงมีความอาลัยต่อตัวปีศาจสาวที่มีความคิดที่ต่างจากพวกตน เพราะความริษยาที่มีไม่เคยลดน้อย ทำให้ปีศาจผู้สิงสู่ร่างของราชินีแห่งเอควอเลี่ยนต้องเชิดหน้าขึ้นและเอ่ยยั่วเย้าอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
“นั่นสินะ เดเรคคงไม่ปล่อยให้ ‘คู่รัก’ อย่างนอเช่ต้องตายหรอก” ปีสาจสาวเน้นคำว่าคู่รักอย่างชัดเจนโดยไร้ท่าทีเกรงกลัวต่อสายตาขุ่นมัวที่ได้รับ “ไม่แน่นะ ที่นอเช่หายไปอาจจะเป็นเพราะหนีตามเดเรคไปอยู่ที่อื่นก็ได้มั้ง”
“เหลวไหล!” คำตำหนิของมอเดอร์ส่งผลให้ปีศาจสาวต้องจ้องตากับอีกฝ่ายเขม็ง ความไม่ชอบใจที่สองปีศาจที่เรื่องอำนาจต่างมีให้แก่กันส่งผลให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก ซึ่งเหล่าผู้ชมที่ได้เห็นการโต้คารมแบบใกล้ชิดต่างก็ไม่ชื่นชอบต่อสถานการณ์เช่นนี้เลยสักคน
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันสักทีเถอะ” ในที่สุด บรานโดก็เป็นฝ่ายยื่นมือมาไกล่เกลี่ย ก่อนจะหันไปคุยกับองค์กษัตริย์แห่งฟรัวโกเพื่อหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วที่เรียกพวกเรามาคุยถึงที่นี่มีอะไรกันแน่มอเดอร์ จู่ๆ เจ้าก็พูดถึงนอเช่คงจะไม่ได้มีความหมายแค่ว่า บังเอิญเจ้าคิดถึงนางขึ้นมาหรอกนะ”
“ฉันไม่ได้บังเอิญคิดถึงนอเช่ขึ้นมาหรอก” คนที่เรียกประชุมเหล่าปีศาจระดับสูงตอบคำถามเสียงเย็น ก่อนที่เขาจะหันไปทำตาขวางใส่อินดินเวียที่ยังไม่เลิกค่อนแคะ ถึงแม้ว่าเจ้าหล่อนจะใช้เสียงที่เบาลงจนไม่ต่างอะไรกับการพึมพัมกับตนเอง “เพราะคิดถึงอยู่ทุกวันนะสิ”
“มอเดอร์!” เสียงเรียกหนักๆ ที่แฝงไปด้วยความตักเตือนไม่ให้เจ้าของนามนึกถือสาหาความในความไม่เหมาะสมของปีศาจสาว ส่งผลให้คนที่ไม่ถนัดการสะกดอารมณ์ต้องขมวดคิ้วอย่างขุ่นมัว หลังจากสงบใจไม่ให้ทำผิดกฎของแดนปีศาจได้ เขาจึงอธิบายเหตุผลที่ทำให้ต้องเปิดประเด็นขึ้นมา “แต่มีข่าวว่านักล่าปีศาจคนนั้นเป็นผู้หญิง สามารถกำจัดปีศาจเหล่านั้นได้ในพริบตา ที่สำคัญ นางยังมีมังกรสีเงินอยู่ไม่ห่างตัว ได้ยินอย่างนี้แล้ว พวกเจ้าคิดยังไง”
“นอเช่กับเดเรค!” ชื่อของคนปีศาจที่เอ่ยถึงเมื่อครู่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของพวกเขาในทันที อาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่ได้พูดคุยถึงบุคคลเหล่านั้น หากแต่ในห้วงลึกของความรู้สึกของเหล่าปีศาจที่มีพลังเกือบเทียบเท่าราชาแห่งแดนปีศาจกลับรู้สึกว่า ถึงเมื่อครู่มอเดอร์จะไม่เกริ่นเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าจะต้องนึกถึงปีศาจที่ทำตัวดีจนน่าหมั่นไส้ทั้งสองตนนั้นอยู่ดี
เพราะจำได้ดีถึงพลังอำนาจของปีศาจสาวและมังกรปีศาจหนุ่ม แววตาแห่งความใคร่ครวญจึงปรากฏบนใบหน้าของทุกฝ่าย สิ่งที่ค้างคาใจพวกเขามีเพียงแค่ว่า หากคนที่กล่าวถึงยังอยู่บนโลกนี้ แล้วทำไมถึงไม่มาพบพวกตน จะมัวไปปราบปีศาจชั้นต่ำพวกนั้นอยู่ทำไม
“พวกนั้นต้องการอะไร” บรานโดอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมา ปีศาจแห่งความมัวเมาดูจะไม่พอใจกับการกระทำที่เป็นปริศนาเช่นนี้ “อยากรู้จริงๆ ว่านอเช่คิดทำอะไร แล้วทำไมเดเรคถึงได้ยอมเห็นดีเห็นงามแบบนี้”
“มีคนเรียกพวกฉันหรือ”
