คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1.ความฝัน
วันนี้มาอัพดึก วันนี้ทำงานทั้งวันขึ้นเวรบ่ายด้วย หวังว่าจะไม่โกรธกันนะคะ
มาเริ่มบทที่หนึ่งของนิยายเรื่องใหม่ ขอให้สนุกกับนิยายเรื่องนี้นะคะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท้องฟ้ามืดมิดยามราตรีในคืนนี้ดูไร้ดาว แต่ยังดีที่ยังมีพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า แสงจันทร์ที่สาดส่องช่วยบรรเทาความน่าหวั่นเกรงของป่าแห่งความสิ้นหวัง ช่วยให้เด็กหญิงที่อายุประมาณเจ็ดขวบเดินทางท่ามกลางความน่าสะพรึงของผืนป่าอย่างง่ายดาย
ป่าทั้งป่าดูเงียบสงัด ไม่มีเสียงสีเสียดของกิ่งไม้ นกกลางคืนพร้อมใจกันซ่อนเร้น แม้กระทั่งเสียงจักจั่นเรไรที่เคยขับร้องก็หายไป อาจจะเป็นเพราะในคำคืนนี้มีผู้คนมาบุกรุกความสงบของพวกมัน เหล่าแมลงพวกนั้นจึงพากันหนีหาย
แต่ถึงจะบอกว่าเป็นเพราะมีผู้คนมากมายภายใต้การนำของเหล่ากษัตริย์ทั้งห้าประเทศซึ่งมาที่นี่เพื่อตรวจตราและเฝ้าระวังปีศาจที่จะเร้นลอดออกจากประตูแห่งสายลม ทว่าคนเกินกว่าครึ่งของกองทัพก็พากันหลับไหล เหลือไว้เพียงเวรยามที่ยังคงคร่ำเคร่งกับการตรวจตรา ถึงจะระแวดระวังไม่ให้สิ่งใดเข้ามาเข้าใกล้กองทัพ แต่เวรยามเหล่านั้นกลับไม่รู้เลยว่ายังมีเด็กหญิงคนหนึ่งหลบหนีออกจากกองทัพได้อย่างน่าตำหนิ
เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแสงไฟที่ห่างไกลขึ้นจนมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ หากไม่มีใครสักคนที่อยู่ กันและได้รับคำปลุกปลอบและรับรองความปลอดภัย เธอก็คงจะวิ่งหนีกลับไปในที่พักแล้วใช้ผ้านวมหนานุ่มคลุมตนเองเพื่อหลบซ่อนจากภัยที่ไม่รู้จักที่น่าจะหลบซ่อนอยู่ในความมืดมิด
ถึงการก้าวย่างด้วยความหวาดหวั่น แต่กระนั้นก็ยังเปี่ยมไปด้วยความหวังที่จะได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่ตรงนี้ ในที่สุดสองเท้าน้อยๆ ได้นำเธอมาหยุดตรงลานกว้างอันเป็นใจกลางของป่าแห่งความสิ้นหวัง เมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงก็ถึงกับเบิกตามองด้วยความประทับใจในความยิ่งใหญ่ งดงามและน่าเกรงขาม
ความยิ่งใหญ่ คือแท่นหินที่ยกสูงจากพื้นประหนึ่งเวทีกว้างๆ มีเพียงด้านที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้นที่มีบันไดทอดขึ้นไปประมาณสิบสองขั้น ในใจกลางของมันมีประตูขนาดใหญ่ที่ปิดไม่สนิท ที่บอกอย่างนั้นเป็นเพราะเธอมองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องแคบๆ ระหว่างประตูบานทั้งสองบาน ความสูงของมันมีมากขนาดที่เด็กหญิงต้องเงยหน้ามองและรับรู้ว่า คำว่าสูงเสียดฟ้ามันเป็นเช่นไร
ส่วนความงดงามที่เด็กหญิงรู้สึก ก็คือ แสงสีทองอร่ามที่ทอประกายจากประตู ถ้าจะบอกว่าประตูบานนั้นทำจากทองคำก็คงจะไม่ผิด ลวดลายสลักเสลาอย่างอ่อนช้อย ดูเหมือนกับจะบอกเล่าเรื่องอะไรสักอย่างมีทั้งรู้ของมนุษย์ ต้นไม้ สัตว์ป่า รวมไปถึงรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่รู้จัก ถ้าจะให้หาคำอธิบายก็คงจะเป็นรูปของปีศาจเพราะมันดูน่าหวาดหวั่นและน่ารังเกียจ แต่กระนั้น องค์ประกอบของภาพสลักต่างๆก็ดูงดงามจนน่าหลงใหล
สิ่งสุดท้าย ความน่าเกรงขาม เพียงแค่ประตูบานนั้นมาตั้งโดดเดี่ยวในสถานที่แห่งนี้ เด็กหญิงก็รู้สึกหวั่นเกรงจะแย่ แต่เมื่อมีสายลมหมุ่นพัดผ่านรอบๆ ประตูบานนั้น เธอก็รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้ ถึงแม้สามลมตรงหน้าจะเป็นพายุหมุนที่ความรุนแรงดูบางเบา หากแต่เสียงของสายลมที่ฟังบาดหูก็ไม่ต่างอะไรกับคำเตือนที่ไม่ควรจะมองข้าม และด้วยเสียงที่ไม่ต่างอะไรกับการกรีดร้องนี่เองที่ทำให้เด็กหญิงต้องหยุดชะงักตนเองไว้กับที่
‘ขึ้นไปสิ เสด็จพ่ออยู่ที่หลังประตูบานนั้น’ เสียงแหบทุ้มที่ไม่บ่งบอกอายุ ช่วยให้เด็กหญิงที่เดินนำหน้ารู้สึกมีกำลังใจ แสงจันทร์ที่สว่างในท่ามกลางความมืด ทำให้มองเห็นดวงตาสีเขียวประดุจมรกตเม็ดงามมองชายที่เห็นเค้าหน้าไม่ชัดด้วยความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
