คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Only You : CHAPTER 1
“แบคฮยอน...ได้เวลากลับแล้ว รีบไปกันเถอะ”
แบคฮยอนคนที่เพิ่งถูกเรียกยังนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆกลับมา นอกจากเหม่อมองไปยังที่เดิม ที่ๆเขานั่งมองมาแล้วกว่าสองชั่วโมงกว่า
“แบคฮยอน!!!” คนที่รอยังเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังมากกว่าเดิมพอจะทำให้แบคฮยอนรู้สึกตัวและหันมามองน้าสาวของเขาอย่างงงๆ
“ฮะ...น้าเรียกผมหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ น้าจะบอกว่าได้เวลากลับแล้วนะ น้าต้องไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลอีก เดี๋ยวจะสาย” แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้ารับทราบก่อนจะกลับไปมองยังจุดเดิมอีกครั้ง ไม่มีทีท่าว่าเขาจะอยากกลับไปด้วย
“น้ากลับไปก่อนเถอะฮะ ผมขออยู่ที่นี่อีกสักพัก แล้วผมจะตามกลับไป”
คำตอบของแบคฮยอนทำให้อึนจีผู้เป็นน้าต้องถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ แม้พี่สาวของเธอซึ่งเป็นแม่ของแบคฮยอนจะจากไปแล้วหลายปี แต่หลานชายคนนี้ก็ยังคิดถึงแม่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่มาไหว้หลุมศพแม่ แบคฮยอนจะต้องนั่งเหม่อลอยอย่างนี้ทุกครั้ง และจะขออยู่ต่อเพื่อนั่งมองเนินดินที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็กๆนั่นไปจนถึงเย็น
“งั้นก็ตามใจ ถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรบอกน้าด้วยนะ น้าเป็นห่วง” อึนจีบอกหลานชายเพียงคนเดียวที่เธอเลี้ยงดูมาอย่างดีราวกับลูกในไส้ของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ ที่นี่มีรถประจำทางผ่านถึงค่ำ ผมถึงบ้านปลอดภัยแน่ แล้วจะโทรบอกนะฮะ”
“รีบๆกลับบ้านนะ” อึนจีกำชับก่อนไป และแบคฮยอนก็พยักหน้ารับเพื่อให้น้าสาวสบายใจ
“พ่อฮะ...อย่าทิ้งผมกับแม่ไปนะ ถ้าไม่มีพ่อแล้วพวกเราจะอยู่ยังไง” แบคฮยอนวัย 11 ขวบ กอดขาพ่อไว้แน่น เมื่อเห็นพ่อถือกระเป๋าใบใหญ่กำลังจะออกจากบ้านไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว
“ปล่อยพ่อแบคฮยอน พ่ออยู่กับแม่ของลูกไม่ได้อีกแล้ว” มินวูบอกลูกชายตัวเล็กที่พยายามเกาะแข้งเกาะขาอ้อนวอนไม่ให้เขาไปไหน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผลเมื่อแบคฮยอนยังคงเกาะหนึบยิ่งกว่าเดิม และเด็กชายตัวน้อยก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
“ปล่อยพ่อแกไปเถอะแบคฮยอน ในเมื่อเขาไม่อยากอยู่กับเรา เราจะไปรั้งเขาไว้อีกทำไม” อันนาบอกลูกชายอย่างเจ็บปวด ก่อนที่จะเข้ามากระชากร่างเล็กของลูกจนแบคฮยอนแทบตัวปลิว
“ไว้พ่อจะแวะมาหาลูกนะแบคฮยอน” มินวูสบตาอดีตภรรยาสั้นๆก่อนที่จะบอกลาแบคฮยอนแล้วออกจากบ้านไป ไม่สนใจเสียงร้องไห้ของแบคฮยอนที่ร้องหาเขาด้วยหัวใจที่แตกสลาย ไม่หันกลับมาดูสองชีวิตที่เขาเพิ่งทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไม่เหลียวแล
