คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : [All(?) x Suho]:::เผ่าพันธุ์ CH,4
Story : [SF] เผ่าพันธุ์
Couple: (All(?) x Suho)
Info: ธีมเผ่าพันธุ์ปีศาจ
Chapter 4
“คนอย่างคุณน่ะ อยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชาติเถอะครับ” จุนมยอนเดินผ่านอีกคนไปด้วยความโมโหไม่รอที่อีกคนจะพูดอะไรซะด้วยซ้ำไป จุนมยอนกระแทกเท้าเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ แต่พอเห็นพี่ชายยืนคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้แถมยังกวักมือเรียกเค้าอีก จุนมยอนเลยต้องระบายยิ้มแทน
“มาทำความรู้จักกับเพื่อนพี่ซิ เป็นถึงหัวหน้าตระกูลสิงโตเลยนะ” คยูฮยอนบอก จุนมยอนเลยเดินเข้าไปหาพร้อมกับอีกสองคนที่ยืนคุยอยู่ก่อนหน้าหันหน้ามาหา
“พี่จุนมยอน”
“อ้าวแบคฮยอน คยองซู” ทั้งสามคนต่างทำหน้าตกใจ ส่วนคยูฮยอนก็ได้แต่มองทั้งสามคนสลับไปสลับมา
“รู้จักกันหรอ?”
“ก็ตอนไปซื้อเนื้อสัตว์ก็เจอตลอด ห๊ะ!? แปปนะ เมื่อกี้บอกเป็นหัวหน้าตระกูลสิงโตหรอ” จุนมยอนที่หันไปตอบพี่ชายพอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้พี่ชายพูดอะไรออกมาก็งงเป็นไก่ตาแตกจนคยองซูกับแบคฮยอนลอบหัวเราะกันอยู่สองคน
“ถูกต้องครับ” แบคฮยอนตอบอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มหวานใส่ จุนมยอนถึงกับอึ้งไปเพราะเค้าน่ะเจอหน้าสองคนนี้อย่างต่ำอาทิตย์ล่ะหนได้ที่ร้านขายเนื้อที่ทั้งสองคนทำงานอยู่แต่ใครจะคิดล่ะว่าหัวหน้าตระกูลแถมเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่จะมาขายเนื้อ!
“งานอดิเรกน่ะ” คยองซูบอกแล้วหัวเราะนิดๆ เอิ่ม…งานอดิเรกโดยการขายเนื้อนี่น้ะ แปลกสิ้นดี
ทั้งสี่คนยังคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบกระทั่งจบงาน ระหว่างงานเลี้ยงจุนมยอนก็เห็นชานยอลที่โดนล้อมรอบไปด้วยหญิงสาวซะบ่อยจนนึกหงุดหงิด ดูถูกคนอื่นเค้าซะขนาดนั้น แต่กลับมาปั้นหน้ายิ้ม เค้าไม่เข้าใจว่าพวกพี่ชายเค้าสนิทไปได้ยังไง แต่อาจจะเพราะว่าเข้ากันได้โดยมองข้ามจุดๆนี้ไปล่ะมั้ง
“เซฮุน ชั้นไปทำอาหารเช้าก่อนนะ” ร่างบางเอ่ยขึ้นพลางปิดหลังสือภายในมือลง หลังจากเมื่อคืนที่ถึงบ้านไม่ดึกมากจุนมยอนเลยเข้านอนเลย วันนี้เลยตื่นเช้าได้สบายๆ ไม่เหมือนกับพี่ชายเค้าที่ตอนนี้คงจะงีบหลับอยู่อีกห้องเป็นแน่ เซฮุนพยักหน้ารับก่อนที่จุนมยอนจะเดินออกไปเพื่อทำตามหน้าที่
สองสามวันมานี้ที่เค้ามาทำงานที่บ้านของเซฮุนเค้าก็เริ่มจะรู้จักคนงานภายในบ้านมากขึ้น ส่วนมากก็คนในครัวล่ะนะ ทุกคนดูใจดีหมดแถมยังคอยช่วยเหลือเค้าอีกต่างหาก
ไม่นานนักอาหารสี่ชุดสำหรับคนสี่คนก็เสร็จลง จุนมยอนให้คนช่วยนำอาหารพวกนี้ไปให้พี่ชายของตนกับพี่ลู่หานที่วันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย แต่คิดว่าคงอยู่บ้านล่ะมั้ง จุนมยอนเดินถือถาดอาหารกลับเข้ามาเองและก็ลงมือกินข้าวพร้อมกับเซฮุน
“เซฮุน มีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มั่งมั้ย?”