‘แต่สายลมนั่น’ เธอเอ่ยถามด้วยความกังวล ยิ่งรับรู้ถึงสายลมที่โบกพัดจนเส้นผมสีดำสนิทที่เหยียดตรงต้องปลิวสยายเธอก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ สิ่งที่เธอได้ประสบและกำลังจะเผชิญต่อไปดูจะเป็นอะไรที่เกินกว่าเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบจะรับได้
‘ไม่เป็นอะไรหรอก’ ชายคนนั้นยังคงยืนยันที่จะให้เธอเดินหน้าต่อไป น้ำเสียงที่ส่งผ่านจึงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและให้กำลังใจ ‘ไม่อยากจะพบเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ แค่เปิดประตูบานนั้น เจ้าก็จะได้เจอกับเสด็จพ่อแล้วนะ เจ้าหญิง’
คำพูดของเขาคนนั้นทำให้เด็กหญิงต้องนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด ใจหนึ่งก็อยากพบพระบิดาที่วันนี้ทำพระพักตร์บึ้งตึงใส่เธอด้วยไม่พอใจที่เห็นเธอแอบติดตามมาด้วยวิธีการหลบซ่อนไปในกองเสบียง ถึงแม้เจ้าพี่ที่อายุมากกว่ากันถึงสิบปีจะช่วยพูดไกล่เกลี่ยและออกหน้ารับผิดแทนว่าเขาเป็นคนชวนเธอให้มาด้วยกัน หากแต่องค์กษัตริย์แห่งอาร์เบอรีก็ไม่ได้เชื่อคำของพระโอรสเลยแม้แต่น้อย ถึงได้ทำเป็นมองไม่เห็นเธอในสายตาและตีหน้ายักษ์ใส่เวลาที่เห็นเธอออกมานอกที่พักชั่วคราว
ที่สำคัญพระองค์ยังไม่เข้ามาพบกับเธอเลยแม้แต่น้อยราวกับต้องการจะกักขังเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในที่พักแห่งนี้ ทำให้เธอที่เฝ้ารออย่างกระวนกระวายและนั่งผิดหวังยามที่เจ้าพี่ที่แสนดีเข้ามาหาพร้อมกับอาการส่ายหน้าก่อนที่จะปลอบโยนให้กำลังใจ สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจหาทางหลบหนีออกมาเองเพื่อที่จะทูลขออภัยโทษ และอาจจะหาพระบิดาไม่พบหากชายที่ยืนอยู่ด้วยกันในเวลานี้จะไม่มาพบแล้วพาเธอมาถึงที่นี่
‘ท่านพ่ออยู่หลังประตูบานนั้นจริงๆ หรือ’ น้ำเสียงไร้เดียงสาเอ่ยถามชายคนนั้นด้วยความไม่แน่ใจ แล้วเธอก็ต้องส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธเมื่อได้ยินคำถามที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ‘เจ้าคิดว่าข้าโกหกอย่างนั้นหรือไง’
‘เปล่านะ!‘ เด็กหญิงรีบเอ่ยปฏิเสธในทันที ถึงแม้ต้องการที่จะเดินไปเปิดประตูเพื่อให้ได้พบกับพระบิดา หากแต่สายตาที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นสายลมที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายคนนั้นยักไหล่พร้อมทั้งเอ่ยปากชวนให้เธอหันหลังกลับราวกับยอมแพ้ให้กับความขี้ขลาดของเธอ
‘ถ้ากลัว ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ อย่างนี้เรากลับไปที่พักกันดีกว่า’ ชายคนนั้นยิ้มบางๆ ราวกับเสียดายหากแต่บนรอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยความดูแคลนที่แม้แต่เด็กอย่างเธอยังสัมผัสได้ และที่ทำให้เด็กหญิงชะงักความคิดที่จะหันหลังกลับพร้อมทั้งเริ่มมีความคิดจะลองดีต่อสายลมที่สิ่งเสียงบาดหู ก็คือ คำพูดที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยามบนวาจาที่หวานหู
‘ป่านนี้พี่ชายของเจ้าหญิงคงจะเป็นห่วง ยังไงเสียท่านก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับธุระในคืนนี้ ไม่น่าแปลกที่พระบิดาของท่านจะไม่พอใจที่เห็นพระธิดาที่ไม่ได้ความเก่งกล้าของพระองค์มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้’
คนๆ นั้นยังคงยิ้มเหยียดให้กัยสายตาที่จ้องมองมาของเธอ ก่อนที่เขาจะปล่อยคำพูดเด็ดที่ทำให้ความหวาดหวั่นต้องหายไป ‘ขนาดพระบิดาซ่อนตรงเองอยู่ด้านหลังของประตูแท้ๆ เจ้าหญิงน้อยของข้ายังไม่กล้าที่จะเปิดมันเลย’
‘ฉันไม่ได้กลัว แล้วก็ไม่ได้ขี้ขลาดอย่างที่ท่านว่านะ’ เจ้าหญิงน้อยหันไปแหววใส่ชายผู้นั้นด้วยสีหน้าที่ถือดี เธอเดินขึ้นไปบนแท่นศิลาตามแรงยุที่ไม่ต่างอะไรกับการล่อลวงนั้น ในเศษเสี้ยงของหัวใจจะเริ่มกลับมาหวาดหวั่นอีกครั้งเมื่อมองเห็นว่าลมหมุนรอบๆ ประตูได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนไม่ต่างอะไรกับพายุ แต่กระนั้นเธอก็สามารถยืนเบื้องหน้าสายลมหมุนที่บ้าคลั่งได้โดยไม่ถูกซัดปลิวไปที่ไหน
