ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เลขสื่อรัก [TD,Yuri]

    ลำดับตอนที่ #3 : 2 เพ้อรัก

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 56


    ตอนที่ 2 เพ้อรัก

                    กับข้าวที่ซื้อมาของวันนี้ จัดเตรียมเรียบร้อยในครัว ให้ดาวเรืองเป็นคนลงมือเจียวชะอมไข่ และสั่งให้ทิวเป็นคนลงมือตำน้ำพริก ขณะที่รุชาเป็นคนหั่นไก่เพื่อลงมือทำต้มยำอย่างที่เคยกินใสสมัยเด็กๆ...

                    สีหน้าอิ่มเอิบเบิกบานเหลือประมาณ ทำเอาเด็กหนุ่มที่โตมารุ่นราวคราวเดียวกัน เงยหน้ามองด้วยความฉงน ก่อนจะเลิกคิ้วสูง เมื่อเห็นว่ารุชายังคงยิ้มไม่หยุด

                    “เอ็งเป็นอะไรวะ รุชา ตั้งแต่กลับจากตลาดนี้ ยิ้มอย่างกับคนบ้า” ทิวทัศน์พูดพลางหัวเราะขำ ขณะที่กำลังโขลกน้ำพริกกะปิเสียงดัง

                    “ข้าไปเจอสาวสวยที่ตลาดมาเว้ยไอ้ทิว คนบ้าอะไรอย่างกับนางฟ้า”

                    “โอ้โห้ เอ็งนี่มันเพ้อหนักแล้วนะเนี่ย...” ทิวทัศน์พูดพร้อมกับยิ้มขัน ให้ดาวเรืองกระแอมไอดุใส่

                    “ข้าทอดชะอมเสร็จแล้วนะ ผักเคียงข้าก็ลวกเรียบร้อยแล้ว เอ็งสองคนมัวแต่ชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ต้องกิน”

                    “จ้า...” ทั้งทิวทัศน์และรุชารีบเร่งมือ เพื่อจะให้กับข้าวเสร็จพร้อมเสิร์ฟของวันนี้...

    ไม่นานนัก กับข้าวบ้านๆ ประกอบด้วยน้ำพริกกะปิรสดี กับผักลวกหัวปลี ถั่วฝักยาว มะเขือ ชะอมไข่ และพ่วงท้ายปิดฉากด้วยต้มยำไก่ฉีกรสจัดจ้านถูกใจ ไว้ซดตามให้คล่องคอ จัดตั้งวางบนแคร่ที่นั่งหน้าชานบ้าน รับลงโกรกเย็นๆ ยามโพล้เพล้ บรรยากาศดีที่ยามนี้มีดาวเรือง รุชา และทิวทัศน์ ต่างพร้อมนั่งขัดสมาธิ หลังจากตักข้าวหอมมะลิขาวใส่จานให้อย่างพร้อมหน้า

    “เอากินกันเยอะๆ นะเว้ย จะได้มีเรี่ยวมีแรง” ดาวเรืองบอกขณะที่ตักชะอมชิ้นโต ราดด้วยน้ำพริกกะปิให้กับหลานสาวอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปยิ้มกับทิวทัศน์

    “ยาย ไม่ต้องราดเยอะ เดี๋ยวหนูจะกิน ต้มยำอีก” รุชาปฏิเสธ

    “เหอะน่า มีกินก็กินไป เอ็งน่ะผอมไปแล้ว” ดาวเรืองบอก ก่อนจะตักข้าวจานตัวเองเข้าปากเคี้ยวตุ้ยอย่างมีความสุข เมื่อได้เห็นหน้าหลานสาวมาเยี่ยมเยียนและได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง...

