ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ความหมายที่เพื่อนเข้าใจกับความเป็นจริงในใจ
                เช้าวันพฤหัส ฉันยังง่วงนอนอยู่เมื่อถูกลิปลุกให้ตื่น แล้วก็งัวเงียลงไปทานข้าวเช้าโดยมียายลิประคองราวกับคนเมาไปยังโต๊ะอาหาร
   
                ราว ๘ โมง ลิก็พาไปที่บริษัท แถมยังขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนฉันเสียตั้งสองชั่วโมง เมื่อมารีมาทำงานตอนเก้าโมงครึ่ง ฉันเห็นมารีทำหน้าประหลาดใจว่าลิคือใคร ฉันจึงแนะนำให้เรียบร้อย เมื่อทั้งสองรู้จักกันแล้วก็คุยกันว่าถึงฉันต่างๆนานา จนฉันหมั่นไส้ เลยไปนั่งหลบมุมกินกาแฟด้วยไม่อยากฟังเรื่องซุบซิบนินทาที่เกี่ยวกับตัวฉันเองให้น่าหัวร่อเอา
   
                แต่สักพักต่อมาเมื่อฉันเพิ่งจะดื่มชาไปได้นิดหน่อยพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวประจำวัน คุณระพีภัทรก็เข้ามาร่วมวงด้วย
                “สวัสดีครับ คุณดารา” เขาทัก แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะพยักหน้าให้ไปงั้นๆ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าว
                “ดาว ฉันจะกลับแล้วล่ะ บายนะ” ลิร้องมาจากโต๊ะมารีที่ติดอยู่กับโต๊ะฉัน ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านไปได้อย่างค้างๆคาๆ แล้วหล่อนก็เหลือบมองคุณระพีภัทรก่อนจะส่งสายตาแปลกๆให้ฉัน แล้วหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับมารีก่อนจะหันมายิ้มกับฉันอีกครั้งแล้วออกไปจากห้องทำงานรวม
                “บ้าบ้า นี่คงจะตีความหมายเองไปคนเดียวอีกแล้วซีเนี่ย บ้าจัง” ดาราได้มีโอกาสค้อนเพื่อนก่อนที่หล่อนจะนั่งจิบกาแฟต่อ
                “คุณดารา” เสียงจากร่างที่นั่งตรงข้ามดังมา ค่อนข้างหวานและอ่อนระรื่นหู
                “คะ” ฉันถามไปทั้งๆที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ไม่ได้สังเกตจากน้ำเสียงที่แผกไปจากเดิม
                “วันนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหม” เขาถาม อย่างไรเสียดาราก็ยังไม่ยอมละสายตาขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์
                “ไม่รบกวนหรอกค่ะ ดิฉันยังมีงานเหลืออยู่อีก” ฉันตอบไปอย่างไม่สนใจ หาข้ออ้างไปงั้นแหละ
                “คือผมจะถามเรื่องพี่เดือนของคุณน่ะ ขอเวลาสักชั่วโมงสองชั่วโมงไม่ได้หรือ” เขาถามอย่างเป็นกังวล คราวนี้หล่อนจึงละสายตาแล้วหันไปสบนัยน์ตาเข้มคมกริบที่จ้องมาอยู่ก่อน
                “ได้ค่ะ อย่างไรเสียคุณก็คงจะหาข้ออ้างอื่นมาถ้าดิฉันยังไม่ยอมไป สู้ไปเสียตั้งแต่มันยังเป็นเรื่องของคนอื่นดีกว่า” ฉันตอบไปอย่างนึกรำคาญ เขายิ้มออกมาเบาๆอย่างขันๆ หล่อนจึงค้อนให้วงใหญ่
                “ขอบคุณที่ให้เกียรติค่ะ” หล่อนพูดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะลุกไปทิ้งแก้วกระดาษที่ภายในยังเหลือกาแฟที่เย็นชืดอีกกว่าครึ่ง แล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานประจำตัวของหล่อน ซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะของมารี เพื่อนทำงานที่มีฝีมือพอกัน โดยหารู้ไม่ว่ามีชายหนุ่มหลายคนแอบฟังการสนทนาเมื่อครู่อย่างจงใจ และสายตาคมกริบซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของใครคนนั้นก็มองส่งร่างบางระหงที่เดินเนือยๆเข้าที่ประจำของหล่อน
