ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เลขสื่อรัก [TD,Yuri]

    ลำดับตอนที่ #5 : 4 หวั่นไหว

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 56


    ตอนที่ 4 หวั่นไหว

                การเล่านิทานยังดำเนินต่อไป ให้รุชาคลี่ยิ้มด้วยหัวใจอิ่มเอม...หัวสมองคิดไปไกลแสนไกลว่านี่คือพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ เมื่อได้พบหญิงสาวที่เธอประทับใจตั้งแต่แรกเห็นยามที่ซื้อสลัดในวันนั้น...และวันนี้ก็มาพบกันอีก...

                    ทั้งรูปหน้า รอยยิ้ม ผิวพรรณ และการวางตัว ทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์พร้อม อย่างที่ทำให้เสียงหัวใจของรุชาดังกระหน่ำฟ้องชัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพาเอาเลือดลมสูบฉีดไหลพล่านไปทั่วร่างเรือนกาย

                    “คุณคะ...มานั่งใต้ต้นไทรก็ได้นะคะ อยู่ข้างนอกมันจะร้อน” เธอกล่าวเรียก กวักมือให้รุชาเดินเข้ามาหลบใต้ต้นไทร เมื่อเห็นผิวขาวเหลืองของรุชากำลังเปลี่ยนเฉดสีเป็นแดงระเรื่อ

                    “เอ่อ...จ้ะ” รุชาเกาศีรษะตนเองอย่างเก้อเขิน ก่อนจะนั่งลงข้างเด็กๆ ที่กำลังนั่งตั้งใจฟังมยุเรศเล่านิทาน...

    น้ำเสียงหวาน และอารมณ์ร่วมไปด้วยความสนุกในขณะเล่านิทาน ให้รุชาฟังไปด้วยความเพลิดเพลินใจ จดจำรายละเอียดและใบหน้าแววตาดูอ่อนโยน งดงามไว้ในใจเงียบๆ จวบจนกระทั่งสาวผู้นั้นเล่านิทานจบ...

                    เสียงปรบมือของเด็กๆ ดังขึ้นมาชุดใหญ่อย่างชื่นชม ให้มยุเรศคลี่ยิ้มบางให้กับเหล่านักเรียนตัวน้อย ที่เจียดเวลามานั่งฟังนิทานช่วงวันหยุดปิดเทอม

                    “อย่าลืมนะ หมั่นท่องศัพท์ ฝึกอ่านฝึกจำศัพท์ที่ให้ไปวันนี้ด้วยนะคะ”

                    “ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับ” เสียงเด็กนักเรียนดังขึ้นประสานกัน ให้มยุเรศพยักหน้า ก่อนจะโบกมือลาทุกคนที่ลุกขึ้นและต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน...

                    “อะแฮ่ม...” เสียงกระแอมไอของกระติบดังขึ้นขัดจังหวะ เมื่อเห็นว่ารุชายังนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่ยอมลุกไปไหน สายตาคมหวานมองไปตามความเคลื่อนไหวของหญิงสาวเงียบๆ

                    “อะไร จะกลับบ้านแล้วหรือไง พี่จะได้ไปส่ง”

                    “เปล๊า...” กระติบรีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนกระเซ้าแหย่ “พี่ชอบพี่สาวเค้าล่ะสิ”

                    “อืม...” รุชาพยักหน้า รอยยิ้มหวานๆ ตามแบบฉบับยังไม่จางหายไป ให้กระติบโน้มใบหน้าลงมาใกล้ก่อนจะกระซิบข้างใบหูอย่างแก่แดดแก่ลม

                    “ไปจีบสิ พี่เค้ายังไม่มีแฟน”

                    “ไม่เอา...อาย” รุชาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ รู้สึกขัดเขินขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ตอนอยู่กรุงเทพเคยมีประสบการณ์สาวๆ มารุมล้อมหน้าหลังไม่เว้นวัน แต่พอมาเจอสถานการณ์ที่เธอเป็นฝ่ายสนใจขึ้นมาจริงๆ กลับกลายเป็นว่ามีความประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                    “เฮ้ย อายอะไร นี่ผมยอมยกให้เลยนะ ที่เห็นว่าเป็นพี่รุชน่ะ” กระติบลุกขึ้นยืนกอดอกมองรุชาด้วยสายตาจริงจัง ทำเนียนตีสนิท ให้รุชาหันมามองเด็กชายตาปริบๆ

