คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แก้ปัญหา ตอนที่ 1
Chapter 4
“นี่นายเดินห่างๆฉันหน่อยได้มั้ย”
“.........”
“นี่นายเดินห่างออกไปอีกนิดสิ ฉันอึดอัด”
“.........”
“เฮ้!!! หัดฟังที่คนอื่นเขาพูดมั่งซิ”
ซาซึกิตะโกนใส่คนที่เดินเบียดเธอมาตลอดทางนับตั้งแต่เริ่มออกจากตึก ยูโตะได้แต่ทำหน้าสงสัย ก่อนจะดึงหูฟังเอ็มพี3ออกพร้อมเอ่ยคำถาม
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ”
เท่านั้นความอดทนของซาซึกิก็ถึงขีดสุด คำด่าทอสบถสาบานต่างๆนานาแล่นเข้ามาในหัวสมอง ซาซึกิได้แต่กัดปากตัวเองไว้อย่างข่มอารมณ์ ก่อนจะพูดอีกครั้งช้าๆชัดๆ
“ฉันบอกว่า นายช่วยไปเดินห่างๆหน่อยได้ไหม ฉันอึดอัด”
ชายหนุ่มรับฟังพร้อมกับสีหน้าที่บอกแน่ชัดว่าปฏิเสธ
“ไม่ได้เหรอ”
คนถูกปฏิเสธย้อนถาม แต่คำตอบที่ได้มายังคงเป็นเหมือนเดิม ซาซึกิลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะตั้งคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“แล้วทำไมนายต้องเอามือมาจับสายกระเป๋าสะพายของฉันด้วย”
คนถูกถามจ้องมองมือของตนเองที่ตอนนี้กำลังจับสายกระเป๋าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างแน่นและกระชับมือ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองพร้อมแววตาที่อ่อนลง
“ฉันไม่รู้ทางไปบ้านซึซึรุ ถ้าฉันเดินห่างเธอแล้วเกิดพลัดหลงกันขึ้นมาก็แย่นะสิ”
ชายหนุ่มผมดำตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแพรวพราว
กะล่อน
คำแรกและคำเดียวที่ฉายชัดในความคิดของเธอตอนนี้ แม้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร จะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ก็ตาม เขาก็มักจะมีเหตุผลที่ดีที่สุดมารองรับอยู่เสมอ โดยสิ่งที่คนรับฟังสามารถทำได้ คือ เชื่อในเหตุผลที่เขายกมาอ้าง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่เชื่อก็ไม่สามารถยกข้อเหตุผลใดๆมาหักล้างกับข้ออ้างของเขาได้ แล้วเธอละจะทำได้อย่างไร
คนแบบนี้เล่นยาก
อีกหนึ่งความคิดที่แล่นเข้ามาในสมอง และเป็นความคิดที่กำหนดการกระทำของเธอ ให้หันหลังกลับแล้วเดินต่อไป แต่แล้วก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา เมื่อมือใหญ่ที่เคยจับแน่นอยู่ที่สายกระเป๋าเริ่มคลายออก แล้วค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจนถึงไหล่ของเธอ ก่อนจะกระชับมือแน่นดึงร่างเธอให้โผเข้าหาอกของเขาดวงหน้าของเธอขึ้นสีเรื่อเมื่อสัมผัสกับอกของเขา อกที่กว้างและอบอุ่น พร้อมกลิ่นหอมละมุนแปลกจมูกที่ทำให้สติของเธอหลุดลอย หลงเคลิ้มไปกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูผิวสัมผัส แต่แล้วความรู้สึกก็ต้องสะดุดลง เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของคนมากเล่ห์ คนๆนี้คงกำลังแกล้งป่วนอารมณ์ของเธอเป็นแน่ คิดแล้วก็พาลอารมณ์เสียที่ตัวเองหลงไปตกหลุมพรางของคนตรงหน้า ก่อนจะดิ้นและดันตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้น
“นี่นายแกล้งฉันเหรอ”
หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาหาเรื่องทั้งๆที่ดวงหน้ายังคงแดงเรื่อ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาอย่างสื่อความหมายของคนตรงหน้า ดวงหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจโบกมือเรียกแท็กซี่ พูดอะไรสองสามคำแล้วจึงกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ทันทีที่ปิดประตูล้อรถก็เริ่มหมุนตามหน้าที่ พาตัวรถวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกให้หยุดของคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย
...............................................................................
