คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 6 สานรัก
ตอนที่ 6 สานรัก
“ตกลงเอ็งจะเอาไว้ใช่มั้ย” คำถามของดาวเรืองโพล่งถามขึ้นอย่างจริงจัง ในเช้าวันถัดมาหลังจากกินข้าวอิ่มหนำสำราญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ณราพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่ทิวทัศน์และรุชานั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง มองผู้ใหญ่คุยกันสีหน้าเครียด
“เขามาแล้วนะแม่ คนทั้งคนนะ” ณราบอกไปตามความต้องการของตนเอง เมื่อได้มีโอกาสพูดเรื่องลูกอย่างจริงจัง
“ไอ้หาญมันก็บอกอยู่โต้งๆ ว่ามันเป็นห่วงเอ็งกับลูก เสี่ยงทั้งแม่ทั้งลูก” ดาวเรืองเถียงอย่างไม่ยอม “เอาออกตอนนี้ยังดีเสียกว่ามีหัวใจเต้นแล้วนะ ณรา”
“โธ่แม่...” ณราน้ำตาเอ่อ เนื่องจากอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อขอที่ปรึกษา และเธอคาดการณ์ไว้ว่าแม่จะเข้าข้างเธอให้ดึงเด็กไว้ แต่กลับเป็นเรื่องผิดคาด
“คนเรามีลูกตอนแก่ ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตหรอกนะ”
“แม่...”ณราโอดเสียงหลง
“ข้าพูดความจริง ตอนข้ามีเอ็งก็ 23 แล้ว เอ็งรู้มั้ยสมัยนั้นข้ากลัวเสียยิ่งกว่ากลัว คนอื่นเขา มีลูกกันตอน 18 นู่น”
“แต่สมัยนี้มันดีแล้วนะแม่ มีหมอดี...” ณรายังดื้อดึง
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเอ็ง แต่บอกไว้ก่อน คลอดมาข้าไม่ประคบประหงมตอนตัวแดงๆ เหมือนไอ้รุชมันแล้วนะ ข้าน่ะแก่มากแล้วณรา” ดาวเรืองออกตัวทันที เมื่อยังจำได้ว่าสมัยที่รุชาคลอดใหม่ๆ ณรากลัวที่จะโอบอุ้มลูกตอนที่ตีนเท่าฝาหอย ตัวแดงๆ มากเพียงใด ทำให้ดาวเรืองอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย กว่าที่ณราจะเลี้ยงลูกเองได้ ก็รอให้รุชาคอแข็ง พอเริ่มจะพูดได้จึงขอให้ไปเรียนที่กรุงเทพ
ความอึดอัดระหว่างณรากับดาวเรืองเกิดขึ้นด้วยความคิดต่างเหตุผล ก่อนจะนิ่งงันไปทั้งคู่ ให้รุชาทนนั่งนานไม่ไหว ลุกขึ้นเดินไปตักน้ำในโอ่งเย็นที่ตั้งอยู่ในบ้านมาจิบดื่มดับความร้อนรุ่มใจ
“ถ้าแม่ไม่เลี้ยง หนูไปฝากท้องกับหมอ พอคลอดให้เจ้ารุชมันเลี้ยงก็ได้”
แค่ก!
รุชาถึงกับสำลัก ก่อนใช้หลังมือป้ายปากเบาๆ ให้ทิวทัศน์หันมายิ้มขำ
“น้าณราดูหน้ามันซะก่อนเถอะ”
“โธ่ รุชไม่สงสารแม่เหรอลูก” ณราหันไปมองรุชาที่ยืนกินน้ำอยู่ไม่ไกล ดวงตาคมดั่งนัยน์ตากวางเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ทอประกายระยับทำให้รุชาตัดสินใจลำบาก
...ก็น้องทั้งคนนี่นะ...หัวสมองของสาวเท่ครุ่นคิดบอกตนเอง
“ก็ได้แม่...” รุชายอมตกลง ก่อนพูดดักคอณราเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ “แต่ในช่วงเวลา 9 เดือนนี้ รุชขอทำในสิ่งที่อยากทำก่อนนะ แล้วพอคลอดน้องค่อยมาว่ากัน”
“ได้จ้ะ แม่จะไปฝากท้องกับหมอ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” ณราตัดสินใจเด็ดขาด เล่นเอาหาญกล้าและดาวเรืองต่างลอบถอนใจที่ขัดขวางทัดทานไม่ได้...