                    “เอ็งตัวแค่เนี้ย จะอะไรกับพี่เค้า แก่แดดใหญ่แล้วนะ”

                    “ก็ใช่ไง ผมน่ะรู้ว่าผมหล่อ แต่ผมยังเล็กไปหน่อย เห็นสูงๆ อย่างพี่รุชเลยหลีกทางให้ ถามสิ ลุกเลย” ไม่พูดเปล่า หากแต่กระติบยังดึงมือของรุชาให้ลุกขึ้นในจังหวะที่เห็นว่ามยุเรศกำลังจะเดินจากไปอีกทาง

                    และการดึงดุนหลังให้เดินเข้ามาใกล้มยุเรศ ทำให้หญิงสาวที่กำลังเก็บของออกไปจากที่ตรงนั้น หันมามองอย่างสงสัย

                    “มีอะไรรึเปล่าคะ”

                    “เอ่อ...” รุชายิ้มกว้าง มือข้างหนึ่งเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน เมื่อยังมีเจ้าตัวเล็กอีกคนหลบแอบอยู่หลังก้น

                    “พี่สาว พี่ของกระติบชอบพี่สาวครับ” ใบหน้าไร้เดียงสาโผล่มาพร้อมคำพูดชัดเจน ให้รุชาทำตาโต รีบหันไปปิดปากเด็กชายตัวแสบไว้โดยพลัน หากแต่ไม่ทัน เพราะมยุเรศได้ยินเต็มสองหูไปแล้ว

                    และยามนี้เธอกำลังหลุดยิ้มขำน้อยๆ เมื่อเห็นว่ารุชากำลังหน้าแดงจัดยิ่งขึ้นไปอีก

                    “อย่าไปฟังกระติบพูดเลยนะ กระติบก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ” รุชาเก็กหน้าขรึมเข้ม หากแต่ยังมีหลุดยิ้มอยู่กรายๆ

                    “กระติบพูดจริงพูดเล่น ฉันไม่ได้สนใจหรอกค่ะ...” มยุเรศหันมาตอบแล้วอมยิ้มบาง

                    “ดีแล้วจ้ะ เด็กมันก็คะนองปากอย่างนั้นเอง” รุชาพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ออ่าติดขัดขึ้นมาไม่เป็นธรรมชาติ เพราะยามนี้หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน เมื่อหลงพิษความสวยใสเข้าเต็มอก

                    “ชื่ออะไรเหรอ มาสอนนานหรือยัง?” รุชาพยายามเอ่ยชวนคุยเรื่องอื่น เมื่อกระติบยังไม่หยุดดุนหลัง จนเธอต้องหันไปสาละวนตีมือ ก่อนจะทำหน้าดุใส่ “ไปรอพี่ที่รถไป เดี๋ยวจะได้ไปส่ง”

                    เท่านั้นล่ะ กระติบถึงได้วิ่งไปอีกทาง ให้มยุเรศมองตามก่อนจะหันมายิ้มขำ

                    “มีน้องชายด้วยเหรอ”

                    “เปล่า เป็นหลานแม่ค้าขายผักน่ะ” ว่าไปรุชาก็หัวเราะกลบเกลื่อนจนเธอรู้สึกว่า บางทีก็มากเสียจนเกรงว่าอีกคนจะมองว่าบ้าหรือเปล่าหนอ

                    “อ้าว แล้วดูสนิทกันจัง” มยุเรศเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ

                    “เพิ่งสนิทไม่นานนี้เอง...กระติบมาขอเงิน...เพื่อจะมาฟังนิทานของคุณ”

                    “อ้อ...” มยุเรศพยักหน้าเข้าใจกระจ่างแจ้ง ก่อนปฏิเสธ “ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ค่ะ เราน่าจะอยู่วัยเดียวกัน”

                    “แล้ว...ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ”  

