ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวลาที่หัวใจรอคอย

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49








        "โอย...ในที่สุดก็มาถึงเสียที" ฉันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ลงจากรถสองแถวรับจ้างซึ่งพามาส่ง ณ รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ที่ฉันหมายปองว่าจะมาค้างอยู่ที่สักสามสี่วัน การที่เลือกมาที่นี่นั้นมาจากหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งของเพื่อนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วเปิดค้างหน้าที่มีการแนะนำรีสอร์ทแห่งนี้เข้าพอดี ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เลือกว่าจะไปที่ไหนหรอก แต่พอเหลือบมองไปที่รูปภาพที่ลงเอาไว้และนั่นทำให้ฉันหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าทันที กอรปกับช่วงนั้นฉันเหนื่อย ๆ จากการทำงานที่สั่งสมความเครียดเป็นเวลานานและกำลังมองหาที่ดี ๆ ไปพักผ่อนอยู่ด้วยจึงตกลงใจเดินทางมาที่เกาะสายน้ำแห่งนี้โดยใช้สิทธิของการลาพักร้อนที่สะสมเอาไว้

        ฉันหิวกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในรีสอร์ทเพื่อขอกุญแจบ้านพัก ขณะที่รอก็อดชื่นชมไม่ได้ เพราะบริเวณภายในรีสอร์ทตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ในความเรียบง่ายนั้นแฝงไปด้วยความทันสมัย การเข้ากันอย่างลงตัวขององค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ผนังห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วจัดวางได้เป็นอย่างดี 

        "กุญแจบ้านค่ะคุณนีรา"พนักงานสาวยื่นกุญแจมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม

        "ขอบคุณนะคะ"ฉันยิ้มให้ก่อนกล่าวขอบคุณเธอ ซึ่งเธอก็บอกฉันว่าบ้านพักที่นี่จะเป็นบ้านพักหลังค่อนข้างใหญ่ เพื่อรองรับแขกที่มากันเป็นครอบครัว แต่เราก็สามารถทำให้บ้านเล็กลงได้ก็คือการปิดประตูเชื่อมห้องทั้งสองด้าน พูดถึงมันก็สะดวกดีนะ มากันเยอะ ๆ ก็เปิดประตูไปนอนคุยกันแต่ถ้ามาเดี่ยว ๆ ก็ปิดประตูกั้นห้องล็อคซะก็จบเรื่อง



        "เอ...บ้านฉันหลังไหนน้า..." ฉันเดินมองหาอยู่สักครู่เพราะไม่อยากรบกวนพนักงานฉันเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ มาแค่ใบเดียวเอง 

        "โอ้โห!" หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อเห็นสถานที่ตั้งของบ้านหลังนี้ "ติดชายหาดเลย วิวดีจริง ๆ เชียว" บ้านหลังที่ฉันอยู่เป็นบ้านสีฟ้าขาวหลังเดียวแต่แบ่งกั้นเป็นสองฝั่ง ๆ ละด้าน แต่ละด้านนั้นก็มีบันไดหินวางอยู่สามขั้นเพื่อเดินขึ้นไปบนตัวบ้าน ฉันไขประตูเข้าไปด้านในก่อนที่จะทำการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้เสื้อผ้าและวางหนังสือสองสามเล่มที่เอาติดมือมาด้วยไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แต่อาจจะเพราะด้วยความเงียบจึงทำให้ฉันได้ยินเสียงไขประตู พลางคิดในใจว่าคงเป็นเสียงของห้องข้าง ๆ นั่นแหละ ถ้ามีโอกาสคงจะได้ทักทายกันก็ได้ประสาคนข้างห้องกัน  จัดของเสร็จฉันก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมามองดูรอบ ๆ ห้องบนเตียงนอนใหญ่ที่แสนจะนุ่มนิ่ม กลิ้งไปกลิ้งมาฉันก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว

        "โห...ฉันหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือนี่" ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลขห้ากับเลขหกและเข็มยาวอยู่ที่เลขเจ็ด แล้วท้องเจ้ากรรมก็ร้องโอดครวญขึ้นมาประมาณว่าหนูหิวแล้วนะ หิว ๆๆๆ ในที่สุดฉันก็ต้องเดินออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารภายในรีสอร์ทเพราะทนเสียงเรียกร้องจากกระเพาะน้อย ๆ ไม่ไหวนั่นเอง 



        ฉันเดินเข้าไปในร้านสั่งข้าวผัดทะเลอาหารมีชื่อของที่นี่เขาบอก ๆ ว่าปลาหมึกหวาน กุ้งตัวโต๊โต ปูนี่เนื้อแน่นมาก ๆ พูดแล้วน้ำลายก็จะไหล 555+ รอเพียงครู่เดียวข้าวผัดทะเลที่รอคอยก็เดินทางมาถึงโต๊ะ ขณะที่ฉันกำลังจะตักข้าวผัดเข้านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง

        "น้ำ..." ครั้งแรกฉันก็ยังไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตากินก่อนหิวจะแย่อยู่แล้ว คนชื่อน้ำมีตั้งเป็นร้อยเป็นพันฉันก็มาคนเดียวด้วยใครที่ไหนจะมาเรียก

        "น้ำ ๆ" แต่มีเรียกครั้งที่สองกับที่สามตามมานี่สิมันแหม่ง ๆ เสียงใครมาขัดจังหวะการกินของฉัน แต่เอ...เสียงมันคุ้น ๆ อยู่นะ ด้วยความสงสัยฉันค่อย ๆ หันไปที่ต้นเสียงนั้นฉันก็ได้พบกับเขา ด้วยความตกใจบวกกับความดีใจฉันจึงอุทานออกไปเสียงดัง

        "เฮ้ย!!!" แต่ฉันรู้สึกว่าความตกใจจะมากกว่านะแถมเสียงฉันมันไม่ค่อยเบาเลย เหอ ๆ เพราะคนที่นั่งรอบ ๆ โต๊ะฉันหันมามองเราทั้งคู่เป็นตาเดียว จะมองกันทำไม๊...ฉันไม่ได้มีเขางอกออกมาจากหัวนะ ช้อนที่จับอยู่ในมือก็หล่นกระทบจานดังเคร้ง! และนั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง

        "เฮ้ยภู! นายมาที่นี่ได้ไง" ฉันถามเขาน้ำเสียงดีใจ    ไม่ได้กันนานหล่อขึ้นว่ะ แต่อย่าพูดให้หมอนี่ได้ยินนะ เดี๋ยวเหลิง

        "ไม่เจอกันนานนิสัยยังไม่เปลี่ยนไปเลยนะ" เขาพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ ทำให้เห็นลักยิ้มที่แก้มของเขา ทำให้ใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อของเขากลับหวานน่ามองอีกเป็นกอง 

        "เราก็ขับรถมาน่ะสิ เธอจะให้ฉันบินมารึไง" ดู ๆ ไม่เจอกันตั้งนานนิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยนะอีตานี่

        "งั้นมั้ง"ในเมื่อเขากวนมาฉันก็เล่นเขากลับบ้างสิ งั้นมันไม่ยุติธรรม...อิอิ

        "นั่งด้วยคนนะ" ไม่รอฟังคำตอบฉันเลย พ่อคุณก็นั่งแหมะที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนหันไปสั่งข้าวผัดแบบเดียวกับฉันแล้วเราจึงหันมาคุยกันต่อ

