สัจธรรม 7 ก้าว - สัจธรรม 7 ก้าว นิยาย สัจธรรม 7 ก้าว : Dek-D.com - Writer

    สัจธรรม 7 ก้าว

    ผู้เข้าชมรวม

    71

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    71

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 เม.ย. 58 / 10:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หลายพันปีก่อน 
      โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
      ผู้คนประสบทุกข์ยากซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       
      ในโลกมืดนั้นยังมีกลุ่มนักปราชญ์กลุ่มหนึ่ง
      พวกเค้าเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อเสาะหา
      'หนทางแห่งการพ้นทุกข์'
       
      ---
       
      พวกเขาบันทึกเรื่องสำคัญในพระัคัมภีร์
      พระคัมภีร์นั้นได้รับการปรับปรุงสืบรุ่นต่อรุ่น
      มันเกือบจะเสร็จสมบูรณ์
      แต่ดูเหมือนว่าจะขาดบางสิ่งบางอย่าง
       
      ในที่สุดพวกเขาก็คนพบสิ่งนั้น
      สิ่งซึ่งสามารถขับเคลื่อนทุกสิ่ง
      จากความเป็นไปไม่ได้สู่ความเป็นไปได้
      สิ่งที่ว่านั้นคือ 'ความเชื่อ'
       
      พวกเขานำมารวมไว้ในพระคัมภีร์
      อย่างกลมกล่อมก่อเิกิดเป็น "ศาสนา"
      และนำเจ้าความเชื่อมาแต่องค์ทรงเครื่องใหม่
      ให้ชื่อมันว่า 'ความศรัทธา'
       
      ----
       
      สืบมาจนถึงปัจจุบัน
      ศาสนานั้นมีหลายมีระดับ 
      ตั้งแต่เรื่องพุทธประวัติ เรื่องการทําบุญทําทาน 
      เรื่องการทำความดีละความชั่ว 
      จนไปถึงเรื่องการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ 'นิพพาน'
       
      และเชื่อว่าน่าจะมีระดับหนึ่ง
      ที่คนๆหนึ่งจะสามารถเขัาถึงได้
       
      ภาพแรกเกี่ยวกับพุทธศาสนาของอาตมา
      ก็คงป็นเรืองการประสูติของพระพุทธองค์ 
      อิทธิปาฏิหาริย์เมื่อออกจากพระครรภ์มารดา
      ทรงก้าวพระบาท 7 ก้าว และเปล่งวาจาว่า 
       
      "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก 
      เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก 
      ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย 
      ภพใหม่ของเราจะไม่มีอีกแล้ว!" 
       
      นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องพุทธศาสนาที่อาตมาศึกษา
      ผ่านตำรามาหลายสิบปี แต่คิดว่าคงไม่มีวิธีใด
      ที่จะทําให้เข้าใจเนื้อแท้ของศาสนาได้ดีเท่ากับ
       
      'การปฏิบัติ!'
       
      และนั่นจึงเป็นเหตุผลของการบวชในครั้งนี้
       
      ----
       
      ช่วงสัปดาห์แรกของการเป็นพระใหม่ในวัดป่า
      อาตมาต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการนุ่งห่ม 
      การนั่งขัดสมาธิ การกินอย่างสํารวม 
      รวมไปถึงการนอนด้วยหมอนไม้ 
       
      พระแต่ละรูปจะมีกุฏิเป็นของตัวเองขนาดพอดีตัว
      กระจายตัวทั่วผืนป่าเนื้อที่กว่าร้อยไร่  
      กุฏิแต่ละแห่งจะอยู่ห่างกันพอที่จะทำให้รู้สึกว่า 
       
      'อยู่เพียงลำพัง'
       
      พื้นที่โดยรอบกุฏิเป็นลานว่างโล่งเตียน 
      ถัดจากทีโล่งเตียนนั้นเป็นต้นไม้รกทึบโอบล้อมกุฏิ 
      ซ้อนตัวกันไปจนบรรจบป่าผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตา 
       
      แรกๆอาตมาก็จำทางเข้ากุฏิของตัวเองไม่ค่อยจะได้
      จนถึงกับต้องทําสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นไม้ด้านหน้าทางเข้า 
       
      เวลาสามทุ่มตรงในวัดแห่งนี้มันเป็นเวลาที่น่าขนหัวลุก
      ดวงไฟทุกแห่งในวัดจะถูกปิดลงพร้อมกัน 
      ไม่ต่างจากการแคมปิ้งในป่าใหญ่ที่มีแสงจันทร์นำทาง
       