‘แค่เปิดประตูข้าก็จะได้เจอกับเสด็จพ่อใช่ไหม’ เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถจะถอยหลังกลับไปได้คนที่ถูกเรียกว่าเจ้าหญิงก็หันไปถามชายที่ยืนอยู่เบื้องล่าง จึงได้รับรอยยิ้มให้กำลังใจแล้วการค้อมศีรษะลงอย่างต้องชื่นชม แต่นั่นก็ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นสีหน้าที่สมใจของอีกฝ่าย ‘ถูกต้อง พระบิดากำลังรอให้คำอภัยและเอ่ยชมเชยต่อความกล้าหาญของพระองค์อยู่ที่หลังประตูบานนี้’
ได้ยินคำพูดเช่นนั้น เจ้าหญิงตัวน้อยก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับสายลมหมุนที่รุนแรงขึ้นราวกับกำลังจะห้ามปรามและต่อต้านการกระทำของเธอ พลังแห่งลมโหมพัดใส่เด็กหญิงให้รับรู้ถึงความหนาวเหน็บ ความคมของกระแสลมที่ถาโถมเวลาที่สองมือของเธอยื่นไปเบื้องหน้าทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด
เสียงสายลมที่หวีดดังอยู่ข้างหูฟังดูแหลมกว่าเมื่อครู่ราวกับว่ามันกำลังจะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อหยุดยั้งเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมือน้อยๆ สามารถแตะสัมผัสกับประตูทองคำเพื่อเปิดให้กว้างขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของชายที่ยืนอยู่เบื้องล่าง!
แล้วเจ้าหญิงน้อยก็ได้รู้ว่าทุกสิ่งที่เธอได้ทำมันเป็นความผิดพลาด!
เพราะทันทีที่มือของเธอเอื้อมไปแตะกับประตูทองคำ เธอก็สัมผัสได้ว่าสายลมที่บ้าคลั่งเมื่อครู่ได้หายไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น รอบๆ ตัวมีเพียงแค่ความเงียบงัน หากแต่ความสงบที่เกิดขึ้นกลับทำให้หัวใจของเด็กหญิงเต้นรัวและเร็ว อะไรบางอย่างกำลังบอกเธอว่า อีกไม่นานนักความสงบที่เกิดขึ้นจะถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ความหวาดกลัวที่จู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาส่งผลให้เธอยังคงยืนนิ่งในขณะที่มือยังแตะค้างอยู่ที่บานประตู ก่อนที่จะใช้เวลาอีกเล็กน้อยข่มความรู้สึกที่มีอยู่เต็มหัวใจแล้วผละมือออกจากประตูตรงหน้า และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นของความน่าหวาดหวั่นที่เธออยากจะร้องขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
วิ้ว! เสียงของสายลมที่ดังบาดหูทำให้เธอเริ่มหันมองตามเสียงราวกับจะมองหาต้นตอ แต่เมื่อได้หันไปเห็น ทุกอย่างก็กลับกายเป็นความลางเลือนสิ่งที่เธอได้เห็นอย่างชัดเจนคือพายุหมุนขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอขึ้นไปหลายช่วงตัว ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรก็รับรู้ว่าการกระทำเหล่านั้นมาช้าเกินไปเสียแล้ว
เมื่อพายุหมุนกลุ่มนั้นได้พุ่งตรงมายังเธอและถาโถมพลังของมันใส่ในร่างของเธอ ความเจ็บปวดที่เกินจะหาคำมาบรรยาย ความเคว้งคว้างราวกับสองเท้าไม่ได้แตะพื้น ความทรมานที่อัดแน่นอยู่ภายในยามที่กระแสลมเหล่านั้นได้แทรกซึมเข้าในร่างของเธอแทบจะทุกอณู ทำให้เธอไม่ได้รู้เลยว่าขณะนี้ร่างของเธอได้ลอยละลิ่วจากประตูตรงหน้ามาร่วงหล่นบนพื้นดินราวกับผ้าผืนหนึ่ง
ปึก! แรงกระแทกจากพื้นดินแข็งๆ ช่วยให้เธอพอจะรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่ความเจ็บปวดเกินกว่าที่ร่างกายจะทานทนก็ทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ เธอได้แต่นอนนิ่งๆ มองเห็นทุกอย่างที่พร่าเลือน ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันทีที่ร่างของเธอหลุดพ้นจากการยืนที่หน้าประตู ประตูทองคำที่เคยงดงามก็เปิดออกกว้าง กลุ่มควันจำนวนมากพวยพุ่งออกมาก่อนที่มันจะกัดกร้อนให้ประตูที่เคยงดงามต้องทรุดโรมเป็นเพียงประตูเก่าๆ ที่หาเค้าเดิมของมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะมีปีศาจน้อยใหญ่แข่งกันออกมาจากประตูบานนั้น พวกมันอาศัยแรงลมที่พัดจากด้านในประตูส่งตัวให้ลอยลิ่วออกมาพร้อมทั้งโห่ร้องด้วยความยินดี
‘สายลมหายไปแล้ว! สายลมหายไปแล้ว! สายลมหายไปแล้ว! พวกเรามาโลกมนุษย์ได้แล้ว! พวกเรามาโลกมนุษย์ได้แล้ว! พวกเรามาโลกมนุษย์ได้แล้ว!’ เสียงหวีดแหลมที่ดังขึ้นด้วยความยินดีดังก้องไปทั่วผืนป่า ร่างที่มีรูปร่างหลากหลายลอยผ่านเด็กหญิงที่นอนแน่นิ่งไม่ต่างกับคนตายอย่างไม่สนใจพร้อมทั้งประกาศความต้องการของพวกมันอย่างคึกคะนอง ‘ทำร้าย ฆ่า ฉีกแขนขา กินเลือดเนื้อ สิงสู่ ก่อความโกลาหล ข้าจะทำให้หมดเลย!’