        "เอาล่ะจะถามจริงแล้วนะ นายมาที่นี่ได้ไง" ฉันซักต่อ

        "เหนื่อย ๆ น่ะก็เลยลามาเที่ยว แล้วน้ำล่ะ" เขาตอบพร้อมกับถามย้อนกลับ

        "เราน่ะเหตุผลเดียวกันเป๊ะ ๆ" ฉันพูดพร้อมกับตบโต๊ะเบา ๆ เป็นการยืนยันคำพูด ฉันก็นิสัยแบบนี้แหละโผงผาง ๆ ขนาดฉันไว้ผมยาวเขายังว่าฉันเป็นทอม พอฉันบอกว่าถ้าฉันผมสั้นล่ะ รู้ไหมเขาบอกว่ายังไง...เขาบอกฉันว่าแกก็กลายเป็นผู้ชายไง เออ...ดูมันพูดไม่มีถนอมน้ำใจเพื่อนหรอก นอกเรื่องแล้วไปฟังตานี่พูดต่อ

        "มาพักร้อนเหมือนกันนี่นะ" เขาถามย้ำอีกครั้งแล้วฉันก็พยักหน้ารับหงึกหงักยอมรับ

        "เบื่อคอมจะแย่อยู่แล้ว วัน ๆ อยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยม เรายังคิดอยู่นะเนี่ยว่าสักวันหน้าตาเราอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ กำลังคิดอยู่ว่าเป็นจอธรรมดาหรือจอพลาสมาดี" ค่ะฉันเรียนจบวิศวะคอมพิวเตอร์ ฉันลองจินตนาการดู อืม...มันคงแปลกดีแต่ฉันชอบจอพลาสมานะ และนั่นก็ทำให้เขายิ้มอีกครั้ง และการที่เขายิ้มนั้นมันทำให้ความทรงจำที่ตกตะกอนในหัวใจของฉันฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง อย่ายิ้มเซ่...อย่า...อ๊ากกกก

        "แล้วน้ำกะว่าจะอยู่ที่กี่วันล่ะ" ขณะที่ถามนั้นข้าวผัดทะเลอีกที่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี ระหว่างที่คุยไปด้วยก็กินไปด้วย

        "สักสี่วันน่ะกะกลับวันเสาร์แล้วภูล่ะกลับวันไหน" เขาเงียบไปเพียงครู่เดียวก่อนที่จะตอบฉันว่า

        "ของเราก็วันเสาร์เหมือนกัน น้ำก็กลับกับเราสิจะได้ไม่เปลืองค่ารถ" เขาเสนอ และข้อเสนอของเขาทำให้ฉันต้องรีบปฏิเสธ

        "เฮ้ย...ได้ไง" ฉันตกใจกับคำชวนของเขาที่จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว พูดอะไรรู้ตัวรึเปล่า...

        "เอ่อ...หรือว่าเธอมากับแฟน งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก" อย่าพูดเองเออเองเด้...แต่เอ๊ะ! ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเขาหน้าตาขรึมลง รึว่า..ปลาหมึกมีพิษ...เอ่อคงไม่ม้าง

        "บ้า! มาคนเดียวว่ะ เสียใจอยู่เหมือนกันนะไม่มีใครหลงผิดตามมาด้วยเลยแฮะ" ฉันทำแกล้งถอนหายใจทำหน้าเศร้า ๆ และนั่นทำให้เขายิ้มออกมาอีกครั้ง บอกแล้วไงว่าอย่ายิ้ม ๆ 

        "เออลืมไป หน้าอย่างเธอนี่นะ..." อ้าวเฮ้ย...พูดเสร็จก็เงียบหมายความว่าไงฟ่ะ พูดดี ๆ นะ ตาของฉันชักลุกวาว 

        "หน้าอย่างฉันมันยังไง ตอบไม่ดีล่ะ ฮึ่ม...ศพไม่สวยนะ" ฉันขู่เสียงเข้มทำให้เขายิ้มกว้างก่อนตอบว่า

        "แหะ ๆ หน้าอย่างเธอก็...ก็หน้าตาดี" แต่ขณะพูดตานี่ก็เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันเอาไว้ ดูเอาเหอะเพื่อนฉันคนนี้ร้ายกาจ ๆ

        "แล้วนายล่ะพาแฟนเที่ยวเหรอ" ฉันกลั้นใจถามเขาตรง ๆ ตอนถามรู้สึกมันแปลบ ๆ ที่หัวใจชอบกล แต่คำตอบที่ได้ก็คือส่ายหน้าปฏิเสธ

        "ไม่มีหรอก เรามาคนเดียวกะว่ามาที่นี่อาจจะได้เจอเนื้อคู่ก็ได้" เขาพูดลอย ๆ แต่นั่นทำให้หน้าฉันร้อน ๆ ยังไงไม่รู้ อย่าพูดอย่างนี้สิตะกอนมันขุ่นใหญ่แล้วเฟ้ย...

