ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : คํ่าคืนที่แสนหวาน
                ตกเย็นฉันรอคุณเชษฐามารับไปทานข้าวอยู่ที่หน้าประชาสัมพันธ์ จวนจะหกโมงเย็นอยู่แล้ว บางทีคุณเชษฐาอาจจะมีงานยุ่งก็ได้ เอ แต่ถ้ามีงานยุ่งก็ไม่ควรจะนัดฉันไปทานข้าวนี่นา รออีกอึดใจเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาในขณะที่ฉันนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลา (ความจริงก็ไม่ได้อ่านหรอก แค่เปิดผ่านๆเท่านั้นแหละ) ฉันเงยหน้าขึ้นและเห็นรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าเข้มคมสัน ฉันยิ้มตอบเขาไป แล้วเขาก็พยักหน้าเป็นการเชื้อเชิญ
                “ขออนุญาตใครรึยังครับ” คุณเชษฐาถามพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน ฉันค่อนข้างงงจึงถามเขาแทนคำตอบ
                “ใครที่คุณเชษฐาว่านี่คือใครล่ะคะ”
                “เปล่าหรอกครับ นึกเสียว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน” เป็นคำตอบ แล้วเขาก็พาฉันขึ้นรถที่จอดอยู่หลังบริษัท แล้วขับไปร้านอาหารแถวถนนรัชดาภิเษก
                ในร้านอาหารประดับประดาด้วยดอกไม้สีสวยและส่งกลิ่นหอมระเรื่อยอยู่ตามทิศทางของลมเย็น ช่วยเพิ่มสีสันให้ร้านน่าดู บรรยากาศให้ดูดีและน่าประทับใจยิ่งขึ้น เสียงน้ำไหลผ่านกระบอกต่อกระบอกประกอบกับการไหลของน้ำส่งเสียงคล้ายเครื่องดนตรีที่น่าเสนาะหู โมบายที่แขวนยื่นออกมาจากหลังคาส่งเสียงเป็นจังหวะตลอดระยะที่ลมพัดกระทบเข้า
                คุณเชษฐาสอบถามว่าฉันชอบอะไร และสั่งอาหารที่ฉันชอบเสียหลายอย่าง จนเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจว่าเขาจะกินอะไร เพราะคงจะเป็นคนกินง่ายอย่างนั้นเอง ระหว่างที่เรารออาหารที่สั่ง เขาก็ควรฉันคุยถึงเรื่องงานวันเปิดตัวละครเวทีของพี่เดือน ทั้งๆที่เป็นคนละโรงละครแถมยังมีชื่อเสียงไม่แพ้กันอีก เขาก็ยังมีน้ำใจมาชวนฉันอีก
                “วันเสาร์ครับ วันเสาร์ที่จะถึงนี้แหละครับ ผมจะไปรับคุณที่บ้านละกันนะครับ” คุณเชษฐาบอก
                “วันเสาร์นี้หรือคะ อยากทราบจริงๆว่าพี่เดือน เอ้อ คุณเดือนจรัสจะแสดงเรื่องอะไรหรือคะ” ฉันถามอย่างอยากรู้จริงๆ เพราะเวลาฉันจะถามพี่ทีไรพี่ก็บอกเพียงแต่ว่าเดี๋ยวก็รู้เอง อีกเมื่อครั้งไปสัมภาษณ์กับคุณธีระ บรรจบชัย พี่เดือนยังกำชับนักกำชับหนาเสียด้วยว่าไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้แก่ฉัน พี่เดือนจะปิดไปทำไมนะ ยังไงเสียก็ต้องรู้อยู่ดี
                  “เรียกว่าพี่เดือนตามคุณถนัดเถิดครับ ดูสนิทสนมเสียกว่าเรียกคุณเดือนจรัสนะครับ ส่วนเรื่องก็เรื่อง ‘รักนี้ที่เฝ้ารอ’ ยังไงล่ะครับ คุณดาวไม่ทราบหรือครับ” คุณเชษฐาตอบพร้อมกับตั้งคำถามใหม่ หล่อนสังเกตว่าตอนเช้าคุณเชษฐาเพิ่งจะเรียกหล่อนว่า ‘ดารา’  แต่ตอนเย็นกลับเรียกว่า ‘ดาว’  ทำให้หล่อนออกที่จะปลื้มใจมิใช่น้อย หากแต่ยังเก็บรักษามารยาทของกุลสตรีไว้ 
