ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัก...ไม่รัก ลองดูนะ

    ลำดับตอนที่ #9 : ยังไงเราก็ไม่ผิด นายบ้านั่นต่างหากที่ผิด

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 48


                   เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น อ้าว ฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นายภัทรนั่นไม่ได้ติดต่อกลับมาจริงๆนั่นแหละ ไอเราก็ถ่างตารอ ฉันเดินไปปิดนาฬิกาปลุกอย่างโมโห แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป วันนี้ฉันตัดสินใจแต่งชุดกระโปรงคอเต่าสีดำไป มันเป็นแขนกุด กระโปรงทรงแคบ สั้นเหนือเข่าประมาณคืบ แหวกข้างๆสูงไปอีกเกือบคืบทั้งสองข้าง ฉันสวมจี้สีน้ำเงินห้อยยาวลงมาถึงหน้าท้อง ส่วนผมก็รวบเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือปล่อยสยายออก

        

                   ยายลิมารับเช่นเคย วันนี้เธอทำตาโตตั้งแต่เห็นฉัน แล้วตลอดทางที่ไปบริษัทนั้น ฉันก็สังเกตเห็นว่าเธอคอยเหลือบมองฉันอยู่เรื่อยๆ ทำไมล่ะ ฉันมีอะไรผิดปรกไปเหรอ ฉันก็พยายามซักเอาคำตอบ แต่เธอก็ไม่ได้ปริปากพูดเลย ฉันคิดว่าเธอยังคงโกรธเรื่องคราวนั้นที่ฉันไม่ได้เล่าให้เธอฟังล่ะมั้ง  

        

                   เหลือเวลาประมาณเกือบ ๑๐ นาทีก่อนที่จะได้เวลาเข้าบริษัท เฮ้อ ฉันมีเวลาเถลไถลกับเขาด้วยแฮะ ฉันรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน วันนี้รถไม่ติดเหรอ ก็ไม่ใช่ ฮ่าฮ่า แล้วฉันจะไปเดินเล่นที่ไหนดีล่ะ ฉันคิดพลางหัวเราะ ตั้งแต่ทำงานมา ๒-๓  ปีก็มีวันนี้แหละที่เพิ่งมาเร็ว อ้อ เว้นวันสัมภาษณ์ไว้วันหนึ่งนะ ไปเดินที่ที่จอดรถดีกว่า เผื่อจะดูว่านายภัทรนั่นมารึยัง แต่ยังเดินไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงโทรศัพท์ตัวดีก็ดังขึ้น อ้าว คุณเชษฐานี่เอง ว่าไงล่ะ เอ๋ เขาชวนไปทานข้าวเย็น วันนี้เหรอ ได้อยู่แล้ว ฉันรับปากไป พอฉันกดวางสาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาที่ลานจอดรถ รู้เลยว่าเป็นนายภัทร ฉันยืนรอเขาจนเขาจอดรถเรียบร้อย

        

                    แต่เขาเดินผ่านจุดที่ฉันยืนคอยอยู่โดยไม่ทักทาย ฉันเลยพูดเหน็บเขาเข้า



                    “แหมๆ เดี๋ยวนี้คุณผู้ช่วยเขาหยิ่งแฮะ เจอหน้าคนรู้จักไม่ยักกะทัก แถมเมื่อวานดิฉันก็อุตส่าห์ถ่างตารอ หวังว่าใครสักคนจะโทรมาบอกสักคำสองคำว่ากลับถึงบ้านแล้ว ก็ไม่ยักจะมีแฮะ” ฉันพูดกึ่งประชด แล้วก็เดินไปกดลิฟต์ถี่ๆด้วยความโมโห เขาเดินตามมาเงียบๆเหมือนกับทำหูทวนลม ทำเป็นไม่ได้ยินที่ฉันพูดประชดเข้าเมื่อกี้ ว้าว โชคดี ในลิฟต์ไม่มีคนเลยแฮะ

        

                    ฉันเข้าลิฟต์ไปแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับเป็นนายภัทรนั่นที่พูดจาแดกดันก่อน



