นครที่สาบสูญ - นครที่สาบสูญ นิยาย นครที่สาบสูญ : Dek-D.com - Writer

    นครที่สาบสูญ

    ผู้เข้าชมรวม

    63

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    63

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 เม.ย. 58 / 11:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรือลำเล็กรูปทรงประหลาด
      ลอยนิ่งอยู่กลางผืนน้ำใจกลางมหาสมุทร
      บนเรือปรากฏเพียงชายชราผู้หนึ่ง
      ซึ่งกำลังนั่งจับเชือกป่านที่มีสภาพราวกับ
      ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน

      ปลายด้านหนึ่งของเชือกถูกมัดไว้
      กับลำตัวของเด็กหนุ่มที่ดำหายลงไปในน้ำ
      จนถึงตอนนี้เกือบจะห้านาทีแล้ว 

      ชายชราเปลี่ยนท่าเป็นลุกยืน 
      สลัดมือข้างนึงจากเชือกมากุมเครื่องรางที่แขวนอยู่กลางอก 
      ปากขยับแต่ไร้เสียงเหมือนร่ายมนต์อะไรสักอย่าง
      ส่วนมือที่ยังกุมเชือกขยับกระตุกเพื่อส่งสัญญาณ

      ใต้น้ำเบื้องล่างนั้นกว้างและไร้ขอบเขต
      ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มกำลังจะหันหัวกลับไปที่เรือ
      เพราะเขาได้ปลามาเต็มสองมือแล้ว
      แต่เขากลับเปลี่ยนใจกระทันหัน 
      เพราะไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็นเบื้องล่างนั้น

      มันเป็นหีบเก่าสีทองทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
      ด้านในนั้นปรากฏโครงกระดูก 
      สภาพยังพอเดาได้ว่าเป็นโครงกระดูกของเด็กทารก
      ในมือของเด็กกำสิ่งหนึ่งเอาไว้แน่น 

      เขาพยายามดึงมันออกมาจากมือเด็ก
      แต่เกิดเสียหลักพลิกหงาย 
      จนศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินที่อยู่ด้านหลัง
      จนเลือดบริเวณท้ายศีรษะไหลออกมาทำเอาน้ำทะเลรอบๆนั้นขุ่น

      เขารวบรวมสติและลมหายใจเฮือกสุดท้ายพาตัวเองขึ้นพ้นน้ำ
      ก่อนที่จะทันสังเกตุเห็นว่าก้อนหินก้อนใหญ่นั้นคือรูปปั้นส่วนเท้า
      ซึ่งถ้าเราจินตนาการไปถึงส่วนลำตัวจรดหัว 
      รูปปั้นดังกล่าวคงสูงราวตึกยี่สิบชั้นเห็นจะได้

      ใครเล่าจะรู้ว่า
      หากย้อนเวลากลับไปเมื่อสองพันปีที่แล้ว
      ใต้เรือลำนี้คือนครที่มีผู้คนเคยอาศัยอยู่

      นับหมื่นชีวิต!!

      ---- 

      'นครแอตแลนติส' 
      เป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน

      อันที่จริงประชากรน่าจะมีมากกว่านี้สักสิบเท่าตัว
      ถ้าทุกๆปีไม่เกิดมรสุมทางทะเลที่หอบเอาคลื่นยักษ์มากวาดสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ สัตว์ รวมถึงชีวิตคนจนพังพินาศ
      และทุกๆครั้งจะลดจำนวนสิ่งมีชีวิตไปจนเหลือเพียงครึ่ง

      ผู้คนบนเกาะต่างเชื่อกันว่าใต้ทะเลลึกรอบเกาะนั้นมีปีศาจร้ายอาศัยอยู่
      เคยมีคนกลุ่มหนึ่งต่อเรือเพื่อออกไปสำรวจทะเลและพื้นที่โดยรอบ
      แต่กลับไม่มีใครเห็นพวกเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
      ในเกาะแห่งนี้คำว่า 'ล่องเรือ' จึงมีความหมายไม่ต่างจากการ 'ไปตาย' 

