คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทนำ (รีไรท์ครั้งที่2)
ค่ำคืนนี้ดูแล้วเงียบสงบดั่งเช่นทุก ๆ ครา ท้องฟ้าสีดำสนิทต่างปกคลุมไปด้วยดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงระยิบระยับ เบื้องล่างเป็นเขตชนบทนอกเมืองแห่งหนึ่ง ถนนเลนเดียวที่ทอดยาวเป็นเส้นตรงไปถึงภูเขาสูงที่ดูเหมือนม่านขนาดยักษ์เบื้องหลัง รอบข้างต่างก็มีทั้งที่ดินจัดสรรค์ บ้างก็เป็นทุ่งนา หากมองทอดยาวไปเรื่อย ๆ จะสังเกตเห็นโกดังร้างแห่งหนึ่ง
โกดังนี้ไม่มีผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นทศวรรษแล้ว ทั้ง ๆ ที่ชื่อบอกว่าเป็นโกดังร้าง แต่ทำไมกลับมีแสงไฟสว่างจ้าออกมาจากหน้าต่างนั้นเล่า
สิ่งที่เล็ดลอดออกมาไม่มีเพียงแสงไฟเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีเสียงวัตถุกระทบกันจนบาดแก้วหู ซึ่งดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อมองเข้าไป จะเห็นร่างของชายชราวัยหกสิบ ผมสั้นสีขาวบริสุทธิ์ถูกจัดให้เป็นทรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดูเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น กำลังประชันดาบกับหนุ่มวัยยี่สิบหก ดูจากแววตานั้นมีแต่ความมุ่งร้าย เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นแล้วความโหดร้าย ดาบที่ทั้งคู่กำอยู่นั้นต่างก็มีแสงเปล่งออกมาจากแกน ฝ่ายชราเปล่งแสงสีเขียว ส่วนฝ่ายเด็กหนุ่มเปล่งแสงสีม่วงอมดำทมิฬ
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” ชายชร่าเอ่ยออกมาเมื่อตนใช้ดาบดันคู่ต่อสู้กระเด็นออกไปไกล “วาตารุคุง...เจ้ายังเปลี่ยนใจทันนะ”
“หึ...” ผู้ถูกเรียกว่าวาตารุหัวเราะออกมา “เปลี่ยนทำไม...ในเมื่อแบบนี้มันก็ดีแล้วนะ...ท่านอินูอิ”
“ดีแล้ว...ดียังไง” อินูอิถามกลับ “การทรยศต่อชาติบ้านเมืองมันดียังไง”
“ท่านอย่ามาขึ้นเสียงให้เนื่อยเปล่าเลย” วาตารุเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ “พวกโฮเรนจิมันสมควรตายอยู่แล้ว...ชอบทำตัวเป็นก้างขวางคอจริง ๆ”
อินูอิขมวดคิ้วเล็กน้อย...คำว่าก้างขวางคอเมื่อครู่นั้นหมายความว่าอย่างไร...พวกโฮเรนจิ...หรือว่าตัวเขา...แปลได้หลายนัยจริง ๆ...
“บอกมาตามตรงเถอะ...เจ้าแค่ทำตามคำสั่งของพ่อเจ้าใช่ไหม”
“หึ...” วาตารุหัวเราะอีกครั้ง “ข้าเนี่ยนะ”
“เป็นไปได้มากเลยล่ะ” อินูอิกล่าวขึ้นพลางยกดาบป้องกันจากศัตรูเบื้องหน้าที่ไม่เคยลดละเลย
...ถึงแม้ว่าจะไร้ฝีมือเพียงใดก็ตาม...
