ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรักป่วนวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #1 : ผู้ชี้นำ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 57


    ลิขิตรักป่วนวิญญาณ

    บทที่1 ผู้ชี้นำ

     

    “นายมองเห็นวิญญาณสินะ”

    “พูดอะไรลุง ไม่เห็นจะรู้เรื่อง” เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง

    “มองไม่เห็นเรอะ งั้นก็แล้วไป นึกว่าจะมองเห็นเสียอีก” ชายแก่หันหลังกลับทันทีหลังจากที่ตามตื้อเด็กหนุ่มอยู่นาน เขาเดินไปดื่มเหล้าไป หัวเราะเสียงดังตลอดทาง ปากก็พูดพร่ำเรื่อยเปื่อย หากคนอื่นมาเห็นก็ต้องคิดเป็นเสียงเดียวกัน หมอนี่มันบ้า แต่เด็กหนุ่มไม่ได้คิดอย่างนั้น ตาแก่คนนี้มีอะไรเป็นที่ดึงดูดสำหรับเขา เด็กหนุ่มเดินตามหลังไปอย่างห่างๆ สังเกตทุกพฤติกรรมที่แสดงออกมา

    “ว่าแต่...แกคิดจะเดินตามไปถึงไหน มานี่ๆ มาใกล้ๆ” ท่ากวักมืออันพิลึกของชายแก่ ทำเอาเด็กหนุ่มหัวเราะร่วน

    “นี่ ลุงมองเห็นวิญญาณหรือไง” คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มตั้งคำถามบ้าง หลังจากที่เป็นฝ่ายตอบคำถามมาตั้งแต่ต้น เขาเองก็เริ่มที่จะสนใจในเรื่องนี้ขึ้นมานิดๆ

    “แค่เห็นวิญญาณ มันจิ๊บจ๊อย หลังจากที่เห็นแล้วจะทำยังไงต่อ นั่นแหละคือประเด็น” พูดจบก็กระดกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่ๆ ชายแก่แผดเสียงออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะใช้แขนซ้ายเช็ดปากตัวเอง  เขาเว้นช่วงระยะในการพูดเพื่อให้เด็กหนุ่มได้คิด ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ป้อแปล้

    “ไอ้หนู คิดว่าคนตายแล้วจะไปไหน”

    “นรก หรือไม่ก็ สวรรค์” เด็กหนุ่มตอบกลับโดยไม่ลังเล

    “ฮะฮ้า นรกเรอะ สวรรค์เรอะ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ เพราะมันก็มีพวกที่ยึดติดจนไม่สามารถไปสู่สุขคติได้ แม้แต่ปรภพก็ไปไม่ได้ พวกนั้นจะเตร็ดเตร่อยู่ในภพนี้ พวกเราจึงเรียกวิญญาณจำพวกนี้ว่า วิญญาณที่สับสน”

    ไม่ทันพูดจบประโยค เด็กหนุ่มก็ถามขึ้นแทรก ทำให้การสนทนาชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะติดใจกับคำที่ว่า พวกเรา

    “ใช่ นอกจากข้าแล้วก็มีคนอื่นอีกเยอะ นับไม่ถ้วนเลยหละ เอ็งยังเป็นแค่กบที่อยู่ในกะลา คนแบบข้า แบบเอ็ง ยังมีอยู่เพียบ อย่าคิดว่าตัวเองพิเศษไปหน่อยเลย และก็อย่าดูถูกสิ่งที่พระเจ้าประทานติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชะตาชีวิตของพวกเราถูกลิขิตไว้แล้ว ให้ช่วยเหลือชี้นำเหล่าวิญญาณที่หลงสับสน ชะตาชีวิตของผู้นำทาง ทั้งเอ็งและข้าไม่มีวันเลี่ยงได้” ประโยคสุดท้ายเสียงเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน ราวกับรำพึงกับตนเองยังไงยังงั้น

    เด็กหนุ่มเหลือบดูนาฬิกาข้อมือหลังจากนั้นจึงขอตัวกลับบ้าน เขาวิ่งห่างออกไปไกลพอสมควร ก่อนจะหมุนตัวกลับมายังชายแก่ โบกมือไปมา พร้อมกับตะโกนด้วยใบหน้าที่ร่าเริง

    “นี่.......ลุง รู้ไหม นิทานของลุง สนุกมากเลยนะ ละก็อย่าดื่มต่ออีกหละ เมาก็รีบไปนอนซะ เข้าใจนะ”

    “ไอ้เด็กบ้า ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เออ แล้วเจอกัน ไอ้หนู”

    “เสียใจนะลุง ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว ฮ่าๆๆ” เด็กหนุ่มวิ่งจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ชายแก่มองดูเด็กหนุ่มวิ่งจากไปจนลับสายตา เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นกระดกอีกครั้ง

    “อ่าว หมดละรึ” ชายแก่เขย่าขวดเหล้าที่ว่างเปล่าอย่างแรงด้วยความคิดที่ว่าซักหยดก็ยังดี แต่เมื่อไม่สมปรารถนาเขาก็โยนขวดเหล้าทิ้งลงกองขยะ และมองมายังทิศที่เด็กหนุ่มจากไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

    “ไม่มีครั้งต่อไปเรอะ ฮะฮ่า ได้เจอสิ เราต้องได้เจอกันอีกแน่ ไอ้หนู  อะ..ดันลืมถามชื่อเจ้าเด็กบ้านั่นไปซะได้  ไว้ค่อยถามตอนเจอกันคราวหน้าละกัน ตอนนี้ต้องเหล้าจ๋า เท่านั้น เหล้าจ๋าหันมายิ้มหน่อยซิ” ชายแก่ผิวปากฮัมเพลงค่อยๆก้าวเท้าเดินไปอย่างมีความสุข

     

    ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์นับจากคืนวันที่เจอกับชายแก่ เด็กหนุ่มก็ยังใช้ชีวิตตามปรกติ ตอนเช้าไปเรียน ตอนเย็นก็ไปทำงานพิเศษ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่กับญาติห่างๆของเขา ด้วยเหตุที่พ่อแม่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ และเย็นวันนี้ก็อีกเช่นเคยที่เขาจะต้องไปทำงานพิเศษ ที่ร้านเค้กเบเกอรี่

    “พี่จ๋า ไปทำงานพิเศษอีกแล้วเหรอ” เด็กสาวอายุประมาณห้าขวบ เอ่ยถาม เธอมองหน้าเด็กหนุ่มและฉีกรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน เด็กหนุ่มเหลียวมองมาตามเสียง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเขาก็คือ เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างเสาไฟฟ้าในมือถือหมวกลายดอกไม้ ข้างๆของเด็กน้อยไม่มีผู้ใหญ่หรือใครที่มีลักษณะเป็นผู้ปกครองของเด็กสาวเลย

