คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1
เรื่อง... Psycho & Deviate
ต่อจากนี้จะยกตัวอย่างเหตุการณ์สุดแสนธรรมดาที่ถูกเชื่อมด้วยประโยคง่ายๆที่ไม่ว่าใครต่างต้องเจอ... โรคจิต...
ณ เวลา 0.15 นาฬิกา
มีดคมกริบความยาวเกือบครึ่งเมตรสะท้อนแสงวิบวับสีเทาใต้เงามืดของบ้านจัดสรรค์สองชั้นหลังหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว ยกลิ้นตวัดตามใบมีดตั้งแต่ด้ามจับลากยาวจนถึงปลายมีดด้วยท่าทางชวนขนลุก ขณะเอียงคอมองร่างอีกร่างที่อยู่ต่ำกว่าเขา... ร่างของหญิงสาวหุ่นดีกำลังนอนแผ่หราอยู่กับพื้นขณะมือกับขาทั้งสองข้างถูกเชือกมัดตรึงบังคับให้หล่อนต้องกางแขนกางขาขยับไม่ได้ แถมที่ปากยังมีถุงเท้าสีดำกลิ่นเหม็นยัดปากหล่อนไว้แน่น
เธอไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง...
สิ่งที่หล่อนทำได้มีเพียงหลั่งน้ำตาอุ่นๆจนไหลอาบแก้ม พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้กับชายหนุ่มที่กำลังนั่งคร่อมตัวเธอ
ใบมีดคมกริบถูกนาบแน่นลงกับแผ่นท้องขาวเนียนก่อนลากผ่านช้าๆเรียกน้ำสีแดงเข้มไหลรินออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนชายหนุ่มจะค่อยๆเพิ่มแรงกดทีละนิด... ทีละนิด... เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่เริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางดิ้นพล่านสุดแรงหากแต่ไม่ได้ผล... เชือกที่ถูกมัดไว้หนาแน่นเกินไป เลือดสีแดงสดไหลอาบท้องของเธอ กลิ่นคาวคละคลุ้ง สายตาพร่ามัวจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่เธอรู้ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว... เธอกำลังเจ็บ เจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ็บจนอยากจะตายไปให้พ้นๆซะเดี๋ยวนี้...
แต่สวรรค์ช่างเล่นตลก... เธอกลับยังไม่ตาย ลมหายใจแผ่วเบาคือเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่... แต่ภาพเบื้องหน้าที่ชายหนุ่มกำลังกระทำก็ราวกับฉุดเธอให้ลงนรก...
ร่างผอมฉีกยิ้มแสยะกว้างหลังจากจัดการผ่าท้องเหยื่อสำเร็จเผยให้เห็นเครื่องในสีแดงหลากหลายชิ้นกำลังขยันทำงานตามหน้าที่ ก่อนที่เขาจะล้วงกระป๋องสเปรย์สีขาวขนาดเล็กขึ้นมาหนึ่งกระป๋อง แล้วจัดการฉีดละเลงบนเครื่องในสีแดงสด
กลิ่นฉุดจมูกของสเปรย์เริ่มตลบอบอวลไปทั่ว พร้อมด้วยใบหน้าโรคจิตกับรอยยิ้มของชายหนุ่มที่ฉีกกว้างขึ้นทุกขณะราวกับชอบช่วงเวลานี้มากกว่าอะไรทั้งนั้น
เมื่อสเปรย์ในกระป๋องถูกฉีดจนหมด ชายหนุ่มก็ชักใบหน้าหงุดหงิด ไหวไหล่เบาๆเหมือนหมดความสนใจก่อนยัดกระป๋องเปล่าเข้าไปในท้องของหญิงสาวเหมือนเก็บของใส่กล่องอย่างไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แล้วเดินหนี... ทิ้งไว้เพียงแววตาที่แสนโกรธแค้นของหญิงสาวมองตามไล่หลัง
Virus
ชื่อของฆาตกรโรคจิตที่กำลังขึ้นชื่ออยู่ในคนที่ตำรวจกำลังตามหาตัวมากที่สุดในขณะนี้ คำว่าไวรัสเป็นเหมือนชื่อแทนตัวที่ทางตำรวจเป็นคนตั้งให้โดยพิจารณาจากสภาพศพที่เกิดเหตุมีสภาพเดียวกันทั้งหมด คือถูกผ่าท้องทั้งเป็นแล้วฉีดสเปรย์เข้าไปภายใน แน่นอนว่าถ้าเป็นเหยื่อที่โชคดีหน่อย พวกเขาจะเสียชีวิตตั้งแต่ตอนถูกผ่าท้องไม่มีโอกาสได้เห็นฆาตกรทำอะไรพิเรนทร์ผิดมนุษย์กับร่างกายของตน... แต่สำหรับคนที่โชคร้ายพวกเขาคงได้รับประสบการณ์แสนเศร้าไปก่อนตายแน่นอน...
ใช่... ถ้าเปรียบเทียบสเปรย์ก็คือไวรัสสำหรับร่างกายมนุษย์
ไวรัส ไม่เคยมีหลักฐานหลงเหลือในที่เกิดเหตุ... ไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง... ที่รู้มีเพียงอย่างเดียว...
ไวรัสเป็นผู้ชาย...
อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป... เรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อจากนี้ไม่ได้มีเป้าหมายหลักคือตามจับไวรัส... แต่เป้าหมายหลักก็คือ การหาเหยื่อ... ใช่ ฟังไม่ผิด นี่คือการหาเหยื่อให้กับไวรัส
ชายหนุ่มร่างผอมสูงผมหยักศกในชุดทำงานสีน้ำเงินที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากกางเกงพร้อมรอยยับยู่ยี่จนเหมือนถูกขย้ำมากำลังเดินย่ำในซอยเล็กๆแห่งหนึ่งพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยแววตาเศร้าสร้อยขณะบุหรี่สีขาวที่ถูกคาบติดกับปากเพียงพร่องลงอย่างช้าๆตามความร้อนของเชื้อไฟพร้อมควันกรุ่นๆลอยเอื่อยโดยที่ชายหนุ่มไม่ได้สูบราวกับเขาเบื่อกลิ่นกับรสชาติเดิมๆของมันซะแล้ว
ทิวทัศน์ เลิศล้ำ... ชายหนุ่มวัยทำงานอายุ 26 ปี ที่มีความเบื่อหน่ายกับทุกๆสิ่งในชีวิตประจำวัน... ทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก ทุกๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ถ้าจะให้กล่าวตั้งแต่ต้น เขาเองก็ถูกบังคับกฎเกณฑ์ทุกอย่างให้ต้องเดินอยู่ในกรอบมาตั้งแต่เด็ก... ทั้งเรื่องการเรียนในสมัยมัธยมปลายที่เพื่อนหลายคนซึ่งมีความฝันเลือกคณะที่ชอบและอยากเข้าอย่างสนุกสนาน แต่ในครั้งนั้นทิวทัศน์กลับต้องก้มหน้าและเดินหนี เมื่อทางเลือกของเขาถูกกำหนดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมต้นด้วยเหตุผลงี่เง่าของผู้ปกครองที่ว่า ถ้าเลือกคณะนั้นแล้วจะมีงานมีการดีๆทำ โดยพิจารณาจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จรวยล้นฟ้า...
บางทีพวกเขาคงลืมไปว่าคนที่ล้มเหลวในคณะเดียวกันมีเยอะกว่าชนิดเทียบไม่ติด...