‘ข้าจะหามนุษย์สวยๆ มาทำเรื่องสนุกๆ’ เสียงปีศาจอีกตัวประกาศพร้อมทั้งหัวเราะเสียงดัง ‘ข้าจะทำให้พวกนางรู้ว่าปีศาจอย่างเรามันเร้าใจกว่ามนุษย์หน้าโง่แค่ไหน’
อย่านะ! อย่าทำพวกเขา! เด็กหญิงได้แต่กรีดร้องห้ามปรามอยู่ในใจ ถึงอยากจะลุกขึ้นห้ามปรามแต่เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองร่างเงาทั้งหลายล่องลอยผ่านไปพร้อมทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา ในเวลานี้เธอเริ่มที่จะรู้แล้วว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปแต่ไม่ทันไร เธอก็ได้ยินเสียงอึกทึกจากทิศทางที่กองทัพตั้งอยู่ เสียงแห่งความโกลาหลและหวาดกลัว เสียงของอาวุธและการเชือดเฉือน เสียงหัวเราะและเสียงที่ร้องโหยหวน ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็สามารถจินตนาการถึงกองทัพที่ถูกปีศาจจำนวนมากเข้าโจมตีและกัดกิน
‘พวกนั้นโวยวายเสียจริง’ เสียงของใครสักคนที่ดังจากหน้าประตูทำให้เธอพยายามจะหันไปมอง แต่ความปวดร้าวจนร่างกายหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถเป็นทำได้ดั่งใจ จึงทำได้แต่นอนฟังเสียงเหล่านั้นด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่านอกจากพวกปีศาจที่คิดจะออกอาละวาด ยังมีพวกปีศาจที่ไม่ทำอะไรผลีผลามหรือเริงร่าไปกับอิสรภาพที่ได้รับ แล้วเด็กหญิงก็ต้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเงาอะไรสักอย่างห้าเงายืนล้อมมองเธอ
‘เด็ก! มานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง’ เสียงที่แหบพร่าอุทานขึ้นก่อนที่จะตั้งคำถามด้วยความอาการประหลาดใจ หากแต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้เขาต้องพิจารณาดูเธอใหม่อีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มต่ำ วิเคราะห์อาการของเธอด้วยสายตาที่แสดงถึงความสมเพชเย้ยหยัน ‘ท่าทางเหมือนกำลังจะตายมากกว่ามานอนเล่นอยู่แถวนี้นะ โฮคัซ’
‘สงสัยว่าแม่เด็กนี่จะเป็นปลดปล่อยพวกเรา ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เง่าเสียเหลือเกิน ไม่ถูกสายลมบาดผิวจนร่างเละก็บุญแล้ว’ เสียงแหลมหวานราวกับผู้พูดเป็นผู้หญิง ร่างๆ นั้นโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนดวงตาที่พร่าเลือนมองเห็นว่าผู้พูดคือผู้หญิงจริงๆ แถมยังสวยเสียด้วย แต่ดูเหมือนว่าความสวยที่เธอมีจะไม่ทำให้ตัวของเธอพึงพอใจสักเท่าไรนัก ‘น่าเสียดาย โตขึ้นคงสวย หรือข้าจะครอบครองร่างของนางดี จะได้สวยกว่านี้ จะได้มีหนุ่มน่าโง่มาสยบแทบเท้า’
‘ว้าว’ เสียงสูงที่ฟังดูน่าเกลียดดังขึ้นด้วยความชอบใจ ‘เด็กคนนี้โชคร้ายจัง ดันเป็นที่ต้องตาของอินดิเวียไปได้’
‘ข้าไม่ได้ถูกใจนังเด็กนี่หรอกนะ ครี๊ด’ น้ำเสียงหวานเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกระฟัดกระเฟียด แต่คนที่ถูกตำหนิก็เอาแต่หัวเราะอย่างสนุกสนานยามที่ได้ยินเหตุของนาง ‘ข้าก็แค่ไม่ชอบใจที่จะมีใครสวยกว่าข้า’
‘อย่าเอาร่างนี้เลย’ เสียงทุ้มที่เย็นยะเยือกเอ่ยห้ามปรามผู้หญิงคนนั้นทำให้วงสนทนาเงียบกริบ ก่อนที่เงาอีกสี่เงาต่างพากันถอยกรูดยามที่ได้ยินเหตุผลของเขา ‘เพราะข้าตั้งใจจะให้รางวัลกับนางสักหน่อย’