                “ลิจ๋า วันนี้ไม่ต้องมารับนะ อือ ก็ เดี๋ยวมีคนไปส่ง น่ะ เอาน่า แค่นี้ล่ะ” ดาราโทรไปหาเพื่อนสาวของหล่อนเพื่อบอกว่าไม่ต้องมารับในตอนเย็น ทั้งๆที่ไม่ได้บอกอะไรมากแต่ก็ยังไม่วายถูกกระเซ้ามาด้วยเรื่องของ ‘คนเมื่อเช้า’ จึงรีบตัดบทวางหูทันที
                เมื่อตกเย็น คุณระพีภัทรก็พาฉันไปทานข้าวเย็น.ด้วยตามที่ชวนไว้ เป็นร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่ระหว่างทางกลับบ้านของฉัน ซึ่งมันก็สะดวกดีที่จะมาทานใกล้บ้าน เมื่อทานเสร็จจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลๆในเวลามืดๆและช่วงเวลาที่รถติดอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เขาใช้รถจักรยานยนต์อยู่แล้ว เรื่องรถติดไม่น่าจะเป็นปัญหา เว้นเสียแต่ว่าไฟจราจรในวันนั้นมันจะเสียขึ้นพร้อมๆกันก็เท่านั้นเอง
 
                  “ผมคิดว่าคุณคงทานอาหารที่ผมสั่งได้นะ” เขาถามหลังจากเงยหน้าขึ้นจากหนังสือรายการอาหารที่ได้กันคนละเล่มจากพนักงาน เชอะ สั่งเองเสียหมดอย่างนั้นแล้วจะให้ฉันตอบว่ายังไงยะ บ้าจริง ฉันจึงพยักหน้าไปงั้นๆ แล้วทำตาขวางใส่ แต่เขาก็หันไปมองรอบๆร้านอยู่ได้ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ฉันคิดในใจอย่างเหลืออด
                  “คุณว่ามีเรื่องอะไรล่ะ ถามมาเลยซี ดิฉันขี้เกียจตอบคุณตอนกำลังทานข้าวหรือตอนกำลังอิ่มๆ” ฉันเอ่ยขึ้นไป เขารีบหันขวับมาทันที ฉันซึ่งยังทำตาขวางอยู่จ้องตอบไปอย่างหาเรื่อง
                  “คร้าบๆ ตามประสงค์ครับผม คุณพอจะมีบัตรเข้างานเปิดตัวละครเวทีเรื่องใหม่ของคุณเดือนจรัสไหม” เขาถาม ฮึ งั้นพูดที่ทำงานก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องชวนมาถึงร้านอาหารเลย สิ้นเปลืองไม่เข้าท่า
                  “ดิฉันน่ะมีแน่ค่ะ คุณนี่ไม่พยายามเลยนะคะ ของอย่างนี้จะไปขอจากคนอื่นได้ยังไงคะ ประหลาดดีจัง” ฉันตอบไปอย่างหมั่นไส้ ก็จริงๆนี่นา ของอย่างนี้จะมาพึ่งคนอื่นได้ไง ถ้าเป็นแฟนละครตัวจริงก็ควรจะหาได้ง่ายๆ ไม่ใช่มาขอเอาอย่างนี้...แต่เขาก็ยังไม่ได้ขอเลยนี่นา
                  “ก็ผมไม่ได้รับเชิญจากเจ้าของงานนี่ครับ ขอร้องเถอะครับ ให้ผมไปเป็นคู่ของคุณได้มั้ย” เขาบอกอย่างเศร้าๆ ก่อนจะถามความเห็นฉันอีกครั้ง
                  “ดิฉันมีคนที่จะไปด้วยแล้วค่ะ แต่ เอ  ดิฉันจะลองถามเขาดูให้นะคะเพราะคิดว่าเขาก็คงจะมีบัตร เพราะงั้นเดี๋ยวดิฉันเอาของดิฉันให้คุณก็ได้” ฉันบอกอย่างใจดี ก็เขาน่าสงสารนี่นาทั้งๆที่อยากไปแต่ก็โดนแกล้ง เออ แล้วใครกันนะที่เขาบอกว่าไม่ยอมให้บัตรน่ะ
                    “แล้วใครกันคะที่ไม่ให้บัตรคุณน่ะ คุณธีระหรือ”ฉันถามด้วยความแปลกใจ เขาพยักหน้าทั้งๆที่ตาเสมองไปทางอื่น ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจเขาอีก ลุกถือกระเป๋าไปที่อื่นเสีย
                    ฉันโทรศัพท์ไปหาคุณเชษฐา เมื่อมีคนรับจึงพูดขึ้นว่า