    “หนู มาทำอะไรอยู่ตรงนี้กันหละค่ะ”  เด็กหนุ่มตั้งคำถาม หวังที่จะช่วยเหลือเด็กสาว

    “เทียนหอม มารอคุณแม่ คุณแม่บอกจะมาหาเทียนหอม”  

    “แล้วแม่หนูตอนนี้อยู่ที่ไหนหละครับ เดี๋ยวพี่พาไปส่ง” เด็กหนุ่มถามต่อ

    “คุณแม่ไปทำงาน ตอนเย็นถึงจะมา”

    เด็กหนุ่มเหลือบดูเวลา มีเวลาอยู่มากพอก่อนที่จะถึงเวลางาน

    “นี่ก็เย็นแล้ว สักพักแม่ของหนูก็คงจะมารับ งั้นเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนนะค่ะ”

    เด็กสาวยิ้มรับ ก่อนจะกระชับหมวกที่ถือในลักษณะกอด เวลาผ่านไปได้ไม่นาน เด็กสาวก็ตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ เธอชี้ไปยังหญิงสาววัยกลางคนสวมชุดทำงานสีฟ้าที่กำลังเดินตรงดิ่งมา เด็กหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่าหญิงสาวในชุดทำงานนั้นจะต้องเป็นคุณแม่ที่เด็กสาวพูดถึงอย่างแน่นอน

    “คุณแม่มารับแล้ว งั้นพี่ขอตัวก่อนนะค่ะ” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะถอยฉากหลบออกมา เพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพัง ภาพของเด็กสาวกับแม่ ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องราวของตนเองกับพ่อและแม่ขึ้นมาในทันที เขามองดูทั้งคู่พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข เด็กสาวยังคงโอบกอดผู้เป็นแม่ ดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องคุยกันมากมาย

    “ซวยละสิ เริ่มเวลาทำงานแล้วนี่ ต้องรีบแล้วๆ” เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นและวิ่งมุ่งหน้าไปยังร้านเบเกอรี่ แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เมื่อมองดูเป็นที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไร เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าวิ่งต่อไป

    “เหมือนเขามองมาทางนี้เลยหละ ป๊ะป๋า” เด็กสาวผมยาวสีทอง สวมชุดคล้ายผ้าคลุมสีดำสนิทที่ขาดวิ่น นัยย์ตาสีเหลืองอำพัน ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่ ผิวขาวเนียน แม้สีหน้าจะบึ้งตึง แต่ก็สวยได้รูป เอ่ยขึ้น

    “เซนส์ดีจริงๆเลยนะ พ่อหนุ่มคนนั้น”  ผู้ที่ถูกเรียกว่าป๊ะป๋าตอบกลับ

    “เซนส์ดีอะไร ทึ่มละสิไม่ว่า ป๊ะป๋า อีกฝ่ายเป็นวิญญาณแท้ๆยังไม่รู้ตัวอีก คนพรรค์นี้นะเหรอจะเป็นผู้ชี้นำของเหล่าดวงวิญญาณ ตาแก่คงจะเลอะเลือนแล้วหละ”

    “อย่ามาใส่ร้ายคนอื่นลับหลังสิยัยเด็กบ้า” ชายแก่ในชุดปอนๆสกปรกๆพูดเสียงดัง เขาเหลือบมองไปยังทั้งสองคนในลักษณะเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบ้างอย่าง มือขวาถือถุงที่ไม่ทราบว่าบรรจุอะไรลงไปบ้างแต่ดูจากขนาดแล้วคงมีอยู่หลายชิ้นหรือไม่ก็ขนาดใหญ่มากๆ

    “ท่านลุงมัตสึ มาสายนะค่ะ” เด็กสาวตะโกนกลับพร้อมกับโบกไม้โบกมือ

    “ฮะฮ่า คราวนี้เรียกท่านลุงเรอะ ยัยตัวแสบ” ชายแก่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    “เอ้า ลงมาข้างล่างสิ ไม่มีใครที่ไหนเค้าไปนั่งคุยกันอยู่บนสายไฟฟ้าหรอกนะ”  ชายแก่พูดขึ้นอีกครั้งในขณะที่มือยังควานหาอะไรซักอย่างในถุง เพียงแค่พริบตาเดียวทั้งสองคนก็โผล่มาปรากฏตรงหน้าของชายแก่ พร้อมกันนั้นชายแก่ก็หาของในถุงเจอพอดี

    “มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นข้ากับป๊ะป๋าหรอกน่าท่านลุง ขนาดคนที่จะเป็นผู้ชี้นำยังไม่มีปัญญาจะมองเห็นเลย” เด็กสาวทำเสียงอิดออด เป็นเหตุให้ถูกผู้เป็นพ่อดุด้วยสายตา

    “ต้องขออภัยแก่ลูกสาวของข้าด้วย เพราะเพิ่งมาภพมนุษย์เป็นครั้งแรก จึงแสดงอาการที่ไม่สมควรออกมาเช่นนี้”

    “อะฮ่า ถ้าอย่างนั้นก็อยู่นานๆเลยสิยัยหนูน้อย” ชายแก่พูดพร้อมกับหลี่ตาให้กับเด็กสาว

    “จริงหรอท่านลุง ข้าสามารถอยู่ภพนี้ได้นานตามต้องการอย่างงั้นเหรอ” เด็กสาวแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า

    “ท่านลุงโอบิ มัตสึ แค่เพียงพูดเล่นเท่านั้นแหละโอลิเวีย” ผู้เป็นพ่อพูดห้ามปรามลูกสาวไว้

    “อันที่จริงลูกสาวข้ายังเด็ก ยังอ่อนต่อวัย ถ้าจะอยู่ที่ภพแห่งนี้เกรงว่าจะทำผลเสียมากกว่าผลดี อีกอย่างท่าน ผอ. ยังไม่ได้อนุมัติ การจะให้ออกศึกษานอกสถานที่ ณ เวลานี้ เห็นที่ข้าว่าจะไม่เหมาะสม”

     “อะฮ่า กันไว้หมดทุกทางแบบนี้เห็นทีข้าคงจะช่วยพูดให้ไม่ได้แล้วหละยัยหนูเอ้ย” ชายแก่หัวเราะ กระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย

    “เอาซะหน่อยไม๊”

    “ขออภัย ข้าไม่ดื่มในขณะที่ยังปฏิบัติงาน” เขาพูดก่อนจะส่งขวดเหล้ากลับไปให้ชายแก่

    “อะฮ่า งั้นมาเข้าเรื่องธุระของเราเลยละกัน ก็อย่างที่รู้ว่าข้ากำลังสนใจในตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เพื่อนต่างภพของข้า”

    “เด็กหนุ่มคนนั้นข้าได้เห็นแล้ว เขาเป็นคนที่ดี มีจิตเมตตา”

    “และยังทึ่มอีกด้วย” เด็กสาวพูดขึ้นแทรก และก็ถูกสายตาดุของผู้เป็นพ่อเป็นครั้งที่สอง