                    “นกยูงค่ะ” มยุเรศตอบหลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก่อนขยายความเมื่อเก็บของเสร็จ “ที่จริงเราเป็นครูมัธยมที่ดรุณแจ่มใสนี่ล่ะ แต่อยากหาเวลาช่วงปิดเทอมมาสอนเด็กพวกนี้น่ะค่ะ อยากให้พวกเขารักภาษาอังกฤษ”

                    “ใจดีจังเลยนะ” รุชาหันไปยิ้มหวานให้อย่างชื่นชม ก่อนอาสาช่วยเมื่อเห็นว่าในมือของมยุเรศมีของสัมภาระเต็มสองมือ “เราชื่อรุช ช่วยถือให้มั้ย”

                    “ไม่เป็นไร เราถือเองได้ ของนิดเดียว”  มยุเรศปฏิเสธ ก่อนอมยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มเคอะเขินของรุชา ยามที่รุชาเริ่มเดินทอดน่องไปตามทางใกล้ๆ เธอ

                    “ทำไมถึงชอบกินสลัดแต่ไม่ใส่แตงกวากับมะเขือเทศล่ะ” คำถามของรุชาเอ่ยขึ้น เมื่อทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง ให้มยุเรศหันมาเลิกคิ้วสูงอย่างฉงน

                    “รู้ได้ไง...”

                    “ก็วันนั้นที่เธอไปซื้อของในตลาดไง...” รุชาสารภาพออกมา ก่อนพวงแก้มนวลขาวจะฟ้องแดงระเรื่ออีกครั้ง เมื่อเห็นแววตาประหลาดใจของมยุเรศที่จ้องตอบกลับมา และยังพราวระยับหวานอยู่ในที

                    “รีบไปส่งกระติบเถอะ...เขาคงรอเธออยู่”

                    “แต่นกยูงยังไม่ตอบคำถามเราเลยนะ” รุชาหันมาถามอย่างข้องใจสงสัย ให้มยุเรศอมยิ้มแล้วส่ายหัวน้อยๆ

                    “ไหนเมื่อกี้พูดว่า คำพูดเด็กคะนองปากไปอย่างนั้นเอง แต่ที่เธอถามเราแบบนี้ มันคือการที่คนอยากจะจีบกันควรถามนะ”

                    รอยยิ้มหวานส่งกลับมาเมื่อพูดจบ ทำเอารุชาถึงกับอึ้งไป ก่อนผงกหัวให้ซ้ำๆ “ขอโทษๆ เราอาจถามมากไป”

                    “บางคำตอบถ้าอยากรู้...ต้องใช้เวลาทั้งนั้นล่ะ” พูดจบมยุเรศก็ขยิบตาให้น้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากมาอีกทาง ทิ้งให้รุชายืนนิ่งงันราวกับถูกสาป วางมือทาบทับจับหน้าอกด้านซ้ายของตนเองอย่างเพ้อฝัน...

                    เพราะเสียงหัวใจยามนี้กำลังเต้นกระหน่ำรัวแรงอย่างไม่อาจควบคุม...

    รถมอเตอร์ไซค์แล่นไปด้วยความเร็ว ก่อนจะแวะจอดที่บ้านของกระติบตามที่เด็กชายชี้บอกทาง ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านของดาวเรืองมากนัก รุชาส่งยิ้มให้เด็กชายหลังก้าวลงจากรถ ก่อนจะโบกมือลา

    “พี่รุช จีบพี่สาวให้ติดนะ ผมหลีกทางให้พี่คนเดียว”

    “โอย แก่แดดจริงเล้ย” รุชาหันไปยิ้มกว้าง ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะกลมเบาๆ  “ไปๆ กลับไปอ่านหนังสือทบทวนได้แล้ว”

    “พรุ่งนี้พี่สาวเค้าสอนอีกวัน พี่ไปหาเค้าสิ” เด็กชายที่ถูกไล่ไม่วายหันมาให้ข้อมูลด้วยรอยยิ้มกว้าง ให้รุชาหันไปตีหน้าดุใส่