เสียงตอบรับที่ฟังสบายอารมณ์เสียเหลือเกินเรียกให้เหล่าผู้ที่อาศัยยอดหอคอยแห่งฟรัวโกเป็นประชุมต้องลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมทั้งหันไปหาต้นเสียงที่คุ้นเคยด้วยความคาดไม่ถึงปนเปไปกับความหวาดระแวง แล้วเหล่าปีศาจที่อาศัยคราบมนุษย์ก็พากับเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นใบหน้าคมคายของใครคนหนึ่ง ทั้งที่ไม่ได้พบกันมากกว่าสิบปีทว่าทุกคนในที่นั้นก็ยังต้องยอมรับว่า เขาคนนั้นไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ร่างกายที่แลดูสูงโปร่งในชุดสีเงินเข้ากับเส้นผมที่ถักเป็นเปียหลวมๆ ยาวมากพอจะนำมาพันรอบคอ ปอยลมต้องลมพริ้วไหว ใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มเหมือนกับกำลังสนุกเต็มทียามที่ได้เห็นสีหน้าของพวกเขา หากแต่รอยยิ้มนั้นหยุดลงเพียงแค่ริมฝีปากบางเท่านั้น เพราะดวงตาสีดำสนิทดังความืดแห่งอนธกาลกลับจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกรุ่มโกรธอย่างเห็นได้ชัด คนที่ถูกกล่าวถึงหากแต่อยู่ในสถานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังยืนพิงระเบียงของหอคอยอย่างไม่มีท่าทีหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
“เดเรค!” โฮคัชเรียกนามผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาราวกับไม่เชื่อสายตา หากแต่รอยยิ้มเย็นยะเยือกและสายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายราวกับตนเองเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าสมกับฐานะของเจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจก็ดูจะเป็นเครื่องยืนยันความมีตัวตนของเขาได้เท่ากับคำทักทายที่ตอบกลับไป “น่ายินดีที่นายยังจำฉันได้นะ โฮคัช”
“นายรู้ว่าเป็นฉัน!” ปีศาจในร่างขององค์กษัตริย์ชราแห่งโซโลเวียทำน้ำเสียงตกใจยามที่หรี่ตามองผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะสามารถหลอกลวงมังกรปีศาจหนุ่มผู้นี้ได้ เพราะใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มละไมได้ผงกลงหนึ่งครั้งพร้อมทั้งเอ่ยคำเฉลยที่บาดหู
“ฉันต้องจำนายได้อยู่แล้ว ต่อให้นายอยู่ร่างที่แก่ชราสักแค่ไหน นายเองก็ไม่น่าจะประหลาดใจเลยไม่ใช่หรือไง” ผู้ที่มองเห็นร่างที่แท้จริงและล่วงรู้ว่างบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามีใครบ้างทำเป็นมองกราดไปให้ถ้วนทั่วทุกคนแล้วจึงเหน็บแนมอย่างไม่มีความหวาดตัวต่อปีศาจที่มีพลังเหลือล้น
“ต่อให้อยู่ในร่างอันแห้งเหี่ยวของชราหรือสวยสุดโสภาแค่ไหน ต่อให้ใช้นามของมนุษย์แทนชื่ออันแท้จริงหรือเปลี่ยนแปลงนามเป็นอื่นใด ต่อให้สวมแผ่นหนังของมนุษย์หรือปลอมแปลงตนเองในร่างของใครๆ แต่กลิ่นเหม็นสาบของปีศาจอันหยาบช้าของพวกนายมันก็ยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยเตะจมูกของฉันอยู่ดีนั่นล่ะ”
“เดเรค!” เสียงตวาดแหลมของปีศาจสาวอันใช้ร่างสุดโสภาขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนเรียกสีหน้าอันเหนื่อยหน่ายอย่างเสแสร้งจากชายที่ถูกเรียกว่าเดเรคได้เป็นอย่างดี ท่วงท่าสง่างามไร้ซึ่งความหวั่นเกรงทั้งที่ตนเองกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับปีศาจที่มีพลังในระดับสูงมากถึงห้าตน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้พลังของเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจลดน้อยถอยลงไปเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร” หลังจากปล่อยให้อินดิเวียได้ส่งเสียงสูงแหลมอย่างคนโกรธจัดไปสักพักใหญ่ๆ มอเดอร์ที่จ้องมองเขม็งไปยังเดเรคก็เอ่ยถามถึงธุระที่ทำให้มังกรปีศาจหนุ่มมาถึงที่นี่รวมทั้งถามหาปีศาจสาวที่น่าจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน “แล้วนอเช่อยู่ที่ไหน”