    “เอ็งไม่ชวน น้าณรากับน้าหาญมาด้วยล่ะ” ทิวทัศน์เอ่ยขึ้นถึงมารดาและบิดาของรุชา เอ่ยตามศักดิ์ของลูกพี่ลูกน้องเพราะดาวเรืองมีลูกสาวสองคน คือ ณรินแม่ของเขา และณราแม่ของรุชา  

    ณราเป็นลูกสาวคนเล็กของดาวเรืองมีชีวิตสดใส ได้แต่งงานกับหนุ่มเมืองกรุงเทพ เป็นคนขยันและรับผิดชอบหน้าที่การงาน อยู่กินกันจนได้สร้อยคอคล้องใจเป็นพยานรักด้วยกันคือ รุชา ลูกสาวคนเดียวที่เกิดมาสมบูรณ์พร้อม รากฐานความเป็นอยู่ที่สุขสบายจากการขยับขยายกิจการโรงสีข้าวส่งออกที่กรุงเทพ

    หากแต่ณรินมีชีวิตที่ไม่สดใสเหมือนณรา ครั้นมีสามีก็จำต้องหย่าร้างกลางคันตั้งแต่ทิวทัศน์ยังเล็ก พอเริ่มใช้ชีวิตวัยหนุ่ม โรคมะเร็งปากมดลูกก็มาคร่าชีวิตณรินให้จากไปอีกคน ทิวทัศน์จึงเป็นเด็กหนุ่มที่ติดอยู่กับดาวเรืองที่สุพรรณ มาตั้งแต่เด็กจนโต โดยอาศัยเงินสนับสนุนจุนเจือจากณราที่ส่งเสียให้เขาเรียนจบ

    “พ่อกับแม่มัวแต่ยุ่งกับกิจการโรงสีข้าวนู่น เขาไม่ว่างมาหรอกไอ้ทิว” รุชาตอบพลางตักไก่เข้าปากเคี้ยวตุ้ย ก่อนจะเห็นว่าทิวทัศน์ทำหน้าสลดไป

    “ไว้เดี๋ยวข้าจะลองถาม ลองชวนอีกครั้งแล้วกันนะ” รุชาหันมาบอกอย่างเห็นใจ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มบางของทิวทัศน์ส่งกลับมาอย่างดีใจ

    เพราะสำหรับทิวทัศน์ ณรา มีความสวยคมหวานไม่ต่างไปจาก ณริน 

    มีความใจดี และเอื้ออาทรที่ทำให้ทิวทัศน์อบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็น และนึกถึงแม่ที่เสียไปแล้วเสมอๆ

                    และท่าทางดีอกดีใจจนออกนอกหน้า ก็ทำให้รุชาอ่านความคิดออก เธอจึงวางจานข้าวหลังจากกินหมดเกลี้ยง แล้วหันมาถามกับทิวทัศน์อย่างสงสัย

                    “โตจนจะแต่งเมียได้อยู่แล้ว ยังติดแม่ข้าอยู่อีกเหรอวะ เห็นกี่ทีๆ ก็ถาม ทั้งโทรเอย เจอหน้ายังไม่เว้น”

                    “แหม่...” ทิวทัศน์ได้แต่ยิ้มเขิน ไม่ได้พูดอะไร

                    “ไอ้ทิวมันเคยมีแฟน ตอนไปเรียนมหาลัยนั่นแหละ ดันไปชอบสาวกรุงเทพ พอเขาเห็นว่ามันเป็นลูกกำพร้าเสียหน่อย ก็พาทิ้งไปซะเฉยๆ” ดาวเรืองที่มั่วแต่นิ่งกินข้าวตุ้ยๆ อยู่นาน เอ่ยขึ้นมาบ้าง ทำเอาทิวทัศน์ทำหน้าสลด

                    “แหม่ ไอ้ทิว เรื่องแค่นี้ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวก็หาใหม่ได้” รุชาเอื้อมมือไปตบบ่ากว้างของทิวทัศน์ยิ้มๆ เป็นกำลังใจ ให้ชายหนุ่มยิ้มตอบบางๆ