“ที่นี่ละ บ้านของซึซึรุ”
บ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์โมเดิร์น ล้อมรอบด้วยสวนสวยที่สะพรั่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่หลากสีสัน ส่งกลิ่นหอมไปทั่วอาณาบริเวณบ้านสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้มาเยือน อีกทั้งสีเหลืองนวลของตัวบ้านยังให้ความรู้สึกอบอุ่น อบอุ่นเหมือนครอบครัวที่อาศัยอยู่
“งั้นฉันเข้าไปก่อนนะ”
ยูโตะกล่าวเสียงเย็นพร้อมกับเดินผ่านรั้วบ้าน ท่าทางและอารมณ์ที่สื่อออกมาของเขาทำให้ซาซึกิไม่สบายใจ แต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ก็รอยยิ้มที่ส่งออกมาตอนนั้นมันสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจนเลยว่า ที่ดึงเธอเข้าไปกอดก็เพราะจงใจจะแกล้งให้เธอรู้สึกปั่นป่วน แล้วตอนนี้มาทำเป็นงอน แค่เธอแก้แค้นนิดหน่อยโดยไปบอกแท็กซี่ว่าออกรถได้เลยไม่ต้องรอ เขาเลยต้องตะโกนเรียกแท็กซี่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็นั่นละในที่สุดเธอก็บอกให้แท็กซี่วกรถกลับไปรับเขาอยู่ดี ก็ถือได้ว่าเสมอกัน แล้วทำไมต้องงอนด้วยละ น่าหมั่นไส้เป็นบ้า
ซาซึกิคิดพลางเดินตามเข้าไป แต่แล้วก็ชนเข้ากับหลังของชายหนุ่มที่เดินนำหน้า เขาเหลือบมองเธอด้วยหางตาเป็นเชิงคาดโทษ ก่อนจะหันไปกดกริ่งหน้าประตูบ้าน
เอ๊ะ!! อะไรอีกละตานี่ อยู่ๆก็หยุดเดินไม่บอกไม่กล่าว แล้วยังทำตาหาเรื่องใส่อีก จะอะไรกันนักหนา ! ความโกรธ ความหงุดหงิด และความสับสนกำลังตีกันยุ่งวุ่นวายอยู่ภายในใจของซาซึกิ จะพูดออกมาก็ไม่ได้ จะเก็บต่อไปก็ไม่ไหว ผลสุดท้ายเลยทำให้เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วยังเรื่องปัญหาของซึซึรุที่ยังรอให้เธอแก้ไข เธอจะทำได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์ของเธอยังสับสนวุ่นวายอยู่แบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านกลุ้มใจหนักกว่าเก่า
โครม !!
เสียงวัตถุหล่นกระทบพื้นดังสนั่น ปลุกซาซึกิที่กำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความคิดให้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะสะบัดเบาๆไล่ความวิตกกังวลอันเกินกว่าเหตุออกไป ก่อนจ้องมองซ้ายมองขวาหาต้นกำเนิดเสียงที่ดังสนั่นนั่น แต่แล้วก็พลันสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาคมสีดำ ซึ่งตอนนี้ส่อแววสงสัยออกมาอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่ เสียงฝีเท้าถี่และหนักก็แว่วเข้าโสตประสาท พร้อมกับประตูบ้านที่เปิดออกอย่างรวดเร็ว
หญิงวัยกลางคนผู้มาเปิดประตูเหนื่อยหอบจนตัวโยน แต่ก็ยังส่งยิ้มแลดูอบอุ่นให้กับบุคคลที่มาเยือน ทำให้
ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความรักความเอ็นดูที่เธอส่งมาให้พวกเขาได้อย่างน่าประหลาด ซาซึกิเปิดใจรับความรู้สึกดีๆนั้นอย่างไร้ข้อกังขา ก่อนจะถามไถ่เรื่องธุระ
“พวกเราเป็นเพื่อนของซึซึรุค่ะ ตอนนี้เขาอยู่ไหมคะ”
ซาซึกิเอ่ยถามกลั้วยิ้ม แต่รอยยิ้มที่เคยอบอุ่นของคนตรงหน้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเครียด พร้อมกล่าวเป็นเชิงปฏิเสธ
“ซึซึรุอยู่ในห้องน่ะ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากพบใคร”
“แต่คุณแม่ครับ ซึซึรุเขาโทรหาผมบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษาให้มาหาเขาที่บ้าน ขอผมเข้าไปพบเขาหน่อยเถอะครับ.......นะครับคุณแม่”