    “เออน่า...เซ้าซี้จริง” รุชาบอกอย่างขัดใจแล้วบอกย้ำ “เข้าบ้านไปได้แล้ว ถ้าไม่เข้าพรุ่งนี้ไม่ไปส่งเรียนนะโว้ย”

    “ฮั่นแน่ พี่ชอบพี่สาวจริงๆ ด้วย หาเรื่องไปส่งผมเพราะอยากเห็นพี่สาวใช่ม้า” นิ้วมือเล็กๆ ชี้มาที่รุชาอย่างยั่วล้อ ทำเอามือเรียวยาวปัดตีมือของเด็กแก่แดดเป็นพัลวัน

    “ไม่รู้ๆ...” รุชาตัดบทก่อนจะบึ่งรถมอเตอร์ไซค์จากมา ทิ้งให้กระติบยืนยิ้มกริ่ม...

    เสียงรถมอเตอร์ไซค์มาหยุดจอดที่ใต้ถุนบ้าน ก่อนที่รุชาจะดับเครื่องแล้วก้าวลงจากรถในเวลาบ่ายคล้อย ขณะที่ทิวทัศน์เพิ่งอาบน้ำตอนบ่ายแก่ ด้วยใส่เสื้อกล้ามกับผ้าขาวม้า โรยตัวด้วยแป้งเย็นพอหอม เดินลงมาจากบันไดบ้านตรงเข้ามาทักรุชาด้วยความสงสัย

    “เฮ้ย ไหนว่าไม่ออกบ้าน ไปไหนมาวะ”

    “ไปส่งกระติบมา เด็กมันขอเงินไปนั่งฟังนิทานภาษาอังกฤษ”

    “เฮอะ” ทิวทัศน์หัวเราะอย่างเย้ยหยัน ก่อนหันมา “ไงละขาดทุนยับเลยสิ รู้มั้ยก่อนมันขอเอ็งนะ ขอข้ามาหลายสิบแล้ว พอข้าไม่ให้ ไปเห็นหน้าเอ็งมันเลยขอเอ็งต่อ”

    “เปล่าเลย โบนัสล้วนๆ เลยล่ะไอ้ทิว ข้าไปเจอเทพธิดาเมืองกรุงมาด้วยนะโว้ย” พูดไปรุชาก็เก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ กระโดดโลดเต้นหย็องแหย็งอย่างเป็นสุขเหลือประมาณ

    “ไอ้นี่...ท่าจะบ้า ไปๆ ยายทำกับข้าวเสร็จรอเอ็งมากินตอนเที่ยงตั้งนานแล้วนู่น”

    “เออ เอ็งรู้มั้ย เธอสวยมากเลยนะ ชื่อนกยูง คนอะไรชื่อก็เพราะ แถมหน้าหวานใจดีอีกต่างหาก ไว้ไปคราวหน้าเอ็งไปกับข้าสิ รับรองเอ็งชอบแน่”

    “ไม่ล่ะ” ทิวทัศน์ยกมือปรางห้ามญาติขึ้นมาตัดบทขึ้นมาทันที “ข้าไม่ชอบสาวเมืองกรุง ข้าไม่มีวันจะชอบด้วย” ทิวทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงฉุน ก่อนจะเดินสะบัดก้นเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้รุชามองตามแล้วอมยิ้มขำ

    “ไอ้นี่...นับวันทำท่าเคืองงอนอย่างกับผู้หญิง” สาวเท่บ่นพึมพำ ก่อนตะโกนไล่หลังไป “ไม่ชอบสาวเมืองกรุงแล้วอย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังนะโว้ย คนนี้ข้าจองแล้วนะ...”

