โหดอย่างเธอ เจอเซ่ออย่างฉัน เรามารักกันได้ไง? I don't get it - นิยาย โหดอย่างเธอ เจอเซ่ออย่างฉัน เรามารักกันได้ไง? I don't get it : Dek-D.com - Writer
×

    โหดอย่างเธอ เจอเซ่ออย่างฉัน เรามารักกันได้ไง? I don't get it

    ฉัน...กับผู้ชายต่างชาติคนนี้ ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกันได้ แต่ไหง ฉันต้องมาคอยดูแลเขาล่ะ แถมยังต้องมารู้ความจริงทีหลังอีกว่าอีตาบ้านี่คือว่าที่เจ้าบ่าวของพี่สาวที่หนีการดูตัวมา และความจริงข้อที่ว่า...

    ผู้เข้าชมรวม

    181

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    181

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  25 เม.ย. 51 / 14:16 น.
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

         ฟู่ว!...ฉันนอนทอดถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ที่ข้างแก้มยังวางโทรศัพท์มือถือที่เปิดลำโพงสนทนาอยู่ คุณนายสายสวรรค์ทำฉันลำบากใจอีกแล้ว เสียงปลายสายยังคงบ่งบอกถึงความว้าวุ่นใจเป็นที่สุด ฉันพลิกตัวตะแคงฟังเสียงนั้นอย่างเสียมิได้ 
         ช่วยแม่หน่อยเถอะยัยตา เกลี้ยกล่อมพี่เราให้แม่หน่อยนะ ทั้งขอร้องทั้งอ้อนวอนกันขนาดนี้ก็เห็นใจกันบ้างเถอะคุณลูกขา  ทีอย่างนี้ล่ะหวานมาเชียวนะ ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดลึก ก่อนจะพ่นออกมายาวๆ แล้วตอบออกไปอย่างยากลำบาก 
         แม่คะ หนูรู้ว่าแม่ไม่เคยขอร้องหรือบังคับขืนใจให้หนูทำอะไร แต่เรื่องนี้หนูก็อยากขอร้องแม่เหมือนกันนะคะ ปล่อยพี่ฝนไปเถอะค่ะ 
         ถึงแม้ว่าฉันจะเคยเห็นด้วยกับคุณนายสายสวรรค์มาเกือบทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้เห็นทีต้องขอเว้น เพราะยังไงก็รับไม่ได้ ก็จะให้ยอมรับได้ยังไง โลกหมุนมาถึงยุคสองพันแล้วแต่ครอบครัวของฉันยังจะหมุนทวนกระแส จับพี่สาวคนโตคลุมถุงชน ให้แต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ อะ อะ ยอมรับว่ารู้ก็ได้ ได้ยินมาว่าเจ้าบ่าวเป็นลูกชายเพื่อนของอาศักดิ์ดา น้องชายของพ่อที่คุมโรงแรมสาขาย่อยอยู่ที่โตเกียว เห็นว่าทางฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับอัญมณีรายไม่เล็กในญี่ปุ่น อาศักดิ์ดาบอกว่าครอบครัวนี้นิสัยดี น่ารัก รู้จักกันมาหลายสิบปี อีกทั้งเจ้าบ่าวยังเป็นเพื่อนสนิทของอีตาฮาคุจิลูกติดภรรยาของอาศักดิ์ดา ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน หรือจะไม่นับก็ได้ เพราะแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด (โอ๊ย! เริ่มจะงงแล้วนะ) แต่จะยังไงก็ช่าง สรุปก็คือ ไม่เห็นด้วย! 