ยูโตะขอร้องด้วยน้ำเสียงและแววตาเจือกังวลและเป็นห่วงเป็นใย อีกทั้งคำว่าคุณแม่เป็นสรรพนามที่มีแต่ซึซึรุเท่านั้นที่ใช้เรียกเธอ แต่กลับหลุดออกมาจากปากของคนที่ไม่ใช่ลูกชาย แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมและมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของชายหนุ่มทั้งสอง และเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าซึซึรุลูกชายของเธออาจต้องการเพื่อนที่ปรึกษาจริงๆก็เป็นได้ คิดแล้วก็ใจอ่อนยอมหลีกทางให้พวกเขาเข้าไปในบ้านแต่โดยดี
“นั่งพักตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้”
พูดพลางยิ้ม ก่อนจะปลีกตัวเดินไป ปล่อยให้ผู้มาเยือนทั้งสองนั่งจมอยู่กับความคิด ความคิดฟุ้งซ่านที่ทรมานใจจนแทบระเบิด เมื่อพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกส่าซึซึรุมีปัญหาอะไรกันแน่ แต่ตามที่เห็นอยู่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่นอน แต่แล้วความคิดของซาซึกิก็สะดุดกับอะไรบางอย่าง
เอ๊ะ ! เมื่อกี๊ยูโตะบอกว่าซึซึรุโทรหา
ไวเท่าความคิดซาซึกิหันไปมองชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังนั่งมองสำรวจตรวจตราไปรอบห้องด้วยแววตาคาดคั้น พร้อมกับตั้งคำถาม
“ซึซึรุเขาโทรหานายใช่ไหม”
คำตอบคือความเงียบและรอยยิ้มกวนๆบนริมฝีปาก ซาซึกิรู้สึกฉุนขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็พยายามสงบลง ก่อนจะตั้งคำถามเสียงเครียด
“แล้วเขาบอกรึเปล่าว่าเขามีปัญหาอะไร”
รอยยิ้มกวนแย้มกว้างอย่างมีจุดประสงค์ชัดเจนที่จะยั่วอารมณ์คนตรงหน้า ซาซึกิเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของรอยยิ้มที่ส่งมานี้ เธอรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี ดีมากจนเกินไป มากเกินกว่าที่จะข่มอารมณ์ตัวเองให้สงบลงได้โดยง่าย แต่เธอต้องการรู้คำตอบ ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายแบบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนนี้
“ฉันขอถามนายอีกครั้ง นายรู้ไหมว่าซึซึรุเขามีปัญหาอะไร”
นายแบบมากเล่ห์หันมาสบตาพร้อมที่จะกวนโมโหคนตรงหน้าเล่น แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะ ตอนนี้ของเล่นของเขากำลังแผ่รังสีอำมหิตพร้อมประกายขู่อาฆาตเข้าใส่เขาตลอดเวลา
“ปัญหาของซึซึรุ ฉันเองก็ไม่รู้หรอก”
ยูโตะทำเสียงเข้มและท่าทางจริงจังขึ้นมาในทันที
“นายไม่รู้จริงๆเหรอ นายคุยกับซึซึรุแล้วนี่ บอกฉันมาเถอะ ฉันเป็นผู้ดูแลพวกนายนะ”
ซาซึกิหรือผู้ควบคุมดูแลโปรเจกต์ทำเสียงง้องอนพูดตัดพ้อ พร้อมคาดหวังให้คนกะล่อนยอมอ่อนข้อบอกข้อมูลมาแต่โดนดี แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย แสร้งทำเป็นหูทวนลมจนเธออดหมั่นไส้ขึ้นมาอีกไม่ได้
“นี่นาย !!.......”
“เธอรู้ไหมว่าการกระทำของคนเราจะเป็นผลดีเสมอถ้าเราใช้ถูกกาลเทศะ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผิดก็เถอะ”
ยูโตะพูดตัดขึ้นมาลอยๆ คนฟังได้แต่ทำหน้าเหรอหราอย่างตั้งตัวไม่ทัน รู้แต่ว่านี่เป็นคำคม คำคมชวนให้คิด นี่เขาต้องการบอกอะไรกันแน่ ครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็เริ่มเข้าใจ
“นายกำลังบอกว่าการที่เรามาช่วยแก้ปัญหาให้เพื่อนเนี่ย เป็นการกระทำที่ผิดงั้นเหรอ”
“ไม่หรอกนี่เป็นสิ่งที่ถูก สิ่งที่ควรทำ”