                    “ขอสายคุณเชษฐาค่ะ คุณเชษฐาหรือคะ ดิฉันดารา ค่ะ คืออยากจะถามเรื่องงานเวทีของพี่เดือน คุณเชษฐามีบัตรใช่ไหมคะ งั้นดิฉันจะได้ยกบัตรให้กับคนที่ไม่มีไปเสีย อ๋อ ไม่ต้องรับมาเผื่อดิฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปรับเอง เพราะถ้าคุณเชษฐาไปรับแล้วดิฉันไม่ค่อยสะดวกที่จะไปหาคุณเชษฐา แต่ถ้าให้ดิฉันไปเอาที่โรงละครเองเลยล่ะก็ได้ค่ะหรือบางทีดิฉันอาจจะให้คนที่ขอบัตรไปเอาเองเลยก็ได้ ดิฉันจะได้ไม่เสียเวลา” ฉันคุยจ้อกับอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน จนลืมไปว่ามีอีกคนกำลังรอรับประทานอาหาร
                    “ดิฉันต้องขอวางก่อนล่ะค่ะ มีคนรอทานข้าวอยู่ แค่นี้นะคะคุณเชษฐา” ฉันบอก แต่เสียงเขารั้งมาอย่างอ่อนหวาน “รอประเดี๋ยวครับคุณดาว ผมอยากจะทราบจริงๆว่าคนที่ขอบัตรคุณนี่ใช่คุณระพีภัทรรึเปล่า” เขาถามมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะอะไรไม่ทราบ ปากมันพูดออกไปว่า ‘ไม่ใช่’ ออกไป เขาก็หัวเราะอย่างพอใจในลำคอแล้วตัดสายไป
                    แล้วฉันก็เดินไปยังโต๊ะซึ่งมีเขา ‘ที่ไม่ชอบขี้หน้า’ นั่งอยู่  เมื่อไปถึง ใบหน้าเขาก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มซึ่งเป็นยิ้มที่น่าดู ไม่เหมือนปกติที่มักจะ ‘ยิ้มเยาะ’ เสียมากกว่า ฉันเผลอยิ้มตอบไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้ม ‘พิมพ์ใจ’ นั้นกลายเป็น ‘ยิ้มเยาะ’ อย่างเดิม
                    “ฉันโทรไปหาคุณเชษ เอ้อ เขาแล้วล่ะ เขาบอกว่าได้ค่ะ ยังไงคุณก็ไปรับบัตรของฉันได้เลยนะคะ ไปพรุ่งนี้เลยก็ได้ แต่ต้องไปรับเป็นชื่อฉันนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรไปบอกพี่เดือนให้ เพราะงั้นคุณไม่ต้องกลัวเรื่องคุณธีระอีก” ดาราเผลอหลุดชื่อที่ไม่ประสงค์ออกนาม แต่ก็พูดต่อไปตามน้ำได้ แล้วก็รอแค่อีกฝ่ายถามหรือพูดอะไรมาอีกเท่านั้น
                    แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นวาวขึ้นอย่างน่าประหลาด มันเกิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับเป็นแววตาคมกริบเช่นเดิม อีกฝ่ายจึงไม่ทันเห็นแววตาน่าพิศวงนั้น
                    “คุณไปกับคุณเชษฐาหรือครับ” เขาถามเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย แต่หางเสียงยังคงปล่อยให้เนิบๆไปตามฉบับของเขาอยู่ ดาราจึงไม่ทันได้ยินหรือจับผิดได้
                    “เอ้อ ก็งั้นมั้งคะ” หล่อนตอบไม่เต็มเสียง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด     
                    “ถึงไม่ยอมไปกับผม” เขาถามมาอีก ตาเสมองผ่านดาราไปด้านหลัง
                    “ก็เขาชวนดิฉันก่อนนี่คะ จะให้ดิฉันปฏิเสธทั้งๆที่ไม่มีใครมาชวนอย่างนั้นหรือ” ดาราตอบไปเสียงขุ่น
                    “นั่น พี่คุณรึเปล่า” เขาถาม ฉันรีบหันไปตาม เห็นพี่เดือนกำลังจะนั่งเก้าอี้ ส่วนคนข้างๆก็คือ คุณธีระนั่นเอง
                    “ฉันขอตัวไปหาพี่ก่อนนะคะ” ฉันบอกแล้วลุกไปก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร
                      “พี่เดือน” ฉันเรียกเมื่อเดินไปถึงโต๊ะ พี่เดือนและคุณธีระหันมาตามเสียงเรียกเบาๆของฉัน
                      “อ้าว ดาว มาทานข้าวที่นี่หรือจ๊ะ พี่ก็มาทานกับคุณธีระน่ะ แล้วเราน่ะมากับใครน่ะ” พี่เดือนทักตอบแล้วก็ตั้งคำถามเป็นชุด