    “ถ้าข้าเดาความต้องการของท่านถูก ท่านต้องการให้เด็กหนุ่มเรียนรู้จะเป็นผู้ชี้นำ แต่การนั้นเขาจะต้องมีทักษะที่ดีและที่สำคัญที่สุดเขาจะต้องมีชิกิ(ภูติรับใช้)” คำสันนิฐานของชายที่อยู่ใต้ผ้าคลุมดูเหมือนจะถูก เขาจึงพูดต่อ

    “ฟังจากที่ท่านชักชวนลูกสาวข้าให้อยู่ที่ภพแห่งนี้ ท่านต้องการให้ลูกสาวของข้าเป็นชิกิให้เด็กหนุ่มคนนั้นใช่หรือไม่” คราวนี้เป็นประโยคคำถาม ชายแก่กระดกเหล้าครั้งใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะได้ให้คำตอบ เด็กสาวก็โวยวายขึ้นมาก่อน เป็นที่แน่นอนว่าเด็กสาวไม่ยอมรับในตัวของเด็กหนุ่มคนนั้น การเจรจาจึงมาถึงทางตัน

    “อะฮ่า หากเจ้ายอมรับข้อเสนอของข้า เจ้าก็สามารถอยู่ในภพมนุษย์นี้นานเท่าใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการนะ” ชายแก่นำความสนุกมาล่อเด็กสาว และก็ได้ผลเสียด้วย เมื่อตอนนี้อีกฝ่ายเลิกโวยวาย ผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นฝ่ายลูกสาวตกหลุมพรางชายแก่จึงพูดขึ้นเพื่อแก้สถานการณ์

    “เรื่องนี้ยากที่จะตัดสินใจได้ในทันที อย่างที่ข้าได้กล่าวขึ้นในเบื้องต้น หากท่าน ผอ.ไม่อนุมัติ ทางเราก็ยากที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ท่านในเรื่องนี้ได้ เอาไว้อีกสิบปีข้างหน้า รอให้เด็กหนุ่มคนนั้นโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม เราค่อยมาพูดกันถึงเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย”

    “ฮะฮ่า ข้าเกรงว่าอาจจะไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้นนะสิ” ชายแก่พูดขึ้น

    “ขออภัย ข้าลืมไปว่า ช่วงอายุของมนุษย์กับภูตินั้นต่างกันมาก แต่ข้าก็ยังคงยืนยันในความคิดเดิม” ชายหนุ่มยืนยันคำพูดของตนอย่างหนักแน่น ชายแก่เห็นท่าทีว่าคงเกลี่ยกล่อมได้ยาก จึงยกเลิกความตั้งใจ

    “ธุระของพวกเราจบลงเพียงแค่นี้ ทีนี้ก็นอกเวลางานของแกแล้วใช่ไหม ป่ะๆ ไปดื่มกันหน่อย ไม่ได้เจอกันกี่ปีละเนี่ย นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่พวกเรายังทำงานด้วยกัน ฮะฮ่า ช่างสนุกเสียจริงๆ”

    “การที่ได้เป็นชิกิของท่านนั้น เป็นเกียรติของข้ามาก”

    “อะ ข้ามีอะไรจะให้เจ้า อ่านดูสิ” ชายแก่พูดขึ้นในขณะที่ยื่นเอกสารบางอย่างให้กับชายหนุ่ม

    “นี่มัน......ท่าน” ชายหนุ่มตกใจถึงกับถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นรูปร่างที่กำยำ และใบหน้าที่หล่อคม ถึงแม้จะมีหนวดและเครา แต่รัศมีความหล่อก็ยังคงเปล่งประกายออกมา ดูจากลักษณะภายนอกแล้วหากใครได้เห็นก็คงคิดว่าเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

    “มีอะไรเหรอ ป๊ะป๋า” เด็กสาวพยามชะเง้อมองดูเอกสารที่อยู่ในมือของผู้เป็นพ่อ

    “ก็ตามนั้นแหละ ฮะฮ่า ความจริงข้าได้รับการอนุมัติจาก ฟลอริด้า ภรรยาของเจ้าแล้ว ทีนี้ก็ตอบตกลงได้ละนะ” ชายแก่ตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะพูดต่อเพื่อปิดประเด็น

    “เจ้าก็ลองคิดดูสิ ลูกสาวของเจ้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีเจ้านายอย่างเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ตามสายตาของเจ้า เด็กหนุ่มนั่นก็ไม่เลวใช่ไหมละ อีกอย่างมีข้าคอยดูแลสั่งสอน ลูกสาวจ้าช่างโชคดีแค่ไหนแล้ว หรือเจ้าคิดว่าข้ากลายเป็นคนแก่ที่ไร้น้ำยาไปซะแล้ว”

    “ไม่ใช่แบบนั้น”

    “ดี งั้นแปลว่าตกลง” ชายแก่รีบตัดบททันที

    “ท่านลุงมัตสึ แม้ว่าข้าจะต้องการอยู่ภพของมนุษย์ แต่ข้าก็ไม่อยากเป็นชิกิของเจ้าทึ่มนั่นนี่นา ท่านลุง”

    เมื่ออ้อนชายแก่ไม่ได้ผล เด็กสาวผมทองก็เปลี่ยนเป้าหมายไปอ้อนผู้เป็นพ่อแทน

    “ป๊ะป๋า ท่านคงจะไม่ใจร้ายให้ลูกสาวที่น่ารักเพียงคนเดียวของท่าน ไปเป็นชิกิของเจ้าทึ่มไม่เอาไหนแม้แต่แยกคนเป็นกับคนตายยังไม่ออกเลย ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตข้าคงป่นปี้ เป็นที่อับอายของเหล่าปีศาจร่วมรุ่นแน่ๆเลย”

    “เอาหละๆ ก็ได้ ไว้กลับภพอสูรเมื่อไหร่ พ่อจะลองคุยกับท่านแม่ของเจ้าให้ก็แล้วกัน” ดูเหมือนการออดอ้อนของเด็กสาวจะได้ผล

    “แต่ว่าในระหว่างนี้ เจ้าก็ต้องอยู่ทำงานฝึกประสบการณ์ การเป็นภูตที่ดีกับท่านลุงโอบิ มัตสึ อยู่ที่ภพมนุษย์นี้ไปชั่วระยะหนึ่งก่อนละนะ แล้วพ่อจะพาเจ้ากลับไป”

    “เย้ รัก ป๊ะป๋า ที่สุดในหกภพเลย” เด็กสาวเอาใจพ่อด้วยการกระโดดกอดคอ แต่แล้วก็เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