                  “ค่ะ พี่เดือนไม่ยอมตอบสักที ดิฉันก็เลยไม่ทราบ อีกซ้ำถามคุณ เอ้อ คุณธีระ เขาก็ไม่ยอมปริปากแย้มพรายออกมาเลยด้วยซีคะ” ฉันตอบรับพร้อมกับอธิบายยาวยืดเหยียด เชษฐากลั้นหัวเราะอย่างรู้สึกขบขัน
                  “อย่างนั้นหรอกหรือครับ ผมก็นึกว่าคุณดาวเพียงแต่ลอบถาม ‘ศัตรู’ เพียงแต่แค่นั้น” คุณเชษฐาถามแกมเย้า
                  “คุณเชษฐานี่ละก็ พี่เดือนไม่ใช่แฟนของคุณธีระหรอกค่ะ แล้วก็ไม่เห็นมีท่าทีว่าพี่เดือนจะชอบพอกับใครเลยด้วย” ฉันตอบตามที่รู้สึก
                  “งั้นหรือครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่าคุณเดือนจรัสจะยังไม่มีคนรู้ใจ ก็เห็นว่าก่อนกลับมาจากฝรั่งเศสชอบพอกับ ‘หนุ่มคนหนึ่ง’ จนหลายๆคนคาดว่าน่าจะแต่งงานด้วยกันเลยล่ะครับ” เชษฐาตอบอย่างสงสัย
                  “เอ๊ะ หนุ่มหน้าไหนกันหรือคะ ไม่เห็นทราบเลย พี่เดือนไม่เคยเล่าเลยค่ะ” ฉันตอบอย่างนึกน้อยใจพี่เดือนที่ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้ฟัง
                  “ผมไม่บอกหรอกครับ เพราะบางทีข่าวของผมมันอาจจะไม่ถูกต้องแล้วจะทำให้ใครหลายๆคนเสียหายได้” เชษฐาตอบ ด้วยเกรงจะเป็นอย่างที่เขาปรารถไว้
                  “ถ้าไม่แน่ใจดิฉันก็ว่าอย่าพูดเลยล่ะค่ะ เกิดใครมาได้ยินเข้าเขาจะหาว่าเราใส่ร้ายป้ายสี” ฉันบอก
                  “แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ากำลังพูดถึงคุณเดือนจรัสอย่างเต็มๆเลยนะครับ” เชษฐาตอบพร้อมยิ้มอย่างที่เขาเรียกกันว่า ‘ยิ้มพิมพ์ใจ’
                  “อุ๊ย จริงด้วยซีนะคะ อาหารมาพอดีเลย เชิญคุณเชษฐาค่ะ” ฉันพูดอย่างนึกขันตัวเองที่นำเรื่องพี่สาวมาเล่าให้คนที่ไม่มักคุ้นฟัง 
                  หลังจากนั้นเขาก็พาฉันกลับบ้าน แล้วนัดแนะเรื่องเวลาในวันเสาร์อีกทีให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
                  “คุณดาวครับ” เชษฐาเรียกขณะที่ฉันหันหน้าเดินเข้าตึกไป
                  “มีอะไรอีกหรือคะ” ฉันถามอย่างใคร่รู้
                  “วันนี้ผมว่าจะพูดตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส วันนี้คุณสวยมากครับ” เชษฐาบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ใบหน้าที่เค้าคมสันกลายเป็นสีเข้มขึ้นเนื่องจากโลหิตถูกสูบฉีดอย่างเร็ว เขาเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความเขินอาย เพราะน้อยครั้งที่เขาจะเอ่ยชมผู้หญิงซึ่งไม่ใช่มารดาของเขาเอง แถมยังเป็นคำพูดที่ยังสร้างความหวั่นไหวให้แก่อีกฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยมเสียด้วย เพราะอย่างไร ต่อให้แต่งกายดีอย่างไร หากเขาไม่ได้พอใจ ยากเสียที่จะทำให้เขาสนใจได้