และทิวทัศน์ก็คือหนึ่งในนั้น... เขามีงานทำมั่นคงสามารถเลี้ยงชีพไปวันๆได้... แต่ในสายตาของพ่อแม่คงถือว่าล้มเหลว... ใช่... เพราะเขาไม่ได้รวยล้นฟ้า
ทิวทัศน์อาศัยอยู่ในตึกสามชั้นที่ใช้เงินเดือนผ่อนในแถบชานเมือง มันเป็นสถานที่ที่สะดวกสบายมากพอสำหรับชายโสดที่อาศัยอยู่คนเดียวอย่างเขา... ชีวิตธรรมดาที่เรียบง่าย
ชายหนุ่มผมหยักศกเดินผ่านย่านกลางคืนของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนต้องสะดุดกับหน้าจอทีวีเครื่องใหญ่ที่กำลังมีนักข่าวในชุดสูทเรียบร้อยกับทรงผมเรียบแปล้กำลังนำเสนอข่าวสังคมเกี่ยวกับอาชญากรรมด้วยใบหน้าตื่นตระหนกเกินเหตุทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าตัว
‘ไวรัสออกอาละวาด!’ เนื้อหาของข่าวที่ซ้ำซากขึ้นทุกวันทุกวัน แถมยังทวีความรุนแรงหนักหน่วงจากการเล่าปากต่อปากจนแทบจะชิงพื้นที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับรายวันจนเบียดข่าวดาราวัยรุ่นตกขอบจนเหลือเพียงกรอบเล็กๆบนหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยเนื้อหาที่ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยในแต่ละวัน... จะเปลี่ยนนิดหน่อยก็แค่...
เหยื่อเคราะห์รายไม่ใช่คนเดิม
แต่ครั้งนี้เหมือนต้องเอ่ยชมตำรวจอยู่บ้างเมื่อนักข่าวแจ้งเบาะแสในการสืบสวนใหม่ของไวรัสมา...
Email
ซึ่งจากเนื้อหาข่าวทางตำรวจพบจุดเชื่อมโยงเดียวของผู้เสียหายคือ... ผู้เสียหายจะได้รับเมล์ประหลาดจากคนไม่รู้จักก่อนตายอาจจะเป็นมือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์... แต่ประเด็นสำคัญคือมันมีรายละเอียดว่า...
I will give you the Magic...
ฉันจะทำให้คุณมีเวทย์มนตร์...
ถ้อยคำที่เหมือนประโยคของเด็กน้อยไม่รู้ภาษา
ถ้าดูผ่านๆมันก็เป็นแค่เมล์ขยะที่กำลังล้นอีเมล์ในถังประเภทเดียวกับเมล์โฆษณาชวนเชื่อในแบบอื่นๆ... แต่นั่นหมายถึงกรณีที่ไม่มีคนตาย
รอยยิ้มเหยียดของทิวทัศน์ฉีกกว้างเล็กน้อย กับความพยายามในการตีความถ้อยคำประหลาดจากเมล์ปริศนาของบุคลต้องสงสัยนาม ไวรัส อย่างเอาเป็นเอาตาย... มีนักพิสูจน์หลักฐานหรือนักวิเคราะห์มากมายหลายแขนงออกหาความหมายไปต่างๆนาๆ แต่พวกเขาจะรู้หรือรึเปล่านะ ว่าข้อความนั้นความจริงแล้ว... มันไม่มีความหมาย...
ก็แค่ศัพท์เล่นๆจากหนังสือการ์ตูนสมัยเก่าที่เผอิญชอบเลยถูกหยิบยกมาเพียงเท่านั้น...
แต่ที่ถูกต้องมีอยู่หนึ่งสิ่ง... คือเรื่องที่ไวรัสส่งข้อความนี้ไปหาผู้เคราะห์ร้าย
ทิวทัศน์ดูดควับุหรี่เข้าปอดพลางเลิกสนใจทีวีจอใหญ่เบื้องหน้าก่อนเหลือบมองหญิงสาวหุ่นดีอีกคนตามนิสัยสัญชาตญาณผู้ชายแล้วพ่นควันบุหรี่ออกเบาๆ
เขาคือไวรัส... ฆาตกรแสนโรคจิตที่ก่อคดีโหดเหี้ยมและเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจ
ที่งานของตำรวจยากขึ้นคงต้องโทษที่พ่อแม่เขาอบรมสั่งสอนให้ตั้งใจเรียนเกินเหตุรวมทั้งหาความรู้ทั่วไปใส่สมองอยู่บ่อยๆทำให้ชายหนุ่มรู้กลเม็ดเคล็ดลับในการทำงานของตำรวจรวมทั้งวิธีป้องกันหรือทำลายหลักฐานไม่ให้หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ
แต่งานของตำรวจในวันพรุ่งนี้คงจะหนักขึ้น...
เพราะข้อความไร้สาระในเมล์ประหลาดที่ตำรวจกำลังตีความกันอย่างเอาเป็นเอาตายของไวรัสถูกส่งออกไปแล้ว...
ทิวทัศน์แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยสายตาเบื่อๆ ควันบุหรี่ลอยเอื่อยออกจากปากของเขาช้าๆ ก่อนชายหนุ่มจะพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“มนุษย์... จงตาย”
ร่างท้วมนอนนิ่งในสภาพเหมือนกบถูกชำแหละเครื่องใน เลือดสีแดงสดไหลอาบพื้นหินอ่อนสีเทาลายสวย เหยื่อร่างท้วมกลอกตาขึ้นใบหน้าทุกข์ทรมานอย่างที่สุด ซึ่งทิวทัศน์เพียงเลิกคิ้วซ้ายชำเลืองมองชายดังกล่าวนิ่ง รอยยิ้มเหยียดแสนสุขฉีกกว้างเกือบถึงใบหู นัยน์ตาสีดำกลอกไปมาอย่างโรคจิต ในสมองห้วนคิดถึงใบหน้าของเหยื่อยามที่เขากำลังเอาสีสเปรย์พ่นลงในเครื่องในของมัน...
ใบหน้าที่แสนทรมาน... หากแต่นั่นคือความรู้สึกสุขที่เกินจะบรรยายสำหรับเขา
ทิวทัศน์เอียงคอขณะลงมือจัดการทำลายหลักฐานโดยปกติอย่างเคย แม้จะยังรู้สึกไม่สาแก่ใจจนอยากคว้านท้องชายร่างท้วมที่นอนหมดลมไปแล้วอีกรอบทว่าเขากลับต้องหยุดมือพลันเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงส่งเสียง จนชายหนุ่มต้องหยุดอารมณ์ดังกล่าวลงครู่พยายามปรับน้ำเสียงเป็นปกติแล้วรับสาย
“ฮัลโหล”
‘ไง ทิว’ ปลายสายสวนกลับทันใด น้ำเสียงฟังดูร้อนรนปนตื่นเต้น ‘ดูข่าวแล้วรึยัง’
และเจ้าของเสียงคือบีม... เพื่อนสมัยเรียนของทิวทัศน์ที่เขายอมรับว่ามีอะไรหลายอย่างคล้ายๆกันทั้งนิสัย หรือลักษณะการดำเนินชีวิตที่ถูกพ่อแม่ตีกรอบเหมือนกัน แต่ของบีมคงไม่บีบรัดเท่าเขา... หมอนี่เป็นพวกบ้าข่าวเวลามีเรื่องอะไรแปลกๆมักจะโทรมาบอกเสมอ
“ข่าวอะไร”
‘ข่าวของไวรัส... ไอ้หมอนี่ชักจะเอาใหญ่ แค่วันดียวฆ่าไปถึงสองคน’
ทิวทัศน์นึกย้อนไปถึงหญิงสาวที่เขาพึ่งฆ่าไปเมื่อเช้ากับเด็กหนุ่มท่าทางอนาคตใกล้ที่ฆ่าไปเมื่อวานแต่ตำรวจคงพบศพวันนี้
“ดูแล้วล่ะ” ตอบกลับสั้นๆไม่ได้แสดงท่าทางสนใจ
‘งั้นก็ดีแล้ว... ฉันล่ะเสียดายเป็นบ้า แค่วันเดียวผู้หญิงสวยๆก็ตายไปตั้งสองคน’
ทิวทัศน์นิ่งงันทันใดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
ผู้หญิงสวยๆก็ตายไปตั้งสองคน... แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้น ในเมื่อเขาฆ่าผู้หญิงแค่คนเดียว
“บอกชื่อเหยื่อให้ฟังหน่อยได้มั้ย” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างเล็กน้อย
‘อืม... นางสาว วาสนา จันทร์ดี กับ นาง พรใจ ดวงเลิศ ทั้งคู่ตายเพราะถูกคว้านท้องและได้รับสารพิษจากกระป๋องสเปรย์ ตำรวจเลยสรุปว่าเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน’
ทิวทัศน์ตัดสายอีกฝ่ายลงทันใด ก่อนยืนนิ่ง ใบหน้าดูตระหนก นัยน์ตาฉายแววสับสน
มีเหยื่อหนึ่งคนที่เขาไม่ได้ฆ่า...