         แม่กับพ่อบอกเหตุผลที่จับพี่ฝนแต่งงานเพียงสั้นๆ แค่ว่า ไม่อยากให้คบกับทอม ประมาณสองสามปีที่แล้ว ตอนฉันที่รู้ว่าพี่ฝนคบกับพี่บุ้งกี๋เป็นแฟนฉันก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ยังคอยท้วงอยู่บ่อยๆ ว่ายังไงชายจริงหญิงแท้ย่อมดีกว่า แต่เพราะความจริงใจและรักจริงของคู่ทอมดี้ทั้งสองทำให้พวกเขาผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่แพ้คู่รักชายหญิงทั่วไปเลยทีเดียว เห็นแล้วยังอดชื่นชมไม่ได้ จนเมื่ออาทิตย์ก่อนพี่ฝนมาเคาะประตูห้องพัก น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวาย บอกว่าพ่อกับแม่จะจับพี่แกแต่งงาน กำหนดการณ์นัดทานข้าวเพื่อพูดคุยเรื่องงานแต่งวันอาทิตย์หน้า ทุกอย่างดูรวดเร็ว และรีบร้อนเหลือเกิน 
         ยัยตา แม่ขอร้องดีดีแกช่วยไม่ได้ใช่มั๊ย?  น้ำเสียงปลายสาย ดูจริงจังจนเกือบกลายเป็นดุดันขึ้นทันที เมื่อความอดทนในการวิงวอนเริ่มหมดลง 
         อยากหมด อิสรภาพ ก่อนถึงเวลาอันควรใช่มั๊ย?  ประโยคนี้ทำเอาคนรักอิสรภาพอย่างฉันอึ้งไปแปดวิเหมือนกัน ไม่นะ แม่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำนี่นา แม่ต้องไม่ผิดสัญญาสิ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิคะแม่ ได้โปรด ม่าย!... 
         อาทิตย์หน้าเตรียมตัว เก็บข้าวของย้ายกลับมาอยู่บ้านได้เลย! 
         โอ เค ค่ะแม่ หนูจะลองกล่อมพี่ฝนดูนะคะ  ฉันรีบเปลี่ยนใจ ตอบตกลงไปทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา และก็เป็นทันทีเช่นกันที่ปลายสายวางหูไปแบบคนเป็นต่อ ฉันนึกภาพหน้าตาของแม่หลังจากวางสายได้เลย จะให้กลับไปอยู่บ้านน่ะเหรอ เฮอะ! ชีวิตวัยรุ่นก็จบกันน่ะสิ หากต้องกลับไปอยู่บ้านจริงๆ ก็ใช่ว่าจะจบแค่นั้น ยังต้องเตรียมตัวเข้าทำงานกับกิจการโรงแรมของพ่ออีก อึ๋ย... ยกโทษให้เค้าด้วยน้าพี่ฝน 
         เล่าเรื่องกันมาตั้งนาน ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยค่ะ ฉันชื่อ อนัตตา พัฒน์ธนวีลาส ผองเพื่อนพ่อแม่พี่น้องทุกคนเรียก ตา ชื่อจริงเต็มๆ ก็เพราะอยู่หรอกนะไม่ค่อยซ้ำใคร ออกจะปลื้มเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมชื่อเล่นถึงได้เชยระเบิดระเบ้ออย่างนี้นะ เชยสุดๆ ฉันอายุยี่สิบห้า ผิวสีขาวเหลือง สูงหนึ่งร้อยหกสิบ เรียนจบ ป.ตรีมาเกือบสองปีแล้วค่ะ แต่ยังใช้ชีวิตวัยรุ่นได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่เพราะฐานะครอบครัวรวยจนนั่งกินนอนกินได้หรอกนะ เป็นเพราะที่บ้านฉันเรามีข้อตกลงกันไว้น่ะ ว่าลูกๆ ทุกคนนั่นก็คือ พี่ฝน ฉันที่เป็นคนกลาง และบีน น้องชายคนเล็กวัยสิบแปดปี สามารถร่ำเรียนและเลือกใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนาแต่มีข้อแม้ว่า หลังจากที่เรียนจบมาแล้วสองปี จะต้องกลับไปช่วยกันบริหารกิจการโรงแรมของตระกูล โดยในระหว่างสองปีนั้น ลูกทั้งสามคนมีสิทธิ์หายใจทิ้งไปวันๆ หรือจะทำกิจกรรมอื่นใดก็แล้วแต่ใจปรารถนา และสิ่งนั้นจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวและวงศ์ตระกูล พี่ฝนคือคนแรกที่เรียนจบ (มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วจะบรรยายทำม๊าย!...) เวลาสองปีแห่งอิสรภาพที่พี่ฝนเลือกคือ ตามพี่บุ้งกี๋ไปเรียนต่อโทที่อังกฤษ หลังครบกำหนดสองปีที่พี่แกเรียนโทจบ หน้าที่ต่อมาก็คือ ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดในโรงแรมของพ่อ ส่วนฉัน เหอๆ ๆ ๆ หลังจากที่จบ ป.