                  “คุณเชษฐา” ฉันอุทานออกไปเบาๆอย่างไม่รู้ตัว บอกไม่ได้ว่าด้วยความรู้สึกอย่างไร รู้แต่เพียงว่ามันเบาหวิวคล้ายจะหน้ามืดกระทันหัน หน้าที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ และจะยังเข้มต่อไปอีกจนเขาทันสังเกตเห็น ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเสียนี่กระไร ทราบอยู่แล้วว่าฝ่ายที่พูดประโยคที่ทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังหน้าแดงกันทั้งคู่ต้องแอบลอบชำเลืองดูผลจากการกระทำของเขาอย่างแน่นอน ทันทีที่เขาสังเกตเห็นใบหน้าของหล่อน เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยความที่ไม่คิดว่าหล่อนจะมีท่าทีเขินอายมากกว่าปรกติ เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหล่อนไม่ได้มีเพื่อนชายมากจนถึงกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อฟังประโยคหวานๆแบบนี้เข้า อีกทั้งหล่อนก็ไม่ได้จริตแสร้งทำอย่างผู้หญิงที่เชษฐาเคยเอ่ยปากลักษณะเดียวกันอีกด้วย
                  “ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือคะ” ดาราถามพร้อมไม่ยอมสบตากับชายหนุ่มที่คอยจ้องมองหล่อนด้วยแววตาที่มีความรู้สึกบางอย่างซึ่งซ้อนเร้นไว้ไม่มิด หากแต่หล่อนไม่รู้สึกถึงความผิดปรกตินั้น
                  \"ไม่มีแล้วล่ะครับ ผมกลับล่ะ สวัสดี” เขากล่าวพร้อมกับจ้องไปยังหญิงสาวด้วยความใคร่รู้ว่าที่หญิงสาวทำกริยาเขินอายนั้นเป็นด้วยจริตหรือความซื่อ
                  “ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณาพามาเลี้ยงอาหารเย็น สวัสดีค่ะ” ดาราบอกขอบคุณด้วยใจจริงพร้อมกับบอกลา ถึงอย่างไรหล่อนก็ต้องสบตาเขาแม้จะไม่ได้เจตนา เขายิ้มแล้วโบกมือให้ แล้วถอยรถออกไปยังถนน ถ้าเป็นคำพูดก็คงได้ความหมายตามนี้กระมัง ‘นึกว่าคุณจะไม่ยอมมองหน้าผมเสียแล้ว ราตรีสวัสดิ์’ หล่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วกลับเข้าห้องไป
                “ขออนุญาตใครรึยังครับ” คุณเชษฐาถามพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน ฉันค่อนข้างงงจึงถามเขาแทนคำตอบ
                “ใครที่คุณเชษฐาว่านี่คือใครล่ะคะ”
                “เปล่าหรอกครับ นึกเสียว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน” เป็นคำตอบ แล้วเขาก็พาฉันขึ้นรถที่จอดอยู่หลังบริษัท แล้วขับไปร้านอาหารแถวถนนรัชดาภิเษก
                ในร้านอาหารประดับประดาด้วยดอกไม้สีสวยและส่งกลิ่นหอมระเรื่อยอยู่ตามทิศทางของลมเย็น ช่วยเพิ่มสีสันให้ร้านน่าดู บรรยากาศให้ดูดีและน่าประทับใจยิ่งขึ้น เสียงน้ำไหลผ่านกระบอกต่อกระบอกประกอบกับการไหลของน้ำส่งเสียงคล้ายเครื่องดนตรีที่น่าเสนาะหู โมบายที่แขวนยื่นออกมาจากหลังคาส่งเสียงเป็นจังหวะตลอดระยะที่ลมพัดกระทบเข้า
                คุณเชษฐาสอบถามว่าฉันชอบอะไร และสั่งอาหารที่ฉันชอบเสียหลายอย่าง จนเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจว่าเขาจะกินอะไร เพราะคงจะเป็นคนกินง่ายอย่างนั้นเอง ระหว่างที่เรารออาหารที่สั่ง เขาก็ควรฉันคุยถึงเรื่องงานวันเปิดตัวละครเวทีของพี่เดือน ทั้งๆที่เป็นคนละโรงละครแถมยังมีชื่อเสียงไม่แพ้กันอีก เขาก็ยังมีน้ำใจมาชวนฉันอีก