                    “ไอผมก็ยังฟังไม่ค่อยจะถนัดเลยว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ว่าจะถามย้ำให้แน่ใจ ก็ดันตัดสายไปซะได้ พอเจอหน้ากันได้ไม่ทันไรก็จะวานหาเรื่องชวนทะเลาะอีกแน่ะ ไม่รู้นะว่าเพราะผมผิดหรือว่าเธอต้องการหาเรื่องกันแน่” ฉันหน้าแดงด้วยความโกรธ ทำไมเขาถึงเป็นคนอย่างนี้นะ ทั้งๆที่ฉันคิดว่าเขาจะเป็นคนดี ฉันก้มหน้าลงพื้นอย่างไร้ความหมาย แต่น้ำตาเจ้ากรรมนี่สิ มันทำท่าว่าจะไหลออกมาซะให้ได้ ฉันเลยเอาหลังมือปาดน้ำตาออกแล้วหันหลังให้เขา ส่วยระพีภัทรก็รู้สึกแปลกใจที่หญิงสาวไม่โต้เถียงเขา กลับยืนหันหลังแล้วก้มหน้าอีกต่างหาก เขาเริ่มใจไม่ดี ก็พอดีที่ลิฟต์เปิด หญิงสาวจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบวิ่งตามไปคว้าต้นแขนไว้ได้ทัน หญิงสาวหันหน้ามาจะต่อว่า



                     “นาย…” ก็พอดีกลับที่น้ำตาไหลออกมา หญิงสาวรีบเบือนหน้าหนี เธอไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มตาค้างด้วยความตกใจ ก็พอดีกับที่มารี เพื่อนของดาราเดินออกมาจากห้องทำงานรวม หญิงสาวสะบัดแขนออกจากมือที่หยาบกร้านของชายหนุ่ม แล้วหันหลังไปเช็ดน้ำตา แล้วเธอก็เดินผ่านชายหนุ่มไปโดยไม่หันมามองเลย

        

                     ฉันทักมารีด้วยเสียงสั่นๆ แต่เธอไม่ทันได้สังเกตเท่าไรนัก เพราะฉันพูดขณะวิ่งไปที่โต๊ะ พอถึงที่โต๊ะแล้ว ฉันก็รีบนั่งแล้วตั้งใจทำงาน คิดอยู่ว่าถ้าตั้งใจคิดเรื่องอื่นแล้วเรื่องที่ไม่สบายใจก็จะลืมนึกลืมคิดไปเอง



                     “คุณดารา” เสียงที่ปรกติห้วน แข็งกระด้าง แต่บัดนี้เสียงกลับอ่อนนุ่ม มีความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม



                     “มีอะไรหรือคะ” ฉันหันไปถาม ทำหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำหน้าแปลกใจแต่ก็มองเสียแทบไม่ออก เพราะมันเป็นเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น เสี้ยววินาทีที่เขามีแววตาที่ตกใจก่อนจะกลับเป็นแววตาแบบเดิม เต็มไปด้วยความคมกริบ และเดาใจไม่ถูก



                     “อ้อ เมื่อกี้เหมือนว่าเห็นคุณร้องไห้” เขาพูดเสียงเนิบๆตามแบบฉบับ



                     “ดิฉันจำไม่เห็นได้ว่าไปร้องไห้ที่ไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณคงตาฝาดไปละมั้งคะ บางทีแสงไฟอาจะต้องกระทบหน้าก็ได้นะคะ” ฉันตอบไปข้างๆคูๆ มันฟังไม่ขึ้นก็จริง แต่เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเขา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างไปจากโต๊ะของฉันเท่าไรนัก



                     “คุณดาราครับ ผมรบกวนคุณหน่อยจะได้มั้ยครับ” พนักงานในบริษัทคนหนึ่งเข้ามาทักขนาดที่ฉันนั่งเรียบเรียงบทสัมภาษณ์



                     “คะ มีอะไรหรือคะ” ฉันลดแว่นกรอบเงินเล็กๆ พร้อมกับเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ เขาเป็นชายหนุ่ม อายุค่อนข้างน้อย ผมถูกหวีเรียบแปล้ติดหนังศีรษะอย่างเป็นระเบียบ จนถึงไทที่จัดเข้ารูปอย่างไม่มีที่ติ ฉันพิจารณามองดูเขาไป ขณะเหลือบตามองบทความอยู่เป็นระยะๆ