ตรี มาเกือบสองปี ก็เลือกที่จะหายใจทิ้งไปกับการเดินทางและค้นหาตัวเอง ฉันเรียนจบทางด้านภาษาเอกภาษาอังกฤษ แต่สามารถพูดได้มากว่าภาษาที่เรียนมาอีกนะ ก็อย่างเช่น ภาษาลาว ภาษาพม่า ฮ่าๆ ๆ ฉันล้อเล่นน่ะ หัวสมองทึนทึกอย่างฉันเรียนแค่ภาษาเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว ฉันสนุกอยู่กับการเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมกันกับการเก็บภาพเรื่องราวประทับใจในแต่ละสถานที่แต่ละเวลาอย่างมีความสุข ด้านบีน น้องชายคนสุดท้องนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะหลังจากจบมัธยมสามก็ขอย้ายตัวเองไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย โดยอาศัยอยู่กับป้าจิน พี่สาวของแม่ที่ย้ายครอบครัวตามสามีไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่น นี่ถ้าตอนเด็กๆ ฉันมีความกล้าที่จะเผชิญ และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปกับสิ่งแปลกใหม่อย่างน้องชาย ป่านนี้คงจะตะแล๊ดแต๊ดแต๋อยู่ที่ญี่ปุ่นกับอีตาฮาคุจิไปเรียบร้อย อาศักดิ์ดาเคยชักชวนฉันไปอยู่กับฮาคุจิหลายครั้ง แต่เพราะความขลาดในตัว กลัวว่าจะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานที่ใหม่ๆ และภาษาที่ไม่เข้าใจไม่ได้ ประกอบกับตอนนั้นเป็นช่วงปั๊บปี้เลิฟเสียด้วย เพิ่งจะมีรักครั้งแรก อะไรๆ ก็ไม่อยู่ในสายตาเท่ากับเขาคนนั้น เวรกรรมจริงหนอความคิดแบบเด็กๆ แต่ถึงจะเป็นความคิดแบบเด็กฉันก็ยังแอบชอบเขามาได้ตั้งเกือบหกปีและสุดท้ายเขาก็เลือกเพื่อนฉันไม่ใช่ฉัน ฮือ...เศร้า ขอขยายความเรื่องครอบครัวฉันหน่อยนะคะเมื่อกี้อาจไม่ละเอียดกลัวว่าอาจจะเกิดการงงเล็กน้อย อาศักดิ์ดาเป็นน้องชายของพ่อฉันเองค่ะ ดูแลโรงแรมสาขาในญี่ปุ่นจึงไปมีครอบครัวอยู่ที่นั่น ส่วนพ่อของฉันเป็นพี่คนโตจึงรับผิดชอบดูแลสาขาแม่ในไทย ยังมีอีกสาขานะคะอยู่ที่ฮ่องกง แต่ที่นั่นผู้บริหารเป็นคนนอกครอบครัวเราค่ะ 
         หลังจากที่แม่วางสายไป เพิ่งจะพลิกตัวนอนหงายได้ท่าเดียวเสียงดนตรีสายเรียกเข้าเสียงใหม่ก็ดังขึ้นอีก เสียงเพลงเรียกเข้าแบบนี้ฉันจำได้ดีมีอยู่เพียงคนเดียว โอ๊ย! อย่าพึ่งมายุ่งกับชีวิตฉันตอนนี้จะได้มั๊ย!!!!! 
         สวัสดี มายเนโกะจัง!!!! เสียงทักทายเลี่ยนๆ แบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกฉันด้วยชื่อญี่ปุ่น ก็อีตาฮาคุจิที่พึ่งจะกล่าวถึงไปเมื่อตะกี้ไง ตายยากจริง ตานี่ชอบเอาชื่อฉันไปอำคนอื่นๆ ว่าเราเป็นแฟนกัน ให้เหตุผลว่าเพราะตัวเองหน้าตาดีเกินไปไม่อยากให้สาวๆ มาติดใจหลงใหลตามติดแจ จึงอ้างชื่อฉันไปว่าเป็นแฟนแล้วเก็บรูปไว้ในกระเป๋าสตางค์โชว์ให้สาวๆ ที่ญี่ปุ่นดู เวรกรรมของฉันหรือของแม่สาวพวกนั้นกันแน่หนอ เฮ้อ... 