“โฮเซนพ่อของเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว...กับอีแค่กล่อมเด็กโง่ ๆ คนหนึ่งให้คล้อยตามไม่ใช่เรื่องยาก”
“นี่...แกถึงขนาดด่าว่าข้าโง่เลยเหรอ” วาตารุฟาดดาบด้วยโทสะอันรุนแรงโดยที่ไม่รู้เลยว่า เขาติดกับชายชราผู้นี้แล้ว
อินูอิหัวเราะชอบใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน หน้าที่ของเขาตอนนี้มีเพียงตั้งรับดาบไปเรื่อย ๆ รอให้คู่ต่อสู้ไร้ฝีมือคนนี้หมดเรี่ยวแรงไปเท่านั้น...แบบนี้อาจจะเจรจาได้ง่ายขึ้น...
มองออกไปหน้าโกดังนี้ จะเห็นชายชราอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน เครื่องแต่งกายของเขาดูไม่ต่างกับวาตารุเลย คือทั้งตัวล้วนปกคลุมไปด้วยเสื้อสีดำ เขานั่งหลับตามาเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว ไม่แน่ใจว่าคิดเรื่องอะไรอยู่ ผ่านไปสักครู่ชายชราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายพลางพึมพำ
“พวกเจ้านี่โง่จริง ๆ เลยนะ...สองพ่อลูกโฮเรนจิอุตส่าห์หนีออกไป...กลับไม่คิดจะอำพรางพลัง...นี่มันดูถูกกันชัด ๆ...ข้าเข้าใจหมดแล้ว...ทำไมเจ้าอินูอิถึงมาขวางพวกเราไว้ตรงจุดนี้...ทำไมถึงเป็นที่นี่...ก็พวกโฮเรนจิอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้เลย”
เขาหัวเราะไม่หยุดพลางมองดูนาฬิกา “ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องลงนรกแล้ว...อากิยาม่า อินุอิ” ชายชราในชุดสีดำย่างเท้าเข้าไปในโกดังซึ่งยังคงมีเสียงการต่อสู้ดังอย่างต่อเนื่อง ทั้งริมฝีปากที่แฉกยิ้มและสายตาของเขานั้น เปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายราวกับปีศาจร้าย
ตึก...
ประตูโกดังถูกเปิดออก ปรากฏเห็นสภาพของวาตารุที่สบัดสบอมไม่เป็นท่า เบื้องหน้าเขาคืออินูอิ ซึ่งดูเหมือนกำลังกำชัยเอาไว้
“เล่นกับเด็กขนาดนี้เลยหรือ...ท่านอากิยาม่า” อาคันตุกะใหม่กล่าวทักทาย
“แค่นิดหน่อย...” อินูอิตอบกลับ “พวกที่ไม่เคยรักษาสัญญาบ้านเมืองก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ”
“นี่ท่านหลอกข้าผมด้วยนี่...ดีแค่ปากมันไม่ดีนะ”
“อย่าคิดว่าเป็นคุโรซาว่าแล้วข้าจะเว้นให้...ท่านโฮเซน”
บุคคลเบื้องหน้านี้คือพ่อของวาตารุนั่นเอง...ผู้ที่คิดริเริ่มการทรยศทั้งหมด...ผู้ที่บงการชี้นำให้ลูกตนคล้อยตามไป...ผู้ที่คิดหวังจะเอาอำนาจไว้แค่เพียงผู้เดียว...ผู้ที่ผิดต่อคำสาบานของบ้านเมือง...
“นี่ท่านท้าทายข้างั้นเหรอ” โฮเซนคว้าดาบขึ้นมาซึ่งมีลักษณะไม่ต่างกันเลยกับลูกชาย ด้ามที่เป็นสีขาวนวล ต่อกับคมดาบคมคายเปล่งแสงสีม่วงดำ “คนที่ทรยศทั้งหมดต้องถูกกำจัด...โดยเฉพาะพวกโฮเรนจิ”
“นี่ท่านเพ้อเจ้ออะไรกัน” อินูอิเยาะเย้ยพลางยกมือขึ้น ร่างของวาตารุที่ล้มอยู่ลอยขึ้นราวกับมีเวทมนต์ ที่จริงแล้วอินูอิเป็นคนควบคุมเอาไว้นั่นเอง ทันทีที่เขาสบัดมือ ร่างของวาตารุก็กระเด็นไปจนกระแทกกับพื้นเบื้องหน้าโฉเซนผู้เป็นพ่อของเขา
ตุ้บ...