“พี่รุช พี่ทิว!” เสียงตะโกนของกระติ๊บดังแจ๋นมาจากหน้าบ้านให้ทุกคนที่นั่งอยู่บนชานบ้านหันไปมองตามต้นเสียง ขณะที่ทิวทัศน์ปลีกตัวลุกขึ้น ทำท่าจะเดินไปอีกทาง
หมับ รุชาปรี่มายื้อแขนของชายหนุ่มไว้โดยพลัน ก่อนว่า “เอ็งจะไปไหน?”
“ข้าจะไปจากตรงนี้ล่ะ เบื่อหน้ากระติ๊บมัน มากี่ทีไม่พ้นเรื่องขอสตางค์”
“เด็กมันขอไปเรียนไม่ใช่ขอไปเที่ยวนี่”
“เหมือนกันนั่นแหละ ข้าก็ต้องใช้จ่าย จะมีอะไรให้มันตลอด อีกอย่างวันนี้ข้าจะเข้าเมืองด้วย ไปร้านคอมเสียหน่อย มีประกาศผลการสอบแล้ว”
“แต่ว่า มอไซค์มีคันเดียวนะ?” รุชาหันไปมองรถใต้ถุนอย่างลังเล
“ข้าเอาจักรยานไปก็ได้...”
“ไม่เป็นไร” รุชาส่ายหน้า “เอ็งเอามอ’ไซค์ไปดีกว่า ถ้ากระติ๊บมันจะไปเรียนกับครูสอนเล่านิทาน มันอยู่แค่หลังโรงเรียน เลยวัดหน้าปากซอยบ้านเราไปหน่อย ไม่ไกลนัก ข้าพอปั่นไปได้” รุชาพูดก่อนจะตบบ่าทิวทัศน์เบาๆ แล้วเดินลงมาจากบ้าน...
“รุชไปไหนน่ะแม่...” เสียงณราเอ่ยถามดาวเรืองสงสัย เมื่อเห็นว่ารุชารีบร้อนลงไปด้านล่าง
“มันไปติดสาวน่ะสิ”
“สาว?” หาญกล้าเลิกคิ้วสูงแปลกใจ เมื่อมาถึงที่สุพรรณยังไม่ได้ฟังบุตรสาว เล่าว่าไปถูกชะตาหรือแอบชอบใครเลยสักครั้ง
“เออ สาวคนที่เอ็งขับรถเชี่ยวชนล่ะมั้ง เห็นรุชมันเพ้อตั้งหลายวันแล้ว” ดาวเรืองบอกยิ้มๆ ให้หาญกล้าหันมามองใบหน้าของณราแล้วหัวเราะพร้อมกันเบาๆ
รุชากึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากบ้านในเวลาสาย มีแสงแดดทอประกายระยับ ให้เธอยกแขนข้างหนึ่งบดบังไอแดดที่กำลังร้อนระอุ ขณะที่ดวงตากลมโตหรี่เล็กเมื่อแสงแดดแรงปะทะเข้าใบหน้าเต็มๆ
“ว่าไง กระติ๊บ”
“วันนี้พี่สาวจะเล่านิทาน พี่รุชจะไปมั้ย”
“หืมม์...” รุชาเลิกคิ้วแปลกใจกับรอยยิ้มทะเล้นของเด็กชาย เพราะหลายวันก่อนที่ไปส่งมยุเรศหาหมอ ก็ได้รับคำแนะนำได้ยินจากพยาบาลว่า อย่าให้ขยับเขยื้อนกายช่วงนี้ เพราะอาจจะเจ็บระบมมากขึ้น
“เอ็งเอามาจากไหน กระติ๊บ” รุชาถามอย่างสงสัย
“ก็เนี่ย เพื่อนๆ ที่ฝั่งตลาดบอกจะไปฟังนิทานที่พี่เขาเล่า หนูเลยจะไปดู”
“เฮ้ย!” รุชาร้องเสียงหลง พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ “แต่เขาเจ็บเท้าอยู่นะ”
“เจ็บไม่เจ็บหนูไม่รู้ แต่วันนี้หนูจะวิ่งไปแล้วล่ะ หนูมีเงิน ยายให้มา” ไม่พูดเปล่า หากแต่กระติ๊บกลับแบมือให้รุชาเห็นเหรียญด้วยก่อนจะทำท่าวิ่งไป
“เดี๋ยวๆ ซ้อนจักรยานพี่นี่ล่ะ เดี๋ยวไปส่ง” รุชารีบร้องบอก ด้วยใจหนึ่งก็นึกประหลาดใจว่าแท้จริงแล้วแผลของมยุเรศหายเร็ว หรือว่าดื้อไม่ฟังหมอกันแน่
เห็นทีต้องไปดูให้เห็นกับตา...