‘เดี๋ยวก่อน!’ ก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะได้ให้รางวัลกับเธอ เสียงเรียกรั้งที่เด็กหญิงคุ้นเคยดีก็ดังขึ้นจากป่าทึบก่อนที่จะปรากฏร่างของคนผู้นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอาตัวรอดจากปีศาจที่ล่วงหน้าไปก่อนได้อย่างไร หากแต่การมาของเขาในเวลานี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
‘คนที่พวกเจ้าต้องให้รางวัลคือข้าต่างหาก’ คำท้วงของเขาทำให้ปีศาจทั้งห้าต้องมองหน้ากับก่อนจะพากันหันไปมองชายคนนั้นด้วยอยากรู้ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อทำหน้าที่เจรจา
‘ช่วยกันจับมอเดอร์ไว้ก่อน เดี๋ยวจะคุยไม่ทันจบเรื่อง’ เสียงต่ำๆ บอกกับพรรคพวกของตนก่อนจะหันไปแนะนำตัวของเขาต่อมนุษย์ผู้นั้น ‘ข้าคือบรานโด ปีศาจแห่งความมัวเมา เจ้าเป็นใคร’
‘ข้าคือคนที่ทำให้สายลมแห่งประตูหายไป ข้าคือคนที่ทำพวกเจ้าสามารถออกมายืนอยู่ที่นี่ได้’ ชายคนนั้นตอบคกถามด้วยน้ำเสียงถือดี ‘เพราะฉะนั้น ข้าคือนายของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องมอบพลังและอำนาจให้แก่ข้า บัลลังก์แห่งฟรัวโกจะได้เป็นของข้าเสียที’
‘อ้อ เหรอ’ ปีศาจที่นามว่าบรานโดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสมเพช เขามองคนตรงหน้าชนิดหัวจรดเท้าก่อนจะเดินมาสมทบกับพรรคพวกแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ปล่อยปีศาจที่มอเดอร์ ‘ในฐานะที่นายเป็นหัวหน้าของพวกเรามอเดอร์ เชิญนายให้รางวัลเจ้าหน้าโง่คนนั้นได้เลย’
‘คิดว่าเจ้าจะให้รางวัลกับมันเองเสียอีก’ เสียงทุ้มเย็นยะเยือกของมอเดอร์เรียกเสียงหัวเราะจากบรานโดได้ไม่น้อย เขาสงเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันพร้อมทั้งยั่วแหย่ผู้ที่ยกให้เป็นหัวหน้าที่กำลังแสยะรอยยิ้ม ‘ใครจะกล้าไปแย่งเหยื่อของนาย ฆ่าตัวตายชัดๆ’
‘ดี!’ มอเดอร์เอ่ยอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินไปเผชิญหน้ากับชายคนนั้น ซึ่งเมื่อเห็นใบหน้าของปีศาจตัวนั้นเขาก็ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะดูใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ครุ่นคิด ‘ข้าสมควรจะให้รางวัลกับเจ้าสินะ’
เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าปีศาจตนนั้นจะให้รางวัลกับชายแสนเลวที่คิดการใหญ่เพื่อหวังจะเป็นเจ้านายของพวกปีศาจได้อย่างไร แต่ที่เธอได้ยินก็คือ เสียงกรีดร้องโหยหวนของชายคนนั้น น้ำเสียงบ่งบอกถึงความทรมาน ขณะที่ปีศาจที่ชื่อมอเดอร์จะเอ่ยถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจ ‘ข้าจะให้รางวัลด้วยการกลายเป็นเจ้าแล้วยึดครองฟรัวโก แบบนี้เจ้าจะมีพลังและอำนาจ แต่แค่นามของเจ้าเท่านั้นล่ะนะที่ได้มันไป’
เสียงโหยหวนเงียบไปแล้ว ไม่นานนักเธอก็ได้กลิ่นเผาไหม้ของอะไรสักอย่างขณะที่เสียงหัวเราะของเหล่าปีสาจยังคงกึกก้องพลางเอ่ยถามต่อร่างที่ลุกไหม้ของชายที่ละโมบและโง่เขลา ‘รางวัลแบบนี้พอใจไหมเจ้านาย’
ครืน!
