คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : เล่ห์ร้ายรัฐบาล กับการปราบปรามประชนชน
มีคำกล่าวว่า “เมื่อเริ่มต้นผิด มักจะมีการกระทำที่ผิด ๆ เพื่อรักษาอำนาจที่ได้มาอย่างผิด ๆ นั้นไว้” และมีคำกล่าวอีกว่า “เมื่อเริ่มต้นใช้ดาบ ดาบจะไม่พรากจากคนผู้นั้นไปตลอดชีวิตของเขา” ซึ่งกรณีของรัฐบาลอภิสิทธิ์นับได้ว่า ตรงกับคำพูดทั้งสองประโยคนี้ยิ่งนัก
กุนซือของทางฝ่ายเสื้อแดงนั้น ไม่อาจที่จะเทียบได้กับกุนซือของทางฝ่ายรัฐบาล หรืออาจจะเรียกอีกอย่างว่า กองกำลังของฝ่ายเสื้อแดงนั้นมีแค่กำลังของมวลชนจำนวนมาก ซึ่งทรัพยากรนั้นยังไม่หลากหลายเท่ากับคนของฝ่ายรัฐบาล และผู้สนับสนุน ดังนั้น การวางแผนของฝ่ายกุนซือเสื้อแดง จึงถูกจำกัดไว้ด้วยขอบเขตที่จำกัด ทำให้หลายครั้งต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่น่าจะเพลี่ยงพล้ำ
ดังนั้น ในวันนี้ ทางผู้เขียนจึงจะขอเปิดเผยเงื่อนงำบางอย่างในแผนการของทางฝ่ายรัฐบาล เป็นการวิเคราะห์ เพื่อที่จะทำให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านได้รู้ว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง และจะได้เป็นจดหมายเหตุประเทศไทยที่ต้องจดจำไว้ว่า อย่าให้ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลด้วยอาศัยแค่รูปหล่อ ชาติตระกูลดี ฝีปากดี โดยที่ไม่ได้พิสูจน์ตัวจากประสบการณ์การทำงานเลยแม้แต่น้อย
แผนการหลัก ๆ ของรัฐบาลต่อกรณีของการปราบปรามคนเสื้อแดงคือ....
1. การใช้สื่อสารมวลชนประโคมข่าวให้ร้ายเสื้อแดง ซัดทอดให้ร้ายในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เช่น การล้มเจ้า มีผู้ก่อการร้ายแฝงตัว เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นต้น จากนั้นก็ใช้สิ่งเล็ก ๆ ที่เสื้อแดงทำผิดพลาด แม้ความตั้งใจจะถูกต้อง มาขยายใหญ่ให้ประชาชนเกลียดชัง และเบื่อหน่ายเสื้อแดง เพื่อโดดเดี่ยวเสื้อแดงออกจากมวลชน เช่น การปิดถนนเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ทหาร-ตำรวจยกกำลังไปล้อมปราบประชาชนที่ชุมนุม กลายเป็นการกระทำเพื่อแสดงอำนาจเถื่อน ทำให้มวลชนรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่ถูกค้นโดยไม่เป็นธรรม และทำให้คนรู้สึกว่า เสื้อแดงไม่เคารพกฎหมาย
2. สร้างภาพของการเป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อบังคับใช้กฏหมายอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทั้ง ๆ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อต่อผู้ให้การสนับสนุน ทั้งกลุ่มอำนาจชั้นสูงในสังคม กลุ่มอำนาจด้านธุรกิจ กลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มทหาร กลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่มีอำนาจในสังคม และกลุ่มพันธมิตร ฯ ซึ่งจากการสังเกต และวิเคราะห์ของผมแล้วพบว่า ทุกครั้งที่คนเหล่านี้พูด อภิสิทธิ์จะฟัง แต่เมื่อคนกลุ่มอื่นพูด คน ๆ นี้จะไม่รับฟัง แม้แต่จ่าเพียรขาเหล็ก ยังไม่ยอมรับฟัง นับประสาอะไรกับคนเสื้อแดงจะมาพูดให้คน ๆ นี้ฟัง