ก่อนสังหาร ทิวทัศน์จะหาข้อมูลรวมถึงรายละเอียดส่วนตัวต่างๆอย่างรอบคอบโดยจะเน้นเอาคนที่อยู่ตัวคนเดียวเป็นโสด ญาติพี่น้องน้อย ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร... นั่นทำให้เขาตัดรายชื่อของทุกคนที่ขึ้นต้นด้วยนางสาวออกเป็นอันดับแรก... เพราะนั่นหมายถึงอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว
มีคนเลียนแบบการฆาตกรรมของเขา...
ทิวทัศน์ยกมือปิดปาก ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจ ร่างผอมสั่นเทาน้อยๆ หากแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับฉีกกว้างราวยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น... ใช่... เพราะนั่นหมายถึงว่ามีคนร้ายสองคนใช้ชื่อเดียวกัน... และหากไอ้คนที่เลียนแบบการฆาตกรรมของเขาถูกจับ นั่นหมายถึงตำรวจจะเลิกตามตัว เลิกสืบหา และถ้าเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นมาจริงๆ ตำรวจย่อมไม่มีทางเชื่อคำของนักโทษที่บอกว่า แค่เลียนแบบการกระทำเฉยๆอยู่แล้ว...
มันจะกลายเป็นแพะรับบาปสำหรับเขา...
ใช่... เพราะไอ้คนที่เลียนแบบนั่นคงไม่มีทางลบหลักฐานหมดจดเหมือนเขาแน่
“หึ หึ หึ โง่เหลือเกินนะ” ว่าขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยันกับการกระทำโง่เขลาที่เอื้อประโยชน์ให้เขาของอีกฝ่าย ทว่าทิวทัศน์กลับต้องเลิกคิ้วซ้ายขึ้นสูงอีกรอบเมื่อเสียงมีเสียงสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือ...
มีข้อความเข้า...
ชายหนุ่มกดเปิดข้อความดูก่อนต้องเบิกตากว้างอีกรอบ รอยยิ้มยินดีหุบลงสนิทเมื่อเห็นภาพบนหน้าจอของมือถือเป็นข้อความสั้นๆแสนคุ้นตาว่า...
I will give you the Magic...
ข้อความสั่งตายจากไวรัส...
ร่างบางของเด็กสาวที่ถูกกรีดทางยาวตั้งแต่ท้องจนถึงปลายคางขาดเป็นสองซีกใบหน้าเรียวสวยของเด็กแรกรุ่นมีคราบน้ำตาปนหยดเลือดสีแดงกับคราบของเหงื่ออุ่นๆพร้อมรอยแผลมากมายนับไม่ถ้วนไล่ตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายเท้า มันช่างดูสยดสยองมากขึ้นเมื่อสิ่งที่ยัดอยู่ในท้องของเหยื่อไม่ได้มีแค่กระป๋องสเปรย์แต่ยังเป็นซากกบนอนหงายที่ถูกผ่าท้องหลายสิบตัว ราวล้อเลียนสภาพของเหยื่อหลังถูกฆาตกรรม
คดีฆาตกรรมโดยเงื้อมมือของไวรัสกำลังดำเนินหนักหน่วงต่อเนื่องมากขึ้นทุกวันสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวเมืองจนในพักหลังๆแค่สองทุ่ม ช่วงเวลาที่ควรจะครึกคื้นสำหรับสถานที่หลายๆที่กลับเงียบลง ไม่มีใครกล้าออกจากที่พักอาศัย หลายๆคนอาจจะแค่กลัว... แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าใจคอของคนที่ได้รับข้อความจากไวรัสจะเป็นอย่างไร
ทิวทัศน์เลิกก่อคดีมาร่วมสองวัน และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งขึ้นเมื่อ ฆาตกรที่ชื่อไวรัสยังคงลงมือต่อเนื่องแม้กระทั่งวันที่เขาไม่ได้ฆ่าใคร
ใครเป็นคนทำ...
“เวรเป็นบ้า
” ถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อไอ้คนที่กำลังก่อคดีอยู่ตอนนี้ท่าทางจะฉลาดใช่ย่อย เพราะผ่านเวลามาเกือบ3วันตำรวจก็ยังไม่ได้ข้อมูลใดๆเพิ่มเติมเช่นเคย กระทั่งหลักฐานหรืออะไรสักอย่างที่บ่งชี้ว่าฆาตกรเป็นคนละคนกันก็ยังหาไม่พบ
ที่สำคัญกว่า... คือหมอนั่นรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาได้ยังไง... ถึงได้มีข้อความแบบที่เหยื่อได้รับมาถึงเขาแบบนั้น...
ติ๊ง...
ข้อสงสัยยังไม่ทันจางเสียงโทรศํพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง... เป็นเสียงของข้อความเข้าโดยมีประโยคคล้ายๆกับคราวที่แล้วเช่นเดิม... ประโยคประหลาดจากเบอร์ปริศนาที่ถูกเขียนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษอ่านยากว่า
Did you want to khow who I am
อยากรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร
เหงื่ออุ่นๆเริ่มไหลรินจากหน้าผาก นัยน์ตาของทิวทัศน์ดูเครียดขึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ความกลัวของเหยื่อ... ความกลัวจากการที่ถูกใครบางคนจับตามองอยู่
เสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง...
You know me better คุณรู้จักฉันดี...
ทิวทัศน์ถึงกับถลึงตาโตอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้รับข้อความถัดมา... หมายความว่าไง... เขารู้จักฆาตกรคนนี้งั้นหรือ
เวลาผ่านไปเพียงครู่ข้อสงสัยก็พลันถูกเฉลยด้วยข้อความต่อมา
My name is
Thanapol phimai
ชายหนุ่มร่างผอมสูงถลึงตาโตทันใด ร่างสั่นเทิ้มอย่างบอกไม่ถูกราวกับอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่เริ่มกระทบกึกกัก นัยน์ตาสองข้างขยับล่อกแล่กไปรอบตัว เหงื่ออุ่นๆอาบไปทั่วร่าง...
ชื่อของฉันคือ... ธนพล พิมาย
“ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้...” เขารำพึงเสียงสั่นคล้ายคนเสียสติ
ใช่... เพราะตามหลักความจริงแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้... เพราะ... เพราะว่า ธนพล พิมาย คือเด็กหนุ่มที่เขาฆ่าไปกับเมื่อห้าวันก่อน... เขาไม่มีทางจำสัมผัสผิด ความรู้สึกที่มีดกรีดลงบนท้อง ทั้งสายตาอ้อนวอนชวนสงสาร ทั้งเสียงร้องอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่องขอความเห็นใจ และกลิ่นคาวเลือดเตะจมูกนั่น... มันเป็นของเด็กหนุ่มชัดๆ
เขาฆ่าหมอนี่ไปแล้ว...
ไม่มีทางจะรอดชีวิตจากบาดแผลฉกรรจ์ขนาดนั้นได้... ต้องมีใคร มีใครสักคนเล่นตลกบางอย่างกับเขา
“ใคร!!!” ทิวทัศน์แหกปากลั่นราวเสียสติ ใบหน้าของชายหนุ่มดูหวาดกลัวกึ่งตื่นเต้น หัวคิ้วขมวดเกร็งแน่น เขาชักใบมีดเล่มยาวคมกริบออกมาจากใต้เตียงแล้วตวัดไปรอบๆคล้ายขู่เจ้าของข้อความที่กำลังกวนประสาทกำลังจะเสียของเขา
มีเพียงความเงียบที่ให้คำตอบ...
ไม่มีทั้งข้อความหรือการส่งสัญญาณใดๆอีก
ทิวทัศน์นั่งลงและหอบตัวโยนกับการภาวะตึงเครียดเมื่อครู่ ใบหน้าผ่อนคลายลง เหงื่ออุ่นๆอาบเต็มแผ่นหลัง สติที่ปลิวไปไหนถึงไหนเริ่มกลับมาทีละน้อย ก่อนคิดทบทวนเหตุการณ์อย่างสงบอีกครั้ง...