        "ไหนเมื่อก่อนบอกว่าไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ" รีบ ๆ ชวนคุยเดี๋ยวเขารู้ว่าฉันหน้าแดงจะยุ่งกันใหญ่

        "ก็นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เริ่มแก่แล้วมันก็ต้องเปลี่ยนความคิดกันบ้าง แล้วตกลงจะกลับกับเรารึเปล่า" อ้าว...อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องซะงั้น ฉันตามอารมณ์นายไม่ทัน...น

        "...ไม่ดีมั้ง" เมื่อตั้งสติได้จึงตอบเขาไปด้วยความเกรงใจ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งอันตรายนะหมอนี่

        "ห้ามปฏิเสธ รู้ไหมเราต้องช่วยชาติประหยัดน้ำมัน ทางเดียวกันไปด้วยกัน" นายภูรีรีบเอานโยบายช่วยชาติของท่านนายกมาเป็นข้อสนับสนุน อีตานี่แสบจริง ๆ หาเหตุผลล้านแปดมาอ้างจนได้สิน่า 

        "อีกอย่าง...เธอเป็นผู้หญิงนะน้ำอย่าลืมสิ ไปไหนคนเดียวมันอันตราย" เขาทำสีหน้าจริงจังเมื่อเห็นฉันมีทีท่าว่าจะปฏิเสธอีกรอบ ในที่สุดฉันก็ต้องรับคำชวนของเขาแต่ฉันว่าบังคับกันมากกว่า แล้วเราคุยกันไปเรื่อย ๆ ถึงเพื่อน ๆ สมัยที่เราเรียนอยู่มัธยมด้วยกัน คุยเรื่องนั่นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยกว่าจะรู้อีกทีก็กินเวลาไปนานพอสมควรแล้ว



        "เดี๋ยวเราไปส่งดีกว่า น้ำพักอยู่หลังไหนล่ะ" ฉันชี้ไปด้านซ้ายของหาดที่ห่างไปสักสองร้อยเมตร

        "ของเราก็อยู่ด้านนั้นเหมือนกัน" เขาบอกพร้อมกับยิ้มให้อีกครั้ง บอกว่าอย่ายิ้ม 

        "ภู ผู้ร้ายไม่มีให้จับรึไงมาลาหยุดอย่างนี้น่ะ" ฉันถาม ก็มันน่าสงสัยนี่นาตำรวจงานยุ่งจะตาย แล้วตานี่มาเดินร่อนไปร่อนมาอยู่แถวนี้ได้ไง

        "เจ้านายเห็นเหนื่อยมานานแล้วก็เลยให้พัก เมื่ออิตย์ก่อนก็ไปยิงกับคนร้ายมาเกือบไม่รอด" เขาพูดเหมือนกับว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ทั่วไปที่ทุกคนก็ต้องเจอะเจอ มันธรรมดาที่ไหนเล่าเกือบตายเนี่ยนะ!

        "แล้วนายเป็นอะไรไหม" ฉันถามด้วยความตกใจ แล้วทำไมไม่อยู่บ้านดั้นด้นมาทะเลทำไม๊...