        

                     “คือ…..ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวกลางวันด้วยกันน่ะครับ” เขาพูดด้วยเสียงเบาๆ คงจะเกรงว่าคนอื่นจะได้ยินกระมัง มันน่าแปลกประหลาดใจที่สุด ฉันทำงานที่นี่มาตั้งนาน เขาก็เพิ่งเข้ามาได้เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน  เราไม่เคยรู้จักกันในฐานะอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้อยู่ในแผนกเดียวกันแล้วก็ไม่เคยทักทายกันด้วยซ้ำไป



                     “จะดีหรือคะ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร” ฉันพูดไปอย่างไม่ไว้หน้า ก็เราไม่รู้จักกันนี่นา จะให้ตอบตกลงไปงั้นรึ ไม่มีทางหรอก ฉันสังเกตดูท่าทีของเขาอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ เขาทำแววตาละห้อยต่ำก่อนจะพูดเบาๆว่า



                     “ผมขอโทษที่รบกวนเวลางานของคุณครับ” สิ้นเสียง ร่างผอมแห้งก็เดินคอตกกลับโต๊ะไป ฉันยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เฮ้อ เบื่อจริงๆ ฉันถอนหายใจ กี่โมงแล้วล่ะ ว้า ๑๒.๓๐ น. แล้ว ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนี่นา คิดได้ดังนั้นก็จัดแจงเก็บเอกสารวางไว้บนโต๊ะบ้าง ในลิ้นชักบ้าง ที่ไว้บนโต๊ะก็หาที่ทับกระดาษมาทับไว้ไม่ให้มันปลิวกลายเป็นผลงานของคนอื่นไปได้ ที่ไว้ในลิ้นชักก็ล็อกกุญแจปิดเรียบร้อย เอาล่ะ หลังจากนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าถือแล้วเดินออกจากห้องทำงานไปที่โรงอาหาร



        ที่โรงอาหารคนยังค่อนข้างแน่นอยู่ ฉันจึงนั่งรออยู่ข้างนอกอีกร่วม ๑๐ นาที คนถึงได้ซาลง แล้วฉันก็เดินไปสั่งอาหารที่น่าเบื่อแสนเบื่อ ฉันเป็นคนทานอาหารได้ไม่หลากหลายรสชาติ ฉันจึงทานอาหารได้ไม่กี่อย่าง คนขายก็คงไม่รู้จะเอาใจฉันยังไงแล้วล่ะ ฉันนี่เรื่องมากไปมั้ย



        ซื้ออาหารเสร็จแล้วก็ต้องเดินไปหาโต๊ะนั่ง เอ แล้วจะนั่งที่ไหนดีล่ะ อ้อ ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่คนเดียว ฉันคงจะขอร่วมโต๊ะกับเขาได้นะ



                     “เอ่อ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่า” ฉันถามไปในขณะที่เขากำลังนั่งหันหลังให้ฉันอยู่ เขาค่อยๆหันหน้ามา ว้าย คุณภัทรนี่ โชคไม่ดีเอาเสียเลย ฉันคิด ก่อนจะแอบเหลือบมองคำอนุญาต เมื่อเขาพยักหน้าฉันก็วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ แล้วไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของเขา นี่เขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับใครหรือเนี่ย ถึงได้มานั่งคนเดียว



                    ระหว่างที่ทานอาหารนั้น ฉันก็คอยก้มหน้าไม่มองหน้าเขาตลอดเวลา ไม่รู้สิ ก็ไม่อยากมองนี่ ก็เลยไม่มอง แล้วเขาก็ไม่ยอมลุกจากโต๊ะไปสักที ทีแรกก็ลุกไปเก็บจาน จากนั้นก็เดินถือถ้วยไอศกรีมเข้ามา แล้วก็นั่งกินช้าๆ ราวกับว่าอยากจะให้มันละลายไปเฉยๆอย่างงั้นแหละ พอกลับจากไปเก็บถ้วยไอศกรีม ทีนี้ก็ซื้อทับทิมกรอบมากินอีก นี่เขาไม่รู้จักคำว่าอิ่มรึไงกันนะ กินเอาๆ พยาธิมันอยู่ในท้องเรอะ คันปากอยากจะถาม แต่มันไม่มีมารยาท บ่อยครั้งที่เดี๋ยวนี้ต้องทำสมาธิ ตั้งจิตใจให้นึกถึงสมบัติผู้ดีเข้าไว้ พอฉันอิ่มเขาก็พูดเหมือนจะอุทานให้ฉันได้ยินออกมาว่า อิ่มแล้ว อร่อยจัง พอฉันลุกเขาก็ลุกไปเก็บจานชามพร้อมๆกัน แล้วฉันก็รีบเดินกึ่งวิ่งมากดลิฟต์ ในขณะที่ฉันเกือบจะวิ่งเขาแค่สาวเท้ายาวๆมาก็ทันฉันซะแล้ว โธ่ นี่เขาแกล้งฉันเหรอ