แบคฮยอนคิดถึงความทรงจำในอดีตที่เป็นบาดแผลลึกทำให้เขาเจ็บปวดได้เสมอเมื่อคิดถึงมัน เขาไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เลย วันที่พ่อทิ้งแม่ไป แม่ต้องล้มป่วยลงเพราะตรอมใจและโรคร้ายที่รุมเร้า ถึงปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่แม่ก็ไม่มีกำลังใจที่จะรักษาตัวเองให้หายดี สุดท้ายแบคฮยอนต้องสูญเสียแม่ไปทั้งที่ตอนนั้นเขายังเด็กมากและไม่มีใครเลยนอกจากน้าอึนจีที่รับเขามาเลี้ยงดู
แบคฮยอนมองไปยังหลุมศพที่ฝังร่างของแม่ไว้ กลับมาที่นี่ทีไรเขาก็มักจะใจหายทุกครั้งเมื่อคิดว่าแม่ได้จากเขาไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะคิดถึงแม่แค่ไหนแต่แม่ก็กลับมาหาเขาไมได้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการจากกันทั้งที่ยังหายใจอยู่ เหมือนอย่างที่พ่อทิ้งเขากับแม่ไป การจากกันแบบนี้มันทุกข์ทรมานกว่าการตายจากกันเป็นไหนๆ เพราะอย่างนี้แบคฮยอนเลยเลือกที่จะไม่เจอพ่อแม้ว่าท่านจะแวะมาเยี่ยมแบคฮยอนเป็นครั้งคราวก็ตาม
แบคฮยอนเก็บความทุกข์ในใจนี้ไว้เพียงคนเดียว ความรักที่ร้าวฉานของพ่อแม่เป็นตัวอย่างให้แบคฮยอนยึดติดอยู่เสมอว่าไม่มีความรักใดๆที่ยั่งยืน สำหรับแบคฮยอนเขาไม่เคยเห็นความรักในด้านที่สวยงามเลย ไม่มีสักครั้งที่เขารู้สึกต้องการความรักเพราะแบคฮยอนรู้ว่าคนที่เข้าหาเขาส่วนใหญ่ต้องการอะไรจากเขา มันทำให้เขายิ่งปิดกั้นตัวเองจนกลายเป็นกำแพงใหญ่ที่ยากจะทลายลงได้ และเขาก็คิดเสมอว่าในชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางรักใครเป็นอันขาด
ความรักคือความเจ็บปวด และแบคฮยอนก็กลัวที่จะต้องเผชิญกับมัน แต่เขาไม่รู้เลยว่าความรักยังมีอีกด้านที่สวยงามและทำให้สุขล้น จนหลายคนยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
“ไอชาน...นี่เมิงจะเดินไปถึงไหนวะ กูเมื่อยแล้วนะโว้ย”
“ไอสำออย...แค่นี้ทำเป็นเหนื่อย ทีเที่ยวผับทั้งคืนไม่เห็นจะบ่นเลย”
“มันเหมือนกันซะที่ไหนวะ”
ชานยอลส่ายหน้าอย่างระอาไม่สนต่อเสียงร้องโอดครวญของจงแดที่บ่นออกมาทุกสองนาที เขาเองก็ไม่ได้บังคับให้มาด้วยสักหน่อยแต่อยากจะตามขึ้นมาเองต่างหาก แล้วอย่างนี้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบด้วยหรอ
“ไอชาน...ไม่ไหวแล้วนะโว้ย” จงแดบอกพร้อมกับทรุดนั่งลงบนพื้นดินไม่สนใจแล้วว่าก้นจะเปื้อนหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนนี้เขาอยากกลับลงไปที่รถ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ จิบเบียร์เย็นๆและนอนหลับให้ยาวไปเลย
“ไม่ไหวก็กลับไปรอที่รถ หรือจะนั่งรออยู่ตรงนี้ก็แล้วแต่เมิง แต่กูต้องขึ้นไปข้างบนก่อนเดี๋ยวจะไม่ทันแสงสวยๆตอนพระอาทิตย์ตกดิน” ชานยอลว่า มองจงแดที่นั่งเหงื่อโทรมกายไม่เหลือภาพหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำอางอย่างเวทนา
นี่ถ้าสาวๆของจงแดมาเห็นมันในสภาพนี้คงจะตลกไม่น้อย ยัยพวกนั้นคงตกตะลึงแน่ที่เทพบุตรยามราตรีมาดเนี้ยบมานั่งคลุกดินอยู่แบบนี้
