ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เลขสื่อรัก [TD,Yuri]

    ลำดับตอนที่ #4 : 3 สาวงาม

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 56


    ตอนที่ 3 สาวงาม

    เสียงไก่ขัน ดังขึ้นพร้อมกับให้รุชาสะดุ้งตื่นด้วยหัวใจที่เต้นตุ้มต่อม ดังรัวเร็วอย่างตื่นเต้นตกใจ เมื่อภาพความฝันยังคงย้ำเตือนให้ประหวั่น จนอดไม่ได้ที่จะตบใบหน้าตนเองเบาๆ เพื่อเตือนสติว่าเป็นเพียงฝันไปเท่านั้น...

    รุชาส่ายหัวกับความฝันร้ายที่ไม่แน่ใจว่า...เมื่อคืนเธอคิดมากเรื่องดาวเรืองเกินไปหรือเปล่า ครั้นลุกขึ้นมานั่งมองบนเตียง กลับไม่พบดาวเรืองนอนอยู่...

    รุชามองไปรอบห้องเรือนไม้ก่อนจะสะดุดกับนาฬิกาลูกตุ้มขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่า...เจ็ดโมงกว่าแล้ว

    ให้ตายเถอะ...เธอตื่นสายขนาดนี้เลยหรือ?...

    คิดได้ดังนั้นสาวเท่จึงรีบบิดเอี้ยวตัวไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูไปอาบน้ำสลัดความงัวเงียและฝันร้ายของวัน...

                    รุชาใช้เวลาอาบน้ำชำระร่างกายเพียงครู่ สวมชุดใหม่ด้วยเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงยีนสีน้ำตาลตามสไตล์ของเธอ ประแป้งพอหอมและเซ็ทผมอีกนิดหน่อยให้ดูดี ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง...

                    “โอ้โห...จะไปไหนวะนั่น ไอ้รุช” เสียงตะโกนของทิวทัศน์ดังขึ้น ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่หน้าชานบ้าน และเล่นกับสุนัขสีขาวอย่างหมั่นเขี้ยว ให้รุชาหันไปยิ้มตอบไม่ว่าอะไร

                    “ยายล่ะ...”

                    “ไปทำบุญที่วัดนู่น สองโมงถึงจะกลับ” ทิวทัศน์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือหลังจากเล่นกับสุนัขเป็นที่พอใจ แล้วมานั่งข้างๆ รุชา

                    “นี่เอ็งจะไปไหน แต่งตัวซะเท่เชียว”

                    “ไม่ได้ไปไหนหรอก ข้าชินน่ะ...ที่กรุงเทพสอนข้ามาแบบนั้น” รุชาหันไปตอบทิวทัศน์พร้อมรอยยิ้มบาง ให้ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เล็กทำหน้านิ่งไป

                    “คนเมืองกรุง ก็คงมีคนสวยๆ งามๆ ทั้งนั้นล่ะนะ”

                    “ใช่...” รุชาพยักหน้าเห็นด้วย “มองไปทางไหนอย่างกับเทพธิดา เทพบุตร”

                    “เสียอย่างเดียว หาความจริงใจไม่เจอ” ทิวทัศน์เสริมต่อให้ แถมด้วยสีหน้าเอือมระอากับคนกรุงเทพเต็มทน เพราะตั้งแต่เรียนจบที่ม.รามคำแหง เขาก็ไม่คิดอยากจะหวนกลับไปที่ถนนสายเก่าอีกเลย

    รุชาคลี่ยิ้มบาง ก่อนออกความเห็น “เอ็งอย่าเหมารวมไปหมด ใช่ว่าจะเป็นทุกคน”

                    “เอ็งก็อย่ามองโลกในแง่ดีไปหน่อยเลย รุช ถ้าเอ็งคิดว่ามีสักคนที่จริงใจ ไม่ได้หวังหาสมบัติมากมี ไม่หวังความโก้หรูต่อกัน แต่รักที่หัวใจเป็นเนื้อแท้ เอ็งคงต้องพาสาวกรุงเทพกลับมาที่นี่ได้สักคนแล้วล่ะ” ทิวทัศน์หันมาออกความเห็น ให้รุชาทำได้เพียงยิ้ม และนิ่งไป...