    “ถ้าหากข้าสามารถหาข้อไม่เหมาะสมที่เจ้าทึ่มนั่นมี ข้าก็ไม่จำเป็นต้องยอมรับในตัวของหมอนั่น ท่านลุงมัตสึ ข้าจะทำให้ท่านตาสว่าง ว่าท่านดูคนผิดแล้ว คอยดูข้าจะนำหลักฐานที่จะยืนยันว่า เจ้าทึ่มนั่นไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้ชี้นำ” พูดจบเด็กสาวก็หายตัวไปราวกับสายลมที่พัดผ่าน ผู้เป็นพ่อกำลังจะเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกชายแก่ หยุดเอาไว้

    “เอาน่า เรื่องของเด็กๆ ปล่อยให้พวกเค้าจัดการกันเอง ส่วนพวกเราคืนนี้ไม่เมาไม่เลิกลา ฮะฮ่า” พูดจบชายแก่ก็กอดคอพาชายหนุ่มไปยังร้านอาหารทันที

     

    ร้านเค้กเบเกอรี่

    “ขอขอบคุณที่อุดหนุน โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ” เสียงของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนดังขึ้น

    “เอาเค้กถาดใหม่ที่ทำ เข้าเตาอบด้วยหละ”

    “ครับๆ” ในขณะที่เขากำลังจัดการอบเค้กในเตาอยู่นั้น ก็มีแขกคนใหม่เข้ามาในร้าน

    “ยินดีต้อนรับครับ จะรับเค้กกี่ชิ้นครับผม” เด็กหนุ่มกล่าวต้อนรับลูกค้า  ไร้เสียงตอบรับจากคู่สนทนา ดูจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัว เด็กหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าเป็นคนต่างชาติ บางทีเธออาจจะไม่เข้าใจในภาษาไทย เขาเลยถามใหม่อีกครั้งด้วยภาษาอังกฤษ

    “คนที่จะเป็นผู้ชี้นำดวงวิญญาณแต่กลับมาทำอะไรที่ไร้สาระแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหน” เด็กสาวผมสีทองกล่าวขึ้นด้วยภาษาแปลกประหลาดที่ชายหนุ่มไม่เคยจะได้ยิน

    “เอ่อ....เจ๊ ทางนี้หน่อยเจ๊ ลูกค้าชาวต่างชาติ พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ออกเลยเนี่ย มาเร็วเจ๊” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเจ้าของร้านเพื่อมาแก้สถานการณ์ในตอนนี้ แต่กลับถูกเจ้าของร้านปฏิเสธ

    “เค้าชี้อะไรก็ให้เค้าไปซะสิ อย่ามาขัดขวางคนกำลังมีความสุขกับซี่รี่ย์สุดโปรด เข้า......ใจ......ไหม” <ออกแนวข่มขู่นิดๆถึงปานกลาง>

    “แต่ว่านะจ๊ะ” เด็กหนุ่มยังไม่ลดความพยายาม

    “หา....................” <ชัดเลย ถ้า หามายาวๆ แบบนี้ เป็นใครก็ต้องถอย - ->

    “เอ่อ....เปล่าครับเจ๊ เชิญอาเจ๊ดูหนังที่โปรดปรานต่อได้เลยขอรับกระผม” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทนิดๆ แต่ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาจะต้องจัดการกับลูกค้าคนนี้เพียงลำพัง

    “คุณ.....อยาก......ได้......เค้ก.......ชิ้น.......ไหน” เด็กหนุ่มพยายามใช้ภาษามือเข้าช่วย

    “อะไรกัน แม้แต่ภาษาชนชั้นเผ่าปีศาจ เจ้าเองก็ไม่รู้เหรอนี่ โอ้ย ข้าไม่อยากเป็นชิกิของมนุษย์ที่น่าสมเพชเช่นนี้” ท่าทีที่แสดงอาการไม่พอใจของเด็กสาวผมทอง ทำให้เด็กหนุ่มตกใจ เขาพยายามยกมือขึ้นห้าม เพราะเกรงว่าเด็กสาวอาจจะทำให้ข้าวของในร้านพังเสียหาย เด็กหนุ่มตัดปัญหาด้วยการนำเค้กแบบพิเศษชนิดใหม่ ที่เขาเพิ่งคิดค้นได้ไม่นานมอบให้กับเด็กสาวผมทอง

    “โอ๊ะ..อะไรกัน ไอ้ของหน้าตาพิลึกๆนี่” เด็กสาวประหลาดใจกับเค้ก เพราะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

    “ลอง.....กิน.....เข้าปากๆ อั้มๆ” เด็กหนุ่มใช้ภาษามืออีกครั้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังคงระแวงไม่ยอมทาน เขาเองจึงทานให้เด็กสาวดูเป็นตัวอย่าง

    “ไอ้ของพิลึกนี้มีไว้กินเหรอนี่ พวกมนุษย์ชอบทำอะไรแปลกๆจริงๆเลยนะ” เด็กสาวลองชิมเค้กที่เด็กหนุ่มให้ดู

    “ว้าว...อร่อยจริงๆ ไม่เคยกินอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย ของแบบนี้ทำไมมาอยู่บนภพมนุษย์ได้นะเนี่ย ทั้งหมดในนี้กินได้หมดเลยอย่างงั้นหรอ” ว่าแล้วหล่อนก็ชี้เลือกเค้กเลยตามใจชอบ เด็กหนุ่มจัดเค้กให้เด็กสาวตามที่ต้องการใส่ถุงและยื่นให้

    “ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยบาทครับ คุณลูกค้า อ่าวคุณลูกค้า ยังไม่ได้จ่ายตังเลย”

    เด็กสาวถือถุงเค้กเดินออกจากร้านโดยไม่ได้สนใจอะไรเลย จากนั้นก็หายแว๊บไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มเกาหัวแก๊กๆอย่างเสียอารมณ์ เด็กสาวหาที่โล่งๆ นั่งกินเค้กอย่างสบายใจจนเวลาล่วงเลยผ่านไป

    “โอ๊ะ ไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้ซะแล้วสิ ข้าจะต้องหาข้อบกพร่องของเจ้ามนุษย์นั่น” ว่าแล้วเด็กสาวก็ชะแว๊บหายไปอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็ได้เวลาเลิกงานพอดิบพอดี เขาใช้เส้นทางเดิมในการกลับบ้าน ในเวลานั้นนั่นเอง เขาก็ได้เจอเด็กสาวตัวน้อยเมื่อตอนเช้านั่งร้องไห้อยู่คนเดียวตรงมุมที่เดิมที่ได้เจอกัน

    “หนู ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียวละค่ะ ไม่กลัวหรือไง” เด็กหนุ่มเข้าไปทัก

    “พี่จ๋าหนูเหงา หนูเหงาเหลือเกิน หนูหิวด้วย” เด็กสาวน้อยเริ่มงอแงหนักยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม

    “แล้วคุณแม่ละค่ะ ทำไมหนูไม่อยู่กับคุณแม่ ทะเลาะกับคุณแม่มาหรือไง” เด็กหนุ่มถามต่อถึงสาเหตุ แต่ก็เปล่าประโยชน์เด็กสาวน้อยเอาแต่ส่ายศีรษะไปมาแล้วก็ซบหน้าลงกับหัวเข่า