                    “ค่ะ มาทานที่นี่แหละ มาทานกับคุณระพีภัทร ที่ตอนนั้นเคยไปที่โรงละครด้วยกันน่ะค่ะ” ฉันอธิบาย พี่เดือนทำหน้าเจื่อนไปนิดก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ฉัน ทำไมพี่เดือนถึงทำหน้าแบบนี้นะ แล้วฉันก็ไหว้คุณธีระ คุณธีระก็ยิ้มให้แล้วพูดขึ้นว่า
                      “ผมก็นึกว่าจะไม่ได้รับไหว้คุณดาราเสียแล้วนะครับ” เขาพูดติดตลก ทำเอาพี่เดือนที่หน้าเจื่อนไปกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม
                      “แหม คุณธีระนี่ล่ะก็ ไปนั่งด้วยกันกับดาวซีคะ เชิญทั้งคุณธีระแล้วก็พี่เดือนด้วย” ฉันค้อนให้ แล้วก็ชวนทั้งสองคนไปทานข้าวด้วยกัน
                      “ไม่รบกวนหรอกจ๊ะ พี่ก็สั่งอาหารแล้ว เออ ดาว วันนี้พี่จะไปนอนกับเรานะ” พี่เดือนปฏิเสธอย่างทันควัน ก่อนจะบอกต่อว่าจะไปค้างด้วย
                      “ได้ค่ะ งั้นดาวไปนะ” ฉันบอกแล้วปลีกตัวออกมา ตอนแรกตั้งใจว่าจะบอกเรื่องที่พรุ่งนี้จะไปรับพี่ถนอม แต่คิดดูอีกที นี่ต่อหน้าคุณธีระ ไว้มีอะไรค่อยไปพูดที่บ้านก็ได้
                      ดังนั้นฉันจึงเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง พอดีอาหารมาเราทั้งสองคนจึงทานกันอย่างเงียบๆ มีบางครั้งที่คุณระพีภัทรตักอาหารให้ฉัน ตั้งแต่ฉันกลับมาจากโต๊ะพี่เดือน ดูเขาจะไม่พูดกับฉันอีกเลย แล้วเมื่อทานข้าวเสร็จ เขาก็พาฉันไปส่งถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แล้วดูเหมือนว่าเขาจะซิ่งยิ่งกว่าปรกติเลยด้วยแน่ะ
                      “คุณจะรีบไปไหนกันคะ” ฉันรีบต่อว่าเมื่อเท้าได้สัมผัสกับพื้นดิน
   
                      “เปล่า” เขาตอบเพียงสั้นๆแล้วก็ทำท่าว่าจะใส่หมวกกันน็อกอีก
   
                      “จะกลับแล้วหรือคะ” ฉันถามไปตามที่รู้สึก ไม่รู้ทำไมถึงได้ถามอย่างนี้ออกไปเหมือนกัน
                      \"ก็ ยังไงคุณก็ไม่ได้อยากให้ผมอยู่ไม่ใช่หรือ” เขาถามหลังจากเมินหน้าหนีไป
                      “สวัสดีค่ะ” ฉันตัดบทเสียงดัง ไม่ยอมตอบคำถามของเขา กลับครึ่งเดินครึ่งวิ่งขึ้นตึกไป
                      “บ้า ถามอะไรน่าอายอย่างนั้นออกมาได้ยังไง เราไม่ได้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองกันซักหน่อย มาถามอย่างกับเป็นคู่รักงั้นแหละ บ้าบ้า คนอะไรก็ไม่รุ” ดาราคิดกึ่งอายกึ่งโกรธ ขณะรีบควานหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋าถือใบใหญ่ แล้วไขเข้าไปในห้อง ไม่นานพี่เดือนก็กดกริ่ง ฉันรีบไปเปิดประตูให้ พบคุณธีระขึ้นมาส่งพี่เดือนถึงหน้าห้อง ฉันจึงไหว้คุณธีระอีกรอบ แล้วเขาก็บอกลา ฉันและพี่เดือนจึงยกมือไหว้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ต่างคนก็ต่างมองส่งร่างสูงของคุณธีระจนลับมุมไป
                      “ดาว พรุ่งนี้ปลุกพี่ด้วยได้มั้ย” พี่เดือนถาม หลังจากเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่น
                      “ได้ซีคะ กี่โมงล่ะ” ฉันตอบแล้วถามต่อ
                      “๙.๐๐ น. ได้ไหม พรุ่งนี้พี่ไม่รีบ” พี่เดือนถามมาอีก
                      “อือ เดี๋ยวปลุกให้ค่ะ พรุ่งนี้จะทานอะไรคะ” ฉันตกลงกับพี่ดาวเรียบร้อยแล้วถามเรื่องอาหาร