เขาใจเย็นลง... ความเงียบทำให้คนใจเย็นขึ้น
ก๊อก ก๊อก...
พลันเสียงเคาะประตูหน้าบ้านก็เรียกให้ใบหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยกลับมาเครียดขึงอีกครั้ง เขากำมีดในมือแน่น เสียงหอบหายใจหนักขึ้นเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นระรัวในอก
มีใครบางคนมา...
ก๊อก ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่อง... ทิวทัศน์ยังนิ่ง
ตึง! ตึง!
ทว่าเขาต้องเบิกตากว้างเมื่อการเคาะประตูที่เบาจนแทบไม่ได้ยินเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระแทกราวกับคนที่อยู่หลังแผ่นไม้นั่นอยากพังเข้ามาแค่ต้องการเข้ามาหาเขาให้ได้ ใช่... มันต้องการเข้ามาหาเขา มันต้องการฆ่าเขา!
นัยน์ตาของชายหนุ่มแข็งกร้าว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉีกกว้างขึ้นมุมปากแม้จะมีหยดน้ำสีใสอาบไปทั้งร่างกับหัวใจที่เต้นแรงมากขึ้นทุกขณะ เขาย่ำเท้าไปหาประตู มีดในมือกระชับแน่นหลังแผ่นไม้ที่มีเสียงกระแทกดังเป็นระยะ
ปึง! ทิวทัศน์ผลักประตูออกสุดแรง ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ แต่เขากลับต้องชะงักค้าง... เมื่อด้านหลังประตูบานนั้นไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตอยู่สักคน ที่มีก็เพียงเสียงเด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักด้วยท่าทางสนุกสนานที่หลอกเขาเปิดประตูสำเร็จและกำลังวิ่งผ่านบ้านเขาไป โดยมีสายตาหงุดหงิดของชายหนุ่มมองตามหลัง
ไอ้พวกเด็กซนเอ้ย...
สบถด่าในใจก่อนปิดประตูเบาๆ แต่เขากลับต้องนิ่งค้างอีกครั้งเมื่อมีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมข้อความที่ระบุไว้ว่า
My Childhood เด็กของฉัน...
พ่วงหลังด้วยรูปหน้าที่ถูกวาดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างเกือบฉีกถึงใบหูที่เล่นเอาทิวทัศน์รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันใด... ใช่... เพราะการที่เจ้าของข้อความส่งเด็กมาหาเขาถึงบ้าน แปลว่าหมอนั่นรู้ที่อยู่ของเขาแล้ว... พร้อมด้วยข้อความแสนคุ้นตาที่เขาเคยได้รับแล้วถูกส่งมาอีกรอบ
I will give you the Magic
By Virus...
เรื่องประหลาดยังคงดำเนินต่อไม่ได้หยุดเมื่อมือถือของทิวทัศน์กลับหายไปเพราะโจรวิ่งราวหน้าซื่อที่สวมเสื้อกันหนาวพร้อมฮู้ดคลุมหัวสีดำ วิ่งฉับขโมยมือถือของเขาจากกระเป๋ากางเกงไปได้หน้าตาเฉย... มือไวจนหาตัวจับยาก เขาจำใบหน้าของโจรวิ่งราวได้ลางๆ ถ้าจะเอาจริงก็คงพอสืบหาตามตัวได้ แต่สำหรับชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตด้วยความเบื่อหน่ายไปวันๆกับอีแค่มือถือสองสามเครื่องเขาก็ไม่อยากเหนื่อยกับมันมากขนาดนั้น
ที่สำคัญ... ต่อจากนี้เขาจะไม่ได้รับข้อความกวนประสาทแบบเดิมอีก
แต่ยังไงมือถือก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน ทิวทัศน์ตัดสินใจเดินย่ำหามือถือถูกๆที่มีฟังก์ชันการใช้งานไม่ดีมาก แค่ฟังเพลงได้ในย่านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆ
คิดย้อนแล้วก็แย่นิดหน่อย เพราะมือถือหายครั้งนี้นั่นหมายถึงเขาไม่มีเบอร์ของใครสักคนในที่ทำงาน และอาจต้องเหนื่อยหนักอีกรอบกับการบอกเบอร์ของเขากับเพื่อนร่วมงานที่แทบจะไม่คุยกันในแต่ละวัน
“ไง ทิว” ชายหนุ่เลิกคิ้วซ้ายขึ้นสูงเล็กน้อยกับการถูกทัก เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเจอคนรู้จักในที่แบบนี้... อีกฝ่ายคือบีม เพื่อนสมัยเรียนที่บ้าข่าวเป็นชีวิตจิตใจ
“หวัดดีฯ มาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเหรอ” ถามตามมารยาท ขณะก้มมองมือถือหลายรุ่นหลายขนาดที่วางเรียงกันในตู้กระจก
“เฮ้ เฮ้ นายลืมไปแล้วรึไง ว่าฉันทำงานในบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้านี่อยู่แล้ว ถ้าฉันอยู่ที่นี่แล้วจะแปลกตรงไหน” ร้องท้วงทันใดกับถ้อยคำที่เหมือนอีกฝ่ายจะลืมเรื่องราวของเขาไปสนิท
ทิวทัศน์ยิ้มเล็กน้อย “ฮะ ฮะ นั่นสินะ... ลืมไปสนิท
ว่าแต่มีมือถือถูกๆแนะนำให้ฉันบ้างมั้ย เผอิญว่ามันหายน่ะ”
บีมขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย “หายเหรอ... แย่จังนะ งั้นตามมานี่เลย ถ้าชอบถูกๆต้องทางนี้” ว่าพลางเดินนำชายหนุ่มมาหยุดหน้าตู้กระจกอีกที่นึงที่มีมือถือวางเรียงกันเป็นตับ พร้อมคำโฆษณาคุณประโยชน์เกินจริงด้วยใบหน้าจริงจังกับน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเชื่อถือ สมกับเป็นมืออาชีพด้านขายสินค้า
สุดท้าย ทิวทัศน์ก็ได้มือถือเครื่องใหม่สีดำมาหนึ่งเครื่องด้วยราคาปานกลางไม่แพงมากไม่ถูกมาก คุณสมบัติพื้นฐานครบ แม้จะไม่สามารถดูวีดีโอหรือต่ออินเตอร์เน็ตได้ แต่สำหรับเขาที่ไม่คิดจะใช้ฟังก์ชันหรูๆพวกนั้นก็ถือว่าเกินพอ แถมบีมยังจัดการซื้อเบอร์ใหม่เลขสวยให้เสร็จสรรพ
“จะว่าไป สมัยก่อนฉันก็เคยพานายมาซื้อโทรศัพท์เหมือนกันนี่นะ ตอนที่นายจีบผู้หญิงสองคนพร้อมกันไง นายกลัวรถไฟชนกันก็เลยต้องมีมือถือสองเครื่อง... คิดถึงจังเลยนะ” ประโยคระลึกความหลังพร้อมใบหน้าซื่อๆของเพื่อนสมัยเรียนเรียกรอยยิ้มน้อยๆของชายหนุ่มเบื่อโลกออกมาได้บ้าง ก่อนเขาจะก้มมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าดึกเกินไปแล้วจึงขอตัวผละจากบีมออกมา
ทิวทัศน์ก้มมองมือถือเครื่องใหม่ด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นหรือเห่อของอย่างที่หลายๆคนเป็น แต่พูดๆไปอารมณ์ของเขาตอนนี้ดูสับสนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องข้อความที่ส่งมาซึ่งเหมือนเขาจะแก้ปัญหาไปได้แล้ว ชายหนุ่มจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นอีกหน่อย...
แต่นั่นยังทำให้เขาโล่งอกไม่พอ... ถ้าจะให้ดีต้องมีอะไรอีกสักอย่าง...
“หึ หึ หึ...” หัวเราะในลำคอเสียงต่ำ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉีกกว้าง นัยน์ตาสองข้างดูโรคจิตเคลิ้มสุขขึ้นทันใดเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ต่อไปที่เขากำลังจะทำ... ไวรัสกลับมาอีกครั้ง...