                    บรรยากาศในที่ทำงานกรุงเทพ ขณะที่ณรากำลังตรวจงานบัญชีอยู่และกำลังปิดยอดเงินประจำเดือน จู่ๆ เธอก็นั่งกุมขมับ หน้าซีดด้วยอาการปวดหัว มองผู้เป็นสามีที่กำลังปิดไฟ ตรวจความเรียบร้อยของโรงงานในส่วนออฟฟิศด้วยสายตาที่เริ่มพร่าเลือน เหมือนภาพสั่นไหวตลอดเวลา

                    “ไปคุณ กลับบ้านกัน” เสียงทุ้มห้าวของหาญกล้าดังขึ้น ก่อนจะมาชะโงกดูใบหน้าภรรยาที่โต๊ะทำงาน

                    “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”

                    “ปวดหัวมากเลยค่ะ เหมือนจะคลื่นไส้ด้วย” ณราตอบสีหน้าไม่ดีนัก ให้หาญกล้ามองรู้สึกใจไม่ดีนัก

                    “ไปหาหมอหน่อยมั้ย พักนี้คุณคงทำงานหนักไป”

                    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวกลับบ้านไปนอนพักคงดีขึ้น คุณช่วยประคองณราไปที่รถทีนะคะ” ณราเอ่ยร้องขอความช่วยเหลือจากสามี ให้หาญกล้าพยักหน้ารับ ช่วยประคองภรรยาออกไปจากออฟฟิศ หากแต่...

                    “คุณหาญพาฉันเข้าห้องน้ำก่อน ฉันจะอาเจียนค่ะ ไม่ไหวจริงๆ”

                    “เอ้าคุณ...” หาญกล้าถึงกับมีอาการงุนงง และรีบประคองณราไปที่ห้องน้ำ ก่อนที่ภรรยาจะสำรอกของเหลวในกะเพราะออกมาชุดใหญ่ลงโถส้วม ขณะที่หาญกล้ายังลูบหลังให้อย่างเป็นกังวล

                    “ไปหาหมอเถอะ บางทีคุณอาจเป็นไมเกรนกำเริบ ไม่ก็โรคกะเพราะก็ได้นะ ช่วงที่ผ่านมาคนนำข้าวมาสีที่โรงงานเราเยอะ คุณอาจทำงานหนักไป...”

                    เท่านั้นล่ะ ณราจึงยอมพยักหน้าให้กับสามีอย่างตกลง...

    ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หาญกล้าพลิกนาฬิกาข้อมืออย่างกระสับกระส่าย เพื่อรอผลการตรวจจากแพทย์หนุ่มผู้หนึ่งอย่างเป็นกังวล เพราะยังไม่เห็นณราจะออกจากห้องตรวจ...

    การตรวจวินิจฉัยอาการกินระยะเวลาเนิ่นนาน ทำเอาหาญกล้าถึงกับกุมขมับ เพราะหวั่นกลัวว่าภรรยาของเขาจะเป็นอะไรไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ร่วมการใช้ชีวิตมาด้วยกัน 10 กว่าปีแล้ว แต่ความรักความผูกพันที่เขามีให้ก็ไม่เคยลดจางไป

    “เชิญคุณหาญกล้า เข้าไปพบหมอด้วยค่ะ” พยาบาลสาวผู้หนึ่งป่าวประกาศให้หาญกล้าลุกจากที่นั่งด้วยสีหน้าแปลกใจในอมยิ้มเล็กๆ ที่ส่งกลับมา

    ครั้นที่ประตูห้องตรวจของหมอหนุ่มเปิดออก หาญกล้าก็นั่งลงข้างภรรยาที่กำลังนั่งก้มหน้า ไม่ยอมสบตา สร้างความแปลกใจให้กับเขาจนต้องหันไปถามหมอที่กำลังนั่งอมยิ้มกริ่ม

    “เกิดอะไรขึ้นครับหมอ ภรรยาผมเป็นอะไร”

    “ภรรยาคุณตั้งท้องได้สองเดือนแล้วครับ”

    “หา!” หาญกล้าทำตาโต ตกใจกับคำบอกของแพทย์หนุ่มอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะหันมามองหน้าภรรยาที่กำลังใบหน้าแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย

    “เมียผมอายุ 45 แล้วนะหมอ...ผมเองก็จะ 50 แล้วนะครับ”

    “ครับ...เป็นเรื่องที่น่ายินดี และน่าตกใจพอๆ กัน ภรรยาคุณยังไม่หมดประจำเดือน และก็ยังไม่ทำหมัน ถูกต้องมั้ยครับ”

    “เอ่อ...” หาญกล้าใช้เวลานิ่งนึกไป ก่อนว่า “ใช่ครับ ผมบอกยังไม่ให้เธอทำ เพราะตอนนั้นผมอยากมีลูกอีกคน” หาญกล้าตอบก่อนจะเอื้อมมือไปบีบกระชับมือเรียวบางของภรรยาเบาๆ อย่างปลอบประโลม เพื่อคลายความตึงเครียดและเป็นกังวลของณราให้บรรเทาลง

    “อันตรายมากนะครับที่ไม่ได้ทำ ทางเราได้ตรวจกันยกใหญ่ ว่าประจำเดือนของคุณณราจะหมดเมื่อไหร่ คาดการณ์โดยประมาณก็อีกปีสองปีเท่านั้น เท่ากับว่าถ้าปีหน้า น้องในท้อง หากมีอายุครรภ์ไม่ถึง 7 เดือน แล้วประจำเดือนคุณณราหมด คุณณรามีโอกาสเสี่ยงแท้งได้นะครับ”

    “โอ้ หมอแล้วผมควรทำอย่างไร?”

    “คุณต้องให้ภรรยาฝากครรภ์ที่นี่ แล้วต้องอยู่ในความดูแลของหมอเป็นพิเศษครับ หรือไม่คุณก็ควร เอาเด็กออกตั้งแต่ตอนนี้...”

    “ผม...” หาญกล้ามองไปที่ณราอย่างเป็นกังวล และเห็นว่าภรรยาของเขายังมีสีหน้าเครียดจัด

    “ผมขอคิดดูก่อนนะหมอ แล้วเดี๋ยวผมจะมาใหม่”

    “ได้ครับ...”

    รถเก๋งแล่นทะยานไปตามท้องถนนด้วยความเร็ว ในขณะที่บรรยากาศภายในรถยังคงตึงเครียด เมื่อทั้งหาญกล้ายังคงหน้านิ่วอย่างเครียดจัด และณราเองก็กดดันจนเบือนหน้าออกไปมองบรรยากาศนอกรถ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดนั้นเพราะตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาล เธอและหาญกล้ายังไม่ได้พูดคุยกันอีกแม้ครึ่งคำ

                    “คุณไหวมั้ยณรา...” น้ำเสียงเนิบพูดออกมาในระหว่างการขับรถ ให้ณราหันไปมองหาญกล้า ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เมื่อยังไม่แน่ใจว่าสามีต้องการจะสื่อความหมายใด

                    “ลูกน่ะ ผมอยากได้...แต่ถ้าต้องกระทบกับตัวคุณ ผมขอเลือกคุณได้มั้ย...”

                    “แต่เค้าเกิดมาแล้วนะคะ คุณหาญ” ณราร้องเสียงหลง ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่มาย้ำเตือนให้รู้สึกอิ่มใจนัก เหมือนภาพฉายวันวานกลับมาย้ำเตือนว่า ยามตั้งท้องลูกคนแรกอย่างรุชา มีความสุขเพียงใด จำได้ว่าหาญกล้ายิ้มบ่อยแค่ไหน

                    “แต่ชีวิตคุณก็สำคัญเหมือนกัน เรามีลูกตอนแก่มันไม่ดีหรอกนะณรา ลูกยังไม่โต ถ้าเราป่วย ใครจะเลี้ยงแก กว่าจะคลอด ห่างกับเจ้ารุชตั้ง 21 ปี ใครจะให้ความอบอุ่นแก...”