“อยู่ที่ห้องสมุด เดี๋ยวให้คนพาไป” จุนมยอนกล่าวขอบคุณและลงมือทานอาหารต่อ เซฮุนตอนนี้ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้นตอนอยู่กับจุนมยอน หน้านิ่งๆเริ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มบางแต่ก็ยังเห็นได้ยากอยู่
พอทานเสร็จจุนมยอนก็เดินตามคนที่เซฮุนเรียกมาไปยังห้องสมุด ร่างบางเดินเลือกของในนั้นอยู่พักใหญ่เพราะหาหนังสือไม่เจอสักที จุนมยอนหยิบเล่มที่อยากอ่านติดมือมาสองสามเล่มและนึงในนั้นมันก็เป็นเล่มกลางๆที่ร่างบางหาเล่มแรกไม่เจอเลยต้องกลับมาถามอีกฝ่าย
จุนมยอนเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับเจ้าของงานเลี้ยงเมื่อคืนที่ตนเพิ่งจะเอามือฟาดหน้าเค้าไป ค่อมหัวทักทายอีกคนและก็เดินลงมานั่งที่โซฟาตัวเดิมที่ตอนนี้มันดูจะกลายเป็นของเค้าเข้าไปทุกทีแล้ว จุนมยอนที่ยังไม่อยากจะรบกวนทั้งสองคนเลยลองยืนไล่ชื่อหนังสือที่ตนตามหาอยู่เพราะอาจจะมาอยู่ที่นี่ก็ได้
“คนสนิทชั้นไปทำธุระข้างนอกกว่าจะกลับมาตั้งอาทิตย์หน้า ตอนนี้ชั้นจนปัญญาจริงๆ ไม่มีใครอ่านภาษาอังกฤษออกเลย” ชานยอลครวญครางกับเพื่อนสนิท เพราะที่มาเนี่ยอยากจะมาขอความช่วยเหลือสักหน่อย
“ชั้นก็ช่วยอะไรนายไม่ได้เหมือนกัน เพราะคนของชั้นก็ไม่อยู่” เซฮุนบอกอีกฝ่าย ไอ่อยากจะช่วยก็อยากอยู่หรอกนะแต่มันช่วยไม่ได้เนี่ยสิถึงเค้าจะอ่านภาษาอังกฤษออกแต่งานเค้าจะยุ่งอยู่พอตัวจะให้ปลีกเวลาไปมาบ้านเพื่อนสนิทน่ะทำไม่ได้หรอก
“เอกสารที่ต้องแปล มันเยอะมากแถมสำคัญด้วย ไม่อยากให้คนนอกรับรู้น่ะ” ชานยอลเสริม
“แต่นายก็มาขอคนตระกูลชั้นเนี่ยนะ?”