“กูเดินกลับไปที่รถไม่ไหวแล้ว เมิงแบกกูลงไปหน่อยสิ แล้วเมิงค่อยขึ้นมาบนนี้ใหม่”
“เมิงจะบ้าหรือไงวะ ขึ้นมาเองก็ลงไปเองสิ กูไม่แบกเมิงแน่ๆ หาทางกลิ้งลงไปก็แล้วกัน” ชานยอลบอกอย่างหัวเสีย นึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ชวนจงแดนั่งรถมาเป็นเพื่อนด้วย ถ้าเขามาคนเดียวตั้งแต่ทีแรกคงไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้
“เฮ้ย!! กับเพื่อนกับฝูงจะไม่ช่วยกันหน่อยหรือไงวะ” จงแดยังไม่หยุดบ่น เพราะเขาหมดแรงแล้วจริงๆ กว่าจะขึ้นมาได้ถึงกลางเขานี่ก็แทบแย่แล้ว เขาเดินกลับไปที่รถคนเดียวไม่ไหวหรอก
“งั้นก็รอตรงนี้ รอกูกลับมาเดี๋ยวจะช่วยถีบลงไป” ชานยอลไม่สนใจจงแดอีกเขารีบออกเดินต่อไปทันที
“ไอชาน...เมิงจะไปไหน แล้วกูล่ะ” จงแดร้องตามเสียงหลง
“รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูถ่ายรูปเสร็จแล้วจะรีบลงมา” ชานยอลบอกก่อนที่จะเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น เป้าหมายของเขาคือการเก็บภาพบนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่นัก
แบคฮยอนนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมง กว่าเขาจะรู้ตัวอีกทีว่าเขาอยู่ที่นี่นานเกินไปก็ต่อเมื่อเห็นแสงสีส้มอ่อนพาดทับลงมาบนท้องฟ้าบ่งบอกเวลาเย็นใกล้ค่ำ แบคฮยอนถึงได้เริ่มขยับตัวขับไล่ความเมื่อยล้าตามร่างกายที่ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่รู้สึกถึงมันเลย
“แม่ฮะ...ผมกลับบ้านก่อนนะฮะ ถ้ากลับช้ากว่านี้น้าอึนจีจะเป็นห่วง แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมแม่ใหม่นะฮะ” แบคฮยอนพูดกับหลุมศพที่เขามั่นใจว่าแม่ของเขาจะต้องรับรู้ในสิ่งที่เขาบอก
“ผมรักแม่นะฮะ” แบคฮยอนบอกเสียงเบาหวิวกระทั่งเสียงลมพัดยังกลบเสียงของเขาได้เลย เขามองหลุมศพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะตัดใจเดินจากมาด้วยความรู้สึกเหมือนวันแรกที่แม่จากไป
ทุกท่วงท่าของคนตัวเล็กอยู่ในสายตาของชานยอลตลอดเวลา เขาเห็นแบคฮยอนนั่งเหม่อลอยหน้าหลุมศพตั้งแต่ขึ้นไปถึงยอดเขา กระทั่งเขาเดินเก็บรูปจนทั่วและกลับมาที่เดิมแบคฮยอนก็ยังนั่งตรงนั้นอยู่ไม่ไปไหน ชานยอลรู้สึกแปลกใจจนเขาชักกลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นนั่นคือมนุษย์ที่มีลมหายใจหรือเปล่า แต่พอแบคฮยอนเริ่มขยับตัวชานยอลก็ผ่อนคลายที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เขาจะได้ไม่ต้องวิ่งหนีหน้าตั้งกลับไปหาจงแด
ชานยอลยกกล้องคู่ใจขึ้นมากดชัตเตอร์ตามความรู้สึกและสัญชาตญาณ จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากถ่ายรูปคนตัวเล็กนั้นขึ้นมาเฉยๆ ยิ่งพอถ่ายไปแล้วเห็นว่ารูปออกมาสวย ทั้งแสง บรรยากาศและอารมณ์ ยิ่งทำให้ชานยอลสนุกจนกระหน่ำกดชัตเตอร์แบบไม่ยั้ง ทั้งที่เขาไม่ค่อยชอบถ่ายคนมากเท่าไหร่นอกจากจะทำงานส่งอาจารย์เท่านั้น
น่ารักดีแฮะ