    “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่บ้านนะค่ะ”

    “หนูไปไม่ได้ หนูคิดถึงคุณแม่ หนูต้องรอคุณแม่อยู่ที่นี่ หนูหิว หนูหิว” เด็กน้อยร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มพยายามกอดเด็กน้อยเพื่อปลอบ แต่แล้วก็ถูกผลักออกมาด้วยแรงลมมหาศาล

    “หากจะโง่เง่าก็ให้มันน้อยๆหน่อยเจ้ามนุษย์ทึ่ม หรือว่าอยากถูกภูติตนนั้นกิน” เด็กสาวผมสีทองเดือดดาล นัยส์ดาสีเหลืองอัมพันฉายแววถึงความเกรี้ยวกราด ผ้าคลุมสีดำโบกสะบัดไปมาตามสายลม ในมือถือเคี้ยวสีดำขลิบขนาดยักษ์มองดูแล้วช่างขัดกับรูปร่างที่บอบบางของเจ้าตัว หล่อนกวัดแกว่งเคียวไปมาทำให้เกิดลมพายุขนาดเล็ก เพียงเสี้ยวพริบตาคมของเคี้ยวเล่มนั้นก็จ่อเข้าที่คอหอยของเด็กน้อยเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยเบิกตาโพลงด้วยความกลัวจากนั้นก็กรีดร้องออกมาราวกับได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

    “เธอ....ทำอะไรของเธอ” เด็กหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปหาเด็กน้อยเพื่อดูอาการในทันที เขาเห็นเด็กน้อยดิ้นทุรนทุรายด้วยอาการเจ็บปวด

    “ข้าต่างหากที่จะต้องถามเจ้า ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร เจ้ามนุษย์ที่น่าสมเพช” เด็กสาวถามกลับ

    “พูดอะไร ก็ต้องช่วยเด็กคนนี้อยู่แล้วนะสิ” เด็กหนุ่มเข้าไปประคองเด็กน้อยให้ถอยออกห่างจากคมของเคียวยักษ์

    “ถอยออกมาจากดวงวิญญาณนั่นซะ ปล่อยไว้ไม่นานดวงวิญญาณนั่นจะแปรเปลี่ยนเป็นภูติ และจะตรงเข้าทำร้ายเจ้าไม่รู้หรือยังไง” เด็กสาวตะโกนแข่งกับเสียงกรีดร้องของเด็กน้อย

    “ภูติอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง เธอถอยไปเลยนะ เอาเคียวนั่นออกไปห่างๆด้วย” เด็กหนุ่มตะเกียกตะกายพยายามปกป้องเด็กน้อยสุดชีวิต

    “พี่จ๋า หนูทรมานเหลือเกิน ช่วยหนูด้วย พี่จ๋า พี่จ๋า” เสียงคร่ำครวญของเด็กน้อยทำให้น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

    ----จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี จะช่วยยังไง ฉันจะทำควรจะทำยังไงดี  ใช่แล้วหากพาหลบไปจากตรงนี้ได้ละก็---

    เด็กหนุ่มตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยวิ่งหนีทันที ออกวิ่งได้ไม่นานเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ คล้ายเสียงลากของอะไรซักอย่าง เพื่อให้คลายความสงสัยเขาจึงหยุดวิ่งและเหลียวมองดู ภาพที่เขาเห็นคือ โซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่เชื่อมติดกับร่างกายของเด็กน้อย

    “โซ่นั่น เค้าเรียกว่า ความพันผูก ไงหละ” เด็กสาวผมทองอธิบาย แม้เด็กหนุ่มจะมองไม่เห็นแต่ก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน

    “มนุษย์เมื่อตาย ก็จะมีภพที่ต้องไปต่อ แต่ดวงวิญญาณที่หลงทางนั้น จะยังคงวนเวียนอยู่ในภพมนุษย์แห่งนี้ นั่นก็เป็นเพราะโซ่ที่เรียกว่า ความพันผูกนี่แหละ ปรกติแล้วโซ่จะผูกติดระหว่างดวงจิตของผู้ตายกับสิ่งที่ตนคิดคำนึงก่อนตาย แต่ในกรณีนี้เด็กน้อยนั่นคงตายกะทันหันโซ่จึงผูกติดร่างกายกับจุดที่ตายแทน เพราะฉะนั้นแม้เจ้าจะพาเด็กนั่นหนีไปไหน ข้าซึ่งมองเห็นโซ่นั่นอย่างชัดเจนก็จะตามเจ้าไปได้ตลอด ไม่ให้หนีไปได้หรอก “

    “บ้าจริงๆ....โซ่พรรค์นี้”

    “ฮ่าๆๆๆ โซ่นี่ไม่มีวันขาดเพราะแรงมนุษย์หรอกเจ้าทึ่ม” เด็กสาวหัวเราะกับท่าทางเด็กหนุ่มที่กำลังดึงโซ่ให้หลุดอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “แต่หากเป็นเคียวของข้าก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากให้ช่วยตัดโซ่นั่นละก็.....” นัยส์ตาสีเหลืองอัมพันฉายแววความเจ้าเล่ห์ เด็กสาวยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะพูดต่อ

    “เรื่องราวดวงจิตของมนุษย์นั้นมันละเอียดอ่อนมาก แม้แต่ข้าเองก็มีเรื่องอีกมากที่ยังไม่รู้ แต่มีเรื่องที่ข้ารู้แน่ชัดว่า ดวงวิญญาณของมนุษย์หากแปรเปลี่ยนไปเป็นภูติแล้วละก็ หมดทางเยียวยาแล้วหละ มีแต่ต้องทำลายอย่างเดียว”

    “ทะ ทำลาย” เด็กหนุ่มตกใจกับคำๆนี้ เขาก้มมองใบหน้าของเด็กน้อย แม้ตอนนี้เธอจะไม่เจ็บปวดแล้ว แต่สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก

    “ไม่จริง ดูยังไงเธอเองก็เป็นภูติ ก็ไม่เห็นถูกทำลายเลยนี่” เด็กหนุ่มยืนกรานไม่ยอมเชื่อ

    “เจ้าโง่ ระดับของภูติที่เกิดเป็นภูติแต่กำเนิดกับภูติที่เกิดจากการแปรเปลี่ยนอัตลักษณ์วิญญาณมันต่างกัน เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันต่างกันตรงไหน” เด็กสาวอธิบายปนคำถาม

    “อะไร.....” เด็กหนุ่มถามเสียงแข็ง

    “สามัญสำนึกไงหละ แม้จะถูกเรียกว่าภูติเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่สามัญสำนึก ภูติที่เกิดจากการแปรเปลี่ยนอัตลักษณ์วิญญาณจะไร้ซึ่งสามัญสำนึก มันจะกิน จะอาละวาด ไม่เลือกที่ ละผลกระทบจะตกอยู่ที่มนุษย์อย่างพวกเจ้ามากที่สุด นั่นก็เพราะว่า พวกภูติชอบกินวิญญาณของมนุษย์เป็นๆยังไงหละ”