                      “อะไรก็ได้ ทำมาเถอะ ฮ้าว ง่วงจัง พี่ไปนอนก่อนล่ะ” พี่เดือนบอก แล้วลุกจากไป
   
                ราว ๘ โมง ลิก็พาไปที่บริษัท แถมยังขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนฉันเสียตั้งสองชั่วโมง เมื่อมารีมาทำงานตอนเก้าโมงครึ่ง ฉันเห็นมารีทำหน้าประหลาดใจว่าลิคือใคร ฉันจึงแนะนำให้เรียบร้อย เมื่อทั้งสองรู้จักกันแล้วก็คุยกันว่าถึงฉันต่างๆนานา จนฉันหมั่นไส้ เลยไปนั่งหลบมุมกินกาแฟด้วยไม่อยากฟังเรื่องซุบซิบนินทาที่เกี่ยวกับตัวฉันเองให้น่าหัวร่อเอา
   
                แต่สักพักต่อมาเมื่อฉันเพิ่งจะดื่มชาไปได้นิดหน่อยพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวประจำวัน คุณระพีภัทรก็เข้ามาร่วมวงด้วย
                “สวัสดีครับ คุณดารา” เขาทัก แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะพยักหน้าให้ไปงั้นๆ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าว
                “ดาว ฉันจะกลับแล้วล่ะ บายนะ” ลิร้องมาจากโต๊ะมารีที่ติดอยู่กับโต๊ะฉัน ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านไปได้อย่างค้างๆคาๆ แล้วหล่อนก็เหลือบมองคุณระพีภัทรก่อนจะส่งสายตาแปลกๆให้ฉัน แล้วหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับมารีก่อนจะหันมายิ้มกับฉันอีกครั้งแล้วออกไปจากห้องทำงานรวม
                “บ้าบ้า นี่คงจะตีความหมายเองไปคนเดียวอีกแล้วซีเนี่ย บ้าจัง” ดาราได้มีโอกาสค้อนเพื่อนก่อนที่หล่อนจะนั่งจิบกาแฟต่อ
                “คุณดารา” เสียงจากร่างที่นั่งตรงข้ามดังมา ค่อนข้างหวานและอ่อนระรื่นหู
                “คะ” ฉันถามไปทั้งๆที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ไม่ได้สังเกตจากน้ำเสียงที่แผกไปจากเดิม
                “วันนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหม” เขาถาม อย่างไรเสียดาราก็ยังไม่ยอมละสายตาขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์
                “ไม่รบกวนหรอกค่ะ ดิฉันยังมีงานเหลืออยู่อีก” ฉันตอบไปอย่างไม่สนใจ หาข้ออ้างไปงั้นแหละ
                “คือผมจะถามเรื่องพี่เดือนของคุณน่ะ ขอเวลาสักชั่วโมงสองชั่วโมงไม่ได้หรือ” เขาถามอย่างเป็นกังวล คราวนี้หล่อนจึงละสายตาแล้วหันไปสบนัยน์ตาเข้มคมกริบที่จ้องมาอยู่ก่อน
                “ได้ค่ะ อย่างไรเสียคุณก็คงจะหาข้ออ้างอื่นมาถ้าดิฉันยังไม่ยอมไป สู้ไปเสียตั้งแต่มันยังเป็นเรื่องของคนอื่นดีกว่า” ฉันตอบไปอย่างนึกรำคาญ เขายิ้มออกมาเบาๆอย่างขันๆ หล่อนจึงค้อนให้วงใหญ่
                “ขอบคุณที่ให้เกียรติค่ะ” หล่อนพูดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะลุกไปทิ้งแก้วกระดาษที่ภายในยังเหลือกาแฟที่เย็นชืดอีกกว่าครึ่ง แล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานประจำตัวของหล่อน ซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะของมารี เพื่อนทำงานที่มีฝีมือพอกัน โดยหารู้ไม่ว่ามีชายหนุ่มหลายคนแอบฟังการสนทนาเมื่อครู่อย่างจงใจ และสายตาคมกริบซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของใครคนนั้นก็มองส่งร่างบางระหงที่เดินเนือยๆเข้าที่ประจำของหล่อน