“นายใช่คนนอกที่ไหนละ” ทั้งคู่เหมือนเงียบไปเพราะใช้ความคิด จุนมยอนที่ได้โอกาสเพราะหลังจากที่ตั้งใจหาหนังสืออยู่นานก็ไม่เจอสักที เลยตัดสินใจถามเจ้าของบ้านเลยดีกว่าเพื่อเคยเห็นมันผ่านตามาบ้าง
“เซฮุน เล่มแรกเรื่อง The Third World อยู่ไหนหรอ?” เสียงหวานเอ่ยถามทำให้คนทั้งสองคนหันไปมอง หนังสือที่ถูกมือบางโชว์หลาให้ดูทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เธออ่านภาษาอังกฤษออก?” ชานยอลเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาเอง ซึ่งจุนมยอนก็พยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้เข้าใจถึงประโยคคำถามที่อยู่ๆดีก็ถามออกมา
“คล่องมั้ย?” เซฮุนถามเพิ่ม
“ก็รู้เรื่องนะ”
“งั้นชั้นมีงานให้ทำ” เซฮุนเอ่ยเสียงเรียบพลางหันหน้าไปถามเพื่อนสนิทว่าโอเครึเปล่าซึ่งชานยอลก็พยักหน้า
“สักทีนะ ให้ชั้นนั่งเล่นห้องนายมาสองสามวันแล้ว” จุนมยอนเอ่ยติดตลก แต่ถ้ารู้ว่างานที่ต้องให้ไปทำน่ะมันต้องไปกับคนที่ตัวเองเล่นฉากเรียกเลือด(?)ไปคงจะตลกไม่ออกเป็นแน่
“งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปทำงาน แปลเอกสาร ที่บ้านชานยอลจนถึงวันจันทร์” จากตอนแรกที่ยิ้มอยู่ดีๆเพราะได้ทำงานเหมือนคนอื่นเค้าสักทีแต่พอรู้ว่าต้องไปบ้านของชายหนุ่มร่างสูงก็ต้องหุบยิ้มทันที ไม่ได้อยากเสียมารยาทหรอกนะ แต่มันก็ยิ้มไม่ออกแถมไปทำงานตั้งเป็นอาทิตย์ เพราะนี่มันก็วันจันทร์นะได้ข่าวว่า จุนมยอนพยักหน้ารับเพราะถ้ามีงานให้ทำแล้วก็ต้องทำ เค้าเพิ่งเข้ามาและไม่ได้สนิทกันถึงขนาดปฏิเสธงานได้ พี่คยูก็คงไม่ห่วงหรอก เพราะคุณชานยอลก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่เค้า
“งั้นฝากด้วยนะ ชั้นกลับล่ะ” ชานยอลบอกกับทั้งสองคนและก็เดินออกไปอย่างรีบร้อนซึ่งนั้นเพื่อนสนิทก็เข้าใจดีเพราะหัวหน้าตระกูลน่ะเวลาน้อย พอชานยอลที่เร่งรีบออกไปพ้นประตูจุนมยอนก็กลับมานั่งที่โซฟาทันที
“ชั้นต้องไปค้างมั้ย?” จุนมยอนถามอีกคนเสียงใส ถึงไม่อยากไปแต่มันเป็นงานเค้าก็อยากจะทำให้มันมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ลองถามชานยอลพรุ่งนี้เอา”
“อื้อ” จุนมยอนพยักหน้ารับอีกคนและก็ถามถึงเรื่องหนังสือ เซฮุนเลยใช้ให้คนในคฤหาสน์ไปหามาให้
ตอนเย็นจุนมยอนต้องเดินกลับบ้านคนเดียวพี่คยูดูท่าจะงานยุ่งไม่รู้ว่าวันนี้จะได้กลับบ้านหรือเปล่าเถอะ จุนมยอนบอกลาเซฮุนและก็เดินไปหาพี่ชายที่ห้องทำงานซะหน่อยซึ่ง ห้องทำงานพี่ชายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับห้องของเซฮุนแม้แต่น้อย มีห้องนอนห้องน้ำในตัว พอล่ำกันเสร็จกอดหอมกันพอใจแล้ว จุนมยอนก็เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลวูล์ฟมา