      ส่วนเรื่องการเมืองการปกครองของนคร
      ผู้นำแห่งเกาะถูกคัดเลือกระหว่างตัวแทนฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก

      เนื่องมาจากเกาะถูกแบ่งเป็นสองส่วนตามลักษณะภูมิประเทศของเกาะ
      ส่วนตะวันตกเป็นฝั่งที่ประกอบไปด้วยที่ราบมีประชากรมากกว่า
      และส่วนมากจะทำกสิกรรม หรือ เลี้ยงสัตว์ 
      ผู้คนมีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเรื่องเล่าของปีศาจในทะเ

      ต่างจากฝั่งตะวันออกที่อยู่บนหุบเขาสูงบรรจบหน้าผา 
      สามารถปลูกพื้ชเลี้ยงสัตว์ได้น้อยกว่าจึงทำให้ประชากรน้อยกว่า
      แต่ส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้ มีภาษาเป็นของตัวเอง
      ศึกษาการเอาตัวรอดจากธรรมชาติ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

      เนื่องจากจำนวนประชากรที่ต่างกันถึงสี่เท่าตัว
      จึงทำให้ผู้นำแห่งทุกคนมาจากตัวแทนของฝั่งตะวันตก
      นับตั้งแต่มีการคัดเลือกครั้งแรก

      แต่การคัดเลือกในครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง..

      มันเริ่มมาจาก
      ประชากรของฝั่งตะวันตกเริ่มเสียงแตกกันเอง
      บางกลุ่มอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง
      เปิดโอกาสให้คนทางฝั่งตะวันออกซึ่งมีสติปัญญามากกว่า
      เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องภัยพิบัติ
      ที่พวกเขาต้องเผชิญครั้งแล้วครั้งเล่า

      ตัวแทนของฝั่งตะวันออก
      มาจากหนึ่งในสองพี่น้อง 'ซิด' หรือ 'ซาร์' 
      ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ดูจะเหมาะสมทั้งคู่
      เพราะทั้งสองมีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

      คนพี่นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจเมตตา และมีปัญญาเป็นเลิศในทุกด้า
      เขาชอบเก็บตัวค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองเพียงลำพัง
      สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จักเขาคือการสร้างภาษาของตนเอง
      ว่ากันว่าเขาได้พรสวรรค์นี้มาจากปู่
      ซึ่งเป็นผู้สร้างภาษาที่ใช้กันบนเกาะแห่งนี้

      ในวัยเพียง 17 ปีของซิด 
      มันเป็นวัยที่เด็กหนุ่มอย่างเขาควรจะซ้อมเพลงดาบเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
      แต่เขากับมุ่งมั่นในการสร้างภาษาใหม่ที่ได้ชื่อว่ามีความซับซ้อนมากขึ้น
      เขาให้เหตุผลเพียงว่าจะเอามันมาใช้ในครอบครัวเพื่อความเป็นส่วนตัว 
      ซึ่งถึงตอนนี้มีเพียง พ่อ แม่ และน้องชายเค้าเท่านั้นที่เข้าใจได้

      ส่วนคนน้องนามว่า 'ซาร์'
      เขาไม่เพียงมีไหวพริบปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์
      แต่เขายังมีจิตใจห้าวหาญและตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
      เชื่อว่ากันว่าถ้าหากเขาตัดสินใจอะไรไปแล้ว 
      จะไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้
      และคำสั่งของผู้เป็นมารดาเป็นสิ่งที่เขายึดถือเหนือสิ่งอื่นใด

      แต่ยังไงเสียคนเป็นพี่ก็ย่อมได้รับเกียรติที่ดีกว่าผู้น้อง

      ซาร์เองก็คิดเช่นนั้น
      เขาจึงได้แอบหลบหนีไปคบกับคนทางฝั่งตะวันตก
      และเสนอตนเป็นตัวแทน