รถจักรยานปั่นไปตามเส้นทางถนนด้วยความเร็ว รับสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ปะทะเข้าใบหน้า ขณะที่ชายเสื้อของสาวเท่ที่ชอบสวมใส่เสื้อเชิ้ตทับเสื้อยืดสีขาว สะบัดปลิวไปตามสายลม จนทำให้หนุ่มน้อยตัวเล็กที่ซ้อนข้างหลังถึงกับกอดสะเอวแน่น
“เอ็งทำอะไรกระติ๊บ กอดซะแน่น พี่ไม่ใช่พี่สาวเอ็งนะโว้ย” รุชาหันมาพูดเสียงดุเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กชายไม่ใช่กอดสะเอวเธอเปล่าๆ หากแต่กลับแนบแก้มลงบนแผ่นหลังอีกต่างหาก
“เสื้อพี่มันสะบัดเข้าหน้าหนู กอดแปบนึงน่า อย่าหวงตัวไปหน่อยเลย”
“แล้วไป จับดีๆนะพี่จะซิ่งแล้ว” ขาดคำรุชาก็ออกแรงปั่นอย่างรวดเร็วไปตามเส้นทาง เล่นเอากระติ๊บร้องโวยวายด้วยความหวาดเสียว จากที่โอบรอบสะเอว กลายมาเป็นทั้งจับทั้งดึงเสื้อแน่น เพราะเส้นทางลัดเลาะไปตามถนนลูกรังดินแดงขรุขระ คดเคี้ยวไม่ค่อยดีนัก
และกว่าจะถึงโรงเรียน ด้วยการขี่รถจักรยานคันเก่งที่มีสนิมเกาะกินเพียงเล็กน้อย ก็เล่นเอาทั้งสองพี่น้องนอกไส้ ก้าวลงจากรถด้วยความจุกเจ็บร้าวระบม เนื่องจากถนนดินลูกรังไม่ได้เรียบราบให้ปั่นได้อย่างสบายๆ หากแต่มีเศษหินเศษดินขรุขระให้รถกระเด้งกระดอน จะเบรกรถก็ทำไม่ได้เพราะแฮนด์แข็งค้างจากการจอดรถตากฝนตากลมอยู่นานสองนาน ต้องลงทุนใช้เท้าเป็นตัวช่วยเบรกรถชนิดที่พื้นรองเท้าแทบสึก
และท่าทางกางแข้งกางขายงโย่ยงหยกเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหยเก ก็ทำให้มยุเรศกลั้นยิ้มไม่ไหว เว้นจังหวะเล่านิทานไปชั่วครู่ ขณะที่เด็กนั่งฟังคนอื่นๆ ต่างหัวร่องอหงายกันอย่างถ้วนทั่ว
“ยังมาขำเราอีก หมอบอกว่าให้พักไม่ใช่เหรอ ยังจะดื้อออกมาข้างนอก หายแล้วหรือไง” น้ำเสียงของรุชาเอ่ยทัก พยายามปั้นสีหน้าเรียบนิ่งดุไปที่สาวเจ้า เพราะขัดเคืองที่เห็นว่าข้อเท้ายังไม่หายดี
“ยัง...” มยุเรศหันมาตอบ พลางส่งยิ้มหวาน เมื่อเห็นสีหน้าแววตาเป็นห่วงของรุชา เพราะหลังจากที่สาวเท่คนนี้แสดงความรับผิดชอบและความจริงใจออกมาให้เห็น ทำให้เธอรู้สึกประทับใจในความใจดีของรุชาไม่น้อย
“ถ้ามันระบมขึ้นมาอีก จะทำไง เราเป็นห่วงนะ” รุชาบอกไปตามใจจริง เล่นเอาคนฟังชะงัก ก่อนที่ใบหน้านวลขาวจะฟ้องแดงระเรื่อให้เบือนหน้าหันไปทางอื่น
“พูดอะไร เด็กอยู่เยอะแยะ ที่เราทำก็เพราะมีเด็กคอยอยู่ จิตวิญญาณคนเป็นครู ก็ต้องมีใจรักมอบความรู้ให้เด็กๆ มากที่สุดตามกำลังความสามารถสิ” มยุเรศหันมาตอบโต้วาจา ก่อนว่า “และไอ้ที่เล่าคือปาก ไม่ได้ใช้ขาเสียหน่อย”
“แต่ตอนเดินออกมาจากห้อง เธอก็เดินมานะ นกยูง”
รุชายังจะงัดต่อกรให้ได้ ให้มยุเรศทำหน้างอง้ำอยู่เพียงครู่ แล้วส่ายศีรษะทำเป็นไม่สนใจ หันมาเล่านิทานต่อให้เด็กฟัง ปล่อยให้รุชาได้แต่ลอบถอนใจ แล้วเดินไปนั่งบนพื้นสนามหญ้า เมียงมองความอ่อนหวานของมยุเรศและน้ำเสียงไพเราะระหว่างการเล่า...จนจบ
จวบจนกระทั่งเด็กๆ ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน รวมถึงกระติ๊บที่โบกมือลาจากรุชา วิ่งแจ้นไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ปล่อยให้รุชาและมยุเรศนั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไทรตามลำพัง...