        "แค่ถูกยิงเฉียด ๆ มา ไม่เห็นตายนี่" 

        "ถูกยิงแล้วยังมีหน้ามาเที่ยวอีกเหรอ" ฉันย้อน เจ็บอยู่แท้ ๆ ยังจะขับรถมาเที่ยวไม่ได้เจียมสังขารตัวเอง

        "เอาน่า ๆ แค่เฉียด...รึว่าเป็นห่วง" ทีแรกก็จะเป็นห่วงจริง ๆ แต่ปากนายนี่ยังดีอยู่เลย ไม่น่ารอดกลับมาเลย

        "เปล๊า...ฉันแค่คิดในใจว่า คนร้ายน่าจะยิงนายให้ม่องเท่ง" ฉันพูดความจริงก่อนจะทำลอยหน้าลอยตา คงทำให้เขาเกิดหมั่นไส้ฉันมั้งเลยกระตุกหางม้าฉันเบา ๆ 

        "เจ็บนะ" ฉันโวยวายแต่คนทำน่ะสิวิ่งนำไปไกลแล้ว

        "อย่าหนีเซ่...มาให้แก้แค้นก่อน" 

        "โอย...เหนื่อย" ฉันหอบเสียยกใหญ่แต่คนข้าง ๆ กลับไม่เหนื่อยเลยสักนิด มันน่าเจ็บใจนัก ฮึ่ม!

        "แก่แล้วเหรอป้า ค่อย ๆ ก็ได้ เดี๋ยวสำลักอากาศตาย" อี๋...นายว่าฉันแก่เหรอยะ

        "นายนี่มัน...โอยเหนื่อย..." อยากจะเถียงนะแต่...เหนื่อย...

        "วิ่ง ๆ มาก็ถึงแล้ว บ้านน้ำหลังไหนล่ะ บ้านเราหลังนี้" เขาชี้ไปที่บ้านหลังสีฟ้าขาวที่อยู่ตรงหน้าเราสองคน อาจจะเพราะความบังเอิญ เพราะบ้านหลังนั้นอีกครึ่งหนึ่งเป็นหลังที่ฉันอยู่

        "เหอ ๆ ๆ ของเราก็หลังเดียวกับนายแต่ฝั่งนี้อ่ะ" ฉันชี้แล้วหันไปมองหน้าเขาก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมา

        "งั้นเราไปอาบน้ำก่อนนะ" ฉันบอกเขาซึ่งเขาก็บอกว่าเขาก็คงต้องไปอาบเหมือนกัน ขณะที่ฉันกำลังจะไขประตูนั้น เขาก็หันมาบอกฉันว่า

        "น้ำ...เดี๋ยวมาเล่นกีต้าร์กันไหม เข้าทางประตูเชื่อมห้องเท้าจะได้ไม่เปื้อนทราย" เขาชวน

        "โอเค แป๊บนึง" ฉันทำท่าโอเคประกอบก่อนจะเข้าห้องไป 



        คุณเชื่อไหมผมไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเธอที่นี่ ครับ...เธอเป็นเพื่อนรักของผมเราสนิทกันมากจนบางทีผมยังลืมไปว่าไอ้เพื่อนผมคนนี้มันเป็นผู้หญิง เพราะเวลาเพื่อนผู้ชายเล่นอะไรกันถ้าเธอเอี่ยวด้วยได้เธอเล่นหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเก็ตบอล ตะกร้อ คือ...ทุกอย่างที่ผู้ชายเล่นเธอต้องเล่นได้ ผมยังเคยถามเธอว่าทำไมไม่ไปนั่งคุยกับเพื่อนผู้หญิงมาเล่นกับผู้ชายไม่เบื่อเหรอ รู้ไหมครับเธอตอบว่าไง

        'เบื่อ...ขี้เกียจฟังเล่นกับพวกนายมันกว่าเยอะ' พูดเสร็จคุณเธอก็ทำจมูกย่น ๆ เหมือนกับว่าเบื่อเสียเต็มประดา

        บางทีผมก็ถามว่าทำไมไม่แปลงเพศเป็นผู้ชายเลย เจ๊แกก็ตอบว่า

        'เฮ้ย! ข้าเป็นผู้หญิงนะเว้ย' เออครับ...เจ๊แกบอกว่าแกเป็นผู้หญิง แต่ท่าทางมันไม่ให้