                “ลิจ๋า วันนี้ไม่ต้องมารับนะ อือ ก็ เดี๋ยวมีคนไปส่ง น่ะ เอาน่า แค่นี้ล่ะ” ดาราโทรไปหาเพื่อนสาวของหล่อนเพื่อบอกว่าไม่ต้องมารับในตอนเย็น ทั้งๆที่ไม่ได้บอกอะไรมากแต่ก็ยังไม่วายถูกกระเซ้ามาด้วยเรื่องของ ‘คนเมื่อเช้า’ จึงรีบตัดบทวางหูทันที
                เมื่อตกเย็น คุณระพีภัทรก็พาฉันไปทานข้าวเย็น.ด้วยตามที่ชวนไว้ เป็นร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่ระหว่างทางกลับบ้านของฉัน ซึ่งมันก็สะดวกดีที่จะมาทานใกล้บ้าน เมื่อทานเสร็จจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลๆในเวลามืดๆและช่วงเวลาที่รถติดอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เขาใช้รถจักรยานยนต์อยู่แล้ว เรื่องรถติดไม่น่าจะเป็นปัญหา เว้นเสียแต่ว่าไฟจราจรในวันนั้นมันจะเสียขึ้นพร้อมๆกันก็เท่านั้นเอง
 
                  “ผมคิดว่าคุณคงทานอาหารที่ผมสั่งได้นะ” เขาถามหลังจากเงยหน้าขึ้นจากหนังสือรายการอาหารที่ได้กันคนละเล่มจากพนักงาน เชอะ สั่งเองเสียหมดอย่างนั้นแล้วจะให้ฉันตอบว่ายังไงยะ บ้าจริง ฉันจึงพยักหน้าไปงั้นๆ แล้วทำตาขวางใส่ แต่เขาก็หันไปมองรอบๆร้านอยู่ได้ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ฉันคิดในใจอย่างเหลืออด
                  “คุณว่ามีเรื่องอะไรล่ะ ถามมาเลยซี ดิฉันขี้เกียจตอบคุณตอนกำลังทานข้าวหรือตอนกำลังอิ่มๆ” ฉันเอ่ยขึ้นไป เขารีบหันขวับมาทันที ฉันซึ่งยังทำตาขวางอยู่จ้องตอบไปอย่างหาเรื่อง
                  “คร้าบๆ ตามประสงค์ครับผม คุณพอจะมีบัตรเข้างานเปิดตัวละครเวทีเรื่องใหม่ของคุณเดือนจรัสไหม” เขาถาม ฮึ งั้นพูดที่ทำงานก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องชวนมาถึงร้านอาหารเลย สิ้นเปลืองไม่เข้าท่า
                  “ดิฉันน่ะมีแน่ค่ะ คุณนี่ไม่พยายามเลยนะคะ ของอย่างนี้จะไปขอจากคนอื่นได้ยังไงคะ ประหลาดดีจัง” ฉันตอบไปอย่างหมั่นไส้ ก็จริงๆนี่นา ของอย่างนี้จะมาพึ่งคนอื่นได้ไง ถ้าเป็นแฟนละครตัวจริงก็ควรจะหาได้ง่ายๆ ไม่ใช่มาขอเอาอย่างนี้...แต่เขาก็ยังไม่ได้ขอเลยนี่นา
                  “ก็ผมไม่ได้รับเชิญจากเจ้าของงานนี่ครับ ขอร้องเถอะครับ ให้ผมไปเป็นคู่ของคุณได้มั้ย” เขาบอกอย่างเศร้าๆ ก่อนจะถามความเห็นฉันอีกครั้ง
                  “ดิฉันมีคนที่จะไปด้วยแล้วค่ะ แต่ เอ  ดิฉันจะลองถามเขาดูให้นะคะเพราะคิดว่าเขาก็คงจะมีบัตร เพราะงั้นเดี๋ยวดิฉันเอาของดิฉันให้คุณก็ได้” ฉันบอกอย่างใจดี ก็เขาน่าสงสารนี่นาทั้งๆที่อยากไปแต่ก็โดนแกล้ง เออ แล้วใครกันนะที่เขาบอกว่าไม่ยอมให้บัตรน่ะ
                    “แล้วใครกันคะที่ไม่ให้บัตรคุณน่ะ คุณธีระหรือ”ฉันถามด้วยความแปลกใจ เขาพยักหน้าทั้งๆที่ตาเสมองไปทางอื่น ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจเขาอีก ลุกถือกระเป๋าไปที่อื่นเสีย
                    ฉันโทรศัพท์ไปหาคุณเชษฐา เมื่อมีคนรับจึงพูดขึ้นว่า
                    “ขอสายคุณเชษฐาค่ะ คุณเชษฐาหรือคะ ดิฉันดารา ค่ะ คืออยากจะถามเรื่องงานเวทีของพี่เดือน คุณเชษฐามีบัตรใช่ไหมคะ งั้นดิฉันจะได้ยกบัตรให้กับคนที่ไม่มีไปเสีย อ๋อ ไม่ต้องรับมาเผื่อดิฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปรับเอง เพราะถ้าคุณเชษฐาไปรับแล้วดิฉันไม่ค่อยสะดวกที่จะไปหาคุณเชษฐา แต่ถ้าให้ดิฉันไปเอาที่โรงละครเองเลยล่ะก็ได้ค่ะหรือบางทีดิฉันอาจจะให้คนที่ขอบัตรไปเอาเองเลยก็ได้ ดิฉันจะได้ไม่เสียเวลา” ฉันคุยจ้อกับอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน จนลืมไปว่ามีอีกคนกำลังรอรับประทานอาหาร