“เธอเป็นคนของตระกูลนี้หรอ?” เสียงนุ่มทุ้มร้องทักมาจากด้านหลังทำให้ร่างบางต้องหันหลังกลับไปเพื่อความแน่ใจว่าอีกคนนั้นพูดอยู่กับตน
แล้วทำไมคนอื่นต้องมาเรียกเค้าด้วยสรรพนามสาวๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
“ไม่ใช่ครับ” หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มผมสีดำข้างหน้าถามตนก็ส่ายหัวกลับไปให้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วคล้ายจะไม่เชื่อเลยเดินเข้ามาหาร่างบางถึงที่
“แต่เธอเพิ่งจะเดินออกมาเองนะ”
“ผมก็แค่เข้าไปช่วยงาน ผมเป็นคนของตระกูลพยอนน่ะครับ แต่ก็เป็นแต่มนุษย์ธรรมดา” คนตัวเล็กตอบตรงๆ อะไรไม่รู้ดลใจให้พูดออกไปทั้งๆที่เค้าไม่จำเป็นต้องตอบอีกคนก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะลึกๆแล้วเค้ารู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าไว้ใจได้และไม่น่ากลัวเหมือนหน้าตาและสีผิวคล้ำนั้น
“งั้นหรอ? ชั้นคิมจงอินเป็นภูตกา” ชายหนุ่มแย้มยิ้มที่ไม่สามารถคาดเดาได้แล้วก็เอ่ยแนะนำตัว
“ผมคิมจุนมยอนครับ” คนตัวเล็กแนะนำตัวตามมารยาทซึ่งอีกคนก็ดูจะถูกใจเพราะจุดประสงค์อะไรบางอย่าง
“เธอไม่กลัวโดนชั้นทำร้ายหรอ? เธอไม่คิดว่าชั้นจะคิดไม่ดีกับตระกูลเธอหรือไม่ก็ตระกูลวูล์ฟมั่งหรอ?” ชายหนุ่มผมดำ หรือ จงอิน ถามอีกคนที่ตอนนี้ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ และพอฟังคำถามจบรอยยิ้มก็ยังคงถูกประดับไว้บนหน้า ไม่ได้จางหายไปไหน
“ถ้าทำจริงๆผมก็คงไม่มีทางสู้อยู่ดี แต่…”
“?”
“ทำร้ายผม ผมไม่ว่า แต่ถ้ามาว่าตระกูลผมอันนี้อีกเรื่องนะครับ” ร่างบางคลายยิ้มออกพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายโดยที่ไม่มีความหวั่นเกรงใดใดแม้แต่น้อย ถึงคิดว่าตนเองไม่สามรถที่จะต่อกรอะไรคนตรงหน้าได้แต่ก็จะพยายามหาวิธีทางมารับได้แน่ แต่ก็อีกละอีกคนไม่ได้ดูน่ากลัวสำหรับเค้าเลย
“เอาไว้เจอกันอีกนะ คิมจุนมยอน” จงอินยิ้มเย็นก่อนจะสยายปีกออกทางด้านหลังของตน ปีกสีดำซึ่งบ่งบอกเผ่าพันธุ์กางออกและก็สะบัดพรึบก่อนที่จะทะยานสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วจนอีกคนต้องจับผมที่ปลิวปิดหน้าเอาไว้
พูดเหมือนตัวร้ายในนิยายเลยแหะ จุนมยอนนึกขันก่อนที่จะหมุนตัวเดินกลับบ้านไป
เช้าวันรุ่งขึ้น จุนมยอนให้คนที่บ้านขับรถไปส่งถึงหน้าบ้านตระกูลฟินิกส์เพราะเค้าจนปัญญาเรื่องทางจริงๆ และดูจากระยะทางแล้วสงสัยเค้าคงต้องค้างที่นี่สักอาทิตย์เพราะให้ไป-กลับวันละชั่วโมงครึ่งก็คงจะสาหัสไปหน่อย
พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ฟินิกส์หลังโตที่คิดว่าโตพอๆกับตระกูลวูล์ฟเลยทีเดียวเดินออกมารับอีกคนถึงที่รถที่มาจอดอยู่ด้านหน้าและพามายังห้องนอนที่มีโต๊ะทำงานวางอยู่กลางห้องที่หัวหน้าตระกูลสั่งไว้และก็ขอตัวออกไป
ร่างบางเดินสำรวจห้องไปเรื่อยและก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานสีน้ำตาลเข้มที่ตอนนี้มีเอกสารอยู่หลายสิบแผ่นวางอยู่บนโต๊ะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นคนที่อยู่ภายในห้องเลยบอกให้เข้ามาได้
คนมาใหม่โค้งและก็เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานทันที
“ท่านชานยอลให้มาอธิบายงานให้ฟังน่ะครับ”
ร่างบางพนักหน้าพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้แข็งทันที อีกฝ่ายก็อธิบายว่าต้องทำอะไรบ้างกับต้องทำให้เสร็จเมื่อไหร่ รวมทั้งจะหาอ้างอิงหรือหนังสือที่ต้องได้ที่ไหน และที่สำคัญเลย
“ช่วยสวมสร้อยข้อมือเส้นนี้ไว้ด้วยนะครับ” กล่องสีดำไม่ใหญ่มากถูกวางลงบนโต๊ะซึ่งจุนมยอนก็ค่อมหัวให้และก็รับมาอย่างงงๆ เปิดกล่องออกก็เจอกับสร้อยข้อมือสายหนังเส้นเล็กที่มีตราตระกูลห้อยเอาไว้
“บางคนอาจจะไม่รู้ว่าคุณมาช่วยงาน เพื่อความปลอดภัยน่ะครับ” จุนมยอนพยักหน้ารับอีกคนซึ่งก็คิดว่าคงจะหมดหน้าที่แล้วเลยเดินออกไปแถมยังทิ้งท้ายไว้ว่าเลี้ยงใช้ได้ตลอด
จุนมยอนที่ไม่อยากเสียเวลาเลยเอาเอกสารมานั่งอ่านและก็ทำตามขั้นตอนที่อีกคนได้สั่งสอนเอาไว้ซึ่งก็ดูว่าจะไม่ได้ยากอะไรมากมายบวกกับเป็นพวกเข้าใจง่ายแถมยังหัวดีอยู่พอตัวเลยทำงานนี้ได้คล่องในเวลาอันสั้น
ทำงานไปได้สักพักผู้ช่วยคนเก่าของเอาของวางมาวางไว้ให้ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาซึ่งจุนมยอนก็กล่าวขอบคุณและทำงานต่อหลังจากที่อีกคนออกไปแล้ว
“อืมม…อันนี้คงต้องใช้เล่มอื่นแปลแหะ” ร่างบางเอ่ยอย่างสนุกกับงานก่นอจะลุกไปที่ชั้นหนังสือภายในห้อง ไล่รายชื่อหนังสืออยู่พักนึงด้วยความตั้งใจโดยที่ไม่ได้สังเกตุเลยว่ามีคนเข้ามาภายในห้อง
ชานยอลยืนดูอีกคนที่จ้องหนังสือต้องหน้าไปเรื่อยโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหันมา แต่อีกคนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรยืนดูอยู่อย่างนั้น จนเห็นว่าหนังสือที่คนตัวเล็กต้องการนั้นมันสุดจะเอื้อมเลยสาวเท้าเข้าไปยืนซ้อนหลังของอีกคนพลางหยิบหนือสือเล่มสีเขียวหนาที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไปให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ!” เสียงใสดังขึ้นด้วยความขอบคุณจริงๆ แต่พอหันหน้ามาเจอคนที่หยิบหนังสือให้เท่านั้นแหละรอยยิ้มก็จางหายไปทันที