3. ปลุกระดมมวลชนเพื่อให้ขนม๊อบมาชนม๊อบ โดยมีกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อชมพู หรือเสื้อหลากสี ล้วนแล้วแต่มีแกนนำของพันธมิตรฯ เป็นผู้นำทั้งสิ้น ซึ่งถ้าใครจะไปค้นดูประวัติของแกนนำเหล่านั้น ก็จะพบเห็นความจริงข้อนี้ได้โดยง่าย และเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งก็คือ การอ้างสถาบันหลักของประเทศ เพื่อให้คนที่หูเบา และความรู้สึกไว โดยที่ไม่ได้ใช้สติ และข้อมูลรอบด้านตกเป็นเหยื่อ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขา เพื่อมาทำลายคนไทยด้วยกันเอง ที่มีจุดประสงค์แค่การได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น
4. บีบคั้น กดดัน และบังคับให้ทั้งทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ทำตามมาตรฐานทางกฎหมายของตนเอง ทั้ง ๆ ที่ขัดต่อหลักการปกครองอย่างร้ายแรง โดยมีกองกำลังหลักของตนเองอยู่ในราบที่ 11 ซึ่งบัดนี้ถือเป็นกองบัญชาการของประเทศไปโดยปริยาย ซึ่งคำสั่งเหล่านี้ทำให้เกิดความวุ่นวายภายใต้หน้ากากแห่งกฏหมายเช่น การให้ใช้กำลังปราบปรามคนเสื้อแดง แต่คนเสื้อเหลือง และคนเสื้อหลากสีให้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ ซึ่งเป็นสองมาตรฐาน และไม่อาจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น ๆ ทุกขณะที่คนผู้นี้ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้นำของประเทศ แต่การกระทำเหมือนกับเป็นศัตรูของคนกลุ่มหนึ่งของประเทศ
5. การอาฆาตมาดร้ายด้วยคำพูดสวยหรู เพื่อที่จะทำลายฝ่ายตรงกันข้ามให้หมดไปจากประเทศ โดยคิดว่า เมื่อสามารถสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ได้ ทุกอย่างจะสงบ เพราะหลังจากนั้นก็จะมีการตามจับกุมแกนนำที่หนีไปได้ และการตามจับกุมสมาชิก นปช. ซึ่งคนของฝ่ายรัฐบาลที่มาแฝงตัวอยู่ ได้ถ่ายรูปไว้ และมีรายชื่ออยู่แล้ว เพื่อทำให้ประเทศไปสู่ความสงบ แต่ผลที่เกิดขึ้นจะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามคือ การสร้างความวุ่นวาย และการต่อต้านอำนาจรัฐไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในแทบจะทุกจังหวัดในประเทศ
บทสรุปที่ไม่อยากให้เป็นจริง
ด้วยกุนซือที่ยอดเยี่ยม สื่อสารมวลชนที่ยอดเยี่ยม กำลังพลที่ยอดเยี่ยม และอำนาจที่เต็มเปี่ยมของนายอภิสิทธิ์ ในที่สุด เสื้อแดงก็คงจะปราชัย ถ้าไม่มีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่คาดไม่ถึงมาแทรก
หลังจากนี้ไป ประเทศไทยก็คงจะเป็นเหมือนในประเทศพม่า จะไปไหนในแต่ละที่ ก็จะพบเห็นกองกำลังทหารอยู่มากมาย บางจุดก็จะเป็นจุดตรวจของทหารเหล่านี้
ประชากรในประเทศก็จะถูกแบ่งแยกออกเป็นสามชนชั้นคือ ฝ่ายผู้มีอำนาจ ฝ่ายธุรกิจ และฝ่ายพลเมืองทั่วไป ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้จะถูกแบ่งแยกชัดเจน กฎหมายต่าง ๆ ก็จะถูกบังคับใช้กับฝ่ายพลเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนอีกสองกลุ่มที่เหลือ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวเปลือก จากราคาตันละ 14,000 บาท เหลือเพียงตันละ 4,000 -5,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ราคาขายปลีกของข้าวสารยังอยู่ที่ราคา 35-40 บาทเหมือนเดิม โดยส่วนต่างที่ว่านี้ ก็จะเข้ากระเป๋าของสองกลุ่มแรก จนกลายเป็นว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังทำงานให้กับคนอีกสองกลุ่ม ทำให้มีลักษณะเป็นกลไกทางเศรษฐกิจแบบ อภิสิทธิ์ชน
หวังว่าให้ผมคาดการณ์ผิดเถิดนะ อย่าให้ประเทศไทยต้องผิดพลาดเลย..........หมื่นลี้
ความคิดเห็น