                    “ดิฉันต้องขอวางก่อนล่ะค่ะ มีคนรอทานข้าวอยู่ แค่นี้นะคะคุณเชษฐา” ฉันบอก แต่เสียงเขารั้งมาอย่างอ่อนหวาน “รอประเดี๋ยวครับคุณดาว ผมอยากจะทราบจริงๆว่าคนที่ขอบัตรคุณนี่ใช่คุณระพีภัทรรึเปล่า” เขาถามมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะอะไรไม่ทราบ ปากมันพูดออกไปว่า ‘ไม่ใช่’ ออกไป เขาก็หัวเราะอย่างพอใจในลำคอแล้วตัดสายไป
                    แล้วฉันก็เดินไปยังโต๊ะซึ่งมีเขา ‘ที่ไม่ชอบขี้หน้า’ นั่งอยู่  เมื่อไปถึง ใบหน้าเขาก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มซึ่งเป็นยิ้มที่น่าดู ไม่เหมือนปกติที่มักจะ ‘ยิ้มเยาะ’ เสียมากกว่า ฉันเผลอยิ้มตอบไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้ม ‘พิมพ์ใจ’ นั้นกลายเป็น ‘ยิ้มเยาะ’ อย่างเดิม
                    “ฉันโทรไปหาคุณเชษ เอ้อ เขาแล้วล่ะ เขาบอกว่าได้ค่ะ ยังไงคุณก็ไปรับบัตรของฉันได้เลยนะคะ ไปพรุ่งนี้เลยก็ได้ แต่ต้องไปรับเป็นชื่อฉันนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรไปบอกพี่เดือนให้ เพราะงั้นคุณไม่ต้องกลัวเรื่องคุณธีระอีก” ดาราเผลอหลุดชื่อที่ไม่ประสงค์ออกนาม แต่ก็พูดต่อไปตามน้ำได้ แล้วก็รอแค่อีกฝ่ายถามหรือพูดอะไรมาอีกเท่านั้น
                    แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นวาวขึ้นอย่างน่าประหลาด มันเกิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับเป็นแววตาคมกริบเช่นเดิม อีกฝ่ายจึงไม่ทันเห็นแววตาน่าพิศวงนั้น
                    “คุณไปกับคุณเชษฐาหรือครับ” เขาถามเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย แต่หางเสียงยังคงปล่อยให้เนิบๆไปตามฉบับของเขาอยู่ ดาราจึงไม่ทันได้ยินหรือจับผิดได้
                    “เอ้อ ก็งั้นมั้งคะ” หล่อนตอบไม่เต็มเสียง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด     
                    “ถึงไม่ยอมไปกับผม” เขาถามมาอีก ตาเสมองผ่านดาราไปด้านหลัง
                    “ก็เขาชวนดิฉันก่อนนี่คะ จะให้ดิฉันปฏิเสธทั้งๆที่ไม่มีใครมาชวนอย่างนั้นหรือ” ดาราตอบไปเสียงขุ่น
                    “นั่น พี่คุณรึเปล่า” เขาถาม ฉันรีบหันไปตาม เห็นพี่เดือนกำลังจะนั่งเก้าอี้ ส่วนคนข้างๆก็คือ คุณธีระนั่นเอง
                    “ฉันขอตัวไปหาพี่ก่อนนะคะ” ฉันบอกแล้วลุกไปก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร
                      “พี่เดือน” ฉันเรียกเมื่อเดินไปถึงโต๊ะ พี่เดือนและคุณธีระหันมาตามเสียงเรียกเบาๆของฉัน
                      “อ้าว ดาว มาทานข้าวที่นี่หรือจ๊ะ พี่ก็มาทานกับคุณธีระน่ะ แล้วเราน่ะมากับใครน่ะ” พี่เดือนทักตอบแล้วก็ตั้งคำถามเป็นชุด
                    “ค่ะ มาทานที่นี่แหละ มาทานกับคุณระพีภัทร ที่ตอนนั้นเคยไปที่โรงละครด้วยกันน่ะค่ะ” ฉันอธิบาย พี่เดือนทำหน้าเจื่อนไปนิดก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ฉัน ทำไมพี่เดือนถึงทำหน้าแบบนี้นะ แล้วฉันก็ไหว้คุณธีระ คุณธีระก็ยิ้มให้แล้วพูดขึ้นว่า