“น่อเช่อยู่ที่ไหนฉันไม่ขอตอบ แต่ที่ยายนั่นไม่มาที่นี่เพราะเธอไม่มีธุระอะไรจะคุยกับพวกนาย” คำตอบที่เจือด้วยรอยยิ้มอย่างสาแก่ใจยามที่รับรู้ว่าสามารถเรียกสายตาเกรี้ยวกราดจากปีศาจที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน ดูจะสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ตอบอยู่ไม่น้อย “ถึงจะบอกให้พวกนายยอมกลับแดนปีศาจไปแต่โดยดี มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม”
ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ หากแต่เจ้าชายหนุ่มแห่งเผ่ามังกรปีศาจก็สามารถคาดเดาความคิดของเพื่อนร่วมดินแดนได้ เขาเลิกยืนพิงราวระเบียงเพลางเดินเข้าใกล้ปีศาจที่ทำผิดระเบียบของแดนปีศาจอีกประมาณก้าวสองก้าวก่อนจะแจ้งธุระที่ทำให้ต้องมาปรากฏตัวถึงที่นี่ “ส่วนคำถามที่ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากแค่อยากจะแนะนำใครบางคนให้พวกนายได้รู้จัก”
ยิ่งได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอินดิเวีย บรานโด โฮคัช และครี๊ด เดเรคก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ดูเหมือนว่าปีศาจเหล่านั้นจะอยู่ดีกินดีบนแดนมนุษย์นานมากไปจนเกียจคร้าน พวกนั้นถึงได้แสดงอาการระแวดระวังเช่นนี้ ราวกับลืมไปว่า ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ แต่การเอาชนะปีศาจที่มีพลังเกือบเทียบเท่าราชาปีศาจทั้งห้าตนถือว่าเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าการสอยดาวบนฟ้าเสียอีก
จะมีก็เพียงมอเดอร์ที่ยังรู้ตนเองดีว่า เขานั้นมีพลังมหาศาลแค่ไหน สมกับเป็นคนที่ได้รับการหมายตาจากเหล่าเสนาผู้ใหญ่ในแดนปีศาจ หากนอเช่ที่เป็นธิดาของราชาปีศาจมีใจให้กับปีศาจแห่งการฆ่าฟันเพียงน้อยนิด หนทางสู่การเป็นราชาครอบครองดินแดนปีศาจของมอเดอร์ก็คงจะสะดวกโยธิน เดเรคที่ไม่คิดจะหลบสายตาจากความเกรี้ยวกราดของปีศาจหนุ่มนึกเรื่องราวในอดีตอยู่ในใจ ก่อนจะยุติการทบทวนทุกอย่างแล้วหันไปเรียกใครบางคนจากความมืด “มานี่สิ”
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าดังก้องจากความมืดของระเบียงหอคอย ชวนให้นึกถึงการก้าวย่างที่สม่ำเสมอและดูมั่งคงปราศจากความยำเกรงต่อกลิ่นไอของปีศาจที่มีพลังอำนาจส่งผลให้ผู้ที่เฝ้ารอ ’ธุระ’ ของเดเรคต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกึ่งๆ ประหลาดใจ
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเผยให้เห็นร่างที่ซ่อนตัวจากเงามืด แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาช่วยให้เห็นรองเท้าหนังเก่าๆ ที่ยาวหุ้มเลยข้อเท้าแต่ไม่แน่ใจว่าจะปกปิดไปถึงแค่ไหนเพราะมี ชายกระโปรงสีน้ำตาลปิดบังเอาไว้ทำให้รู้ว่าผู้ที่เจ้าชายมังกรปีศาจต้องการให้พวกเขารู้จักจะต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน ถึงแม้จะสวมประโปรงที่ยาวแต่รูปทรงที่ค่อนข้างบานดูจะช่วยให้การเดินของเธอดูคล่องแคล่ว
ยิ่งเธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เดเรคมากเท่าไร แสงจันทร์ที่สาดส่องก็ช่วยให้ทุกคนได้เห็นตัวตนของเธอมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่รูปร่างที่โปร่งบาง ส่วนเว้าส่วนโค้งที่เหมาะเจาะกับรูปร่างและความสูง เส้นผมสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี เส้นผมตรงที่ละเอียดราวกับไหมชั้นดีสยายเต็มกลางหลัง บนศีรษะคาดด้วยที่คาดผมที่ทำมากจากงาช้างช่วยเปิดเผยดวงหน้าที่นิ่งเฉยทว่าดูงดงามโดยทั้งที่ยังไม่ได้แต่งแต้มรอยยิ้ม