                “วันเสาร์ครับ วันเสาร์ที่จะถึงนี้แหละครับ ผมจะไปรับคุณที่บ้านละกันนะครับ” คุณเชษฐาบอก
                “วันเสาร์นี้หรือคะ อยากทราบจริงๆว่าพี่เดือน เอ้อ คุณเดือนจรัสจะแสดงเรื่องอะไรหรือคะ” ฉันถามอย่างอยากรู้จริงๆ เพราะเวลาฉันจะถามพี่ทีไรพี่ก็บอกเพียงแต่ว่าเดี๋ยวก็รู้เอง อีกเมื่อครั้งไปสัมภาษณ์กับคุณธีระ บรรจบชัย พี่เดือนยังกำชับนักกำชับหนาเสียด้วยว่าไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้แก่ฉัน พี่เดือนจะปิดไปทำไมนะ ยังไงเสียก็ต้องรู้อยู่ดี
                  “เรียกว่าพี่เดือนตามคุณถนัดเถิดครับ ดูสนิทสนมเสียกว่าเรียกคุณเดือนจรัสนะครับ ส่วนเรื่องก็เรื่อง ‘รักนี้ที่เฝ้ารอ’ ยังไงล่ะครับ คุณดาวไม่ทราบหรือครับ” คุณเชษฐาตอบพร้อมกับตั้งคำถามใหม่ หล่อนสังเกตว่าตอนเช้าคุณเชษฐาเพิ่งจะเรียกหล่อนว่า ‘ดารา’  แต่ตอนเย็นกลับเรียกว่า ‘ดาว’  ทำให้หล่อนออกที่จะปลื้มใจมิใช่น้อย หากแต่ยังเก็บรักษามารยาทของกุลสตรีไว้ 
                  “ค่ะ พี่เดือนไม่ยอมตอบสักที ดิฉันก็เลยไม่ทราบ อีกซ้ำถามคุณ เอ้อ คุณธีระ เขาก็ไม่ยอมปริปากแย้มพรายออกมาเลยด้วยซีคะ” ฉันตอบรับพร้อมกับอธิบายยาวยืดเหยียด เชษฐากลั้นหัวเราะอย่างรู้สึกขบขัน
                  “อย่างนั้นหรอกหรือครับ ผมก็นึกว่าคุณดาวเพียงแต่ลอบถาม ‘ศัตรู’ เพียงแต่แค่นั้น” คุณเชษฐาถามแกมเย้า
                  “คุณเชษฐานี่ละก็ พี่เดือนไม่ใช่แฟนของคุณธีระหรอกค่ะ แล้วก็ไม่เห็นมีท่าทีว่าพี่เดือนจะชอบพอกับใครเลยด้วย” ฉันตอบตามที่รู้สึก
                  “งั้นหรือครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่าคุณเดือนจรัสจะยังไม่มีคนรู้ใจ ก็เห็นว่าก่อนกลับมาจากฝรั่งเศสชอบพอกับ ‘หนุ่มคนหนึ่ง’ จนหลายๆคนคาดว่าน่าจะแต่งงานด้วยกันเลยล่ะครับ” เชษฐาตอบอย่างสงสัย
                  “เอ๊ะ หนุ่มหน้าไหนกันหรือคะ ไม่เห็นทราบเลย พี่เดือนไม่เคยเล่าเลยค่ะ” ฉันตอบอย่างนึกน้อยใจพี่เดือนที่ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้ฟัง
                  “ผมไม่บอกหรอกครับ เพราะบางทีข่าวของผมมันอาจจะไม่ถูกต้องแล้วจะทำให้ใครหลายๆคนเสียหายได้” เชษฐาตอบ ด้วยเกรงจะเป็นอย่างที่เขาปรารถไว้
                  “ถ้าไม่แน่ใจดิฉันก็ว่าอย่าพูดเลยล่ะค่ะ เกิดใครมาได้ยินเข้าเขาจะหาว่าเราใส่ร้ายป้ายสี” ฉันบอก
                  “แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ากำลังพูดถึงคุณเดือนจรัสอย่างเต็มๆเลยนะครับ” เชษฐาตอบพร้อมยิ้มอย่างที่เขาเรียกกันว่า ‘ยิ้มพิมพ์ใจ’
                  “อุ๊ย จริงด้วยซีนะคะ อาหารมาพอดีเลย เชิญคุณเชษฐาค่ะ” ฉันพูดอย่างนึกขันตัวเองที่นำเรื่องพี่สาวมาเล่าให้คนที่ไม่มักคุ้นฟัง 