                    “นี่ตั้งแต่เอ็งเรียนจบ...เอ็งลงทำงานไว้ที่ไหนบ้างรึยัง” รุชาชวนถามเปลี่ยนเรื่อง ให้ทิวทัศน์พยักหน้าตอบ

                    “ข้าสอบครูไปแล้ว คงรอผลสักระยะล่ะว่าติดหรือเปล่า พอติดก็จะถูกเรียกว่าจะให้ลงที่ไหน แต่ใจจริงข้าไม่อยากไปจังหวัดอื่นเลย อยากสอนที่นี่ล่ะ อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา เอ็งว่ามั้ย...” ทิวทัศน์หันมาฉีกยิ้มกว้าง ให้รุชายิ้มตอบ

                    “คงใช่มั้ง...”

                    “แล้วเอ็งล่ะรุช จบแล้วจะทำอะไรต่อ”

                    “ข้ายังไม่ได้คิดเลย อยากจะหลบพักความวุ่นวายสักพัก” รุชาตอบก่อนจะหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกือบจะเสียความบริสุทธิ์จากที่มีนารีล้อมหน้าหลังไม่เว้นแต่ละวันยามเป็นนิสิตที่กรุงเทพ หลายคนที่เข้ามาส่วนใหญ่มองแต่ฐานะทางการเงินจากเปลือกนอกทั้งนั้น

                    “มีความรู้ ถ้าไม่ได้ใช้ระวังจะหายนะโว้ย” ทิวทัศน์เอ่ยเตือนให้รุชาคลี่ยิ้ม

                    “ไม่หายง่ายๆ หรอกเว่ย กว่าข้าจะจบจิตรกรรมมา เลือดตาแทบกระเด็น”

    การสนทนาโต้ตอบระหว่างรุชาและทิวทัศน์ยังคงคุยเรื่อยๆ ด้วยคำถามสารทุกข์สุขดิบ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของสาวเท่จะดังขึ้นขัดจังหวะให้รุชา ล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาดู

                    และหน้าจอที่โชว์หราเป็นเบอร์โทรศัพท์ของณรา ก็ทำให้รุชาผงะไป

                    “แม่ข้าโทรมา”

                    “รับสิๆ” ทิวทัศน์ขยับเข้ามานั่งใกล้รุชาทันทีด้วยความใคร่รู้อยากเห็น เมื่อรุชากดรับโทรศัพท์

                    “สวัสดีจ้ะแม่...”

                    “เปิดลำโพงให้ข้าฟังด้วย...” ทิวทัศน์ที่นั่งข้างๆ บุ้ยปากบอกให้รุชาหันไปยิ้มขำกับอาการตื่นเต้นของชายหนุ่ม และยอมเปิดลำโพงให้ได้ยินกันทั้งสองฝ่าย

                    “ยายอยู่มั้ย แม่ขอคุยกับยายหน่อย”

                    “ยายไปทำบุญครับน้าณรา” ทิวทัศน์อาสาตอบแทนให้ น้ำเสียงแหบห้าวอย่างชายหนุ่มทำให้ณราได้ยินแล้วสะดุดไปนิด ก่อนว่า

                    “อยู่กับทิวหรือรุชา เสียงทิวโตเป็นหนุ่มจำไม่ได้เลย”

                    “ใช่จ้ะแม่ แม่โทรมาหารุชา...มีอะไรเหรอ? เนี่ยไอ้ทิวมันบ่นถึงแม่ ยังรบเร้าให้รุชมาชวนให้แม่มาเที่ยวสุพรรณอยู่เลย”

                    “อืม ถ้าอย่างนั้นทิวคงได้เจอแม่สมใจแล้วล่ะ” ปลายสายตอบกลับมาให้ทิวทัศน์กระโดดตัวลอยอย่างดีอกดีใจ

                    “จริงเหรอครับคุณน้า!