เพราะแสงจันทร์ทำให้พวกเขาได้เห็น และสามารถประเมินได้ว่าเธอน่าจะยังมีอายุประมาณสิบแปด - สิบเก้าเท่านั้น ดวงหน้ารูปหัวใจมีเครื่องหน้าที่เข้ารับกันอย่างเหมาะเจาะ ทั้งคิ้วที่โก่งดั่งคันศร ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องฟ้าเวลากลางวันที่ไร้เมฆฉายแววคมดุ จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากบางสีกุหลาบ ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน อินดิเวียก็เป็นคนแรกที่ปรากฏอาการออกมา แน่นอนว่าสายตาและท่าทีที่เธอแสดงออกบ่งบอกถึงความริษยาต่อสตรีที่เดินไปเคียงข้างเดเรคอย่างเห็นได้ชัด
“นางเป็นใครเดเรค” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจนของผู้ครอบครองร่างโฉมงามขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนส่งผลให้เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจต้องยิ้มออกมาอย่างขบขัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า ยามนี้อินดีเวียเริ่มไม่พอใจในร่างที่นางได้สิงสู่เสียแล้ว ปีศาจสาวแห่งความริษยามักอดรนทนไม่ได้ยามที่เห็นปีศาจหรือมนุษย์หน้าไหนสวยกว่าตน ซึ่งนอเช่ก็เป็นหนึ่งในรายชื่อของศัตรูที่นางลงบันทึกไว้ในข้อหาสวยกว่า มีปีศาจอื่นๆ ให้การยอมรับมากกว่า และมีพลังมากกว่าถึงจะนิดหน่อยก็เถอะ
“จากซ้ายไปขวา มอเดอร์ ปีศาจแห่งการฆ่าฟัน ครี๊ด ปีศาจแห่งความละโมบ อินดิเวีย ปีศาจแห่งความริษยา โฮคัช ปีศาจแห่งการล่อลวง และบรานโด ปีศาจแห่งความมัวเมา” เมื่อหญิงสาวได้มายืนอยู่เคียงข้างเขาเป็นที่เรียบร้อยเดเรคก็เอ่ยแนะนำตัวปีศาจทั้งห้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเอ่ยข้อมูลเพิ่มเติมที่เรียกสายตาเกรี้ยวกราดจากพวกเขาอีกครั้ง “พวกนี้คือปีศาจทั้งห้าที่ฝ่าฝืนกฎของแดนปีศาจด้วยการเข้ามาอยู่ที่แดนมนุษย์ ไม่ต้องบอกเจ้าก็คงจะรู้ว่าพวกเขาได้เสพวิญญาณและเลือดเนื้อของมนุษย์มามากขนาดไหน”
“เดเรค” น้ำเสียงอันเคร่งเครียดที่สื่อออกมาว่าพวกตนกำลังสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ ซึ่งสำหรับเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจก็รู้สึกว่า การรู้จักระงับความเอาแต่ใจของพวกเขาอาจจะเป็นส่วนที่ดีของการอยู่ในแดนมนุษย์ก็ได้
“รู้จักพวกเขาแล้ว เจ้าก็แนะนำตัวเองบ้างสิ” ราวกับรู้ดีว่าเพราะความสงสัยทำให้เหล่าปีศาจที่อยู่ตรงหน้ายังไม่คิดจะทำอันตรายต่อตนและคนที่เข้ามาใหม่ เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจจึงกระตุ้นให้หญิงสาวแนะนำตนเองเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ซึ่งเธอก็แสร้งยิ้มบางๆ ที่สัมผัสได้ถึงความท้าทายก่อนที่จะเอ่ยแนะนำตัว “ลอนดีเน่ เดอ ว็องต์ ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้า”
“เธอเป็นคนที่นอเช่ไว้วางใจให้มาจัดการเรื่องของพวกนาย” คนที่ทำหน้าที่พาหญิงสาวผู้นี้มาแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จัก ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าหล่อน หากแต่ข้อมูลของเขานั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะจากปีศาจทั้งห้าตนอย่างไม่ปิดบังราวกับกำลังขบขันในความคิดของปีศาจสาวที่ไม่มาอยู่ในที่แห่งนี้