เสียงกึกก้องที่ดังมาจากด้านในของประตูเรียกความสนใจจากปีศาจทั้งห้าได้เป็นอย่างดี พวกเขาหยุดหัวเราะในขณะที่บางตนก็ทำหน้าตาตื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีศาจสาวที่มีนามว่าอินดิเวีย ‘ตายล่ะ ยายนอเช่กำลังตามมาแน่ๆ’
‘ยายคนโปรดของจอมปีศาจคงจะมาตามพวกเราแน่ๆ’ ครี๊ดวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจเท่าไรนัก ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ตรงกับปีศาจที่ชื่อโฮคัซ ‘ยายนั่นมันปีศาจนอกคอก หรือไม่ก็ทำตัวเป็นปีศาจที่ยึดถือนโยบายของท่านจอมปีศาจ ได้ยินข่าวลือว่ายัยนั่นจะได้ครองบัลลังก์แห่งโลกปีศาจไม่ใช่หรือไง’
‘ถ้ามาจับพวกเรากลับไปได้ เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ก็คงจะไม่ได้เป็นแค่ข่าวลือแล้วล่ะ’ ความเห็นของบรานโดทำให้พวกเขาต้องหันไปสบตากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของอินดิเวีย ‘ถ้าพวกเราต้องมาสู้กับยัยนั่นในเวลานี้ มันจะเสียเวลา อย่าลืมกฎของปีศาจ ถ้าอยากอยู่ในดินของมนุษย์ได้นานเท่านาน เราต้องรีบไปจัดการกับจิตวิญญาณของธาตุทั้งห้าให้สำเร็จก่อน’
‘ถ้าอย่างนั้นแยกย้าย หาที่อยู่ที่เหมาะสมกับตัวเองและทำลายธาตุทั้งห้าเสีย จากนั้นค่อยพบกันในวันคืนแรม’ มอเดอร์สั่งให้แยกย้ายซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราวดเร็ว ปีศาจทุกตนดูจะลืมเลือนเด็กหญิงที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างพากันเลือกกองทัพเป็นเป้าหมายเพื่อการประคองชีพของตนเอง จะมีก็เพียงแต่อินดิเวียที่เบนทิศทางไปทางอื่น
‘ข้าจะไปหาร่างที่งดงามสิงสู่ ได้ยินมาว่าราชินีแห่งเอควอเลี่ยนสะสวยกว่าใคร จากนั้นก็จะครอบครองจิตวิญญาณแห่งน้ำ ถ้ายังไงก็เจอกันคืนแรมที่จะถึงนี้แล้วกันนะ’ ปีศาจสาวกลายร่างของตนเองเป็นกลุ่มควันแล้วพุ่งหายไปในท้องฟ้า และนั่นคือเสียงสุดท้ายของกลุ่มปีศาจที่เด็กน้อยได้ยินก่อนที่สายตาของเธอจะเริ่มพร่าเลือน
ตึกๆๆ เสียงของการเคลื่อนไหวที่หน้าประตูก็ทำให้เธอพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายเพื่อพลิกกายให้ไปมองดูว่ายังมีอะไรออกมาจากประตูบานนี้ แล้วเธอก็ได้พบหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง เธอคนนั้นเดินออกจากประตูก่อนจะถอนหายใจให้กับกลุ่มไฟที่แสดงถึงความพินาศของกองทัพ
‘ข้ามาช้าเกินไปหรือนี่’ หญิงสาวผู้นั้นรำพึงเบาๆ ก่อนจะค่อยเดินลงมาจากแท่นหิน ก่อนที่สายตาสีดำสนิทจะมาหยุดอยู่ที่เธอด้วยความสงสัย หากแต่ก็เอื้อมมือมาสัมผัสเธอด้วยความอ่อนโยน ‘ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเด็กน้อย หรือว่าเจ้าคือผู้ปิดผนึกสายลม’
หญิงสาวผู้นั้นมองเธอด้วยความสงสารมือบางนุ่มยังคงลูบศีรษะของเธออย่างปลอบโยน สัมผัสที่ทำให้เธอนึกอยากจะร้องไห้ แต่ก่อนจะได้ร้องออกมาจริงๆ ร่างสูงใหญ่ที่มายืนอยู่เบื้องหลังของเธอก็เรียกความสนใจจากเด็กน้อย ทั้งๆ ที่ร่างกายจะขยับตัวไม่ได้ก็ตาม
‘เจ้าพวกนั้นหนีไปหมดแล้ว เมื่อกี้ฉันไปดูแถวกองทัพ มนุษย์พวกนั้นถูกกินเกือบไม่เหลือ ส่วนไอ้พวกนั้นก็หูไวตาไวชะมัด คงรู้ว่าฉันจะมาเลยเผ่นกันไปหมดแล้ว’ เสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิดกำลังรายงานเรื่องที่ตนเองพบมาให้กับหญิงสาวผู้นี้ฟัง ก่อนที่เขาจะหันมาให้ความสนใจกับเด็กน้อย ‘เธอทำอะไรน่ะ นอเช่’
‘กำลังดูอาการของเด็กชาวมนุษย์’ ดูเหมือนว่าตอบของหญิงสาวจะสร้างความกระจ่างได้มากพอ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นั้นก็มีความฉลาดอยู่เป็นทุน เพราะเขาสามารถเข้าใจอะไรได้หลายอย่าง น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดจึงบ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ ‘ยายเด็กนี่คงมายุ่งกับประตูแห่งสายลมล่ะสิ ปล่อยไปเถอะเดี๋ยวก็ตายแล้ว’
‘นิสัยไม่ดี เดเรค!’ หญิงสาวที่มีนามว่านอเช่หันไปขึงตามองชายที่ชื่อเดเรคด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้แล้วเอ่ยนามที่คุ้นหูเสียเหลือเกิน ‘แล้วพวก มอเดอร์ โฮคัซ บรานโด อินดิเวีย แล้วก็ครี๊ดล่ะ’
‘ไม่รู้เหมือนกัน’ คนที่ไม่ลืมที่จะออกสำรวจรอบๆ นี้ ยักไหล่อย่างคนที่ทำใจได้ว่าจะต้องคว้าน้ำเหลว ‘พวกนั้นรู้ว่าพวกเรามา ถึงได้แยกกันหนี ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีใครอาศัยร่างของพวกมนุษย์ที่ตายไปเพื่อซ่อนไม่ให้เราเจอบ้าง แต่ที่แน่ๆ สัมผัสได้ว่ายายอินดิเวียหนีไปไกลแล้ว’
‘แบบนี้ไม่ดีแน่’ นอเช่แสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เด็กหญิงจะรับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่กำลังลูบผมของเธอนั้นไม่ใช่คน ‘คงไม่ลืมกฎของแดนปีศาจนะ ปีศาจจะอยู่ในแดนมนุษย์ได้แค่วันเดียว’
‘ยกเว้นพวกเผ่าพันธ์สัตว์ปีศาจที่สามารถกลายร่างให้เป็นสัตว์อะไรก็ได้หรือพลังของวิญญาณแห่งธาตุจะหายไป’ ข้อยกเว้นที่เดเรคช่วยเตือนทำให้นอเช่ต้องเม้มปากด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนที่ส่ายหน้าให้กับข้อเสนอของชายหนุ่ม ‘สำหรับฉันที่มีเป็นเจ้าชายของเผ่ามังกรปีศาจก็ไม่เท่าไร แต่เธอที่ไม่ได้มีเชื้อสายของเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจน่ะสิ หรือเราจะเข้าๆ ออกๆ ผ่านประตูนี้ล่ะ’
‘ทำแบบนั้นจะไปได้ไกลแค่ไหนกันล่ะ’ นอเช่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หากแต่ยังหาทางออกได้ ปีศาจสาวก็รับรู้ถึงความไม่สมดุลบนดินแดนของพวกมนุษย์ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าปีศาจที่ดังมาไกลๆ ‘วิญญาณของธาตุหายไปแล้วพวกเราอยู่บนดินแดนได้ตราบนานเท่านานแล้ว ไชโย!’