                    “จริงจ้ะหลาน” ณราตอบยืนยัน ให้ทิวทัศน์ยิ้มแก้มปริ ขณะที่รุชาหันไปย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้

    เฮ้ย สองคนนั้นน่ะ มาช่วยข้าถือของหน่อยซีวะ ข้าแขนจะหักแล้วนะ!เสียงตะโกนของดาวเรืองดังมาจากหน้าบ้านให้ทั้งทิวทัศน์และรุชารีบเอ่ยบอกณราด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

    “แม่ๆ แม่ถือสายรอแปบนะ ยายมาแล้ว ช่วยยายถือของก่อน” รุชารีบกล่าวรวบรัดตัดบท ก่อนวางโทรศัพท์ไว้บนแคร่หน้าบ้าน แล้วรีบวิ่งไปช่วยยายถือของ

    “มัวแต่ทำอะไรอยู่ หืมม์ ข้าแขนจะหักแล้ว” ดาวเรืองยังบ่นกระปอดกระแปด เมื่อแขนสองข้างยังเต็มไปด้วยถุงกับข้าวหิ้วพะรุงพะรัง และถ้วยชามที่ตักแกง ข้าวสวยร้อนๆ ไปใส่บาตรตอนเช้า

    “แหม่ ยายก็ไม่บอกทิวว่าจะไปจ่ายตลาดด้วยนี่ ปกติใส่บาตรเสร็จจะเข้ามาบ้านก่อนนี่นา” ทิวทัศน์พูดหลังจากช่วยดาวเรืองหอบหิ้วถือของกับรุชา ก่อนที่คนแก่จะทำท่าปาดเหงื่อ...

    รุชาอาสาประคองยายให้เข้ามาในบ้าน ครั้นผ่านเฉลียงบันไดใต้ถุนยกสูงขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว รุชาจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ให้ดาวเรือง ก่อนบอกไปตามความประสงค์

    “ยาย...แม่อยากคุยกับยายน่ะจ้ะ” พูดจบรุชาก็ปิดลำโพงส่งยื่นมือถือให้ยาย หากแต่ดาวเรืองกลับบุ้ยปากกลับ

    “เอ็งถือให้ข้าสิวะ ข้าทำไม่เป็น”

    เท่านั้นล่ะรุชาจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นถือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนแนบหูให้ดาวเรือง ก่อนที่คนแก่จะกรอกเสียงลงในโทรศัพท์เสียงดัง

    “ฮาโหล้ ว่าไงณรา”

    “เออๆ เอ็งจะมาที่นี่เหรอ...นานแค่ไหนล่ะ แล้วผัวเอ็งจะมาด้วยไหมเนี่ย?”

    การสนทนาระหว่างดาวเรืองกับณรายังเป็นที่น่าสนใจ ให้ทั้งทิวทัศน์และรุชาต่างเท้าคางมองจ้องไปที่ยายกันตาปริบๆ

                    “อ้อเหรอ จะมาส่งอยู่นี่สักอาทิตย์เหรอ”

                    “อืม...หา...เอ็งว่าไงนะณรา?”

                    “เออได้ ค่อยๆ ขับรถพากันมาแล้วกัน อย่ารีบนักห่วงลูกมันบ้าง” ดาวเรืองพูดแล้วนิ่งไป มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งกุมไปที่หน้าอกประหนึ่งตกใจบางอย่าง ก่อนจะหันมาบอกรุชาที่กำลังถือโทรศัพท์จ่อหูให้ “ณราวางไปแล้ว...”

                    รุชาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า แล้วมองใบหน้ายายด้วยความใคร่รู้

                    “น้าณราว่ายังไงบ้างยาย” ทิวทัศน์ปรี่เข้ามาหาดาวเรือง จับไม้จับมือด้วยความดีอกดีใจ “มาอาทิตย์นึงเชียวหรือยาย ทิวดีใจจัง”

                    “เอ็งอย่าดีใจไป ณราไม่ได้จะมาเที่ยว” ดาวเรืองพูดพลางทำสีหน้าเครียด ให้รุชาหันมามองฉงน

                    “แม่คุยอะไรกับยายบ้างเหรอจ๊ะ”

                    “ณรามันบอกข้าว่า...ท้อง”

                    “หา!!!ทั้งทิวทัศน์และรุชาต่างตะโกนขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจ และหันมามองหน้ากับตาปริบๆ

                    “ไม่จริงมั้งยาย แม่ 40 กว่าแล้วนะ” รุชาทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ทั้งที่ฝันร้ายย้อนเตือนความทรงจำของตนเองให้ผวา...เอาล่ะสิ ไอ้เด็กน้อยเมื่อคืนวาน ดันจะมาเป็นน้องสาวเราจริงๆ หรือเนี่ย

                    “จริง มันยังเป็นกังวลอยู่เลย ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอยู่หรือจะเอาไว้ เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาวเลยล่ะ” ดาวเรืองพูดด้วยน้ำเสียงเนิบ ให้รุชาถึงกับเท้าคางอึ้งตะลึง ขณะที่ทิวทัศน์ถึงกับกุมขมับสีหน้าเครียด...