“ยายนอเช่ใกล้จะตายหรือไง ถึงได้ส่งเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาให้เป็นอาหารของพวกเรา” โฮคัชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน ปีศาจแห่งการล่อลวงยังคงขบขันไม่เลิกราวกับนี้คือเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา “สวยๆ อย่างนี้ของหวานชั้นยอดเลยนะนี่”
“น่าเสียดาย ข้าล่ะเสียดายเจ้าจริงๆ” ปีศาจแห่งความละโมบมองหญิงสาวด้วยสายตาโลมเลียน่ารังเกียจขณะที่กำลังทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง “เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเจ้ายอมมาอยู่กับข้า ข้าจะขอให้เจ้าพวกนี้ไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าจะต้องบริการข้าเต็มที่หน่อยนะ”
“บ้าน่าครี๊ด” อินดิเวียที่ยังมีรอยยิ้มเยาะหันไปดุเพื่อนด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังก่อนจะให้เหตุผลที่เธอไม่อยากให้เขาทำเช่นนั้น “ข้าจะเอาร่างเด็กคนนี้มาใช้ รับรองว่าทั้งผู้ชายทั้งหลายจะต้องสยบอยู่ใต้เท้าข้า”
“พวกเจ้ามันช่างคิดกันจริงๆ” บรานโดส่ายหัวให้กับเพื่อนๆ และหันไปมองมอเดอร์ที่เอาแต่เงียบตั้งแต่ได้เห็นหญิงสาวนามลอนดิเน่เข้ามาในหอคอย “นี่คือเหยื่อของมอเดอร์ เห็นไหม เจ้านั่นเตรียมพร้อมแล้ว”
ราวกับคำพูดของบรานโดจะเป็นสัญญาณ ปีศาจแห่งการฆ่าฟันก็เรียกพลังสีแดงเพลิงจากมือขวาของตนในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องการสนทนากับเธอเลยแม้แต่น้อยนอกจากความคิดที่จะทำลายแขกที่ไม่ได้รับเชิญของหอคอยให้หายไปจากสายตาหลังจากทนรอดูละครป่าหี่ของพวกเขา
“ถ้านอเช่ไม่มีอะไรจะคุยกับข้า ข้าก็ไม่มีธุระอะไรกับพวกเจ้าอีกต่อไป” น้ำเสียงเย็นยะเยียบบอกถึงบทสรุปของการเจรจาที่เกิดขึ้นก่อนที่พลังของเปลวไฟจะพุ่งตรงใส่เดเรคและดีลอนเน่เพื่อเผาไหม้ให้เหลือเพียงแค่เศษผงดวงตาสีแดงเข้มราวโลหิตฉายแววเกลียดชังยามที่มองดูเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ “ลาก่อน”
เปรี้ยง!
เสียงเปลวเพลิงที่พุ่งตรงไปยังบุคคลที่ยืนเป็นเป้านิ่งที่ระเบียงบังเกิดฟังสนั่นหวั่นไหว เรียกสีหน้าสำราญใจจากปีศาจทั้งห้าได้เป็นอย่างดี พวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า แมลงที่มารบกวนเวลาสนทนาจะต้องมอดไหม้เหลือเพียงแค่เถ้าธุลี
อินดิเวียบ่นเสียดายร่างที่งดงามของลอนดิเน่พร้อมทั้งบ่นน้อยใจที่มอเดอร์รีบกำจัดเดเรคไปก่อนที่เขาจะตกเป็นทาสเสน่หาของเธอ ครี๊ดบ่นเสียดายร่างสวยๆ ที่เขาคิดว่าน่าจะสร้างความรื่นรมย์ ขณะที่โฮคัชก็ได้แต่นึกเสียดายของหวานในค่ำคืนนี้
จะมีก็แต่บรานโดที่เอาแต่ปลอบใจเพื่อขณะที่ตนเองก็กำลังนึกสนุกกับจินตานาการของผู้ที่กำลังถูกย่างสดกับมอเดอรที่ไม่คิดจะปลายตาไปมองเพราะเชื่อว่าไม่มีใครที่จะรอดจากเปลวไปของตนไปได้
แต่แล้วทุกอย่างก็ดูตาลปัตรเมื่อท่ามกลางความคาดไม่ถึงของใครๆ ยามที่เริ่มรับรู้ถึงสายลมร้อนๆ ที่พัดโหมอยู่ตรงหน้า เมื่อหันกลับไปมองกลุ่มเพลิงที่น่าจะเผาไหม้เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจและหญิงสาวชาวมนุษย์ให้สิ้นซาก พวกเขาก็พบว่า เปลวไฟของมอเดอร์ไม่ได้เผาไหม้ให้เหลือแต่จุณ หากทำได้แค่ล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้ เปลวไฟเหล่านั้นไม่สามารถที่จะเข้าใกล้พวกเขาอย่างที่ปีศาจแห่งการฆ่าฟันต้องการได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยปกป้องพวกเขาจากเปลวไฟเหล่านี้!