                      “ผมก็นึกว่าจะไม่ได้รับไหว้คุณดาราเสียแล้วนะครับ” เขาพูดติดตลก ทำเอาพี่เดือนที่หน้าเจื่อนไปกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม
                      “แหม คุณธีระนี่ล่ะก็ ไปนั่งด้วยกันกับดาวซีคะ เชิญทั้งคุณธีระแล้วก็พี่เดือนด้วย” ฉันค้อนให้ แล้วก็ชวนทั้งสองคนไปทานข้าวด้วยกัน
                      “ไม่รบกวนหรอกจ๊ะ พี่ก็สั่งอาหารแล้ว เออ ดาว วันนี้พี่จะไปนอนกับเรานะ” พี่เดือนปฏิเสธอย่างทันควัน ก่อนจะบอกต่อว่าจะไปค้างด้วย
                      “ได้ค่ะ งั้นดาวไปนะ” ฉันบอกแล้วปลีกตัวออกมา ตอนแรกตั้งใจว่าจะบอกเรื่องที่พรุ่งนี้จะไปรับพี่ถนอม แต่คิดดูอีกที นี่ต่อหน้าคุณธีระ ไว้มีอะไรค่อยไปพูดที่บ้านก็ได้
                      ดังนั้นฉันจึงเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง พอดีอาหารมาเราทั้งสองคนจึงทานกันอย่างเงียบๆ มีบางครั้งที่คุณระพีภัทรตักอาหารให้ฉัน ตั้งแต่ฉันกลับมาจากโต๊ะพี่เดือน ดูเขาจะไม่พูดกับฉันอีกเลย แล้วเมื่อทานข้าวเสร็จ เขาก็พาฉันไปส่งถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แล้วดูเหมือนว่าเขาจะซิ่งยิ่งกว่าปรกติเลยด้วยแน่ะ
                      “คุณจะรีบไปไหนกันคะ” ฉันรีบต่อว่าเมื่อเท้าได้สัมผัสกับพื้นดิน
   
                      “เปล่า” เขาตอบเพียงสั้นๆแล้วก็ทำท่าว่าจะใส่หมวกกันน็อกอีก
   
                      “จะกลับแล้วหรือคะ” ฉันถามไปตามที่รู้สึก ไม่รู้ทำไมถึงได้ถามอย่างนี้ออกไปเหมือนกัน
                      \"ก็ ยังไงคุณก็ไม่ได้อยากให้ผมอยู่ไม่ใช่หรือ” เขาถามหลังจากเมินหน้าหนีไป
                      “สวัสดีค่ะ” ฉันตัดบทเสียงดัง ไม่ยอมตอบคำถามของเขา กลับครึ่งเดินครึ่งวิ่งขึ้นตึกไป
                      “บ้า ถามอะไรน่าอายอย่างนั้นออกมาได้ยังไง เราไม่ได้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองกันซักหน่อย มาถามอย่างกับเป็นคู่รักงั้นแหละ บ้าบ้า คนอะไรก็ไม่รุ” ดาราคิดกึ่งอายกึ่งโกรธ ขณะรีบควานหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋าถือใบใหญ่ แล้วไขเข้าไปในห้อง ไม่นานพี่เดือนก็กดกริ่ง ฉันรีบไปเปิดประตูให้ พบคุณธีระขึ้นมาส่งพี่เดือนถึงหน้าห้อง ฉันจึงไหว้คุณธีระอีกรอบ แล้วเขาก็บอกลา ฉันและพี่เดือนจึงยกมือไหว้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ต่างคนก็ต่างมองส่งร่างสูงของคุณธีระจนลับมุมไป
                      “ดาว พรุ่งนี้ปลุกพี่ด้วยได้มั้ย” พี่เดือนถาม หลังจากเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่น
                      “ได้ซีคะ กี่โมงล่ะ” ฉันตอบแล้วถามต่อ
                      “๙.๐๐ น. ได้ไหม พรุ่งนี้พี่ไม่รีบ” พี่เดือนถามมาอีก
                      “อือ เดี๋ยวปลุกให้ค่ะ พรุ่งนี้จะทานอะไรคะ” ฉันตกลงกับพี่ดาวเรียบร้อยแล้วถามเรื่องอาหาร
                      “อะไรก็ได้ ทำมาเถอะ ฮ้าว ง่วงจัง พี่ไปนอนก่อนล่ะ” พี่เดือนบอก แล้วลุกจากไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น