        แล้วผมก็ถามอีกว่าทำไมไม่ตัดผมบอกว่าร้อนไม่ใช่เหรอ ใช่ครับผมเธอยาวจนถึงกลางหลังแถมยังดำเป็นเงางามสวยอีกต่างหาก เธอก็ตอบว่า

        'ขนาดใส่กระโปรงพวกแกยังมองว่าฉันไม่เป็นผู้หญิงเลย ขืนตัดผมออกก็ได้เป็นผู้ชายจริง ๆ กันพอดี บอกแล้วไงว่าผู้หญิงทั้งแท่งเฟ้ย'

        ดูเจ๊เธอตอบสิครับ อาจเพราะเธอไม่ได้เป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไป จึงทำให้ผมกับเธอสนิทกันมากขึ้นไปอีก และอาจจะเพราะความสนิทกันมากไปทำให้ผมไม่กล้าบอกความรู้สึกของผมที่ตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่ามันเปลี่ยนไปตอนไหน เปลี่ยนไปเมื่อไร หลายคนคงคิดถูก...ใช่ครับ...ผมหลงรักเธอ 

        แต่เธอไม่รู้หรอกครับ หัวช้าจะตายเรื่องความรัก หน้าตาเธอก็ไม่ใช่ขี้ริ้วขี้เหร่อาจจะถึงขั้นสวยเลยด้วยซ้ำ แต่เธอไม่ชอบแต่งตัวแบบผู้หญิงทั่วไปเท่าไร(บอกแล้วไงครับว่าเพื่อนผมมันเป็นผู้ชายในร่างหญิง) ชอบแต่งตัวเซอร์ ๆ เหมือนพวกผู้ชายมากกว่า แต่อย่างว่าล่ะครับขนาดเสื้อยืดกางเกงยีนเธอยังใส่แล้วน่ารักเลย หากว่าผมจับเธอแต่งตัวเป็นเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปมันคงจะน่ารักขึ้นอีกมากโข ผมอยู่บนเตียงนั่งดีดกีต้าร์คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

        "ก๊อกๆๆ" 

        "เข้าไปนะ" เสียงเธอมาก่อนตัวเสียอีก เธอมาในเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกางเกงเลสีเขียวน้ำทะเล ส่วนผมหางม้าเธอเมื่อตอนเย็นถูกรวบไว้หลวม ๆ เป็นมวยผมที่ท้ายทอย

        "นั่งเล่นเพลงอะไรอยู่น่ะ" เธอนั่งลงที่โซฟาที่ตั้งอยู่ข้างเตียงโดยไม่รอฟังเสียงคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง

        "ยังไม่ได้เล่นหรอกลองเสียงอยู่ อยากร้องเพลงอะไรล่ะ" ผมถามเธอ ดวงตาดำขลับคู่งามฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    "แล้วแต่นายดีกว่า" เธอยิ้มออกมา

        "แล้วคิดเสียตั้งนาน เอานี่ดีกว่าเหมาะกับเธอสุด ๆ" ผมก็ดีดกีต้าร์เพลง ๆ นี้



        เจอะใครก็ชอบมาย้ำ  ก็ชอบมาถามต้องถามกันจัง

        ว่าฉันมีแฟนหรือยัง  เจอะกันกี่ครั้งเห็นเดินคนเดียว

        โธ่เอ๊ยไม่ต้องแปลกใจ  จะเอาอะไรหัวใจเหี่ยว ๆ

        จะมีใครมาแลเหลียว  อยู่ตัวคนเดียวทุกที ทุกที

        แฟนมีก็คงต้องมา  นี่แฟนไม่มาก็แสดงว่าไม่มี

        ลืมตามาดูโลกตั้งกี่ที  ก็ยังไม่มีไม่มีวาสนา

        อยากมีอยากมีอย่างเขา  อยากมีของเราไว้ซบตรงบ่า

        ชาตินี้จะมีไหมหนา  รอเทวดาเมตตาสักที

        ส่งแฟนลงมาให้ฉันสักคน





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×