“ลม!” หลังจากเพ่งพินิจภาพตรงหน้า ครี๊ดก็เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติ เขามองเห็นกระแสลมที่พัดล้อมรอบร่างของเดเรคและหญิงสาวที่ชื่อลอนดิเน่ราวกับคอยปกป้อง ก่อนที่กระแสลมนั้นจะเข้าโรมรันก็เปลวไฟที่พยายามจะบีบอัดเข้าไป การต่อสู่ของเปลวไฟกับสายลมดูดุเดือดเป็นอย่างมาก ประกายไฟที่กระเด็นออกมาเกือบทำให้หอคอยแห่งนี้วอดวายหากไม่ได้อินดิเวียที่พออาศัยพลังวารีจากร่างของราชินนีแห่งเอควอเลี่ยนช่วยระงับเหตุ
ตูม! ในที่สุดศึกของสามลมกับเปลวไฟก็ได้ผลเสมอกัน เสียงระเบิดของการปะทะของพลังแห่งธรรมชาติทั้งสองชนิดเกือบจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงปีศาจและมนุษย์ที่อยู่ที่นั่น หากทางฝั่งปีศาจทั้งห้าจะไม่ได้เปลวไฟจากมอเดอร์เป็นกำแพงขวางขณะที่ทางเจ้าชายมังกรปีศาจะไม่ได้หญิงสาวชาวมนุษย์มายืนขวางหน้าพร้อมทั้งสร้างกำแพงจากสายลม
เพราะรู้ดีว่าพลังที่ระเบิดขึ้นมาความรุนแรงมากขนาดไหน ทั้งปีศาจแห่งการฆ่าฟันและหญิงสาวที่ควบคุมสายลมก็ต่างสร้างกำแพงที่แน่นหนา ใช้เวลาครู่ใหญ่ๆ ความรุนแรงของการระเบิดด้วยพลังแห่งธรรมชาติก็ยุติลง ซึ่งก็เป็นไปพร้อมๆ กับการสลายของกำแพงที่เกิดจากเปลวไฟและสายลม
ทันทีที่กลับเข้าสู่ความปกติ เหล่าปีศาจที่หนีออกมาอยู่ดินแดนของมนุษย์ก็มองหญิงสาวที่ทำหน้านิ่งขณะที่จ้องมองมาทางพวกตนด้วยสายตาคมดุ ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ หากแต่ยามที่ได้เห็นรอยยิ้มขบขันของเดเรค พวกเขาก็จำต้องยอมรับว่านี่คือฝีมือของหญิงสาวที่แนะนำตัวว่าชื่อลอนดิเน่จริงๆ
“โอ๊ะโอ เสมอกันหรอกหรือ” เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจแสร้งทำสุ้มเสียงประหลาดใจ ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยยามมองไปทางเหล่าปีศาจทั้งห้า เรียกอารมณ์ที่คุกรุ่นให้ลุกโชนขึ้นในแทบทันที
อินดิเวียเป็นคนแรกที่คิดลงมือปีศาจสาวแห่งความริษยาก้าวออกมาเบื้องหน้าพร้อมทั้งเรียกลิ่มน้ำแข็งจำนวนมากให้ปราฎขึ้นบนที่ว่างของอากาศเบื้องหน้าก่อนจะสะบัดมือเป็นสัญญาณเริ่มการโจมตี หากแต่ ยังไม่ทันที่ลิ่มน้ำแข็งเหล่านั้นจะได้ขยับจากตำแหน่ง พวกมันก็ถูกกระแสลมที่คมแห่งทรงพลังเข้ากระแทกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกระเด็นปลิวไปทางด้านหลังด้วยฝีมือของหญิงสาวชาวมนุษย์ที่เคยดูถูก
“พลังวารีที่เธอได้มาจะมาจากร่างขององค์ราชินีสินะ” เดเรคที่ประเมินความสามารถของปีศาจสาวได้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสมเพช ยามที่ได้เห็นสะเก็ดของน้ำแข็งบางชิ้นเฉี่ยวเข้าที่ใบหน้างามของราชินีแห่งเอควอเลี่ยนทำให้เธอถึงกับส่งเสียงกรีดร้องออกมา “กรี๊ด!”