                    บรรยากาศสวนหลังโรงเรียนดรุณแจ่มใสวิทยา มีสาวสวยคนหนึ่งรวบผมยาวสลวยไว้เป็นก้อนจุกกลม ปักด้วยปิ่นปักผมลายสวย อวดใบหน้าผิวขาวผุดผ่องมีน้ำมีนวล เป็นธรรมชาติ ดวงตากลมโตสุกใสราวกับตุ๊กตา จมูกโด่งสวยเข้ารูปกับริมฝีปากบางเฉียบ เธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีชมพูลายจุดขาวสไตล์สาวเกาหลี กับกางเกงขาสั้นเพียงสองคืบฝ่ามือ อวดเรียวขาสวยงาม และกำลังฉีกยิ้มกว้างสดใสให้กับเด็กๆ

                    มยุเรศถือสมุดนิทานภาษาอังกฤษ เป็นป๊อบอัพเล่มหนึ่งต่อหน้าเด็กๆ ก่อนพูดน้ำเสียงใส เชิญชวนให้เหล่าบรรดาเด็กเล็ก เด็กโตที่ผ่านเดินมา เข้ามาฟังการเล่าเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล โดยที่ด้านพื้นสนามหญ้า บรรยากาศใต้ต้นไทรหนาใหญ่ร่มรื่น มีกล่องลังขนาดเล็ก ให้พวกเด็กๆ ต่างหยอดสตางค์คนละ 10 บาท สำหรับการเรียนรู้นอกสถานที่...

                    “เงินข้าไม่พอว่ะวันนี้ คงไม่ได้ฟังพี่สาวเล่านิทานแน่ๆ เลย” กระติบ เด็กชายวัย8 ขวบ สวมเสื้อกล้ามสีตุ่นกับกางเกงสีกากี รองเท้าแตะ ล้วงกระเป๋าแล้วทำหน้าม่อยเมื่อบอกกับเพื่อนวัยเดียวกัน ด้วยเพราะติดใจในการเล่านิทานของมยุเรศ สอนสนุกจนชอบภาษาอังกฤษขึ้นมา

                    “เอ็งก็ไปขอยายเรืองสิกระติบ ยายให้แน่ๆ ถ้าเอ็งบอกจะเอามาหยอดเรียนวิชาภาษาอังกฤษน่ะ” คนเป็นเพื่อนออกความเห็น

                    “ใช่จริงด้วย” กระติบเห็นพ้องแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นเอ็งรอข้าแปบนึงนะ ข้าจะวิ่งไปที่บ้านยายเรือง”

                    เหล่าพ้องเพื่อนของกระติบต่างพยักหน้าให้ ก่อนที่กระติบจะวิ่งหน้าตั้ง เพื่อมุ่งตรงไปที่บ้านของดาวเรือง ผู้ใหญ่ที่เด็กชายรู้จักเป็นอย่างดี...

                    “ยายเรือง ยายเรืองจ๊ะ! อยู่ไหม!” สองมือเล็กป้อมป้องปากตะโกนทันทีเมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน ยามนี้กระติบ หน้าแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด เหงื่อออกผุดซึมทั่วตัวด้วยความร้อนระอุ หลังจากออกแรงวิ่งมาจากโรงเรียน กว่า 500 เมตร เพื่อจะมาขอเงินของดาวเรือง

                    “อะไร ตะโกนลั่นบ้านจริง ไอ้กระติบ” ดาวเรืองถลกผ้าซิ่นนุ่งกระชับ เดินลงจากบันไดมาหยุดมองเด็กชายที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ขณะที่รุชาหันมามองตามเสียงอย่างฉงน เมื่อเห็นทิวทัศน์ลุกเดินหนีไปอีกทาง