“หรือว่านายจะบอกว่า เราควรหาหนทางอื่นแทนที่จะมาช่วยเขาที่บ้าน”
ซาซึกิยังคงถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่หรอก มาหาที่บ้านน่ะดีแล้วจะได้แก้ปัญหาให้จบลงง่ายๆ”
คนตอบคำถามยังคงนั่งนิ่งตอบคำถามอย่างไร้ความรู้สึก
“แล้วมันเรื่องอะไรกันละ”
คนถามคาดคั้นอยากรู้คำตอบ แต่คนตอบกลับมีรอยยิ้มแพรวพราวพร้อมแววขบขัน
“นี่เธอไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย”
คนฟังหน้าขึ้นสีก่อนจะบ่นเคืองๆแก้เขินกลับไป
“ไม่รู้ ก็ฉันไม่รู้จริงๆนี่ ให้เดาอยู่ได้”
น่ารัก
คือความรู้สึกแรกที่ยูโตะสามารถสัมผัสได้ เมื่อหญิงสาวตรงหน้าก้มหน้างุด พยายามซ่อนดวงหน้าที่ขึ้นสีแดงเรื่อ พร้อมปากก็บ่นอุบอิบออกมาเป็นถ้อยคำฟังดูน่ารักน่าเอ็นดู เหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่คอยเถียงพี่ชาย แต่เมื่อเถียงไม่ชนะก็กลับงอนน้อยอกน้อยใจ อยากให้พี่ชายช่วยปลอบและช่วยบอกว่าตัวเองไม่ผิดเพียงแต่เหตุผลยังไม่ครบสมบูรณ์เท่านั้นเอง
คิดแล้วก็เกิดรู้สึกแปลกๆกับคนตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่หลากหลาย บอกอย่างชัดเจนไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง
กันแน่ แต่ตอนนี้เพียงได้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาบ่นอุบอิบ พร้อมกับซ่อนสีหน้าเขินอาย เพียงแค่นี้ก็อยากจะเข้าไปกอดหอมแก้มปลอบใจ เพียงแต่สถานที่และกาลเทศะไม่เอื้ออำนวย คิดแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจหยอกต่อไป
“นี่เธอเคยเรียนปรัชญามาบ้างรึเปล่า แค่นี้ก็ตีความไม่ออก ซื่อบื้อชะมัด”
คนโดนว่าหันขวับขึ้นมาจ้องหน้าคนปากเสีย
เมื่อกี้...เมื่อกี้เขาว่า
“นายหาว่าฉัน....ฮึ้ย !”
คนโดนว่าพยายามต่อความ แต่ความหงุดหงิดก็เข้ามาทำให้ล้มเหลว คนปากเสียยิ้มเหยียด มองเธอด้วยนัยน์ตาคมสีดำที่ฉายแววพึงพอใจก่อนจะเฉลย
“นี่เธอเชื่อฉันจริงๆเหรอ เรื่องที่ฉันบอกว่าซึซึรุโทรมาหาน่ะ”
“เอ๊ะ....ไม่ใช่เหรอ”
ซาซึกิยังคงทำตาโตจ้องหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่วางตา ก่อนจะถามคาดคั้น
“ถ้าไม่เป็นแบบนั้นแล้วความจริงเป็นยังไง”
นัยน์ตาสีดำฉายประกายวาวอย่างขบขันสุดจะทน ประสานสายตากับแววตาดุๆออกแนวคาดคั้น แต่แล้ประกายขบขันก็ค่อยๆจางหายไป ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับยกมือยอมแพ้ ก่อนจะยอมเปิดปากชี้แจงอีกรอบ
“คือว่า ฉันกับซึซึรุไม่เคยโทรศัพท์หากัน แล้วเขาก็ไม่เคยบอกฉันว่าเขามีปัญหาอะไรหรืออยากได้คำปรึกษาอะไรนั่นเลย ฉันกุเรื่องขึ้นมาเองทั้งหมด ทีนี้เข้าใจหรือยัง”
“ทำไมนายต้องทำแบบนั้นด้วยละ”
ซาซึกิตั้งคำถาม บอกได้อย่างชัดเจนว่ายังไม่เข้าใจ นัยน์ตาสีดำฉายแววเอือมระอา
“ทำไมเธอถึงบื้อได้ขนาดนี้นะ”
ชายหนุ่มบ่นพร้อมกับส่ายหัวอย่างกลุ้มใจ
“ถ้าฉันไม่อ้างแบบนี้แล้วพวกเราจะได้เข้ามาในบ้านหลังนี้รึเปล่าละ”
“แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้.......”
“ชู่ว !!”
ยูโตะเอามือจุ๊ปากตัวเอง พร้อมกับมืออีกข้างที่ปิดปับเข้าให้ที่ปากของซาซึกิ เป็นสัญญาณบอกให้เงียบ ร่างบางของหญิงวัยกลางคนโผล่ออกมาจากห้องครัว ในมือถือถาดใส่น้ำผลไม้และจานคุกกี้ หน้าตายิ้มแย้มอย่างสบายอารมณ์ ซาซึกิสะกิดเรียกยูโตะก่อนจะกระซิบเบาๆ
“นายแสดงฝีมือไปแล้ว คราวนี้ขอฉันแสดงฝีมือบ้างละ ฉัน...จัดการเอง”
ความคิดเห็น