แฮ่ก... แฮ่ก...
เสียงหอบหายใจจนตัวโยนของชายหนุ่มในสภาพเหงื่อโทรมกาย เมื่อครั้งนี้เหยื่อของเขาขัดขืนมากกว่าที่คิด จนทิวทัศน์ต้องกรีดตามใบหน้ากับซอกคอของอีกฝ่ายให้หมดแรงก่อนจับมัดด้วยเชือกในสภาพกางแขนกางขาได้สำเร็จ
แม้จะเหนื่อยแต่ความรู้สึกถัดจากนี้มันช่างน่าตื่นเต้นและระทึกใจ... โดยเฉพาะสีหน้าของเหยื่อที่เขาจงใจไม่ฆ่าให้ตายในทันที มันช่างให้ความรู้สึกเกินบรรยาย... มีดคมกริบกดลงบนหน้าท้องเรียบพร้อมกับที่เลือดสีแดงข้นไหลทะลักรุนแรงเช่นเดียวกับเสียงร้องอู้อี้ของเหยื่อที่เริ่มดังขึ้นทุกขณะ...
อา... มีความสุขเหลือเกิน...
ลิ้นเรียวของทิวทัศน์ตวัดลิ้มรสคาวของน้ำสีแดงก่อนที่เขาจะค่อยๆใช้มือฉีกผิวหนังที่ถูกเฉือนด้วยมีดออกจากกันช้าๆ ราวกับคนที่ใช้มือเปิดกล่องไม้หนาๆอย่างไรอย่างนั้น กระป๋องสเปรย์สีขาวฉีดพ่นเข้าสู่เครื่องในสีแดงให้ความพิศวงแสนประหลาดใจ เพราะสีขาวที่พ่นไปนั้นผ่านเวลาเพียงครู่เดียวก็ถูกหยดน้ำสีแดงย้อมให้กลับอยู่ในสภาพเดิมทุกครั้ง...
อา... ทิวทัศน์ครางในลำคอเสียงสั่น...
ไม่มีทางเลิก เขาคงจะเลิกไม่ได้กับความรู้สึกเกินบรรยายเช่นนี้... ใบหน้าของชายหนุ่มดูผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มจนน่าอิจฉา
ทว่าเขากลับต้องหยุดการกระทำดังกล่าวลง... เมื่อได้รับข้อความจากมือถือเครื่องใหม่ที่พึ่งซื้อมาไม่ถึงสามชั่วโมงก่อน ใบหน้ามีความสุขเมื่อครู่ของชายหนุ่มเปลี่ยนไป... คิ้วสองข้างหันมาผูกกันแน่น นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง...
I envy you
“ฉันอิจฉาคุณ...” ทิวทัศน์อ่านประโยคภาษาอังกฤษเสียงแผ่ว เนื้อตัวสั่นเทิ่ม
Because
“
เหตุผลน่ะหรือ...”
I looked at all fun...
“...ก็คุณดูสนุกสนานขนาดนั้นไง...”
ทิวทัศน์ลุกพรึ่บ กระชับมีดในมือแน่น เขาหันมองรอบข้างทันใด ท่าทางหวาดกลัวเห็นได้ชัด เหงื่ออุ่นๆไหลโทรมกาย ลมหายใจดังขึ้นทุกขณะ ความสุขของเขาถูกทำลายด้วยน้ำมือของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก... ใครบางคนที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา
ใช่... ใครบางคนที่กำลังจะฆ่าเขา
“ใคร!!” ร้องดังลั่นทว่าสิ่งที่ได้รับมีเพียงความเงียบงัน ไร้คำตอบ ชายหนุ่มเหลือบมองร่างเหยื่อที่ยังหายใจแผ่วๆอยู่ด้วยสายตาเหยีดหยามราวกับของไร้ค่าที่หมดประโยชน์ในเวลานี้... ทิวทัศน์ย่ำหนีไปอีกทางอย่างไม่สนใจ
เขาเดินผ่านย่านเครื่องใช้ไฟฟ้า 24 ชั่วโมง ในสมองเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูกก่อนชายหนุ่มจะสะดุดกับข่าวรอบดึกด้วยใบหน้าตื่นๆของนักข่าวอีกครั้ง... แต่ข่าวรอบนี้เรียกใบหน้าตื่นตระหนกของทิวทัศน์ได้ด้วย...
‘ตำรวจพบเบาะแสของไวรัส... เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 25-30 ปี วัยทำงาน อยู่ในย่าน...’
ทิวทัศน์กระตุกตัวทันใดกับเนื้อหาของข่าวบ่งบอกความคืบหน้าของตำรวจ และวงของพื้นที่เริ่มแคบขึ้นมาทุกขณะเมื่อข้อมูลทั้งหมดที่นักข่าวเปิดเผยออกมาแม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็เข้าข่ายถูกต้อง... ทั้งเรื่องอายุหรือเมืองอยู่อาศัย...
ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าเป็นไปได้... ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกสับสน ปวดหัวจนพูดอะไรไม่ออก เขาลงมือเงียบเชียบไร้หลักฐานมาโดยตลอดเป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจจะแกะรอยจนพบ
ทว่า...พลันในสมองก็คิดถึงบางสิ่ง
เหยื่อรายเมื้อกี้... เขายังไม่ได้ทำลายหลักฐาน...
ทิวทัศน์ย้อนกลับไปทันใด แม้จะให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ พลางคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้อีกครั้ง...
ไม่น่าใช่เหยื่อรายเมื้อกี้... เพราะเขาทิ้งช่วงจากจุดเกิดเหตุมาถึงร้านไฟฟ้าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงสิบนาที เป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจจะหาศพพบได้เร็วขนาดนั้น... ที่น่ากลัวกว่าคือถ้าตำรวจพบศพจริงๆ ด้วยนิสัยโรคจิตล้อเล่นกับเหยื่อ เกรงว่าเหยื่อรายนั้นอาจจะยังไม่ตายสามารถพูดได้จนบอกสภาพคร่าวๆของเขาทั้งหมด...
ใช้เวลาเพียงห้านาที ทิวทัศน์ก็ย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง...
เหยื่อยังอยู่ที่เดิมในสภาพไม่หายใจ... ตำรวจยังไม่พบศพ ชายหนุ่มอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย สติเริ่มกลับมา ขณะลงมือทำลายหลักฐานแล้วคิดอะไรหลายๆอย่างให้รอบคอบอีกครั้ง
เขาซื้อมือถือเครื่องใหม่... เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนรู้เบอร์โทรของเขา...
มีคนเลียนแบบการฆาตกรรมของเขา... ในเมื่อเขาไม่เคยทิ้งหลักฐานใดๆไว้... แปลว่ารูปพรรณของคนร้ายที่ตำรวจได้มาคือชายหนุ่มอีกคน...
ถ้าบีบวงให้แคบลงมาอีกหน่อย คนที่รู้เบอร์โทรของเขาและมีลักษณะรูปร่างตรงกับข้อมูลที่ตำรวจสืบมา...
บีม... เพื่อนสมัยเรียนของทิวทัศน์ ทำงานในร้านขายเครื่องไฟฟ้าและพึ่งขายทั้งเบอร์และมือถือเครื่องนี้ให้กับเขา
ใช่... ถ้าเป็นบีมก็เป็นไปได้ที่หมอนี่จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวหรือแอบจับตามอง รวมทั้งเรื่องส่งเด็กไปเคาะประตูบ้านของเขาด้วย
และเรื่องข้อความหลังสุด หมอนี่อาจสะกดรอยตามเขาตั้งแต่ขายมือถือให้จนมาพบเขาสังหารเหยื่ออยู่ในขณะนี้
คิดทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างจบแล้วใบหน้าของทิวทัศน์พลันฉีกยิ้มกว้าง ลิ้นยาวๆของชายหนุ่มตวัดเลียใบมีดเปื้อนเลือดตั้งแต่ด้ามดาบจนถึงปลายดาบด้วยท่าทางน่าสะอิดสะเอียนพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์โรคจิตชวนขนลุกกับฆาตกรที่ฉลาดเกินไปในขณะนี้
“บีม...” เขาครางในลำคอ
“ I will give you the Magic... หึ หึ หึ” ตามด้วยการหัวเราะเสียงต่ำมีเลศนัยชวนขนลุก...