      ด้วยนโยบายของซาร์ที่จะสร้างเทวรูปศักดิ์สิทธิ์
      เพื่อปัดเป่าเพศภัยตามความเชื่อเรื่องสัตว์ร้ายในทะเล
      มันจึงไม่ยากที่จะทำให้เขาเป็นตัวแทนของฝั่งตะวันตก

      และ ในที่สุด...
      'ซาร์' ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งเกาะคนใหม่
      ชนะซิดซึ่งเป็นพี่แท้ๆของเขาเอง
      ได้อย่างไม่ยากเย็น

      เขาเป็นคนจากฝั่งตะวันออกคนแรกที่ได้รับการคัดเลือก
      ถึงแม้ตอนนี้จะแปรพรรคไปเป็นคนฝั่งตะวันออกแล้วก็ตาม

      เช้าวันแรกที่เขาได้รับคัดเลือก
      เขาได้เกณฑ์คนบนเกาะกว่ากว่าสองพันคนเพื่อสร้างเทวรูปศักดิ์สิทธิ์
      เทวรูปกำหนดความสูงไว้กว่า 80 เมตร บริเวณหาดทราย

      ซิดไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำที่สิ้นเปลือง
      และอาจทำให้คนบนเกาะล้มตายจากการก่อสร้างสิ่งที่ใหญ่เกินกำลังโดยใช่เหตุ
      เขาถึงกับเสี่ยงเข้าไปยังฝั่งตะวันตกเพื่อเพียงตะโกนความคิดเห็นของเขาให้แก่ซาร์
      แต่เสียงนั่นไม่ต่างจากเสียงลม

      การก่อสร้างดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก
      ระหว่างการก่อสร้างส่วนสะโพกขึ้นไปจรดศรีษะ
      มีคนงานต้องตายเนื่องจากพลัดหล่นลงมาวันละหลายสิบคน
      แต่เนื่องจากความศรัทธาอันแรงกล้าทำให้ทุกคนยอมพลีชีพ
      รวมเวลาก่อสร้างทั้งสิ้นสองปีเต็มว่ากันว่ามีผู้สังเวยไปกว่าหลายร้อยราย

      นับถึงบัดนี้เกาะแห่งนี้ก็ไม่เคยเจอภัยพิบัติใดมาสิบ 17 ปีเต็มแล้ว
      ผู้คนฝั่งตะวันออกต่างเชื่อว่า เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

      'ซาร์' กลายเป็นตัวแทนแห่งเทพพระเจ้า 
      เขาคือผู้นำแห่งเกาะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

      เช้ามือของวันสถาปนาบูชาเทวรูปครั้งที่17 
      ซึ่งตรงกับวันข้างแรมที่หกของปี
      ซาร์ได้ออกคำสั่งให้กวาดต้อนผู้คนฝั่งตะวันออกมารวมตัวกัน
      บริเวณฐานของเทวรูปศักดิ์สิทธิ์
      ในนั้นมีคนในครอบครัวของเขารวมอยู่ด้วย

      ทุกคนโดนจับมัดมือไขว้หลังผูกติดกันเป็นกลุ่ม 

      ทันใดนั้นเอง ชายฉกรรจ์แปดคนในมือพร้อมด้วยเหล็กยาวปลายสีแดง
      สีแดงนั่นคือสีของเหล็กร้อนที่เพิ่งผ่านกองเพลิง
      เหล็กร้อนท่อนแรกถูกประทับบริเวณต้นคอของชายที่ถูกมัดคนหนึ่ง

      เสียงร้องลั่นจากชายผู้นั้นก้องกังวาลไปทั่วเกาะ

      สัญลักษณ์รูปทรงประหลาดถูกฝังเข้าไปยังร่างพลเรือนฝั่งตะวันออกทุกคน
      ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหรือผู้หญิง
      ก่อนที่เชลยทุกคนจะถูกส่งขึ้นไปบนเรือแพที่เตรียมไว้เกือบร้อยลำ
      นำพาชีวิตเหล่านั้นสู่ท้องทะเลอย่างไร้จุดหมาย

      ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เรืองอำนาจถึงขีดสุด
      กำลังยืนมองแพลำนั้นลอยห่างเกาะออกไป

      น้ำในตาของเขาหล่นรดลงบนโขดหิน

      ----

      ร่างของเด็กทารกถูกจัดวางอย่างพิธีพิถันในหีบสีทองอร่า
      ในมือของเด็กถูกมัดไว้ด้วยคัมภีร์หนังสัตว์

      งานสถาปนาเทวรูปในปีนี้
      ซาร์ ผู้นำแห่งเกาะได้เอ่ยต่อหน้าผู้คนบนเกาะว่า
      ปีศาจร้ายต้องการชีวิตของเด็กทารกและสมบัติเป็นเครื่องบรรณาการ

      เขาเป็นบุตรชายแท้ๆของ "ซาร์" อายุได้เพียงสามเดือนเศษ
      ผู้คนบนเกาะต่างลือกันว่าซาร์มีจิตใจที่สูงส่งไกลเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป
      แต่บ้างก็ว่าใจเขาช่างโหดเหี้ยมเย็นชายิ่งกว่าซาตาน
      ที่เลือกลูกตัวเองฝังเป็นเครื่องบรรณาการ

      หีบถูกฟังใต้พื้นทรายบริเวณใกล้กับเทวรูป
      พร้อมสมบัติล้ำค้าที่หาได้ทุกชิ้นบนเกาะ
      ตามคำสั่งของ "ซาร์" ที่อ้างถึงความต้องการของเทพเจ้าทั้งปวง

      และในคืนวันเดียวกันนั้นเอง
      ใต้ท้องทะเลลึกบริเวณรอยต่อ เกิดการเคลื่อนไหวบางอย่าง
      คลื่นใต้น้ำปริมาณมหาศาลก่อมวลเป็นเกลียวแนวตั้ง
      ชายหาดที่เคยมีน้ำแห้งเหือดไปชั่วขณะ
      ก่อนจะมีคลื่นยักษ์สูงกว่าคลื่นใดๆที่เคยมีมา
      ซัดกระหน่ำถาโถมเข้าเกาะแห่งนี้
      ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

      เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ถูกหักโค่นลง
      เช่นเดียวกับทุกชีวิตที่กำลังอยู่ในนิทรา
      เพียงราตรีเดียว

      เกาะถูกแปรสภาพเป็นเมืองบาดาลหลายร้อยฟุต

      ....

      หลายพันปีผ่านมา

      ....

      ณ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส
      เด็กหนุ่มชาวประมงกำลังจดจ่อรอคำตอบจากชายในชุดสูทสีน้ำตาล
      เหตุผลที่เด็กหนุ่มดั้นด้นหลายพันไมล์เพื่อมาถึงที่นี่ก็เพราะ
      เขาคือศาสตราจารย์อันดีน ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญลักษณ์วิทยาลำดับแรกของโลก
      และเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่ให้คำตอบจากสิ่งที่อยู่ในมือของเด็กทารกผู้นั้น
      สิ่งนั้นมันคือหนังสัตว์สลักด้วยอักษรภาษาโบราณส่วนบนและส่วนล่าง

      ศาตราจารย์ถอดใจความส่วนบนได้ในทันที

      "ซาห์น้องรัก

      นับจากข้างขึ้นแรกของปีนี้ไป 
      ดาวทุกดวงบนท้องฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่อิงกันอย่างสมดุลย์
      เกาะแห่งนี้จะอยู่ในสภาวะไร้มรสุมใดๆ 
      พืชพันธุ์จะอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าจะขยายพันธุ์
      แต่เมื่อวันนึงขณะที่คลื่นลมในทะเลนิ่งสงบจนไม่ไหวติง
      จะเกิดภัยพิบัติครั้งที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมี คลื่นทะเลสูงเสียดฟ้าจะมาถึ
      มันจะมากลืนกินเกาะแห่งนี้ให้หายลงไปในทะเลในข้ามคืน
      และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเหลือรอด
      วันนั้นตรงกับวันข้างแรมที่หก ในอีก 17 ข้างหน้า
      พี่ขอให้เจ้าจงเตรียมการย้ายผู้คนทั้งหมดในเกาะ
      โดยสร้างเรือขนาดใหญ่ มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของเกาะ 
      ที่นั่นจะมีแผ่นดินใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน

      ขอให้เจ้าและคนของเจ้าปลอดภัย
      ด้วยรัก
      บุตรแห่งเฮอร์เมส"

      แต่ส่วนล่างกลับใช้อีกภาษาหนึ่ง ซึ่งเค้าไม่สามารถจะเข้าใจได้
      มันก็เหมือนการอ่านนิยายจนถึงจุดสำคัญและรอข้อสรุปในท้ายเล่ม

      หลังจากที่อันดีนเปิดหนังสืออ้างอิง และเสิชข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอยู่ราวสามชั่วโมง
      เขาเงยหน้าแล้วเอ่ยกับชายหนุ่มตรงหน้า พลางส่ายศีรษะ

      "แล้วเจ้าได้มันมาจากไหนเหรอ?"
      คำถามเดียวที่ศาตราจารย์เป็นฝ่ายถามเด็กหนุ่ม

      เด็กหนุ่มตอบคำถาม และเตรียมพร้อมจะจากไปยังที่ที่เขาจากมา
      เพราะสิ่งที่ค้างคาใจเด็กหนุ่มมันได้หมดไปแล้ว
      ภาษาส่วนบนนั้น เขาก็อ่านมันได้ทันทีในตอนที่ได้มันมาเช่นกัน
      พร้อมๆกับชายชราบนเรือนั่น

      ประตูห้องถูกปิดลง 

      ในห้องที่แต่เดิมมีคนอยู่สองคน บัดนี้ว่างปล่าว
      เด็กหนุ่มจากไปแล้ว ศาสตราจารย์ก็เช่นกัน

      ศาตราจารย์รีบรุดกลับที่พักทันทีที่เด็กหนุ่มลับตาไป
      ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นลายสักที่อยู่ระหว่างต้นคอกับแผ่นหลังของเขา
      รอยสักเป็นรูปทรงประหลาดที่เห็นแล้วชวนให้สงสัย 

      'เขาเพิ่งจะโกหก'

      ข้อความที่สลักบนแผ่นหนังส่วนล่างนั้น 
      เขารู้จักมันเป็นอย่างดีมันคือภาษาของบรรพบุรุษของเขา
      มันเป็นสิ่งที่เขารอคอยมันมานานแสนนาน

      ส่วนท้ายของแผ่นหนังเขียนไว้ว่า

      "ถึงท่านผู้มีสายเลือดเดียวกับข้า

      สมบัติแห่งแอตแลนติสถูกฝังไว้รวมกับหีบสีทอง
      ด้านในมีบุตรชายของข้าคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง

      ซาร์"

      ศาสตราจารย์ในชุดที่ไม่คุ้นตา
      ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อยึดคอกว้างและกำลังยืนรอที่ประตูทางออกเพื่อจะขึ้นเครื่องบิน
      จุดหมายปลายทางเขาคือบ้านเกิดของเด็กหนุ่มชาวประมง

      เขาไม่ได้หวังจะครอบครองสมบัติมหาศาลใต้น้ำนั่น
      หากแต่เพียงได้ทำสิ่งๆหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษ
      ผู้รอดชีวิตจากเกาะเมือหลายพันปีที่แล้วเคยฝากฝังไว้
      และสิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อเปิดหีบสีทองใบนั้น

      ก็คือ


      "การกล่าวขอบคุณ"
       
       
      ===============================
      ติดตามต่อเรื่องสั้นมุมกลับได้ในแฟนเพจ
      https://www.facebook.com/jacob.write
      ===============================
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×