“หิวมั้ย วันนี้จะกินอะไรดี เดี๋ยวรุชอาสาไปซื้อให้” รุชาเสนอเมื่อยังเห็นว่ามยุเรศยังขาเจ็บ พร้อมส่งรอยยิ้มหวานอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเองได้”
“ได้ยังไง...ก็ขาเธอเจ็บอยู่” รุชาชี้เตือนไปที่ขาของนกยูงที่มีผ้าพันข้อเท้าไว้แน่นจนปูดโปนโตยิ่งกว่าเท้าช้าง แถมไม้คำยันก็ไม่มี
สาวหน้าหวานสวยพยายามพยุงตัวลุกขึ้น หากแต่กลับเซถลาเหมือนจะล้มลง ให้รุชารีบปรี่เข้าไปประคองมยุเรศอย่างรวดเร็ว จนร่างเล็กตกอยู่ในอ้อมกอดของคนร่างสูง เงยหน้าหันมาสบตาด้วยความอึ้งตะลึง
เพราะความปราดเปรียว การดูแลใส่ใจของรุชา มันกำลังทำให้หัวใจของเธอมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไม่เคยเป็น
“เห็นมั้ย...เตือนแล้วไม่ฟัง...ถ้าล้มอีก ก็เจ็บอีก” รุชาบอกเสียงหน่าย ก่อนจะประคองร่างของมยุเรศลงไปนั่งบนโขดหินที่เดิม...
“รอตรงนี้นะ เดี๋ยวเราไปซื้อผัดไทยโบราณมาให้ ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก เคยกินตอนเด็กๆ เดี๋ยวเรามากินกัน”
“อื้ม...” มยุเรศพยักหน้าก่อนจะซ่อนยิ้มเก็บอาการหวั่นไหวในใจ เมื่อเห็นความน่ารักของรุชาฉายชัดออกมาให้รู้สึกดีไม่น้อย
รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดเทียบร้านคอมพิวเตอร์ในตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี บรรยากาศสองข้างทางเป็นห้องแถวเปิดเรียงรายกันเป็นทอด มีทั้งของกิน ร้านชำ ร้านเสื้อผ้า และร้านคอมพิวเตอร์เกม
ทิวทัศน์ก้าวลงจากรถเมื่อดับเครื่องเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านคอม ยามนี้มีทั้งเด็กเล็กเด็กโต ต่างมาเล่นเกมในวันหยุดสุดสัปดาห์ จนเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวไปหมด
“โอ๊ยเงียบๆ ได้ไหมเนี่ย ถ้ามัวเสียงดังจะให้ออกไปแล้วนะ” เสียงเจ้าของร้าน เป็นชายหนุ่มร่างอ้วนกลม ผิวสีแทนไว้หนวดเครารุงรัง บอกเสียงดุดันให้เหล่าเด็กทโมนต่างเงียบเสียงลงไปชั่วขณะ
“ไอ้บอย วันนี้ข้าขอชั่วโมงนึงนะ” ทิวทัศน์เดินเข้ามาพร้อมส่งยิ้ม ก่อนจะหยิบเศษเงินสิบห้าบาทในกระเป๋าส่งยื่นให้เพื่อนเก่าแก่ที่เรียนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม
“ทนๆ เสียงเด็กไปหน่อยแล้วกันไอ้ทิวถ้ามันเสียงดังอีก ข้าอนุญาตให้เอ็งตบหัวคว่ำแม่ง”
สีหน้าและแววตาดุดันยังปรายมาให้เหล่าเด็กๆ ต่างพากันทำคอย่นยื่นอย่างกลัวเกรง แต่เพราะอยากเล่นเกมจึงยอมเงียบเสียงตะโกนดังไปโดยพลัน ให้ทิวทัศน์หัวเราะขำ
“เอ็งก็โหดไป ทำหน้ายักษ์แบบนี้เดี๋ยวก็ขายไม่ออกหรอกเพื่อน”