“อย่างแรกที่ควรทำคืออบรมลูกชายให้ดี ๆ ถัดมาคือสร้างคุณดีงามแก่บ้านเมือง เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว อำนาจพวกนั้นไปทำไม มันไม่ใช่สิ่งที่น่าแสวงหาเลย ข้าเป็นอากิยาม่า ข้ารู้ดี”
“หึ...ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น...อย่างแรกที่ข้าจะทำคือกำจัดพวกโฮเรนจิ”
“จะกำจัดเพื่ออะไร...” อินูอิขมวดคิ้ว “พวกเขาไปทำอะไรให้เจ้า...มันไปแย่งเมียมาหรือยังไงกัน”
“ก็ใช่น่ะสิ” วาตารุตะโกนแทรกบทสนทนา ทำเอาอินูอิที่พูดประชดอึ้งกิมกี่ออกมาอย่างบอกไม่ถูก
“ช่างมันเถอะ” โฮเซนปลงอนิจจัง “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญ...ข้าทำเพื่ออุดมการ”
“อุดมการ...อุดมการ...อุดมการ...จะเป็นอะไรนักหนา” อินูอิบ่นขึ้นกับความหัวดื้อของสองพ่อลูกตระกูลคุโรซาว่าเบื้องหน้า
“ข้าไม่มีเวลามาพล่ามมากนัก...ที่จริงข้ากะว่าจะให้ท่านลองคิดดูเรื่องให้ความร่วมมือ...แต่ถึงตอนนี้คงจะไม่ต้องแล้ว...” โฮเซนมองดูเวลา “ได้เวลาแล้ว...ที่ท่านจะลงนรก”
“เจ้าพูดอะไร” อินูอิสับสนไปหมด
“ท่านไม่คิดเหรอว่าทำไมวาตารุถึงพาท่านเข้ามา...ทำไปถึงเป็นโกดังนี้”
อินูอิสำรวจโดยรอบ เป็นโกดังที่โล่งอย่างผิดปกติ เหมือนกับเป็นห้องโล่งธรรมดา...หรือว่า...
“ท่านอย่าคิดใช้ท่านั้นนะ...นี่มันเป็นกฏต้องห้าม...” อินูอิตะโกนสุดเสียงแต่กลับสายไปแล้ว มีอนุภาคขนาดเล็กสีดำทมิฬมากมายลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะเข้ากระทบโครงสร้างโกดังแล้วแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นการขยายตัวดั่งเช่นพวกแบคทีเรีย ที่เพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง...สองเป็นสี่...สี่เป็นแปด...แล้วไปเรื่อย ๆ
อินูอิตระหนักได้...ว่าถึงตอนนี้เขาคงหมดทางรอด เราติดกับเขาตั้งแต่แรก...เจ้านี่เหนือชั้นจริง ๆ คุโรซาว่า... เขาคิดพลางหลับตาลง
ทันใด...อนุภาคนับร้อยที่แตกฟุ้งกระจายไปตัวก็พุ่งเข้าหาอินูอิซึ่งยังคงหลับตาทำใจ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แสงประหลาดลำหนึ่งพุ่งออกจากโกดังร้างอย่างน่าพิศวง ทิ้งให้สองพ่อลูกคุโรซาว่าหัวเราะอย่างชอบใจ
“เผด็จศึก...”
ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร โฮเรนจิ ไทโคได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะก้าวเข้ามา เหมือนเมฆหมอกที่ปกคลุมพวกเขาไปทั่วร่าง หากพวกเขายังอยู่นิ่งเฉยอย่างนี้...ก็คงมีแต่ความที่จะรออยู่ เสียงเด็กทารกร้องไห้เสียงดังมาจากข้างหลังเขา
...ก่อนอื่นทายาทของเราจะมาร่วมทุกข์นี้ไม่ได้...
ความคิดเห็น