บ้านของบีมเป็นบ้านจัดสรรสองชั้นในย่านชุมชนที่มีรั้วไม้เล็กๆกับสนามหญ้าสีเขียวย่อมๆ ดูกะทัดรัด แต่ก็กว้างเกินพอสำหรับหนุ่มโสดที่ต้องทำงานจนดึกดื่นและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่มีญาติพี่น้องอย่างชายหนุ่ม...
ทิวทัศน์ฉีกรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นแสงไฟบนบ้านชั้นสองยังเปิดอยู่ นั่นบ่งให้เห็นว่าบีมอยู่ข้างบน... และยังไม่นอนแม้เวลาบนนาฬิกาข้อมือจะชี้บอกเวลา 2.51 นาฬิกาแล้วก็ตาม
ทิวทัศน์เลื่อนประตูหน้าบ้านแผ่วเบาอย่างชำนิชำนาญจากประสบการณ์ของฆาตกรอย่างโชกโชน แต่เขาก็ต้องแปลกใจนิดหน่อยเพราะประตูหน้าบ้านไม่ได้ใส่กุญแจเอาไว้อย่างที่ควรเป็น ไม่ป้องกันอะไรสักอย่าง... ราวกับเชิญชวนเขาให้เข้าไปหา
“บีม... อยู่รึเปล่า” เขาพูดเสียงแผ่วเบาขณะชำเลืองมองรอบข้างอย่างระแวดระวังหลังจากก้าวเข้ามาในบ้านสำเร็จและกำลังเดินขึ้นบันไดชั้นสอง ห้องที่กำลังเปิดไฟอยู่ในขณะนี้...
ไม่มีเสียงตอบรับ...
ทิวทัศน์หยุดยืนนิ่งหน้าประตูห้องชั้นสอง มีดเล่มยาวในมือกระชับแน่น นัยน์ตาของเขาดูโหดเหี้ยมทันใด รอยยิ้มมุมปากฉีกกว้างขึ้นทุกขณะ ก่อนจะออกแรงเปิดประตูทีละน้อย...
ภาพภายในเป็นห้องสีขาวที่ไม่แคบและไม่กว้างนักโดยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งกำลังเปิดทิ้งไว้ และภาพศพที่ถูกฆาตกรรมด้วยเงื้อมมือของไวรัสฉายทีละภาพ...
แต่ในนั้นกลับไม่มีบุคคลที่เขาตามหา...
บีมหายไปไหน...
คิ้วสองข้างของชายหนุ่มขมวดมุ่น ความสับสนเริ่มทวีคูณขึ้นทุกขณะ เขาไล่อ่านข่าวของไวรัสที่บีมเหมือนจะเก็บไว้เป็นรายการโปรดในเครื่องทีละข่าว ทั้งรูปศพคว้านท้องทั้งชายและหญิงรวมถึงวิธีลงมือตั้งแต่ต้นจนจบที่ทางตำรวจพิสูจน์หลักฐานมาได้ แต่ถูกเผยแพร่แค่บางส่วนในสังคม ด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามันโหดเหี้ยมเกินไป...
แม้จะข้องใจอยู่เล็กน้อยกับข้อมูลทางราชการที่บีมหามาได้ แต่ด้วยงานอดิเรกที่ชื่นชอบข่าวเป็นพิเศษ เจ้าตัวคงมีลู่ทางในการหาข่าวพวกนี้มากพอสมควร
บีมสนใจเรื่องของไวรัส...
กึก... กึก...
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นเรียกนัยน์ตาสองข้างของทิวทัศน์เปิดกว้างทันใด มีดในมือกระชับแน่น ใจเต้นโครมครามเพราะเท่าที่ฟังจากเสียง... ใคร... มีใครบางคนกำลังขึ้นบันไดมายังชั้นสอง
บีม...
เสียงหอบหายใจของชายหนุ่มรัวเร็วขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจ... ไม่ไว้ใจเพื่อนคนนี้ของเขาเสียแล้ว แถมด้วยความสงสัยเต็มประดา นัยน์ตาของทิวทัศน์ดูสับสนเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่ตอนนี้สั่นไม่หยุด
แอ๊ด... เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ และก็เป็นคนที่ชายหนุ่มคาดเดาไว้
บีมดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นร่างผอมสูงนั่งอยู่ในห้องพร้อมมีดเล่มยาวในมือ ท่าทางของทิวทัศน์ดูเหนื่อยหอบจนผิดสังเกต เช่นเดียวกับนัยน์ตาขวางๆที่ดูน่ากลัวกำลังจ้องเขม็งมาไปยังอีกฝ่าย
“บีม...” ทิวทัศน์ว่าขึ้นปนหอบ
“ไง ทิว ท่าทางดูไม่ดีเลยนะ... เห็นไอ้นี่แล้วใช่มั้ย” เขาหมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ซึ่งมีรูปเหยื่อถูกฆาตกรรมอย่างสยดสยองนับสิบรูปอยู่ภายใน... บีมเดินไปยังเครื่องคอมด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่ตระหนกตกใจจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนหันมายิ้มแสยะด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์มีเลศนัย
“พวกนี้... ฉันเป็นคนทำเอง กว่าจะได้ขนาดนี้เหนื่อยแทบตายเลยล่ะ หึ หึ หึ” บีมว่าพร้อมหัวเราะในลำคอเสียงต่ำท่าทางสนุกสนาน
“นายไม่คิดเหมือนฉันบ้างรึไง... ของพวกนี้ถ้าดูดีๆมันช่างสวยงาม ทั้งรูปกาย รวมทั้งเรือนร่างอวบอิ่มนั่น มันช่างน่าสนใจเหลือเกิน” บีมยิ้มแสยะพลางอธิบายด้วยท่าทางหลงใหล
ใช่... ก็ไม่แปลก อย่างที่เคยบอกไว้ว่าเขากับบีมมีอะไรหลายอย่างๆคล้ายๆกัน ทั้งสภาพแวดล้อม การถูกบังคับกฎเกณฑ์ หรือ...อาจจะรวมไปถึงลักษณะนิสัย
นั่นหมายความว่า ถ้าเขาชอบ หมอนี่ก็อาจชอบด้วย
บีมเลิกคิ้วซ้ายขึ้นก่อนหันกลับมา ขณะฉีกยิ้มเล็กน้อย “ไม่เอาน่า... ไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นก็ได้ ถ้าให้เดานายคงคิดว่าฉันเป็นไวรัสใช่มั้ย... ก็ไม่เชิงนะ ยังไงฉันก็แค่...”
ฉึก!
พูดยังไม่ทันจบประโยคสัมผัสเย็นๆจากใบมีดโลหะก็พุ่งทะลุท้องหนาๆของบีมทันใด เขาก้มลงมองเล็กน้อยก่อนค่อยๆเลื่อนนัยน์ตามาที่ทิวทัศน์ด้วยแววตาสับสนอย่างนึกไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะทำเช่นนี้... เลือดอุ่นๆไหลรินออกจากร่างรัวเร็ว แค่เพียงครู่พื้นไม้สีน้ำตาลก็เจิ่งนองไปด้วยคราบน้ำสีแดงพร้อมกลิ่นคาวเหม็นๆเต็มไปหมด บีมมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าโกรธแค้นกึ่งมึนงงแต่ลำคอไม่อาจเปล่งเสียงได้ ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่า อีกฝ่ายค่อยๆลากใบมีดจากจุดที่แทงอยู่เดิมไล่สูงขึ้นจนถึงปลายคางแล้วดึงออกช้าๆ
บีมล้มลง... ภาพด้านหน้าพร่าเลือนขึ้นทุกขณะ ก่อนที่เขาจะเห็นภาพสุดท้ายก่อนตายก็คือ รอยยิ้มแสนโหดเหี้ยมของเพื่อนสมัยเรียนของตนที่กำลังยืนใช้ลิ้นเช็ดใบมีดของตนอย่างเอร็ดอร่อย
ทิวทัศน์เหลือบมองร่างที่นอนนิ่งของเพื่อนเก่าด้วยสายตาเหยียดหยาม
จบแล้ว...