                    เป็นความงุนงงที่ทำให้รุชามองซ้ายขวาสลับกัน แล้วเลือกเดินตามดาวเรืองลงไปด้านล่าง

                    “มีอะไรเหรอยาย นี่ลูกหลานใครเนี่ย” รุชาเอ่ยถามเมื่อมาหยุดยืนหน้าประตูรั้วไม้เก่า เห็นว่าเด็กชายยังฉีกยิ้มอวดฟันขาวด้วยความเดียงสา แม้ฟันหน้าหลอไปซี่หนึ่งก็ตาม

                    “หลานยายพรมที่ตลาดขายผักนู่น” ดาวเรืองหันมาตอบรุชาให้ความกระจ่าง

                    “สวัสดีจ้ะพี่ชาย...” เด็กชายวัยแปดขวบฉีกยิ้มกว้างทันทีที่เห็นรุชาเดินมาใกล้ดาวเรือง แต่คำระบุเพศที่เรียกมา กลับทำให้รุชาอมยิ้มขำ

                    “พี่เป็นผู้หญิง”

                    “อ้าว แล้วทำไม เรียบจังอ่ะครับ” ไม่พูดเปล่า หากแต่เด็กชายยังขมวดคิ้วฉงน พร้อมทำมือจับหน้าอกทั้งสองข้างของตนเองลูบขึ้นลง เสมือนต้องการจะบอกให้รู้ว่าหน้าอกของรุชา เหตุใดถึงเรียบเป็นไม้กระดานถึงเพียงนี้

                    “พอๆ ทะลึ่งใหญ่แล้วไอ้กระติบ จะมาขอเงินสิท่า วันนี้ข้าไม่มีเศษหรอกนะ ไปหยอดเหรียญทำบุญที่วัดหมดแล้ว”

                    “อ้าว...” กระติบถึงกับทำหน้าม่อย ให้รุชายิ้มขำ

                    “จะเอาเงินไปทำอะไร เล่นเกมเหรอ”

                    “เปล่าจ้ะ หนูจะเอาเงินไปหยอดกล่องกระดาษ เรียนฟังนิทานภาษาอังกฤษ 10 บาท ถ้ามีก็หยอด ถ้าไม่มีก็อด แต่หนูอยากหยอด มันสนุกมากเลย” กระติบเล่าเรื่องราวเสียงแจ๋ว ทำเอาดาวเรืองหน้านิ่ว ไม่อยากจะเชื่อวาจาเด็กเท่าไหร่

                    “รุชาอย่าไปยุ่งมัน  วันก่อนก็ไปขอไอ้ทิวมันทีนึงละ ไม่รู้ว่าเอาไปเรียนจริงหรือเอาไปหยอดตู้เกมในเมือง”

                    “โธ่ยายเรือง หนูไม่ได้โกหกนะ หนูจะไปฟังนิทานอังกฤษจริงๆ” กระติบบอกพลางดึงชายเสื้อคอกระเช้าสีขาวนวลของดาวเรืองอย่างออดอ้อน

                    “หน้าอย่างเอ็งเนี้ยนะ? ผลสอบเทอมที่แล้วออกมา ยายเอ็งยังว่าเอ็งเกือบได้ที่โหล่อยู่เลย” ดาวเรืองเท้าสะเอวใส่เด็กชายจอมทะเล้น ให้รุชาถอนใจหน่าย

                    “พอเถอะยาย...” รุชาตัดบทก่อนจะควักเงินในกระเป๋าหาเศษเหรียญสิบให้ “อ่ะ พี่ให้”

                    “ไอ้รุช!” ดาวเรืองสะกิดเตือน กลัวว่าหลานสาวจะเสียรู้เด็ก เพราะเห็นว่า รุชาเป็นหลานที่มองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่เล็ก

                    “เถอะน่ายาย เดี๋ยวรุชจัดการเอง...” รุชาหันมายื่นเหรียญสิบบาทให้กับกระติบที่พนมมือไหว้รับอย่างจริงใจ แต่ครั้นที่เด็กชายสาวเท้าทำท่าจะวิ่งกลับไปที่โรงเรียน รุชากลับร้องเรียกไว้

                    “ขึ้นรถมอไซค์พี่ เดี๋ยวไปส่ง...” รุชาเสนอ พร้อมกับหันมาขยิบตาให้กับดาวเรือง ก่อนจะจับจูบมือเด็กชายตัวน้อยให้ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์...