    “ว่ายังไงนะ เรื่องแบบนี้มัน” เด็กหนุ่มแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน

    “ไม่เชื่อใช่ไหมหละ แต่มันเป็นความจริง เพราะอย่างนั้นการคงอยู่ของผู้ชี้นำจึงมีความสำคัญยังไงหละ เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมอันเนื่องมาจากภูติที่ไร้สามัญสำนึก ผู้ชี้นำจึงมีหน้าที่ส่งวิญญาณไปยังภพที่ควรจะเป็น หรือไม่ก็ต้องทำลายดวงวิญญาณทิ้ง” เด็กสาวยืนยันในสิ่งที่ตนพูด

    “เพราะฉะนั้นส่งดวงวิญญาณนั่นมาซะ ดูจากขนาดของโซ่พันผูกแล้ว อีกไม่นานจะต้องกลายเป็นภูติแน่” เด็กสาวผมทองพยายามว่านล้อมเด็กหนุ่ม แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ยอมง่ายๆ เขายังคงอุ้มเด็กเดินต่อไปอย่างไม่ลดละ

    “เจ้านี่มันหัวแข็งซะจริงๆนะ ถึงจะเดินไปไหนมันก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กคนนั้น ปะ....เป็นอะไรหรือเปล่า”

    อยู่ดีๆเด็กหนุ่มก็ล้มลงไป เขาพยามประคองเด็กน้อยเพื่อเดินต่อ แต่ก็ไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้

    “ทำไมกัน เกิดอะไรขึ้น นี่เธอทำอะไร” เด็กหนุ่มร้องโวยวาย

    “หา.....ข้าเนี่ยนะ ทำอะไรเจ้า” เด็กสาวก็ตกใจเช่นกัน พริบตาเดียวหล่อนก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    “ฉันเดินต่อไปไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาดึงไว้” เด็กหนุ่มอธิบายเพิ่มเติม

    “น่าแปลกนะ หรือว่าเด็กนี่จะออกจากจุดที่ตายมากไม่ได้” เด็กสาวทำการสันนิษฐาน

    “อะไรกัน เธอเองก็ไม่รู้หรือนี่” เด็กหนุ่มมองหน้าเด็กสาว

    ----มองดูดีๆแล้วยัยนี่ก็น่ารักเหมือนกันแฮะ ผมสีทองอย่างกะใบแป๊ะก๊วย ไม่ได้ๆ ยัยนี่เป็นภูติแถมยังนิสัยไม่ดี แต่เอ๊ ทำไมหน้าคุ้นๆจังเลยนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน-----

    “มีอะไรติดที่หน้าข้าหรือยังไง มองอยู่ได้”

    “ปะ เปล่า แค่แปลกใจที่เธอจะไม่รู้” เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง

    “ข้าเองคนเดียวจะไปรู้หมดได้ยังไงเจ้าทึ่ม และอีกอย่างตอนชั่วโมงเรียน ก็มีบางครั้งที่ข้าแอบหนีไปเที่ยวบ่อยๆ”

    “ชั่วโมงเรียน......นี่ภูติยังได้เรียนหนังสือด้วยหรอ” เด็กหนุ่มแปลกประหลาดใจ

    “ก็ต้องมีสิ ไม่ว่าภพไหนก็ต้องมีแหล่งที่เรียนรู้ประสบการณ์กันทั้งนั้นแหละ นี่เจ้าคงไม่คิดว่าการเรียนรู้จะมีแค่ภพมนุษย์เพียงภพเดียวหรอกนะ” เด็กสาวโวยวาย

    “อืม เข้าใจแล้วหละ”

    “เข้าใจอะไรของเจ้า” เด็กสาวถาม

    “เข้าใจว่า เธอเองก็เป็นภูติฝึกหัดอยู่หละสินะ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม คำพูดและท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้เด็กสาวหงุดหงิด หล่อนเอามือกอดอกทำท่าทางเหมือนไม่สนใจ

    “พี่จ๋า ทำอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ” เด็กน้อยเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เด็กหนุ่มประคองให้เด็กน้อยยืนได้ด้วยตนเอง ท่าทางของเด็กน้อยดูอิดโรยเป็นอย่างมาก

    “เจ้าควรจะพานางไปที่เดิมนะ” เด็กสาวแนะนำ

    “อืม จริงสิ เธอคงไม่คิดที่จะทำลายดวงวิญญาณของเด็กคนนี้หรอกนะ” เด็กหนุ่มตั้งคำถาม เพราะยังไม่มั่นใจในตัวของเด็กสาว เพราะเธออาจจะเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ได้ เขาจึงจำเป็นต้องสร้างข้อตกลง

    “ดูจากที่เด็กคนนี้สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ ข้าก็จะปล่อยไป แต่หากเมื่อใดที่เธอเกิดความรู้สึกหิวอีกครั้ง คราวนี้เธอคงแปรเปลี่ยนเป็นภูติอย่างแน่นอน เจ้าลองดูที่โซ่ที่เชื่อมติดกับร่างของเธอดูสิ มันขนาดเล็กลงกว่าเดิมมากใช่ไหม”

    “ใช่ เล็กลงกว่าที่ฉันเห็นครั้งแรกมากเลยหละ” เด็กหนุ่มตอบคำถาม

    “แล้วมันเกี่ยวกันยังไง” เด็กหนุ่มตั้งคำถามบ้าง หลังจากแบกเด็กน้อยขึ้นหลังเพื่อกลับไปยังจุดเดิม

    “โซ่แห่งความพันผูก ถ้าจะให้เปรียบก็เปรียบเหมือนจิตสำนึกของวิญญาณนั่นแหละ หากโซ่นี้หายไปหมดก็เท่ากับดวงวิญญาณสูญสิ้นจิตสำนึกไปหมดแล้ว ละก็จะแปรรูปร่างเป็นภูติที่ไร้จิตสำนึก” เด็กสาวเว้นช่วงในการอธิบายเพื่อเด็กหนุ่มจะไม่เกิดความสับสน

    “อันที่จริงดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ตายจำเป็นต้องมีภพที่ไป เพราะไม่สามารถอยู่ภพมนุษย์ได้นานมันมีสาเหตุอยู่ มนุษย์ที่ยังเป็นหรือก็คือยังมีกายเนื้อนั้นไม่เป็นอะไรก็จริง แต่สำหรับดวงวิญญาณที่ไร้กายเนื้อปกป้อง จะไม่สามารถรับบรรยากาศของภพมนุษย์ได้ ต่างจะค่อยๆสูญสิ้นจิตใจไปทีละนิดจนหมดสิ้น”