      ถึงอาตมาจะไม่เชื่อว่าผีมีจริง 
      แต่ก็ยังรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย จนต้องพึ่งบทแผ่เมตตา 
      เพราะเสียงที่ดังจากป่านั้นชวนให้คิดไปไกล
      บางทีก็ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินย่ำอยู่รอบๆกุฏิ
      แต่จริงๆแล้วมันเป็นแค่เสียงลมกระทบใบไม้เท่านั้น
       
      ----
       
      นอนหลับได้ไม่ทันอิ่มดี เสียงระฆังก็ปลุกอาตมาจากฝัน 
      เวลา 04.15 น.
      ผมเดินถือขันที่มีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน และสบู่อยู่ในนั้น
      แต่ละกุฏิจะไม่มีห้องน้ำในตัว 
      พระทุกรูปจะต้องเดินเท้าไปหา โรงอาบน้ำกลางที่ใกล้ที่สุด
      แม้ในยามวิกาล ขณะที่ทั้งวัดป่าอยู่ในความมืดสนิท
       
      ถ้าใครจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำจริงๆก็ต้องถือตะเกียงเดินป่ากัน
      พระบางรูปอาจจะต้องเดินเป็นกิโลเพื่อที่จะถึงโรงอาบน้ำกลาง
      เป็นโชคดีของอาตมาที่กุฏิอยู่ใกล้มากกับโรงอาบน้ำกลางแห่งหนึ่ง
      และโชคดีอีกอย่างคือมีพระอีกรูปหนึ่งมาอาบเป็นเพื่อน
      ช่วยให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้เยอะเลย ในเวลาที่ฟ้ายังมืดอยู่ 
      เราไม่เคยคุยกัน อาจเป็นเพราะมันเป็นเวลาเช้าเกินไป
       
      หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาทําวัตรเช้า และการบิณฑบาต 
      เรื่องที่อาตมาจำได้ดีคือเรื่องของยายคนหนึ่งซึ่งแกใส่บาตรทุกวัน
      แม้ว่ายายแกหลังโก่งมากเสียจนเดินลําบาก
      ยืนรออยู่หน้าบ้านไม้ผุ สวมใส่เพียงผ้าเก่าขาดวิ่น 
      ของใส่บาตรบางวันเป็นเพียงข้าวเปล่าที่ใส่ในขันสีเงินขึ้นสนิม
      และยายจะก้มลงกราบพระจนหน้าผากแนบกับหลังเท้าทุกครั้ง 
       
      เป็นวินาทีในทุกเช้าที่อาตมาไม่เคยลืม 
      ไม่ใช่เพราะอาตมารู้สึกเหนือกว่า 
      แต่มันตรงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
      เพราะฉากนั้น..
       
      สร้างมาเพื่อตบหน้าอาตมาเมื่อคราวเป็นฆราวาสโดยแท้!
       
      เพราะก่อนบวชเป็นพระ อาตาไม่เคยใส่บาตรเลย
      และมักจะตั้งคำถามโน่นนี่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา
      เรื่องของยายตอบคำถามของอาตมา
      ถึงเรื่องความจำเป็นต้องมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า 'ศรัทธา'
       
      ----
       
      ถัดจากเวลาฉันเพล เป็นช่วงพักผ่อนตามอัธยาศัย 
      พระบางรูปเลือกที่จะอาบนํ้า
      ส่วนอาตมาเลือกที่จะกลับไปยังกุฏิเพื่อนอนพักผ่อน
      และอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่อาตมากำลังพักผ่อนอยู่นั้น
      ‘กลิ่นแรง’ ก็ผ่านเ้ข้ามารบกวนถึงในกุฏิ
       
      หมู่เพื่อนพระระแวกใกล้กัน ลงความเห็นกันว่า
      คงเป็นกลิ่นของศพหมาในป่าลึก 
      เพราะในป่าลึกนั้นมีงูพิษชุกชม 
      และบ่อยครั้งที่หมาวัดจะเป็นเหยื่อของมัน
       
      คำตอบนั้นทําให้คลายใจและหายสงสัยเรื่องกลิ่นไปได้
      แต่ก็มากังวลเรื่องดงงูพิษบริเวณหลังกุฏิแทน
       
      ผ่านไปสองเดือน จิตใจผมเริ่มสงบขึ้น นอนหลับได้สนิท
      ต้องยกความดีความชอบให้กิจวัตรของสงฆ์
      พวกเราพระใหม่วนเวียนอยู่กับไม่กี่เรื่อง ซ้ำเดิมทุกวัน
      เริ่มตั้งแต่การตื่นตอนเช้า เข้านอนตอนสองทุ่ม
      กินให้อิ่มในมื้อแรกของวัน เพราะมีโอกาสได้กินแค่ครั้งเดียว
      สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น
      ทุกอย่างล้วนทำให้เรามีกายและใจที่ดีขึ้น
       