ใช่... ทุกอย่างจบลงแล้ว... จะไม่มีข้อความประหลาดๆส่งมาหาเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
ใบหน้าของชายหนุ่มผ่อนคลายขึ้นทันใดหลังจากคิดว่าตนจัดการปัญหาหนักอกของตนเสร็จสิ้น ไม่มีแม้ความสำนึกผิดหรือเสียใจกับการฆ่าเพื่อนเก่าแท้ๆของตนไปกับมือ
ทว่าคิ้วคมกับต้องขมวดมุ่นอีกครั้งพร้อมด้วยนัยน์ตาเปิดกว้าง เมื่อได้ยินเสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้น
I am Virus...
ฉันคือไวรัส...
ปึง!
ทิวทัศน์โยนโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่พึ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลงพื้นจนแตกกระจายทันที เขาหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าเครีดขึง นัยน์ตาสีดำกลอกไปมา ขณะพึมพำเสียงสั่นราวคนเสียสติว่า
“ไม่จริง... ไม่จริง... ไม่... เป็นไปไม่ได้... ไม่มีคนอีกแล้ว ใคร... เรา... เราคือไวรัสแค่คนเดียว... ไม่มีใครอีกแล้ว”
สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มถูกทำลายสิ้นเมื่อปัญหาที่เขาเคยคิดว่าจบแล้วมันกลับยังไม่จบ แถมเหมือนจะทวีความหนักหน่วงมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายที่กำลังตามฆ่าเขายังไม่ตาย
กึก... กึก...
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้ามีดมือสั่น ร่างกายดูอ่อนเพลียขึ้นทันใด สมองที่เคยชาญฉลาดตอนนี้มลายหายไปสิ้นเหลือเพียงความกังวลกับความสับสนที่ถมทับขึ้นมาจนเต็มหัว
ฆ่า... ฆ่ามัน ฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่!
ฉึก!
ยังไม่ทันได้ทำอะไร ใบมีดหนาๆคมกริบก็พุ่งปักคอของทิวทัศน์ ชายหนุ่มก้มมองเล็กน้อย เนื้อตัวสั่นเทิ้มรู้สึกราวกับร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ ขาผอมๆอ่อนยวบลงในท่าคุกเข่าก่อนเปลี่ยนเป็นนอนแผ่หราพลางเลิกคิ้วซ้ายอย่างสับสนเมื่อเห็นปลายด้ามจับของใบมีดที่พุ่งมาเสียบคอมีมือของตนอยู่...
เขาแทงตัวเอง...
หากแต่ใบหน้าที่ควรบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสกลับยิ้มพึงพอใจราวได้รับบางสิ่งที่สำคัญก่อนตาย...
ความรู้สึกที่เหยื่อได้สัมผัสมันเป็นแบบนี้เองหรือ...
เขาพึมพำในใจช้าๆเช่นเดียวกับเลือดสีแดงเข้มที่เริ่มรินไหลจากลำคออาบใบมีดที่ปักคาอยู่
มันช่าง... มีความสุขเหลือเกิน...
ภาพต่างๆมืดดับลง ทว่าครั้งนี้ชายหนุ่มคงสมหวังแล้ว เพราะจะไม่มีข้อความใดๆจากไวรัสมาถึงเขาอีกตลอดกาล...
เช้าวันเสาร์ สารวัตรศักดิ์ชัย เต็มบุญ สารวัตรใบหน้าเหี้ยม ดุๆ ที่รับผิดชอบคดีของไวรัสโดยเฉพาะ ได้พาหน่วยพิสูจน์หลักฐานกับหน่วยชันสูตรศพอย่างละห้าคน กับตำรวจหนุ่มผมยุ่งสวมแว่นกรอบเหลี่ยมที่มีนัยน์ตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในแผนกสืบสวนสอบสวนที่เป็นคนออกความเห็นเรื่องแผนจับกุมไวรัสอีกหนึ่งคน เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุสุดท้ายในบ้านจัดสรรสองชั้นสีขาวที่ภายในห้องนอนชั้นสองมีศพชายสองคนนอนอาบเลือดอยู่ในสภาพถูกคว้านท้องหนึ่งศพ... แต่อีกศพที่เหลือก็สร้างความประหลาดใจให้เหล่าตำรวจที่มีทำงานเก็บหลักฐานครั้งนี้ไปตามๆกัน
เมื่อชายหนุ่มผมหยักศกที่ชื่อ ทิวทัศน์ เลิศล้ำ กำลังนอนจมกองเลือดในสภาพมีดเสียบคอสยดสยองโดยมือขวายังค้างนิ่งอยู่กับด้ามจับ บ่งให้เห็นว่าเขา... แทงตัวเอง ทว่าที่น่าประหลาดใจไม่ใช่สภาพศพของชายหนุ่ม... แต่เป็นใบหน้าที่ดูพึงพอใจกับความรู้สึก เขาเผยรอยยิ้มโรคจิตออกมาอย่างไม่ปิดบังจนมุมปากฉีกกว้างเกือบถึงใบหูกับแววตาแสนสุขราวได้เห็นอะไรบางอย่างที่ดีมากๆก่อนตาย
ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า พวกนี้มันคิดอะไรอยู่...
สารวัตรศักดิ์ชัยคิดก่อนชักสีหน้าพะอืดพะอมเล็กน้อย ก่อนเบือนสายตาไปยังหน่วยพิสูจน์หลักฐานคนหนึ่งที่เหมือนจะได้รวบรวมข้อมูลเสร็จสรรพและเอามารายงานผู้บังคับบัญชาอย่างเขา
“จากรอยแผลของผู้ตายก่อนหน้านี้เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธได้ข้อสรุปมาว่า ผู้ตายถูกมีดเล่มนี้สังหาร และมีรอยนิ้วมือของชายหนุ่มที่ชื่อทิวทัศน์ติดบริเวณด้ามจับเต็มไปหมด และด้านใบมีดเราตรวจพบDNA ของคนร้ายซึ่งตรงกับนายทิวทัศน์ในหลายๆจุดเกิดเหตุด้วยครับ”
ส่วนบีมที่ตายไปตำรวจตรวจสอบมาได้ข้อมูลว่า เขาเป็นพวกนักตัดต่อรวมถึงแฮกเกอร์ในการขโมยข้อมูลลับของกรมตำรวจที่ตำรวจเสาะหามานาน ซึ่งเมื่อตอนที่บีมบอกกับทิวทัศน์ว่า ‘ฉันเป็นคนทำเอง’ ก็คือการดึงข้อมูลภาพการฆาตกรรมมาจากกรมตำรวจ
สารวัตรศักดิ์ชัยครางในลำคอเล็กน้อย เมื่อฟังหลักฐานที่ดูจะระบุตัวได้แน่นหนา และเหมือนคดียาวนานของ ไวรัส... ฆาตกรโรคจิตต่อเนื่องจะถึงเวลายุติลงเสียที
แต่เขาเองก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าสาเหตุที่จับกุมฆาตกรโรคจิตรายนี้ได้เร็วขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนลวงเชิงจิตวิทยาของชายหนุ่มสวมแว่นกรอบเหลี่ยมนายตำรวจหน่วยสืบสวนที่กำลังยืนยิ้มผิวปากด้วยท่าทางกวนประสาทอย่างไม่เหมาะกับสถานการณ์ข้างเขา...
หน่วยพิสูจน์หลักฐานยังรายงานข้อมูลต่อ “นายทิวทัศน์ มีอุปนิสัยที่ค่อนข้างแปลก จากการตรวจเช็คข้อมูลของเรา เขาเป็นโรคประสาทที่เกี่ยวกับการลบความทรงจำของตัวเอง... โรคนี้มีรายละเอียดอยู่ที่ผู้ป่วยมักจะจัดการลบบางเรื่องที่ตนเองคิดว่าไม่ดีออกไปจากในสมองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าอาการนี้ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่าลบเรื่องใดออกไปบ้าง... ส่วนอีกข้อ นายทิวทัศน์มักจะพกมือถือสำหรับติดต่อไว้สองเครื่องโดยที่อีกเครื่องหนึ่งไม่บันทึกเบอร์โทรศัพท์หรืออะไรไว้สักอย่าง ซึ่งจากการสันนิษฐานคาดว่าเขาคงจะเอาไว้ส่งข้อความเพียงอย่างเดียว”
พกโทรศัพท์สองเครื่อง...