    “ทำไมเป็นแบบนั้นหละ” เด็กหนุ่มถาม หลังจากที่เป็นฝ่ายฟังอยู่นาน

    “สภาพของดวงจิตวิญญาณมนุษย์นั้นสามารถสื่อถึงกันได้ และมักจะแผ่รังสีอารมณ์ออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะถูกร่างกายสกัดกั้นไว้ จึงไม่ได้รับผลกระทบ ต่างกับดวงจิตวิญญาณที่ละทิ้งกายเนื้อไปแล้ว ดวงวิญญาณเหล่านี้จะไม่ได้รับการปกป้อง และจะดูดกลืนรังสีอารมณ์เข้าไปเต็มๆ เจ้าลองคิดดูสิ มนุษย์มีอยู่มากมายเท่าไหร่ และรังสีอารมณ์ที่สะสมนั้นจะรุนแรงแค่ไหน เพราะฉะนั้นผู้ชี้นำจึงต้องนำทางดวงวิญญาณไปสู่ภพที่ควร ก่อนที่ดวงวิญญาณจะรับบรรยากาศของภพไม่ไหวจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นภูติที่ไร้จิตสำนึก ถึงแม้จะช่วยดวงวิญญาณไม่ทัน ก็ยังมีวิธีทำลายดวงวิญญาณอยู่ ทั้งหมดก็เพื่อความสมดุลของพิภพ เป็นหน้าที่ของผู้ชี้นำ”

    “มีตาแก่คนหนึ่งเคยบอกว่า ฉันเป็นผู้ชี้นำ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆฉันก็สามารถช่วยเหลือเด็กคนนี้ได้”

    ----ใช่แล้ว เราสามารถส่งวิญญาณของเด็กคนนี้ไปสู่สุขคติก่อนที่จะกลายเป็นปีศาจร้ายได้ เคยได้ยินมาว่าหากวิญญาณสามารถบรรลุในสิ่งที่ตนเองค้างคาใจ วิญญาณนั้นก็จะไปสู่สุขคติ ถ้าเราช่วยให้วิญญาณเด็กคนนี้สมปรารถนาละก็ เด็กคนนี้จะต้องไปสู่สุขคติได้แน่ๆ----

    “พักตรงนี้แหละ เธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปก่อนนะ ฉันขอกลับบ้านไปเอาเครื่องนอนแปปเดียว”

    “หมายความว่ายังไง ข้าไม่เข้าใจ” เด็กสาวผมทองถามด้วยความสงสัย

    “ฉันนะ ตัดสินใจแล้ว จะต้องช่วยเด็กคนนี้ให้ได้ ในระหว่างนั้นฉันจะคอยอยู่ใกล้ๆเด็กคนนี้ไม่ไปไหน” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะออกตัววิ่งกลับบ้าน

    “ไม่มีทางหรอก อย่างเจ้าที่ไม่เคยเรียนรู้วิธีเป็นผู้ชี้นำ ไม่มีทางทำสำเร็จหรอก” เด็กสาวตะโกน

    “ต้องสำเร็จสิ.......” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงที่ดัง เขายกแขนขึ้นกำหมัดแน่นแสดงสีหน้ามุ่งมั่น บ่งบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า เขาไม่มีวันถอย

    “ฉันชื่อ ทาเกะ ละเธอหละชื่ออะไร”

    “ขะ...ข้า...นามของข้า....ไม่สิเรียกข้าว่าโอลิเวีย”

    “โอลิเวีย งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มครุ่นคิด

    “ยินดีที่รู้จักนะโอลิเวีย พวกเรามาช่วยเหลือเด็กคนนั้นด้วยกันเถอะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะออกตัววิ่งไปอีกครั้งหนึ่ง

    เด็กหนุ่ม ใช้เวลาไปกลับเกือบชั่วโมงได้  เขาเดินกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยในมือถือถุงซึ่งเต็มไปด้วยอาหาร ขนมและน้ำ ด้านหลังมีเป้ใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยชุดเครื่องนอน

    “เด็กน้อยเป็นยังไงบ้าง” เด็กหนุ่มรีบถามอาการของเด็กน้อยทันทีเมื่อมาถึง

    “โซ่ยังอยู่...คืนนี้คงไม่มีปัญหาอะไร ปล่อยให้พักผ่อนแบบนี้ดีแล้วหละ” เด็กสาวตอบพร้อมกับลูบศีรษะของเด็กน้อยเบาๆ เธอให้เด็กน้อยนอนหนุนตักและใช้ชายผ้าคลุมห่มร่างวิญญาณไว้

    “อะ ฉันให้เธอ” เด็กหนุ่มยื่นถุงที่ตนถือมาให้กับเด็กสาว

    “อะไร.... สิ่งนี้คืออะไร” เด็กสาวคิ้วขมวด

    “ก็พวกอาหารไงหละ แล้วเธอจะรีบกลับบ้านหรือเปล่า”

    “อาหารอย่างนั้นเหรอ ข้าหนะอยากลองกินอาหารของมนุษย์มานานแล้ว” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ท่าทางของเธอเหมือนกับเด็กที่กำลังจะได้ไปเที่ยวสวนสนุก เด็กหนุ่มอดขำไม่ได้กับท่าทางของเด็กสาว

    “โอกาสที่จะได้มาภพมนุษย์ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ข้าหนะไม่ยอมกลับไปง่ายๆหรอก” เด็กสาวตอบโดยไม่ได้ใส่ใจกับคำถามมากนัก สิ่งที่เธอกำลังให้ความสนใจก็คืออาหารที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น เด็กสาวจัดการถอดผ้าคลุมของตัวเองเพื่อจะได้ให้เด็กน้อยนอนได้อย่างสะดวก

    “อร่อยหรือเปล่า” เด็กหนุ่มถาม

    “ไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าให้ข้าเมื่อตอนนั้น”

    “ข้าเนี่ยนะ.....ให้เจ้า”  เด็กหนุ่มทวนคำตอบที่ได้รับ พลางมองใบหน้าเด็กสาวที่สะท้อนกับแสงจันทร์ ใบหน้าบางๆนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนก็งดงามไร้ที่ติ

    “หรือว่าเธอ...คือคนที่มาซื้อเค้กในร้าน”

    “สิ่งนั้นเรียกว่าเค้กอย่างนั้นหรือ ข้าละชอบมากๆเลยหละ” เด็กสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม ภาพของเค้กอันอร่อยที่เธอเพิ่งกินไปเมื่อตอนเย็นลอยผุดขึ้นมาในหัว เธออยากจะลองกินมันอีกซะครั้ง

    “ฮะ ฮะ ฮ่า มิน่าหละตอนนั้นเธอถึงได้พูดภาษาอะไรแปลกๆ ซึ่งฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน” เด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อเข้าใจเรื่องราว เด็กสาวตวาดกลับมาในทันที