‘เป็นไปได้ยังไงกัน!’ เดเรคมองความไม่เสถียรของห้วงบรรยากาศที่สื่อให้รู้ว่าวิญาณแห่งธาตุทั้งห้าได้หายไปแล้วจริงๆ อย่างพวกปีศาจน้อยใหญ่พากันโห่ร้อง แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ทำหน้าเหมือนโล่งใจ ‘แต่ก็ดี เธอจะได้อยู่ในดินแดนมนุษย์ไปเรื่อยๆ’
‘แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดหรอกนะเดเรค’ ปีศาจที่สามารถอยู่ในดิแดนของมนุษย์ได้อย่างหน้าชื่นยังคงแสดงอาการหนักใจถึงแม้จะแก้ปัญหาไปได้เปราะหนึ่งก็ตาม ‘อย่าลืมว่าตามข้อตกลงของแดนปีศาจ ในดินแดนแห่งมนุษย์ห้ามปีศาจระดับเดียวกันฆ่าฟันกันเอง แล้วนายก็รู้ใช่ไหมว่าด้วยกฎข้อนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถจัดการกับห้าคนนั้นได้ง่ายๆ’
‘กฎงี่เง่า!’ ได้ยินเช่นนั้นเดเรคก็ทำหน้าเบื่อโลก นี่คือกฎที่ข้อที่ปีศาจหนุ่มจำได้ดีแต่คิดจะแกล้งทำเป็นลืมเพื่อจัดการกับตัวปัญหาระดับเอ เขารู้ดีว่า ถึงนอเช่จะถูกสั่งให้มาจับกุมพวกนั้นแต่เธอก็ไม่เคยคิดฆ่าฟันปีศาจร่วมดินแดนเดียวกันแม้แต่น้อย
แต่สำหรับความเห็นของเขาเจ้าปีศาจจอมสร้างปัญหาทั้งห้าไม่มีทางที่จะยอมกลับไปแบบไม่ขัดขืนอย่างแน่นอน เผลอๆ กฎเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในสมองของพวกเขาเลยด้วย แต่พวกนั้นคงกำลังตื่นเต้นกับดินแดนใหม่ไม่ใช่น้อย ถึงได้พากันไปเพื่อไม่ต้องเสียเวลากับเธอ ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าคงจะมีมนุษย์อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของพวกนั้นอีกมากมายเลยทีเดียว
‘ให้ฉันเป็นคนสังหารปีศาจพวกนั้นได้ไหม’
คำถามที่มาพร้อมกับสายลมทำให้นอเช่ต้องก้มมองร่างเล็กๆ ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตามีชีวิต ก่อนที่เธอจะเบิกตากว้างยามที่แน่ชัดแล้วว่าเสียงที่แว่วมากับสายลมเป็นของใคร ขณะที่เดเรคก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ ‘อะไรกัน เด็กคนนี้ยังไม่ตายอีกหรือ’
‘เป็นไปไม่ได้ ฉันคิดว่าอีกเดี๋ยวเด็กคนนี้ก็จะ...’ นอเช่ทิ้งคำพูดของเธอค้างเอาไว้ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ทำสีหน้าเข้าใจอะไรบางอย่างเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในร่างกายของเธอ ‘พลังแห่งสายลมสถิตย์อยู่ในตัวของเธอ’
‘แต่ร่างกายของเด็กคนนี้คงทนกับพลังมหาศาลนี้ไม่ไหวหรอก’ ถึงจะตื่นเต้นที่เด็กน้อยคนนี้มีพลังของลม แต่เดเรคก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวังเมื่อนึกได้ว่าถึงจะอดทนสักแค่ไหน แต่สุดท้ายจุดจบของร่างเล็กๆ ก็เป็นความตายอยู่ดี ‘พลังนั่นจะกัดกินร่างของเด็กคนนี้จนตาย’
‘ฉันจะช่วยเด็กคนนี้’ นอเช่บอกกับชายหนุ่มก่อนจะก้มมองเด็กหญิงที่กำลังทรมานกับความเจ็บปวด ซึ่งนั่นก็เรียกความสนใจจากเดเรคได้อย่างดี ลางสังหรณ์ที่อัดแน่นของปีศาจหนุ่มทำให้เขาหันไปมองเธออย่างไม่เชื่อสายตายามที่ได้นยินความคิดของเธอ ‘ถ้าฉันเอาจิตวิญญาณของเด็กคนนี้มาไว้กับตัว ร่างของเด็กคนนี้ก็จะปลอดภัย ส่วนวิญญาณของเด็กคนนี้ก็จะปลอดภัยเพราะพลังของสายลมก็ไม่สามารถทำอะไรร่างกายปีศาจอย่างฉันได้’
‘บ้าไปแล้ว!’ เดเรคร้องเสียงหลง ปีศาจหนุ่มแสดงความไม่ชอบใจในความคิดของเธอเป็นอย่างมาก ‘ฉันไม่เห็นด้วย เธอไม่จำเป็นต้องถูกสายลมกัดกินเพื่อเด็กคนนี้’
‘แต่ถ้าเราไม่ช่วยเด็กคนนี้จะตายนะ’ นอเช่ยังยืนยันคำพูดของตนเองพร้อมทั้งอุ้มเด็กหญิงให้ปีศาจหนุ่มเห็นชัดๆ ‘นายก็เห็นนี่ว่าเด็กคนนี้พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เราแล้วจะมีใครช่วยแกล่ะ’