“มากไปแล้วนะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ครี๊ดก็เรียกดาบของตนออกมาก่อนจะพุ่งมายังแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาที่สนใจปนเปไปกับความท้าทาย เมื่อได้ระยะที่เหมาะสม ปีศาจแห่งความละโมบก็ตวัดดาบลงหมายจะสร้างบาดแผลให้กับพวกเขา
เคร้ง! เสียงของดาบที่ถูกยกขึ้นมากางกันคมดาบ แสดงให้เห็นถึงความว่องไว ดวงตาสีฟ้าของลอนดิเน่ดูจะฉายแววเย้ยหยันยามที่มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของครี๊ด ท่าทางองค์ราชาแห่งเมทัลลิกจะคาดไม่ถึงว่า จะยังมีใครที่สามารถโต้ตอบเข้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเช่นหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้นี้
พลั่ก! เพราะเอาแต่ครุ่นคิด ปีศาจแห่งความละโมบจึงพลั้งเผลอเปิดช่องว่างให้กระแสลมเข้าโจมตีจนตนเองต้องถอยกรูดออกมา ดวงตาสีสนิมอดไม่ได้จะจ้องใบหน้าที่เจือรอยยิ้มน้อยๆ นั่นด้วยความตกใจก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความกรุ่นโกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและเขาอาจจะลงมือทำอะไรที่รุนแรงขึ้นก็ได้หากจะไม่ได้ยินเสียงตกอกตกใจของบรานโด
“อินดิเวีย ใบหน้าของเธอ” น้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความกังวลของบรานโด ส่งผลให้ปีศาจสาวถึงกับใจเสีย ก่อนจะหยิบกระจกที่พกติดตัวอยู่เสมอออกมาดูใบหน้าที่ตนเอง ก่อนที่เธอจะเบิกตากว้างยามที่เห็นแน่ชัดแล้วว่าสะเก็ดน้ำแข็งที่เฉี่ยวหน้าของเธอเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บแปลบ หากแต่มันยังทำให้ใบหน้าที่งดงามขององค์ราชินีแห่งเอควอเลี่ยนที่เธอสิงสู่ต้องเสียโฉมด้วยรอยแผล ปีศาวสาวแห่งความริษยาถึงกับร้องออกมาอย่างไม่สามารถจะทำใจให้ยอมรับได้
“ไม่! ไม่จริง!” อินดิเวียร้องซ้ำๆ ราวกับต้องการจะปฏิเสธภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปมองลอนดิเน่ด้วยสายตาเกลียดชังและโกรธเคืองอย่างชัดเจน ก่อนที่จะถลาเข้าไปหาหญิงสาวผู้ทำให้เธอเสียโฉมด้วยอาการราวกับนางสิงห์ที่เตรียมจะขย้ำเหยื่อส่งผลให้ผองเพื่อนต้องร่วมกันเข้ายื้อยุดห้ามปรามยามที่ตระหนักได้ว่าเด็กสาวชาวมนุษย์ที่น่อเช่ส่งมานั้นไม่ธรรมดา
“หยุดนะ อินดิเวีย” คำห้ามที่เฉียบของมอเดอร์ที่ดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล ส่งผลให้เหล่าปีศาจที่เข้าห้ามปรามอินดิเวียรวมไปถึงตัวของปีสาจสาวเองต้องหยุดอาการบ้างคลั่งในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้มอเดอร์ที่ดูหงุดหงิดสามารถสงบความรู้สึกอยากจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว
“นายฉลาดมากที่สั่งให้อินดิเวียหยุดอาละวาด” เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจเอ่ยชมเชยคนตรงหน้าอย่างใจจริงพลางหันไปมองคนข้างตัวเป็นสัญญาณให้ยุติการหาเรื่องซึ่งกันแล้วกัน “พอได้แล้วล่ะ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมีเรื่องกับใครนะ ลอนดิเน่”
“ฉันไม่ใช่คนเริ่มเรื่อง” ลอนดิเน่หันไปทำหน้ายุ่งใส่เดเรคราวกับจะประท้วงข้อกล่าวหาของเขา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากปีศาจหนุ่มได้ไม่น้อย จากนั้นเขาก็หันมาเผชิญหน้ากับตัวแทนของกลุ่มปีศาจที่หนีออกจากดินแดน