      ถึงตอนนี้อาตมาได้คำตอบให้กับตัวเอง 2 ข้อ คือ
       
      1. ความเชื่อที่คนคนมักพูดว่าเขาเชื่อนั่นเชื่อนี่ 
      ซึ่งบางที เค้าอาจจะหลอกตัวเองอยู่ก็เป็นได้
      จะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์นั่นจริงๆ
      ก่อนหน้านี้อาตมาเชื่อว่าผีไม่มีอยู่จริง
      แต่จริงๆแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย
      (ไม่เช่นนั้นจะกลัวทำไม)
       
      2. ได้คำตอบว่าผีอยู่ที่ไหน?  
      ก็คงตอบได้เลยว่า ผีอยู่ที่ใจ 
      ไม่มีใครเคยเห็นผีกับตาตัวเอง แต่เขากลัว
      และสิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือใจของเขาเอง
       
      และข่าวดีสำหรับอาตมาในตอนนี้..
       
      'อาตมาหายกลัวผีแล้ว!'
       
      ----
       
      ช่วงใกล้จะออกพรรษา
      จิตใจของพระใหม่ใกล้สึกอยู่นอกวัดกันเสียส่วนใหญ่
      เป็นช่วงเวลาที่พระแต่ละรูปเริ่มปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่าน
       
      ศาลาโรงธรรมไม่ต่างจากโรงน้ำชาซึ่งเป็นที่รวมตัวพูดคุย
      พระหลายรูปต่างแวะเวียนมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน
      บ้างก็เล่าถึงสิ่งที่ตนจะทำเมื่อสึกออกไปเป็นฆราวาส
      บ้างก็เล่าเหตุการณ์ประทับใจที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาบวช
       
      เรื่องเก่าจึงถูกนำมาเล่าใหม่
       
      เรื่องแรก
      เป็นเรื่องของพระเก่าที่มรณะภาพไปแล้ว
      แต่ท่านยังแวะเวียนมาอาบน้ำในทุกเช้าที่โรงอาบน้ำกลาง
      พระทุกรูปในวัดรู้เรื่องนี้ดี 
      จึงหลีกเลี่ยงในการใช้โรงอาบน้ำแห่งนั้น
       
      ซึ่งมันอยู่ใกล้กับกุฏิอาตมาที่สุด!
       
      เรื่องที่สอง
      เล่าโดยพระใหม่รูปหนึ่ง 
      ซึ่งท่านการันตีกับอาตมาต้องชอบมากกว่าเรื่องแรก
       
      ท่านได้เล่าเหตุการณ์ในบ่ายวันหนึ่ง 
      ซึ่งผมเป็นเวลาที่อาตมาน่าจะหลับอยู่ ก็เลยตกข่าวอีกตามเคย
      ท่านเล่าว่าในวันนั้น มีญาติโยมเกือบสิบคนเข้ามาในวัด
      รวมทั้งพระบางรูปที่ให้ความสนใจ (ตัวผู้เล่าเอง)
      เพื่อสืบหาร่องรอยของโยมคนหนึ่งซึ่งหายตัวไปหลายวัน
      จากกลิ่นดังกล่าวทำให้ตามไปเจอศพๆหนึ่งบนต้นไม้สูง
       
      สูงมากเสียจนไม่คิดว่าจะมีใครขึ้นไปผูกคอตายได้!
       
      เพื่อนพระหันมาทางอาตมา และเล่าต่อไปว่า
      " หลังจากเห็นศพนั่น...
      อาตมาได้ลองเดินจากศพไปยังบริเวณที่ศพหันหน้าไป 
      ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต้นไม้รกปกคลุม
      ระหว่างย่างเท้าไปอาตมาต้องใช้ไม้ในมือแผ้วทางเพื่อเดินผ่าน
      และเดินตัดตรงมาเรื่อยจนหลุดจากบริเวณรกนั้น
      ซึ่งนับได้ 7 ก้าวย่างพอดิบพอดี "
       
      ถึงตอนนี้หน้าของผู้เล่าขยับเข้ามาใกล้กับอาตมามากขึ้น
       
      "ท่านลองทายสิว่า อาตมาเห็นอะไร?"
       
      ===============================
      ติดตามต่อเรื่องสั้นมุมกลับได้ในแฟนเพจ
      https://www.facebook.com/jacob.write
      ===============================
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×