“จะว่าไป สมัยก่อนฉันก็เคยพานายมาซื้อโทรศัพท์เหมือนกันนี่นะ ตอนที่นายจีบผู้หญิงสองคนพร้อมกันไง นายกลัวรถไฟชนกันก็เลยต้องมีมือถือสองเครื่อง... คิดถึงจังเลยนะ”
ใช่... จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังพกโทรศัพท์สองเครื่อง ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่องราวในตอนพกโทรศัพท์เครื่องที่สอง จึงกลายเป็นหลอกตัวเองว่าเขามีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียว
จากหลักฐานในที่เกิดเหตุส่งผลสรุปออกมาว่า นายทิวทัศน์ ส่งข้อความต่างๆจากมือถือเครื่องหนึ่ง... เข้ามือถือของตัวเอง เขาสร้างความตื่นตระหนกให้กับตัวเองเนื่องจากสมองสั่งการได้ลบความจำเมื่อตอนส่งข้อความออกไป
ใช่... ถ้าเป็นแบบนี้ก็สามารถรองรับเหตุผลได้ทุกอย่างว่า ทำไมข้อความจากบุคคลปริศนานั่นถึงได้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของทิวทัศน์...
ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง...
แต่อาการผิดปกติทางจิตเช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นถ้าไม่ถูกกระตุ้นด้วยความสับสนทางจิตวิทยาซะก่อน
แดนเนียล ยอร์คเซล นายตำรวจลูกครึ่งอเมริกันหน่วยสืบสวนหรี่นัยน์ตาจิ้งจอกของตนมองสภาพศพเล็กน้อย ก่อนชักใบหน้าแหยแกทำท่าขยะแขยงจนดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของนายตำรวจด้วยกัน
เขาเป็นคนคิดแผนป่วนประสาทฆาตกร...
ใช่... ทิวทัศน์คาดการณ์ไม่ผิด การลงมือฆาตกรรมของเขาแต่ละครั้งนั้น เงียบเชียบ รอบคอบ และไร้ร่องรอย... เขาไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆแม้สักอย่างให้ตำรวจได้เสาะหา แน่นอนว่าในตอนนั้นตำรวจทั้งกรมรวมถึงสารวัตรศักดิ์ชัยที่รับผิดชอบคดีนี้ตามคำสั่งของเบื้องบนก็ต้องกลุ้มไปตามๆกัน
ทว่าสำหรับแดนเนียลไม่ใช่...
เขาดำเนินแผนโดยใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ หลอกฆาตกรว่ามีผู้ตายในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นโดยที่ไม่ใช่เงื้อมมือของเขา นั่นคือ การใช้สื่อประกาศชื่อของใครบางคนที่ฆาตกรไม่ได้เป็นคนสังหารว่าถูกสังหารแล้ว ฆาตกรจะหลงคิดว่ามีใครบางคนเลียนแบบวิธีการของตนทำให้คิดตุตะไปเองว่า มีคนอีกคนที่กำลังกระทำการเช่นเดียวกับเขา
ใช่... นั่นเป็นการล่อให้ประมาท เพราะฆาตกรที่ลงมือรอบคอบไร้หลักฐานขนาดนี้ต้องเห็นประโยชน์ของนักเลียนแบบแน่นอน ว่ามันสามารถรับโทษแทนกันได้... เพราะยังไงก็มีแต่ฆาตกรคนเดียวที่รู้ว่า ไวรัสมีสองคน...
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ทำให้ไวรัสหยุดลงมือไปสองวัน แต่สื่อยังคงแพร่ข่าวการตายของเหยื่อจากฝีมือไวรัสต่อเนื่องจนชวนให้ฆาตกรคิดว่า ไวรัสเลียนแบบอีกคนลงมืออย่างต่อเนื่องน่าหวาดกลัว
และวิธีต่อมาก็คือการระบุรายละเอียดของฆาตกรด้วยข้อมูลปลอมๆที่วิเคราะห์ขึ้น
‘ตำรวจพบเบาะแสของไวรัส... เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 25-30 ปี วัยทำงาน อยู่ในย่าน...’
แน่นอนว่าการวิเคราะห์นี้ตำรวจเล็งหาจากธรรมชาติของการระแวดระวังความปลอดภัยของมนุษย์ เมื่อสังเกตจากสถานที่เกิดเหตุหลายๆที่ จะเห็นว่าบริเวณทั้งหมดเมื่อทำเป็นจุดบนแผนที่จะเกิดขึ้นเป็นรูปวงกลม... สัญชาตญาณของมนุษย์ข้อที่หนึ่งคือ พวกเขาจะไม่ลงมือกระทำซ้ำที่เดิม ส่วนข้อที่สองการกระทำทั้งหมดจะไม่ถูกก่อขึ้นในสถานที่อยู่อาศัยของตนเอง...
ใช่... เพราะเหตุนี้รูปที่ออกมาถึงเป็นวงกลม และนั่นก็ทำให้ตำรวจสามารถระบุข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับรูปพรรรของคนร้ายได้
แน่นอนว่าข้อมูลที่ถูกเผยออกมานี้อาจจะผิด แต่การที่ข้อมูลผิดก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ เมื่อฆาตกรเชื่อว่า ไวรัสมีสองคนอยู่แล้ว ดังนั้นหากข้อมูลที่เอ่ยมาผิดก็จะคาดเดาไปว่านั่นเป็นข้อมูลของอีกคน และตามอุปนิสัยของคนที่รอบคอบอย่างทิวทัศน์ด้วยก็เป็นเช่นนั้น...
แต่ถ้าข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาถูกนี่สิ... ถึงจะสนุก
ฆาตกรย่อมได้รับความหวั่นไหวทางด้านจิตใจขนานใหญ่แน่นอน...
และนี่เป็นวิธีการเบื้องต้นของการลวงโดยใช้หลักจิตวิทยาคร่าวๆของนายตำรวจหนุ่มท่าทางเจ้าเล่ห์ของหน่วยสืบสวนสอบสวน อย่างแดนเนียล ยอร์คเซล
ซึ่งกว่าวิธีการนี้จะผ่านการอนุมัติจากผู้บัญชาการใหญ่หรือนายเหนือหัวมีอำนาจต่างๆก็ต้องดำเนินเรื่องกันให้วุ่น เพราะแผนดังกล่าวเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้กับประชาชนอย่างมาก แต่ก็ถูกกลบไปด้วยเหตุผลง่ายๆของแดนเนียล ว่า
มันจะช่วยให้ประชาชนระวังตัวเองมากขึ้นด้วย...
และก็ทำให้เบื้องบนอนุมัติ...
แต่เขามีระยะเวลาในการดำเนินงานเพียงหนึ่งสัปดาห์ เพราะถ้านานกว่านั้นความหวาดกลัวของประชาชนจะทวีคูณมากเกินไป... ที่น่าทึ่งกว่าคือแดนเนียลสามารถก่อกวนระบบประสาทของฆาตกรได้เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งตามหลักแล้วฆาตกรประเภทนี้ล้วนเป็นพวกผิดปกติทางประสาทแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นวิธีดำเนินการเชิงจิตวิทยาจึงน่าจะส่งผลรวดเร็ว
แต่ก็อย่างว่า... ถึงรอบนี้จะไม่สำเร็จ เขาก็ยังมีวิธีอื่นรองรับอยู่อีก
คดีฆาตกรรมของฆาตกรโรคจิตอย่างไวรัสเป็นอันปิดม่านลง...
ภาพในสายตาของทิวทัศน์เลือนรางพร่ามัว รอบด้านเป็นปุยเมฆสีขาวสะอาดสุดลูกหูลูกตา... เขาเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ไร้ความรู้สึกแต่พบว่าสบายอย่างบอกไม่ถูก...
ใช่จริงๆ... โลกแสนสบายไม่น่าเบื่อที่เราใฝ่หามันอยู่ที่นี่ นี่เอง...
ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนค่อยๆเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก...
ความคิดเห็น