                  หลังจากนั้นเขาก็พาฉันกลับบ้าน แล้วนัดแนะเรื่องเวลาในวันเสาร์อีกทีให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
                  “คุณดาวครับ” เชษฐาเรียกขณะที่ฉันหันหน้าเดินเข้าตึกไป
                  “มีอะไรอีกหรือคะ” ฉันถามอย่างใคร่รู้
                  “วันนี้ผมว่าจะพูดตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส วันนี้คุณสวยมากครับ” เชษฐาบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ใบหน้าที่เค้าคมสันกลายเป็นสีเข้มขึ้นเนื่องจากโลหิตถูกสูบฉีดอย่างเร็ว เขาเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความเขินอาย เพราะน้อยครั้งที่เขาจะเอ่ยชมผู้หญิงซึ่งไม่ใช่มารดาของเขาเอง แถมยังเป็นคำพูดที่ยังสร้างความหวั่นไหวให้แก่อีกฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยมเสียด้วย เพราะอย่างไร ต่อให้แต่งกายดีอย่างไร หากเขาไม่ได้พอใจ ยากเสียที่จะทำให้เขาสนใจได้
                  “คุณเชษฐา” ฉันอุทานออกไปเบาๆอย่างไม่รู้ตัว บอกไม่ได้ว่าด้วยความรู้สึกอย่างไร รู้แต่เพียงว่ามันเบาหวิวคล้ายจะหน้ามืดกระทันหัน หน้าที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ และจะยังเข้มต่อไปอีกจนเขาทันสังเกตเห็น ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเสียนี่กระไร ทราบอยู่แล้วว่าฝ่ายที่พูดประโยคที่ทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังหน้าแดงกันทั้งคู่ต้องแอบลอบชำเลืองดูผลจากการกระทำของเขาอย่างแน่นอน ทันทีที่เขาสังเกตเห็นใบหน้าของหล่อน เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยความที่ไม่คิดว่าหล่อนจะมีท่าทีเขินอายมากกว่าปรกติ เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหล่อนไม่ได้มีเพื่อนชายมากจนถึงกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อฟังประโยคหวานๆแบบนี้เข้า อีกทั้งหล่อนก็ไม่ได้จริตแสร้งทำอย่างผู้หญิงที่เชษฐาเคยเอ่ยปากลักษณะเดียวกันอีกด้วย
                  “ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือคะ” ดาราถามพร้อมไม่ยอมสบตากับชายหนุ่มที่คอยจ้องมองหล่อนด้วยแววตาที่มีความรู้สึกบางอย่างซึ่งซ้อนเร้นไว้ไม่มิด หากแต่หล่อนไม่รู้สึกถึงความผิดปรกตินั้น
                  \"ไม่มีแล้วล่ะครับ ผมกลับล่ะ สวัสดี” เขากล่าวพร้อมกับจ้องไปยังหญิงสาวด้วยความใคร่รู้ว่าที่หญิงสาวทำกริยาเขินอายนั้นเป็นด้วยจริตหรือความซื่อ
                  “ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณาพามาเลี้ยงอาหารเย็น สวัสดีค่ะ” ดาราบอกขอบคุณด้วยใจจริงพร้อมกับบอกลา ถึงอย่างไรหล่อนก็ต้องสบตาเขาแม้จะไม่ได้เจตนา เขายิ้มแล้วโบกมือให้ แล้วถอยรถออกไปยังถนน ถ้าเป็นคำพูดก็คงได้ความหมายตามนี้กระมัง ‘นึกว่าคุณจะไม่ยอมมองหน้าผมเสียแล้ว ราตรีสวัสดิ์’ หล่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วกลับเข้าห้องไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น