    อาหารมื้อเที่ยงจัดใส่ถาดกลมลายดอก จำนวนสี่ห้าอย่างประกอบไปด้วยปลาสลิดทอด น้ำพริก ต้มจืด และผักลวก ของพื้นบ้านจัดตั้งวางกันบนแคร่หน้าบ้านรับลมโกรก ทิวทัศน์นั่งลงพร้อมตักข้าวที่กำลังร้อนระอุใส่จานยื่นให้ดาวเรืองและรุชาอย่างที่เคยทำ ก่อนที่จะตักข้าวให้ตนเอง

    “ไงล่ะ ไอ้กระติบมันหลอกเอาเงินไปติดเกมรึเปล่า” บทสนทนาของดาวเรืองเปิดขึ้น เมื่อเห็นว่ารุชากลับบ้านมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

    “เปล่าจ้ะยาย กระติบขอเงินไปเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ” รุชาตอบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบปลาสลิดที่กำลังทอด จนเหลือง เนื้อกรอบมาใหม่ๆ เข้าปากเคี้ยวตุ้ย

    “เหรอ ข้าไม่ยักจะเชื่อ แล้วนี่เป็นอะไรหน้าบาน ยิ้มไม่หุบหืมม์”ดาวเรืองเลิกคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเห็นใบหน้าของรุชาฟ้องชัดว่ามีความสุขอิ่มเอมจนล้นอก

    “ไอ้รุชมันไปเจอนางฟ้า นางในฝันของมันมายาย” ทิวทัศน์ตอบหลังจากซดน้ำต้มจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ หอมไปด้วยกระเทียมเจียวพอคล่องคอ ให้ดาวเรืองหัวเราะ

    “จะนางฟ้า นางสวรรค์ หน้ามาร ซาตาน เอาสักคนเถอะโว้ยไอ้รุช ข้าน่ะไม่เกี่ยงว่าเอ็งจะเลือกใครมาดูแลหัวใจเอ็ง ยังดีกว่าเอ็งจะลอยไปลอยมา เอ็งอย่าลืม แม่เอ็งกำลังมีน้อง ถ้าพรุ่งนี้มะรืนนี้ณรามาที่บ้าน แล้วตกลงจะเอาเด็กไว้ เท่ากับเอ็งต้องเป็นพี่ที่ดี ส่งเสียเลี้ยงดูน้อง เป็นหลักเป็นฐานที่ดี ไม่ใช่อยู่แบบลูกคนเดียวแล้วนะโว้ย”

    “เออถูก เอ็งน่ะ ฟังยายบ้าง” ทิวทัศน์ออกความเห็นด้วยอีกคน ทำเอารุชานิ่งงันไปเมื่อคิดถึงเรื่องแม่...

    ตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา รุชาใช้ชีวิตตามใจมาโดยตลอด เพราะที่บ้านเห็นว่าเป็นลูกคนเดียว เธอรู้สึกดีที่เติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมจะเข้าใจทุกเรื่อง เพราะทั้งหาญกล้าและณราต่างเลี้ยงดูมาฝึกการใช้ชีวิตแบบอิสรเสรี ขอแค่เป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร...ก็เพียงพอแล้ว...

    แล้วเรื่องของน้อง...ที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ถ้าเรื่องราวเป็นอย่างที่ดาวเรืองพูด...หากแม่ตั้งใจจะเก็บน้องไว้ ตัดสินใจมีลูกอีกคน เธอก็ควรจะทำหน้าที่ที่ดีบ้าง...ใช่ไหม?

    “ไม่ต้องห่วงหรอกยาย เรื่องนั้นถ้าเกิดคนมันใช่ มันก็จะใช่” รุชาประมวลความคิดในสมองก่อนระบายยิ้มให้ผู้เป็นยายตามแบบฉบับ

    “แล้วอีกนานแค่ไหนล่ะ หืมม์...เอ็งจบมาจะทำงานอะไร ก็ยังไม่ตัดสินเลยนี่นา” ดาวเรืองพูดเรื่องอนาคตขึ้นมา ทำเอารุชานิ่งไปอีกครั้ง

    “จ้ะยาย...หนูคงทำงานเกี่ยวกับสายศิลปะนั่นแหละ แต่จะดูอีกทีว่าจะช่วยพ่อที่โรงงานสีข้าวมั้ย”

    “อืม...เอ็งลองคิดยาวๆ เพราะต่อจากนี้อาจจะไม่ใช่มีแค่เอ็ง” ดาวเรืองพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากกินข้าวจนหมดชาม ปล่อยให้รุชานิ่งในภวังค์ความคิดของตนเอง...