                    รถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ยี่ห้อซูซุกิตกยุคสีน้ำเงิน เลอะด้วยขี้ดินเลนเล็กน้อย บึ่งไปด้วยความเร็วของรุชาซึ่งอาสาเป็นคนขับให้เด็กชายกระติบ นั่งกอดสะเอวอยู่ท้ายรถ ขับผ่านถนนดินแดงที่สองข้างทางมีแต่ต้นดอกหญ้า ยามนี้มีเพียงสายลมพัดผ่านปลิวไสว ใช้เวลาไม่นานนัก รุชาก็หักรถเลี้ยวเข้าจอดบริเวณพื้นที่หลังโรงเรียนดรุณแจ่มใสวิทยา

                    “เอา ถึงแล้ว ไหนเรียนตรงไหน...?” รุชาลงจากรถก่อนจะหันไปอุ้มกระติบให้ลงจากรถ

    เด็กชายพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมเป็นการขอบคุณ และชี้ไปยังทิศทางที่ตนเองจะไปนั่งฟังนิทาน

                    “อยู่ทางใต้ต้นไทรฝั่งนู้นครับ ตอนนี้คงกำลังสนุกเลยล่ะ พี่สาวเค้าเป็นคนเล่า มาแค่วันเสาร์อาทิตย์ เล่าทีละ3 เรื่อง มีสอนคำศัพท์ด้วยนะครับ พี่สาวเขาบอกว่าจะให้เด็กๆ รู้ทันอาเซียน”

                    “อาเซียน? รู้จักกันด้วยเหรอ” รุชาย้อนถามอึ้งๆ เมื่อเด็กวัยนี้ หากเปรียบเทียบกับเธอตอนเด็กๆ นับว่ายังเล่นกระโดดยาง เป่ากบ ตี่จับอยู่เลย

                    “รู้ครับ ประเทศเพื่อนบ้านที่จะเข้ามาลงทุนเศรษฐกิจบ้านเรา พี่สาวบอกว่าเราต้องรู้ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานให้มากๆ จะได้ไม่เสียรู้คนอื่น”

                    การร่ายยาวถึงคนที่ถูกเรียกว่า “พี่สาว” ทำให้รุชาเลิกคิ้วสูงด้วยความอยากรู้ขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าบุคคลที่กระติบเอ่ยถึงนั้น ใช้วิธีการสอนอย่างไร ที่ทำให้เด็กเปิดใจรับภาษาอังกฤษ และรู้ข้อมูลกว้างขวางเกินเด็กถึงเพียงนี้...แม้ใจจริงรุชาจะเกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้ ถึงขนาดยอมปลีกตัวมาสนใจด้านอาร์ตอย่างเต็มรูปแบบ แต่ด้วยความอยากรู้ถึงการอวดอ้างสรรพคุณ ก็ทำให้เธอถามกลับ

                    “พาพี่ไปดูหน่อยซิ อยากจะรู้เหลือเกินว่า สอนสนุกแค่ไหน” รุชาหันไปบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถูกกระติบจับจูงมือให้เดินไปยังทิศทางที่มีเด็กๆ ต่างนั่งรุมล้อมหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ

                    ครั้นที่รุชามาหยุดยืนใต้ต้นไทร และกระติบก็ปรี่ไปหยอดเหรียญสตางค์ ขัดสมาธิลงกับพื้นหญ้า ฟังหญิงสาวที่กำลังเล่านิทานอย่างตั้งอกตั้งใจ...หัวใจของรุชาจำต้องสั่นระรัวอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าสวยสมวัย สะดุดตาย้อนกลับมาย้ำเตือนความทรงจำในตลาดสด เมื่อได้ฟังเสียงสำเนียงภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยคำไพเราะ ความกล้าและรอยยิ้มของเธอ ทำเอาโลกของรุชาหยุดหมุนชั่วขณะ หยุดอยู่เพียงหญิงสาวตรงหน้าเพียงผู้เดียว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×