    “นั่นเป็นภาษาของเหล่าภูติ ปีศาจ หรือแม้แต่เทพ เจ้าเองก็ควรจะเรียนรู้ไว้ซะ เจ้ามนุษย์ทึ่ม” เด็กสาวจ้องหน้าเด็กหนุ่มเขม็ง ก่อนจะพูดอย่างโอ้อวด

    “ดูอย่างข้าผู้สูงศักดิ์ ยังเรียนภาษาที่ต่ำต้อยอย่างเช่นภาษาของมนุษย์อย่างพวกเจ้าเลย”

    “เหอ ๆ ๆ มันจะดูดีมากเลยนะ ถ้าคนที่พูดเค้าไม่ทานอาหารไปด้วย” เด็กหนุ่มแหย่กลับ

    “ยุ่ง....” เด็กสาวสะบัดหน้าหนีทันที

    “โอลิเวีย”

    “อะไร....เจ้าทึ่ม”

    “ข้าวติดแก้มอะ”

    “หนวกหู หนวกหู” เด็กสาวใช้มือถูแก้มเพื่อเขี่ยเมล็ดข้าวออก

    -------ไอ้เจ้ามนุษย์ไร้มารยาท พูดแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิงได้ยังไง------- เด็กสาวคิดในใจในขณะที่แก้มแดงขึ้นเรื่อยๆ

    “มา เดี๋ยวเอาออกให้” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

    “ยะ ยังไม่ออกอีกหรอ” เด็กสาวหน้าแดงยิ่งขึ้น หลังจากที่ถูกฝ่ามือของเด็กหนุ่มประกบเข้าที่ใบหน้า ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่สบตากันและกัน เมื่อเด็กสาวถูกจ้องมากๆเข้าก็เริ่มเกิดอาการประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอจึงรีบหันหลังให้เด็กหนุ่มทันที ทั้งสองนั่งหันหลังชนกันอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน จนฝ่ายเด็กหนุ่มเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ทิ้งให้เด็กสาวนั่งมองดูดาวบนท้องฟ้าตามลำพัง

    -------------มะกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ทำไมจิตวิญญาณของข้าถึงได้ปั่นป่วนเช่นนั้น หรือเป็นเพราะเจ้ามนุษย์ที่อ่อนแอคนนี้...... มนุษย์มีความสามารถที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนอย่างนั้นรึ ท่านพ่อเองก็ไม่ได้กล่าวถึงซะด้วยสิ ยังไงข้าก็ไม่ยอมเป็นชิกิของเจ้าทึ่มนี่แน่ ต้องระวังตัว อย่าไปสบตากับมันอีก----------

    เด็กสาวมองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังหลับอย่างสบาย ผมสีดำสนิทของเขาถูกสายลมอ่อนๆพัดไปมา

    ------------หนอย.....เจ้ามนุษย์ชักจะได้ใจเกินไปใหญ่แล้ว หลังของข้าคนนี้ไม่ใช่โลงที่เจ้าจะได้เอนกายลงนะไอ้เจ้าบ้า แบบนี้ต้องเจอสั่งสอน--------- เด็กสาวโยกศีรษะไปข้างหลังอย่างแรง

    “โอ๊ยยยยยย.....” เด็กหนุ่มเอามือกุมศีรษะ ดูจากอาการคงกำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นเด็กสาวหัวเราะอย่างสะใจ จึงเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทันที เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้แต่อย่างใด เขาเพียงแต่ส่ายศีรษะเบาๆ จากนั้นก็หยิบของในเป้ออกมา

    “นั่น....เจ้าจะทำอะไร” เด็กสาวสงสัย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหยิบสิ่งของที่ตัวเองไม่เคยเห็นออกมา

    “นี่นะเหรอ เขาเรียกว่าเต็นท์ เอาไว้สำหรับนอน เธอคงจะไม่คิดนอนทั้งอย่างนี้หรอกนะ ถึงตอนนี้อากาศจะสบายๆก็เถอะ แต่ยิ่งดึกอากาศจะยิ่งหนาว แถมมีหมอกยามเช้าด้วย ขืนนอนทั้งอย่างนี้ จะไม่สบายเอาได้”

    “อย่างนั้นเองหรอกเหรอ มนุษย์นอนในที่แบบนี้นี่เอง” เด็กสาวเขยิบเข้ามาใกล้

    “ก็ไม่เชิงหรอกนะ แล้วปรกติพวกภูตินอนกันยังไงหละ” เด็กหนุ่มตั้งคำถาม

    “ภูติไม่นอนกันหรอกเจ้าทึ่ม จะนอนก็ตอนบำเพ็ญศีลแค่นั้นแหละ” 

    “ศีล....ภูติถือศีลเป็นด้วย” เด็กหนุ่มอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เด็กสาวหน้างอนิดๆก่อนจะเชิดหน้าพร้อมกับอธิบายเพื่อให้เด็กหนุ่มเข้าใจ

    “เป็นคำถามที่โง่มากเลยนะเจ้าทึ่ม ไม่ว่าจะอยู่ในภพไหน หากอยากให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องบำเพ็ญตนให้อยู่ในศีลธรรมกันทั้งนั้นแหละ จะปีศาจ ภูติ หรือแม้แต่เทพเจ้า ต่างก็บำเพ็ญตนเพื่อจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์”

    “อืม....เธอเองก็มีศีลธรรมเหมือนกันนะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม

    “ของมันแน่อยู่แล้ว พวกข้าได้รับการสั่งสอนจากเหล่าท่านผู้ชี้นำชั้นสูงทุกๆหนึ่งร้อยปี ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าเลื่อมใส กิริยาท่าทางอันสง่า วาจาไพเราะนั้น ข้าได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้ขึ้นใจและรับปฏิบัติมา”

    “เหรอ....โทษทีนะที่ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น อะ ช่วยถือไฟฉายให้หน่อย ฉันทำมือเดียวไม่ค่อยถนัด” เด็กหนุ่มยื่นไฟฉายให้เด็กสาวเพื่อที่ตนเองจะได้กางเต็นท์ได้สะดวก

    “มนุษย์อย่างพวกเจ้านี่ก็ลำบากนะ ตอนกลางคืนก็มองไม่เห็น ถ้าแสงสว่างดับไป....” ว่าแล้วเด็กน้อยก็เอามือปิดไฟฉายไว้ จากนั้นก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน

    “เธอนี่จริงๆเลยนะ เอาไฟฉายมาให้ฉัน  โอลิเวีย  โอลิเวีย......เฮ้ เธออยู่ไหนหนะ” เด็กหนุ่มพยายามตะโกนเรียกเด็กสาวแต่ก็ไม่มีวี่แววของเด็กสาวแม้แต่น้อย เขาพยายามใช้หูฟังเสียงให้มากที่สุด แต่เสียงที่ได้ยินก็มีเพียงแต่เสียงสัตว์ที่ร้องตอนกลางคืน  

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×