‘แต่ถึงยังไงเด็กคนนี้ก็จะตายอยู่ดี เพราะถึงวิญญาณจะรอดแต่ร่างก็ต้องเน่าสลาย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร’ คำถามอันเกรี้ยวกราดของเดเรคทำให้นอเช่ได้แต่นิ่งงัน แต่ก่อนที่จะทั้งสองจะหาคำตอบได้แก่กัน พวกเขาก็รับรู้สึกสายลมที่โบกพัดโดยรอบก่อนที่จะได้ยินเสียงบางอย่างดังเข้ามาในหัว ‘โปรดให้ฉันอยู่ในร่างของท่าน โปรดให้ฉันได้มีชีวิตต่อไปอีกสักหน่อย และโปรดให้ฉันได้มีโอกาสแก้ไขในสิ่งที่ตนเองทำพลาด ถึงสุดท้ายจะตายก็ไม่เป็นไร ให้ฉันได้มีโอกาสนี้เถอะนะ’
‘เดเรค’ ราวกับคำอ้อนวอนนี้จะบอกไรได้หลายๆ อย่าง นอเช่จึงหันไปสบตากับปีศาจหนุ่มแล้วจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ถึงจะไม่เอ่ยปากถามแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจในความคิดของกันและกันเป็นอย่างดี เพราะเขาก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมทั้งเอ่ยปากอนุญาต ‘อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ’
‘ขอบใจ’ ปีศาจสาวที่จะสละร่างของตนให้จิตวิญญาณอีกดวงได้สิงสู่ยื่นจมูกไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างเอาใจ ซึ่งก็ทำให้เขาต้องยิ้มออกมาด้วยความพอใจไม่น้อย ก่อนจะนึกได้ว่าพวกเขายังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นใครแล้วทำไมเธอถึงได้กลายเป็นผู้เปิดประตูแห่งสายลม ‘แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกัน’
‘จะเป็นใครก็ช่าง’ นอเช่หันมายิ้มกับเขาก่อนจะทำให้ร่างน้อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้น ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองดูร่างที่กำลังจะไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ก่อนจะประกาศนามที่จะใช้เรียกเธอ ‘แต่ฉันจะเรียกเธอว่า...’
“ลอนดิเน่!”
เสียงเรียกอันเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจทำให้เจ้าของชื่อต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก่อนจะทำหน้าประหลาดใจเมื่อมองเห็นตนเอง ก่อนจะเงยหน้าไปสบตากับชายหนุ่มที่ยืนคำหัวเธออยู่ ดวงตาสีดำสนิทฉายแววหงุดหงิด เส้นผมสีเงินของเขายาวตรงและสยายต้องลม ร่างสูงค่อยๆ โน้มหน้าลงมาพร้อมทั้งหรี่ตามองด้วยความไม่ชอบใจแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย “เกิดอะไรขึ้น”
“แล้วนาย ทำไม” ราวกับหญิงสาวจะยังไม่ตื่นลืมตาดี คำถามที่เจือปนไปด้วยความงุนงงจึงทำให้ชายหนุ่มต้องส่ายหน้าอย่างระอาใจแล้วเอ่ยแนะนำให้เธอระลึกเอาเอง “ถ้าจะถามแบบนั้นก็มองดูตัวเองเสียก่อนสิ”
“อ้าว! ฉันทำให้นายต้องออกมาหรือ ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ฝันร้าย” เมื่อก้มมองตนเองพร้อมทั้งระลึกถึงอะไรบางอย่างได้ หญิงสาวก็หันไปยิ้มแหยๆ เป็นเชิงขอโทษก่อนบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ร่าเริง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เอ่ยถามว่าฝันเห็นอะไรแต่เธอก็เต็มใจที่จะเล่าเรื่องของความฝัน “ก็แค่ฝันเก่าๆ”
“เจ้าควรจะลืมมันได้แล้ว” ถึงจะไม่ได้รับคำอธิบายในรายละเอียดของความฝัน แต่เขาก็มีคำเตือนที่เต็มไปด้วยความหวังดีทำให้เธอได้แต่ยิ้มหวาน ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น “ฉันไม่มีทางลืมมันได้แน่ อดทนรอมาตั้งนานในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที”
ไร้คำตอบใดๆ จากชายหนุ่ม เขามองดูหญิงสาวที่ล้มตัวลงนอนราวกับไม่ได้สนใจกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความอ่อนใจก่อนจะยอมเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรายามที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของคืนนี้ “นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่เราต้องทำ”
ความคิดเห็น