                    “ในเมื่อตอนนี้เรามีทุกอย่างแล้ว ณราขอไม่ได้หรือคะ” ณราหันมาบอกน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะเสียลูกไป ในเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตพร้อมจะมาแล้ว เธอก็ต้องพร้อมจะปกป้อง

                    “แต่ณราฟังผมเถอะ มันเสี่ยงเกินไป”

                    “ถ้าเราลองเสี่ยงแล้วผลออกมามันดี ก็น่าจะภูมิใจไม่ใช่หรือคะ คุณแค่อยู่เป็นกำลังใจให้ณรานะ...”

    คำขอร้องวิงวอนทำเอาหาญกล้านิ่งงัน เมื่อหันกลับมามองใบหน้าของภรรยาด้วยความเป็นกังวล ว่าลูกที่กำลังจะเกิดมาจะทำให้ภรรยาของเขาต้องเสี่ยงชีวิตหรือเปล่า...

                    “เรื่องแบบนี้เราคงตัดสินใจคนเดียวไม่ได้...คุณต้องลองถามแม่ของคุณด้วย”

    หาญกล้ากล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันไปมีสมาธิกับการขับรถต่อ ปล่อยให้ณรานิ่งงันไปกับคำพูดกดดันของผู้เป็นสามี

                    ค่ำคืนราตรี ท้องฟ้าสีมืดสนิทไร้แสงจันทร์ มีเพียงดวงดาวส่องสว่างเปล่งประกายไปทั่วม่านฟ้า รุชาอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามพอดีตัวกับกางเกงเล ประแป้งดินสอพองผสมน้ำอบไทยของยายพอหอม ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เมียงมองดาวเรืองที่กำลังนั่งสวดมนต์บนเตียงนอน ขณะที่เธอเดินย่องมาปูฟูกและหมอนข้างเตียง

                    “สวดมนต์รึยัง...” เสียงดุเอ่ยทักขึ้น เมื่อดาวเรืองก้มลงกราบหมอนครบสามครั้ง และหันมาเห็นว่ารุชาล้มตัวลงนอนทำท่าจะหลับ

                    คนถูกเรียกถึงกับสะดุ้งหันมามอง “โธ่ยาย ง่วงแล้ว ไม่สวดแล้ว”

                    “ไม่ได้ ลุกขึ้นมา การสวดมนต์จะทำให้เอ็งฝันดี สอนกี่ทีเคยจำบ้างมั้ย” คนแก่ตีหน้าดุใส่และไม่วายหันไปหาไม้เรียวประจำกายที่เก็บไว้ตรงหัวเตียงสมัยที่รุชายังเป็นเด็กขึ้นมา หมายจะตีจริงๆ

                    “อย่าจ้ะยาย สวดๆ สวดก็สวด”

    เท่านั้นแหละ ดาวเรืองถึงยอมวางไม้เรียวลง ปล่อยให้หลานสาวตัวแสบที่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ลุกขึ้นมาสวดมนต์...

                    “อะระหังสัมมา...สัมพุทโธ ภะคะวา...” รุชางึมงำอยู่ในลำคอตาปรือ หัวใกล้ปักหมอนอยู่รอมร่อ

                    “ท่องดังๆ ท่องในลำคอเจ้าที่เจ้าทาง ใครต่อใครจะได้ยินเอ็งมั้ยรุช! เสียงตวาดของดาวเรืองตามมาอีกระลอก ให้รุชาสะดุ้งโหยง ก่อนปรับเสียงดังขึ้น...

                    “อะระหังสัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา

    และกว่าบทสวดมนต์จะจบลง เล่นเอาสาวเท่เหงื่อแตกพลั่ก ด้วยรุ่มร้อนกับสายตาพิฆาตของยาย...จนทำให้เกร็งไปทั้งตัว

                    “เอ้านอนได้ ให้พระคุ้มครองนะ”

                    “จ้า ฝันดีนะยาย” รุชาบอกก่อนปิดปากหาว และผล็อยหลับไป...