    รุชาและทิวทัศน์ช่วยกันเก็บถ้วยชามมาใส่กะละมังรองน้ำช่วยกันล้างที่ใต้ถุนบ้าน สาวเท่ถกแขนเสื้อ วักน้ำในกะละมังเล่น เมื่อสายยางยังปล่อยน้ำประปาไม่เต็มถัง รอล้างน้ำเปล่าต่อจากทิวทัศน์ ที่กำลังบีบน้ำยาล้างจานขัดถ้วย

    “เอ็งจะเอาไงต่อเรื่องที่บ้าน ตอนช่วงที่เอ็งจบ เขาเปิดสอบกพ.พอดี เอ็งสอบไม่ทัน ไม่อย่างนั้น ข้าคงชวนเอ็งไปสอบด้วยล่ะรุช” ทิวทัศน์พูดก่อนจะส่งยื่นชามขัดแล้วให้รุชาล้างต่อ...

    “ไม่รู้สิ ข้ายังเหนื่อยๆ อยู่เลย นึกอยากจะพักสักเดือนสองเดือน ดันเกิดเรื่องวุ่นขึ้นมาซะงั้น” รุชาพูดพลางลอบถอนใจเบาๆ “ข้ายังนึกสงสัย ว่าแม่ข้าป่องมาอีกได้ยังไง”

    คำถามที่เต็มไปด้วยความเครียดและสีหน้าจริงจังส่งกลับมา ทำเอาทิวทัศน์หัวเราะขำ

    “บางทีน้าหาญอาจเกิดอารมณ์แบบอยากฟิชเชอริ่งขึ้นมาก็ได้”

    “เอ็งก็พูดไป...” รุชายังตอบรับเสียงเนิบ ไม่ขำในมุกหยอดของทิวทัศน์

    “เอาน่า เดือนสองเดือนนี้ เอ็งก็ใช้ชีวิตให้มันสนุกแล้วกัน...นะ ค่อยๆ คิดวางแผนกันไป” ทิวทัศน์พูดขึ้นก่อนจะล้างมือหลังจากทำหน้าที่ตนเองเสร็จเรียบร้อย และอาสาหยิบจานไปเก็บบนเรือน

    ทิ้งให้รุชานั่งนิ่งเหม่อไปกับคำพูดของดาวเรืองเพียงครู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาดู นึกถึงเทพไทย เพื่อนสนิทสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกัน...

    มือเรียวกดโทรศัพท์ถือสายคอยเพื่อนสนิทไม่นาน เทพไทยก็กดรับโทรศัพท์ขึ้น

    “สวัสดีครับ...เทพไทยครับ” เทพไทยเอ่ยขึ้นแนะนำชื่อเรียงนามเต็มยศ ทำเอาคนโทรมาอย่างรุชาถอนใจหน่าย

    “ข้าเอง”

    “ข้าไหน...อะไรครับ” เทพไทยยังย้อนถามเสียงสุภาพ เพราะเบอร์โทรศัพท์แปลกตาที่โชว์หรา ทำให้เขาไม่รู้ว่าใครติดต่อมา

    “ฟาย ทีเรื่องนี้แม่งโง่จังนะไอ้หมอ รุชอ่ะ รุชา!” รุชาตอกกลับด้วยความฉุนเฉียว ให้เทพไทยผงะไป ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมามองดูตัวเลขแล้วขมวดคิ้ว

    “ไอ้บ้า นี่บอกให้เปลี่ยนเบอร์ยังไม่เปลี่ยนอีกเหรอวะ ข้านึกว่าเปลี่ยนเลยไม่ได้เมมไว้”

    “เบอร์นี้ข้าบอกเอ็งว่าหมดไปเกือบพัน เปลี่ยนก็โง่แล้วล่ะไอ้หมอ”

    “แล้วเอ็งจะโทรมาหาข้าทำไม เจอดีเข้าแล้วล่ะสิ...” เทพไทยเอ่ยทักที่ทำเอารุชาเครียดหนัก...

    “เออ จะว่าอย่างนั้นก็ใช่...แต่ไม่ใช่เรื่องเบอร์หรอกนะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×