“คุณชานยอล” สรรพนามที่เรียกคนซะห่างเหินทำให้ชานยอลถึงกับเลิกคิ้วสูงแต่ก็ช่างมันก่อนเพราะที่มาห้องนี้น่ะเพราะมีจุดมุ่งหมายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ชั้นจะมาชวนเธอไปกินข้าว”
“ขอปฏิเสธครับ ผมยังไม่หิว” พออีกฝ่ายถามจบปุ๊บอีกคนก็ตอบทันควันเหมือนจะไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อย ชานยอลหลี่ตาลงเพราะนี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่โดนคนปฏิเสธเร็วขนาดนี้
“ยังโกรธอยู่อีกหรอไง? ชั้นสิน่าจะเป็นฝ่ายโกรธ เธอเล่นตบเข้ามาซะเต็มแรง” ชานยอลหัวเราะในลำคอพลางนึกถึงวันที่โดนตบ ที่ตอนนี้ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี
“สมควรแล้วครับ” จุนมยอนไม่สนใจเดินผ่านตัวของอีกฝ่ายมานั่งลงที่โต๊ะกลางห้องเช่นเดิม
“ว้า เกลียดกันซะแหละ ยังงี้จะทำงานร่วมกันได้หรอ?” ชานยอลร้องออกมาอย่างนึกเสียดายเพราะอีกคนดันไม่เล่นด้วย
“ผมไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงานครับ ไม่งั้นคุณคงจะไม่ได้เห็นผมนั่งอยู่ที่นี่” จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมาบอกอีกคนซึ่งชานยอลก็ส่งยิ้มทะเล้นให้ไปที ถ้าเป็นคนอื่นนะอาจจะตกหลุ่มรักตั้งแต่เห็นยิ้มนี้แต่เพราะร่างบางคิดว่ามันดูไม่จริงใจเอาซะเลย เลยเลือกที่จะเมินมันไปซะ
“ยังงี้ชั้นก็ต้องกินคนเดียวน่ะสิ” น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะติดเล่นแต่ไหววูบในดวงตาที่อีกคนส่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้คนขี้สงสารอย่างจุนมยอนถึงกับต้องเก็บเอกสารทั้งหมดและพักเอาไว้และลุกขึ้นยืนเหมือนจะไปไหนจนอีกฝ่ายต้องร้องถาม
“จะไปไหนน่ะ?”
“จะไปกินข้าวกับเจ้านาย จะไปมั้ยล่ะครับ?” จุนมยอนถอนหายใจทิ้งไปทีก่อนจะตอบออกไปซึ่งชานยอลก็ยิ้มน้อยๆและก็เดินนำอีกคนไปที่ห้องอาหารทันที ระหว่างทางจุนมยอนก็คิดอยู่ตลอดว่าที่อีกฝ่ายนั้นชอบเล่นๆกับพวกผู้หญิงเพราะอาจจะขี้เหงาก็ได้ล่ะมั้ง เค้าอาจจะอยู่เป็นเพื่อนได้แต่ถ้าอยู่ในเชิงชู้สาวน่ะไม่มีทาง
“ผมต้องค้างที่นี่มั้ยครับ?” จุนมยอนลอบถามอีกครั้งขณะที่ทานอาหารตรงหน้ากันอยู่ซึ่งโต๊ะก็ใหญ๊ใหญ่แต่นั่งกันอยู่แค่สองคน
“ไป-กลับบ้านมันนานหนิ ชั้นเลยเลือกห้องนั้นไว้ให้เธอแล้ว” เจ้าของบ้านตอบพร้อมกับยิ้มขันซึ่งจุนมยอนก็แค่พยักหน้ารับ เค้าคงต้องกลับไปเอาชุดที่บ้านอยู่ดีรึป่าวนะวันนี้?
“ผมจะค้างพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ” จุนมยอนกินเสร็จเช็ดปากแล้วก็บอกอีกฝ่ายที่เลิกคิ้วถามประมาณว่า แล้ววันนี้ละ?
“ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา คุณจะให้ผมใส่อะไรล่ะครับ?” จุนมยอนตอบซึ่งอีกคนก็ร้องอ๋อทันทีแถมยังบอกให้แม่บ้านแถวๆนั้นไปบอกคนขับรถล่วงหน้าไว้อีก จุนมยอนกล่าวขอบคุณพลางต้องขอตัวไปทำงานต่อ คือไม่ได้เสียมารยาทนะแต่แค่ไม่อยากอยู่ร่วมกับเจ้าของบ้านนานๆก็เท่านั้นเอง จุนมยอนลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกไปแต่กลับต้องหยุดเพราะประโยคของอีกฝ่าย
“สร้อยข้อมือเก็บไว้ให้ดีนะ” ชานยอลพูดขณะที่เอามือเท้าคางอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมกับกับส่งยิ้มหวานมาให้
“ไม่ละครับ วันจันทร์หน้าผมก็จะคืนคุณแล้ว” ร่างบางปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื่อใยก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไป ทิ้งให้อีกคนยิ้มอย่างถูกใจอยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียว แทนที่จะโกรธเพราะโดนอีกคนพูดจาตัดไมตรีซะขนาดนี้แต่เจ้าตัวกลับคิดว่ามันสนุกดีเพราะคนตัวเล็กไม่ได้เล่นด้วย ไม่เหมือนกับคนอื่นเลยจริงๆ
ร่างบางเดินที่กลับมาที่ห้องของตัวเองเพื่อจะเคลียให้เร็วที่สุดเพราะถ้าเสร็จเร็วจะได้กลับไปทำงาน(?)ที่ตระกูลวูล์ฟต่อ รู้สึกคันไม่คันมือที่ไม่ได้จับเครื่องครัวยังไงก็ไม่รู้
ร่างบางเขียนประโยคสุดท้ายอย่างปราณีตของจะวางปากกาลงและก็หยืดเส้นหยิดสายซะหน่อย เอกสารทุกแผ่นถูกทำเสร็จลงภายในวันนี้วันเดียว แต่เจ้าตัวก็เผื่อใจไว้แล้วล่ะว่ามันคงยังไม่หมด จุนมยอนที่ต้องการจะส่งเอกสารให้ถึงมือเจ้าของบ้านเลยเดินถือเอกสารเดินออมาหน้าห้องเผื่อจะฝากคนสนิทไปให้แต่กลับไม่เจอซะนี่
“ขอโทษนะครับ ห้องทำงานของคุณชานยอลไปทางไหนครับ” จุนมยอนรีบปิดประตูห้องและก็รีบวิ่งปลี่เข้าไปหาคนตระกูลนี้ที่เดินผ่านมาพอดี อีกฝ่ายส่งสายตาสงสัยกลับมาให้เพราะไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อนแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือสายหนังที่มีตราของหัวหน้าตระกูลเลยรีบนำทางอีกคนไปทันที
จุนมยอนโค้งขอบคุณก่อนจะกันมาสนใจประตูด้านหน้า ถอนหายใจทิ้งไปทีเพราะไม่อยากจะยุ่งเลยกับหัวหน้าตระกูลนี้เนี่ย แต่ทำไงได้
มือบางเคาะประตูสองสามทีก็มีเสียงดังมาจากด้านในอนุญาติให้เข้าไปได้ เจ้าตัวเลยบิดลูกบิดเข้าไปทันที
“เสร็จแล้วครับ” จุนมยอนไม่พูดพร่ำทำเพลงบอกอีกคนและก็วางเอกสารลงบนโต๊ะ ชานยอลพิจารณาพอสังเครปและก็พยักหน้าให้อีกฝ่าย
“จะกลับเลยมั้ย ไว้พรุ่งนี้มาทำใหม่” ชานยอลถามอีกฝ่าย ซึ่งจุนมยอนก็แอบทำหน้าตกใจนิดนึงเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนกลับบ้านง่ายขนาดนี้
“ไม่ต้องตกใจไป เพราะยังไงเราต้องเจอกันอีกตั้ง 6 วัน” เหมือนเจ้าของร่างสูงจะอ่านสีหน้าของร่างบางออกเลยเลยพูดให้อีกคนใจสลายเล่น เพราะไม่ใช่ดูไม่ออกหรอกนะว่าอีกคนแอบเหม็นขี้หน้าเค้ามากแค่ไหน แต่ก็นะ…มันน่าสนุกดีออก
“นั้นสินะครับ”
__________________________________
คือแบบรู้สึกผิด *หัวเราะ* หายไปเป็นปีเลย อยู่ดีนึกครึ้มเข้ามาอ่านคอมเม้นตัวเอง
เลยเอาฟิคมาอัพซะเลย คือแบบคอมเม้นนี่ฉื่นจายยยยจริงนะค่ะ
ขอบคุณคนที่เข้ามาทางฟิดนะคะ คือ ถ้าไม่มีคนทวงไม่แต่งจริงจัง *หัวเราะอีกรอบ*
ยังไงก็จะเอามาอัพอีกแล้วกันเน้อะ ถ้ามีคนอ่านน่ะนะ!
ขอบคุณค่ะ
ความคิดเห็น