    ในนิมิตฝันขณะที่รุชาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนทับกับเสื้อยืดสีขาว เดินไปตลาดสด ระหว่างที่กำลังซื้อสายไหมที่เคยกินสมัยเด็กอยู่ด้วยรอยยิ้มมีความสุข เธอก็หันไปเห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่เคยพบพาน ส่งยิ้มหวานให้

    “สวัสดีจ้ะ เธอขายสายไหมเหรอ” รุชาเอ่ยถาม รู้สึกอิ่มเอมเหลือประมาณ เมื่อได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวผู้นั้นอีกครั้ง

    “เปล่าหรอก เราเป็นครูต่างหาก...เธอล่ะมาคนเดียวเหรอ” หญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้นย้อนถาม ให้รุชาพยักหน้ายิ้ม

    “อื้มวันนี้มาคนเดียว...”

    “อ้าวแล้วเด็กคนที่ตามมาด้วยล่ะ”

    “ไหน...?” รุชามองตามนิ้วมือที่เธอชี้อย่างงุนงง ก่อนจะเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 3 ขวบเศษหน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่าชัง กำลังเอื้อมมือดึงชายเสื้อเชิ้ตของรุชาอยู่

    “ใครเนี่ย เปล่าเรามาคนเดียวนะ” รุชารีบหันไปโบกมือปฏิเสธ ก่อนได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ใกล้ๆ

    “พี่รุชจ๋า...พาไปหาแม่หน่อย”

    “เฮ้ย...!?” รุชาหันไปอย่างไม่เชื่อหู เพราะไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงรู้จักเธอได้อย่างไร “แม่อะไรหนู พี่เป็นลูกคนเดียว”

    “หนูเป็นน้องพี่รุชนะ พาหนูไปหาแม่หน่อย” เด็กหญิงคนนั้นยังเซ้าซี้ ให้รุชาทำหน้าจืดเจื่อน ก่อนหันไปบอกหญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้มแหย

    “สงสัยลูกคนข้างบ้านอ่ะจ้ะ เราเป็นลูกคนเดียวนะ”

    หญิงสาวคนนั้นส่งสายตาและใบหน้าโกรธเคืองกลับมาเพราะคิดว่าเป็นคำโกหก ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้รุชาเหวอ และหันมามองเด็กหญิงที่กำลังดึงชายเสื้อตนเอง

                “นี่หนู พี่ไม่ใช่พี่ของเธอนะ ปล่อยเสื้อพี่ได้แล้ว” รุชาบอกน้ำเสียงอ่อน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงยองๆ มองใบหน้าที่ดูน่ารักจิ้มลิ้มใกล้ๆ

                และเวลานี้เองก็ทำให้เธอรู้สึกตกใจ เมื่อใบหน้าของเด็กหญิงแปลกหน้า ดูไม่ต่างไปจากเธอยามเด็กเลยแม้แต่น้อย...

                ...เฮ้ย...!...

    รุชาเผลออุทานในใจก่อนจะเห็นเด็กหญิงกำลังเบะหน้า ทำท่าจะร้องไห้

                “พี่รุชไม่พาไปหาแม่ ฮือ พี่รุชไม่รักหนู”

                “หนูจะหาแม่!

                “หนูจะหาแม่” เสียงร้องไห้โยเย พร้อมกับการสะอึกสะอื้นเริ่มดังขึ้น ให้คนที่สัญจรผ่านไปมาในตลาดหันมามองรุชาเป็นตาเดียว

                    “แล้วพี่จะหาแม่ให้เราที่ไหนละเฟ้ย หยุดร้องนะ นี่ๆ กินสายไหมมั้ย เดี๋ยวพี่ซื้อให้” รุชาพยายามใจเย็นหาขนมมาหลอกล่อให้เด็กหญิงหยุดร้อง

                “นั่นไง แม่มาแล้ว...” เสียงใสๆ หยุดร้องไห้โดยพลัน ให้รุชาหันไปมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเห็นปลายนิ้วเล็กๆ ชี้ตรงไปที่ “ณรา”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×