“วันนี้ฉันแค่อยากมาแนะนำตัวลอนดิเน่ให้พวกนายรู้จักเพราะจากนี้ไป ฉัน นอเช่ และลอนดิเน่จะทำหน้าที่สำเร็จโทษเหล่าปีศาจที่หนีออกจากดินแดนอย่างจริงจังเสียที” ธุระที่ปีศาจหนุ่มประกาศก้องทำให้ปีศาจทั้งห้าต้องส่งสายตาราวกับคำถามไปให้ ไม่มีใครที่จะแสดงความหวาดหวั่นต่อคำประกาจที่ไม่ต่างอะไรกับคำขู่แม้แต่น้อย
“พวกเราคิดว่าเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมามันก็น่าจะนานมากพอที่จะทำให้พวกนายหนีมาอยู่ที่นี่มีชีวิตสนุกสนานจนน่าจะอิ่มตัวได้แล้ว” ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า ปีศาจพวกนี้ไม่มีทางสนใจในคำพูดที่กล่าวออกไปด้วยหวังจะเตือนให้ได้ฉุกใจคิด แต่เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจเอ่ยคำเตือนที่ตนเองคิดว่านี่จะเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย คำเตือนที่ทำให้ปีศาจแห่งการฆ่าฟันต้องเผลอเรียกเพลิงให้ลุกโชนบนฝ่ามือ “ถ้าใครยอมกลับไปเอง องค์ราชาจะไม่ถือโทษเอาความแต่อย่างใด แต่ถ้าใครยังดื้อรั้นที่จะอยู่ที่นี่ ต่อโทษที่รออยู่มีเพียงข้อเดียวคือประหาร!”
“คิดว่าทำได้อย่างนั้นหรือ” น่าจะมีแต่บรานโดและโฮคัชที่ยังสามารถพูดคุยกับเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “นายคงลืมไปว่า ตอนนี้ไม่มีพลังของธาตุทั้งห้า ไม่มีพลังแห่งสายลม ถึงจะมีใครยอมกลับไปแต่ดก็ต้องกลับออกมาอยู่ดีนั่นล่ะ”
“แค่วิญญาณแห่งธาตุหายไป ตามหาก็สิ้นเรื่อง” เดเรคยิ้มละไมราวกับไม่ถือสาพลางหรี่ตามองเหล่าผุ้ที่อยู่ตรงหน้าพร้อมทั้งแสร้งเอ่ยถาม “เพราะดูเหมือนว่า นอกจากมอเดอร์ พวกนายอีกสี่คนก็ไม่ได้ครอบครองวิญญาณแห่งธาตุหรือไม่ก็ยังไม่ได้ทำลายมันไปไม่ใช่หรือไง”
“เจ้า” สีหน้าที่แสดงออกมาราวกับถูกแทงใจดำอย่างรุนแรงเรียกรอยยิ้มอย่างสมใจจากเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจ “ทายถูกสินะ”
ไร้คำตอบใดๆ จากเหล่าปีศาจที่ฝ่าฝืนกฏ หากแต่เดเรคก็หมดความสนใจกับพวกเขา ปีศาจหนุ่มหันไปพยักหน้าให้ลอนดิเน่เก็บดาบของตนเองแล้วก้าวถอยไปข้างหลัง เพียงพริบตาร่างของคนทั้งคู่ก็ยืนตระหง่านอยู่บนราวระเบียง ท่ามกลางความประหลาดใจของปีศาจทั้งห้า แล้วในพริบตา ร่างบอบบางของเธอก็หงายหลังลงไปโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ซึ่งการร่วงหล่นนั้นก็เป็นไปพร้อมกับที่เดเรคได้กระโดดลงไปเช่นกัน
เฮ้ย! เสียงร้องของโฮคัชดังขึ้นด้วยความตกใจ แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้เห็นร่างของหญิงสาวที่แนะนำตนเองว่าลอนดิเน่ลอยอยู่บนห้วงอากาศขณะที่เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจก็กลับสู่ร่างมังกรสีเงิน หากแต่มีขนาดเล็กน่าพกพา ปีกสีเงินกางสยายเพื่อประคองตนให้อยู่เคียงข้างกับหญิงสาว
“จำเอาไว้ ว่านี่คือคำเตือนครั้งสุดท้ายเท่านั้น” มังกรสีเงินที่มีเสียงเดียวกับเจ้าชายแห่งเผ่ามังกรปีศาจเอ่ยตักเตือนเหล่าปีสาจทั้งห้าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะทิ้งทางเลือกให้กับผู้ที่เคยอยู่ร่วมแดนปีศาจก่อนที่เขาจะบินจากไปพร้อมกับหญิงสาวที่ล่องลอยไปตามสายลม “จะกลับไปแต่โดยดีหรือว่าจะถูกลบล้างโดยโทษทัณฑ์ ทางสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่พวกนายก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น