         ว่าไง มีอะไร? 
         โห...มายเนโกะพูดจาอย่างนี้กับคนที่คิดถึงเธอทุกลมหายใจได้ไงอะ 
         นี่ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา เราจะได้ชำระความกัน
          ชำระความ! ฉันไปทำอะไรให้มายเนโกะขุ่นข้องหมองใจโดยไม่รู้ตัวหรือนี่ โอ๊ย! ช่วยไขข้อข้องใจที 
         เอาเรื่องของนายก่อนดีกว่าฮาคุจิ มีเรื่องอะไรก็ว่ามาอย่ามาลีลาขอร้อง กำลังอารมณ์ไม่ดี!
          ก็ได้ๆ คืออย่างนี้นะ พรุ่งนี้ฉันจะไปถึงแบงค็อคตอนหกโมงเช้า มายเนโกะมารับทีสิ...นะ
          โอ๊ย! ทำยังกับว่าไม่เคยมากรุงเทพฯ แท็กซี่มีถมเถนั่งมาเองสิ
          มายเนโกะใจดำ! ฉันไม่ได้เหยียบท่าอากาศยานไทยตั้งแต่คราวที่มายเนโกะรับปริญญานั่นก็ตั้งนานโขแล้ว จำทางไม่ค่อยได้หรอก แล้วอีกอย่าง ลุงพิสิทธิ์ก็บอกว่ามายเนโกะย้ายออกมาอยู่ห้องพักตั้งแต่เรียนจบ แล้วอย่างนี้ฉันจะไปหามายเนโกะถูกได้ยังไงล่ะ 
         แว๊ก!!!!! อีตาบ้าฮาคุจิ อย่าบอกนะว่าแกจะมาพักอยู่กับฉัน บ้านตัวเองก็ออกจะใหญ่โต ทำไมต้องมาพักกับฉันด้วย ไม่อ้าววววว!
          นี่นายอย่าบอกนะว่านายจะมาพักอยู่กับฉันตลอดเวลาที่อยู่กรุงเทพฯน่ะ?      
         แน่นอนสิ ฉันขออนุญาต ลุงพิสิทธิ์พ่อของมายเนโกะเรียบร้อยแล้วด้วย           
         แล้วพ่อก็เห็นดีเห็นงามกับแกเนี่ยนะ! 
         ถูกต้องแล้วคร้าบ! พรุ่งนี้มายเนโกะอย่าลืมไปรับฉันตามสัญญานะ อย่าให้ฉันต้องเสียหน้าล่ะ เพราะฉันพาครอบครัวเพื่อนมาด้วย 
         โอยอยากจะบ้า พ่อนะพ่อ ไม่รู้หรือไงว่ากำลังจะส่งลูกสาวไปตกนรกทั้งเป็น ถึงจะนับอีตาฮาคุจิเป็นเครือญาติด้วยก็เหอะ ลับสายตาผู้ใหญ่ทีไรอีตานี่เป็นต้องลวนลามฉันทุกครั้งไป ผู้ใหญ่หลายคนคิดว่าฉันกับฮาคุจิสนิทนมกันจนสามารถเล่นหัวกันแบบถึงเนื้อถึงตัวได้ และเป็นเพราะเราเล่นอย่างนี้กันมาตั้งแต่เด็กแล้วกระมัง ทุกคนจึงเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไหนได้อีตานี่มันเสือซ่อนเล็บดีดีนี่เองล่ะ แต่จะว่าไปครอบครัวฉันนี่ก็เลี้ยงลูกแบบแปลกๆ นะว่ามั๊ย ให้อิสระเสรีทางความคิดและการกระทำได้ไม่จำกัดแบบครอบครัวสมัยใหม่ แต่เมื่อครบกำหนดหลังเรียนจบสองปีก็ต้องมารับใช้ชาติ เอ๊ย! รับใช้ครอบครัวตามสนธิสัญญาฉบับสองปีแห่งเสรีภาพ ก็กลับกลายเป็นปกครองกันแบบย้อนยุคจับลูกสาวคลุมถุงชนซะงั้น 
         ไม่ไป พรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง ให้คนอื่นที่บ้านพ่อไปรับเองละกัน ฉันตอบปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น ยังไงก็ไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะพรุ่งนี้ฉันต้องเดินทางไปหัวหินตอนเจ็ดโมงเช้า ทั้งตั๋วรถไฟและที่พักก็จองไว้เรียบร้อยหมด จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน 
         ไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องเป็นมายเนโกะคนเดียวเท่านั้น
          แล้วทำไมจะเป็นคนอื่นไม่ได้ล่ะ ฉันไม่ว่างจริงๆ พรุ่งนี้ต้องไปหัวหิน ไว้ฉันกลับมาเมื่อไหร่ค่อยเจอกันละกันนะ 
         ฮ้า...มายเนโกะ จะไปเที่ยวเหรอ? ถ้าฉันจำไม่ผิด หัวหินนี่คือสถานที่ท่องเทียวใช่หรือเปล่า? งั้นฉันไปด้วยนะ นั่งรถหรือนั่งเครื่องล่ะ? ออกเดินทางกี่โมง? มายเนโกะรอฉันด้วยนะฉันจะรีบไปหาทันทีที่ลงจากเครื่องเลย 
         อะไรของมัน เมื่อกี้มันยังบอกว่าจำทางไม่ได้ พอบอกว่าจะไปเที่ยวกลับจะมาหาเองซะอย่างนั้น 
    อะไรของนาย ฮาคุจิ ตกลงว่านายหาทางออกจากสนามบินได้หรือเปล่า? แล้วครอบครัวเพื่อนของนายล่ะ จะทิ้งไว้ให้ใครรับผิดชอบมิทราบ? 
         ไม่เป็นไรหรอก คนกันเองทั้งนั้น ก็ครอบครัวว่าที่เจ้าบ่าวของฝนเค้าน่ะแหละ เดี๋ยวโทรไปบอกให้ฝนไปรับเองก็ได้ ยังไงเธอก็รอฉันด้วยนะ ไว้ถึงแล้วจะโทรถามอีกทีว่าเดินทางยังไง แค่นี้ก่อนนะ บาย จุ๊บๆ 
         ตู๊ด ๆ ๆ ๆ วางไปซะแล้ว ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ไปด้วย แต่เมื่อกี้ฮาคุจิบอกว่าครอบครัวของว่าที่เจ้าบ่าว ก็แสดงว่า... ฮ้า ทำไมรวดเร็วอย่างนี้ล่ะ มาถึงพรุ่งนี้แล้วเหรอ แล้วพี่ฝนล่ะ โอยฉันอยากจะบ้าตาย จะเอายังไงกับพี่ฝนดีล่ะเนี่ย ลำบากใจจัง เมื่อกี้กะจะชำระความกับอีตาฮาคุจิเรื่องเจ้าบ่าวที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของตานั่นก็ลืมซะสนิทเลย มัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง กลัวจะไม่ได้ไปเที่ยวตามที่วางแผน 
         เช้าวันออกเดินทาง 
         ฉันมองหาที่นั่งว่างห่างไกลผู้คนเพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วเหวี่ยงสัมภาระมากมายที่ติดตัวมาขึ้นบนชั้นวางของ เพราะว่าคงจะเป็นช่วงเช้าประกอบกับไม่ใช่วันหยุดผู้โดยสารจึงดูบางตา เหลือที่นั่งไว้มากมาย ฉันเลือกนั่งใต้ชั้นวางกระเป๋าของตัวเอง เฮ้อ...สบายใจจังเพราะเมือกี้พึ่งจะวางสายโทรศัพท์ของฮาคุจิไป ตานั่นโวยวายใหญ่บอกว่าคงไปด้วยไม่ได้เพราะว่าที่เจ้าบ่าวก่อเรื่องหนีหายตัวไปซะแล้ว พวกผู้ใหญ่กำลังตามหาตัวกันให้จ้าละหวั่น นี่ก็แสดงว่าเจ้าบ่าวคนนี้ก็คงไม่ได้เต็มใจจะแต่งเหมือนพี่ฝนเลยล่ะสิ ถึงได้หนีหายตัวไปอย่างนี้ สมน้ำหน้าพวกผู้ใหญ่จัง ชอบบังคับพวกเด็กๆ ดีนัก วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ก็ใกล้ถึงวันนัดทานข้าวดูตัวกันแล้ว