                     “อาหารอร่อยมั้ย ทำหน้าตาพะอืดพะอมอย่างนั้นน่ะกินอร่อยเหรอ แล้วที่ทานไปเมื่อกี้น่ะอิ่มเหรอ ข้าวลดยังไม่ถึงครึ่งจาน” คุณระพีภัทรถามขณะอยู่ในลิฟต์ ฉันพยักหน้าด้วยความเคยชินแทนการใช้ปากตอบโต้กับเขา



                     “อ้าว ทำไมไม่ตอบล่ะ รึว่าไม่ชอบใจอะไรอีก ปวดท้อง ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” คุณระพีภัทรถามอีก คราวนี้มาเป็นชุด ฉันจึงส่ายหน้าก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง



                     “เอ๊ะ โกรธเหรอ ทำไมล่ะ เมื่อเช้าเรายัง…..” คุณระพีภัทรพูดหยุดไว้แค่นั้น เพราะฉันแทรกเข้าไปว่า



                     “เมื่อเช้าอะไร คุณทำเป็นไม่สนใจดิฉัน แล้วตอนนี้จะมาทำอะไรฮึ ดิฉันน่ะไม่ใช่พวกสาววัยรุ่นพรรค์นั้นหรอกนะ ที่โกรธง่ายหายยากน่ะ ดิฉันไม่ได้สนใจเลยซักนิดว่าคุณจะทักดิฉันรึไม่เลยซักนิด  แต่ถ้าคุณมีสายตาที่กว้างไกลซักหน่อย คุณก็คงจะพอรู้ได้ว่าที่ดิฉันหยุดยืนรอเมื่อเช้านี้ตรงลิฟต์ที่ลานจอดรถนั้น ดิฉันรอใคร แล้วเมื่อกี้ที่ดิฉันทานข้าวไม่ค่อยลงก็เพราะคุณนั่นแหละ คุณน่ะแกล้งดิฉันใช่มั้ย คอยซื้อนู้นซื้อนี่อยู่ตลอดเวลาจนน่ารำคาญ เป็นใครเขาก็กินกันไม่ลงทั้งนั้นน่ะแหละถ้าเกิดมีใครมานั่งจ้องเวลากินข้าวน่ะ” ฉันสะบัดเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว



                      “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่าทำให้คุณรำคาญ” เสียงของเขาแผ่วลง



                      “เอาเถอะ ก็ในเมื่อคุณก็ยอมขอโทษแล้ว ดิฉันจะหายโกรธคุณก็ได้” ฉันตอบอย่างวางตัว



                      “นี่ไง ยอมรับว่าโกรธแล้ว” คุณระพีภัทรบอก หรี่ตาลงอย่างมีความหมาย



                      “คุณนี่…..” ฉันอ้าปากจะเถียง แต่เขาก็ขัดคอมา



                      “อ้าว คราวนี้จะมาโกรธผมอีกไม่ได้นะ ก็คุณเองน่ะแหละที่พูดออกมาเอง ผมไปบังคับฝืนใจคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คุณระพีภัทรบอก ก็พอดีที่ลิฟต์ถึงชั้น ๑๒ เขารีบก้าวออกจากลิฟต์ ฉันจึงเดินตามออกมาทีหลัง



                      “บ้าบ้าบ้า คุณระพีภัทรเนี่ย…” ฉันบ่นพึมพำด้วยความเถียงไม่ออก ก่อนจะเดินทอดน่องไปทำงานต่อจนเลิก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×