“ข้ารำคาญ แม่งมาทุกวัน บางทีจะปิดก็ปิดไม่ได้ รอพ่องแม่งมารับ...อันที่จริงข้าก็เคืองเป็นนะ มาฝากลูกฝากหลาน ร้านเกมนะไม่ใช่เซเว่น” เมื่อเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาร้าน ได้ทีเจ้าของร้านจึงพล่ามยาวถึงความอัดอั้นตันใจ ให้ทิวทัศน์ส่ายหัวกับท่าทางเท้าคางเซ็ง ก่อนจะหยิบรหัสผ่านเข้าคอมพิวเตอร์ที่บอยส่งให้
“แล้วนี่มาทำไรวะ” บอยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อไม่เห็นทิวทัศน์เข้าเมืองมานาน
“มาเช็คผลสอบ ข้าลงไว้ จดหมายยังไม่ถึงบ้าน เลยอยากมาดูในอินเตอร์เน็ตแทน”
“เออเอ็งนี่ดีนะ มีใจรักการเป็นครู ข้าล่ะเกลียดเด็ก”
“เออ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไปเพื่อน” ทิวทัศน์กล่าวทิ้งท้ายรอยยิ้มหล่อๆ ให้เพื่อนอ้วนกลม ก่อนจะเดินมานั่งบนเก้าอี้นุ่มสบายก่อนเปิดเข้ารหัสผ่านเพื่อจะตรวจผลสอบบรรจุครู
ปลายนิ้วเรียวยาวรัวเคาะบนโต๊ะอย่างเซ็งจัด เมื่อการเข้ารหัสผ่านเพื่อให้หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลยังโหลดนานกว่าปกติ เร่งเร้าให้เสียงหัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวระส่ำ เมื่อผลของการสอบยังไม่ปรากฏออกมา...
แต่ครั้นที่กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ การแสดงผลสอบของทิวทัศน์ก็แสดงชัดขึ้นมา ให้ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนใบหน้าเกือบชิดติดจอ ก่อนที่เขาจะร้องโห่ดีใจ ตะโกนก้อง
“กูสอบติดแล้วโว้ย! สอบผ่านแล้วไอ้บอย กูสอบผ่านแล้ว!!” ท่าทางดีใจพร้อมกับชูมือขวาไม่ต่างไปจากชาวร็อค ทำเอาเจ้าของร้านอย่างบอย ถึงกับทำท่าจุ๊ปากเบาๆ หน้าแหย...
เพราะการดีใจเสียงดังอย่างเอิกเริกของทิวทัศน์กำลังทำให้เหล่าเด็กๆ หันมามองที่บอย สลับกับทิวทัศน์เพียงสองคน
“ฮะแฮ่ม!” ทิวทัศน์แสร้งกระแอมไอ ตีหน้าเข้มขรึม แต่ยังไม่วายยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนอย่างทะเล้น
“ติดแล้วๆ” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำราวกับเสียงกระซิบ ให้บอยพยักหน้าหงึกหงักยิ้มกว้างให้
“เออดีใจด้วย...แล้วนี่ยังไงต่อ”
“ขั้นต่อไป ก็คงรอลงว่าจะได้โรงเรียนไหนบ้างว่ะ” ทิวทัศน์คลี่ยิ้มหน้าบาน รู้สึกมีความสุขด้วยหัวใจพองโตเหลือเกิน
“เออๆ ได้ดีแล้วก็อย่าลืมเพื่อนนะเว้ย”
“ไม่ลืมๆ...” ทิวทัศน์ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าแจ่มใสอารมณ์ดี หลังจากได้รู้ข่าวการสอบบรรจุติด เพราะเขาใช้เวลาทุ่มสุดตัวสำหรับการสอบเพื่อจะเข้ารับราชการให้สมใจหมาย
และหวังว่า...วันนี้คงมีงานเลี้ยงฉลองดีใจอย่างพร้อมหน้า...
รุชากลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปซื้อผัดไทยกว่าครึ่งชั่วโมง เธอมาหยุดยืนตรงหน้าของมยุเรศที่กำลังนั่งรออยู่ที่โขดหินอยู่นานแล้ว และส่งห่อผัดไทยร้อนๆ ให้ด้วยรอยยิ้ม
“อ่ะ...กินซะได้ได้กินยา”
“ขอบใจนะ...” มยุเรศอมยิ้ม รับผัดไทยหอมฉุยยั่วน้ำลายสอมาแกะห่อ ใช้ตะเกียบไม้คลุกคนเส้นผัดไทยเหนียวนุ่มกับเครื่องปรุงให้เข้ากัน แล้วเข้าปากเคี้ยวตุ้ย
“ค่อยๆ ก็ได้เดี๋ยวสำลัก” รุชาร้องเตือนขำๆ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เมียงมองความสดใสและเป็นธรรมชาติของมยุเรศอย่างเพลิดเพลินตา
“หิวแล้วนี่...” มยุเรศตอบหลังจากเคี้ยวผัดไทยจนหมดปาก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ด้วยความเขินอาย เมื่อเห็นว่ารุชายังคงจับจ้องเธออยู่
“มองอะไร ไม่รีบกินเดี๋ยวเส้นก็อืดติดกันหรอก”
“ผัดไทยน่ะ เราไม่ได้รีบกินหรอก เพราะมันอยู่ในมือเรา กินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าคิดจะมองคนแถวนี้ ถ้าไม่รีบมอง เราก็ไม่รู้ว่า จะได้มองอีกเมื่อไหร่” รุชาหยอดคำหวานไปตามเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็ว รู้สึกเป็นสุขเหลือเกินที่ได้พบ ได้ใกล้ชิดและพูดคุยกับมยุเรศ
ขณะที่คนถูกหยอดคำหวาน ก้มหน้างุด เขินไปกับการเกี้ยวพาราสีใสซื่อแบบบ้านๆ ของรุชา
“มัวแต่มองอยู่ได้...” มยุเรศบ่นอุบ เลี่ยงความเขินด้วยตักเส้นผัดไทยเคี้ยวตุ้ย
“แล้วมองได้รึเปล่าล่ะ?” รุชายิ้มกริ่ม เริ่มแกะตะเกียบคีบผัดไทยเจ้าอร่อยกินไปพร้อมกับมยุเรศ
“เห็นเราเป็นหินเป็นปูนหรือไง...หืมม์” มยุเรศถามพยายามปั้นหน้านิ่ง
“ก็นึกว่าใช่เสียอีก...เห็นออกจะนิ่ง”
“ยียวนจังเลย”มยุเรศวางห่อผัดไทยเมื่อกินไปได้ถึงครึ่งห่อแล้วเริ่มติดคอ เธอจึงเอื้อมไปหยิบน้ำในถุงที่วางอยู่ข้างโขดหิน หากแต่รุชากลับไวกว่า เป็นฝ่ายดึงถุงมา อาสาเปิดขวดแล้วใส่หลอดให้พร้อมอีกต่างหาก
“อืม...กินสิ” มือเรียวสวยถือขวดน้ำเย็นๆ พร้อมส่งยิ้มให้
“ขอบใจนะ” มยุเรศรับขวดน้ำมาแล้วดูดดื่มน้ำไปหลายอึกใหญ่
“อื้ม...” รุชายิ้มรับ ก่อนจะคีบเส้นผัดไทยเข้าปากต่อด้วยความเอร็ดอร่อย...
“นี่...รุช”
“หืมม์...” รุชายังแก้มป่องเคี้ยวตุ้ย หันไปมองวงหน้าสวยหวาน ส่งอมยิ้มน้อยๆ กลับมา หลังจากวางห่อผัดไทยข้างกายเมื่อกินอิ่มแล้ว
“หลายวันที่มาให้เห็นบ่อยๆ น่ะ...จะจีบเราเหรอ”
คำถามตรงโต้งของมยุเรศทำเอาคนที่หวั่นไหวไปไกลอย่างรุชาถึงกับยิ้มเขิน แก้มนวลเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดเขินอายไปเล็กน้อย
“ก็ชอบอ่ะ...” รุชาพยักหน้าหงึกหงักตอบไปตามจริง “สวยดี...”
“เหรอ...” มยุเรศวางน้ำดื่มลงบนผืนหญ้า ก่อนม้วนปอยผมด้วยความขัดเขินในวาจาตรงๆ แสนซื่อของรุชาที่ออกมาจากใจ “เรายัง...ไม่มีแฟนนะ”
ความคิดเห็น