คงไม่มีหน้ามาพบครอบครัวเราแน่ อิ อิ ดีนะที่พี่ฝนไม่ตัดสินใจทำอะไรวู่วามอย่างนั้น พ่อกับแม่คงไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน เมื่อคืนนอนคุยโทรศัพท์กับพี่ฝนเกือบทั้งคืน พี่ฝนบอกว่าจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ พอแต่งไปซักหนึ่งอาทิตย์แล้วก็หาเรื่องหย่า พี่ฝนนี่เจ๋งเป็นบ้า ยอมรับเขาเลยจริงๆ คิดได้ไง 
         เสียงเรียกผู้โดยสารเป็นครั้งสุดท้ายประกาศมาตามสาย พร้อมกับเสียงระฆังดังกังวานหวูดรถไปก็ร้องดังราวกับม้าที่คึกคะนองกำลังจะออกศึก แหม...มันช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้กับการเดินทางของฉัน ฉันนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างผู้คนที่มายืนส่งญาติหรือผองเพื่อนให้อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายจริงๆ บางคนยิ้มอำลาโบกมือให้ บางคนก็หงอยเหงาน้ำตาซึม บางคนก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย คล้ายกับมีจลาจล เอ๊ะ! อันนี้คงไม่ใช่แล้วมั้ง เมื่อทอดสายตาไปยังทิศทางของเสียงก็พบกับความโกลาหล ผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังวิ่งแหวกฝูงชนอย่างไม่คิดชีวิต ตามมาห่างๆ ด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำนับสิบ ชายหนุ่มคนแรกกระโดดขึ้นรถไฟขบวนที่ฉันนั่ง หวาย...น่าตื่นเต้นจัง! ฉันเห็นเขาวิ่งตรงมาและหยุดอยู่ไม่ไกลกับบริเวณที่ฉันนั่งเท่าไหร่เหลียวซ้ายแลขวา เห็นกลุ่มผู้ชายชุดดำวิ่งกระโดดขึ้นตามมาห่างๆ บางคนกระโดดขึ้นไม่ทันก็ยังอุตส่าห์วิ่งตาม อ๊าย!...อย่างกับเขาถ่ายหนังกันเลย เท่ห์เป็นบ้า! ว่าแต่พระเอกคนนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนแฮะ พระเอกใหม่ หรือว่าดาราต่างประเทศกัน อุ๊ย! อย่างนี้ฉันก็มีสิทธิ์ติดเข้ากล้องไปด้วยน่ะสิ ไหนล่ะ? กล้องอยู่ทางไหนกัน เอาฉันวางไว้ตรงมุมใดมุมหนึ่งของกล้องก็ยังดี ฮิ ๆ ได้เข้ากล้องแน่เรา เขินจัง แต่แล้ว ความคิดทุกอย่างของฉันก็พลันดับวูบ! เหมือนโลกไร้แดงดึงดูด เหมือนตัวเองลอยอยู่ในห้วงจักรวาล ฉันเป็นนักท่องอวกาศไปแล้วเหรอ? เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับฉัน! ใครก็ได้ช่วยตอบที พระเอกคนนั้นตัดสินใจวิ่งตรงมาที่ฉันแล้วนั่งลงตรงหน้า เขาใช้สองอุ้งมือใหญ่ๆ ตะปบที่ใบหน้าตัวประกอบอย่างฉันแล้วกระชากเข้าหาใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นอย่างจัง! สองนิ้วโป้งปิดประกบที่ริมฝีปากฉันและทาบทับด้วยเรียวปากบางของเขาอีกชั้น ไอ๋หย๋า...จูบแบบหลอกๆ!

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น