ชานยอลคิดพลางเผลอยิ้มออกมาเมื่อกดเช็ครูปฝีมือตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ชานยอลจะชมใครแบบนี้ เขาเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกถูกใจคนตัวเล็กขนาดยอมเสียเวลาเพื่อแอบถ่ายรูปไว้
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าคนตัวเล็กไม่อยู่ที่เดิมแล้ว เขากวาดตามองซ้ายขวาก็เห็นหลังของร่างบางเดินไวๆไปทางลง ชานยอลรีบตามไปโดยไม่ทันคิดอะไร ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันจะดูน่าตกใจเกินไปสำหรับแบคฮยอน
“เดี๋ยวสิ!!!” ชานยอลร้องเรียกเสียงดัง แต่ก็ยังไม่ดังพอที่แบคฮยอนจะได้ยิน
“นายคนนั้นน่ะ...หยุดเดินก่อนได้มั้ย” ชานยอลเรียกอีกครั้งและคราวนี้ก็ได้ผลเมื่อแบคฮยอนหยุดเดินและหันมาตามเสียงเรียกอย่างงงๆ
แบคฮยอนมองชานยอลอย่างแปลกใจ ผู้ชายคนนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วมาเรียกเขาไว้ทำไมกันนะ
ชานยอลยิ้มยิงฟันมาแต่ไกลพร้อมกับสาวเท้าๆยาวๆเข้ามาหาแบคฮยอน ไม่ถึงห้าก้าวชานยอลก็เดินมาถึงตัวคนตัวเล็กที่เขาร้องเรียกไว้ได้
“จะกลับแล้วหรอ” ชานยอลถามแต่กลับทำให้แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงง นี่เขาไปรู้จักมักจี่กับไอโย่งนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
แบคฮยอนทำหน้านิ่งใส่ชานยอล เขาไม่แม้แต่จะตอบคำถามหรือยิ้มให้ในแบบที่ชานยอลคาดหวังเลย แบคฮยอนมีสีหน้าเดียวเท่านั้นคือหน้าบึ้ง และมันก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่อยากคุยกับชานยอล
“เอ่อ...ฉันขึ้นมาถ่ายรูปบนนี้ แล้วเห็นนายนั่งอยู่คนเดียว ก็เลยสงสัยว่านายมาทำอะไรที่นี่” เมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่ต้อนรับของแบคฮยอน ชานยอลก็รีบอธิบายเหตุผลที่เขาเข้ามาคุยกับคนตัวเล็กทันที แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อแบคฮยอนเห็นว่าเหตุผลของเขามันช่างงี่เง่าชะมัด
ทำไมแบคฮยอนจะไม่รู้ว่าชานยอลเข้ามาคุยกับเขาเพราะอะไร ก็เหมือนนิสัยผู้ชายทั่วๆที่ต้องการแอ้มเขาเท่านั้นแหละ
“เราเคยรู้จักกันด้วยหรอ ทำไมฉันต้องบอกนาย” แบคฮยอนบอกนิ่งๆก่อนจะสะบัดหน้าเดินต่อไป ปล่อยให้ชานยอลยืนเอ๋อแข็งเป็นหุ่นเพราะโดนปฏิเสธซึ่งๆหน้า
เห็นหน้าหวานๆไม่นึกเลยว่าจะใจร้ายได้ขนาดนี้
ชานยอลได้แต่คิดแล้วก็ถอนหายใจ ในเมื่อแบคฮยอนไม่ต้องอยากสนทนากับเขา เขาก็จะไม่สนใจเหมือนกัน ก็แค่คนๆนึงที่บังเอิญเจอและเขารู้สึกถูกชะตาก็เท่านั้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากผูกมิตรไมตรีกับเขานั้นก็แสดงว่าเขาสองคนไม่ได้มีโชคชะตาต่อกัน
หลังจากนี้เขาคงไม่ได้เจอคนตัวเล็กนั่นอีกแล้วล่ะ
“ไอชาน...คืนนี้เมิงจะไปกับกูมั้ยว่ะ เมิงไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้วนะโว้ย จัดไปสักคืนสิครับเพื่อน”
“ไม่ไปว่ะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้า” ชานยอลปฏิเสธคำชวนของเพื่อนสนิทอย่างจงแดแบบไม่ไยดี
จงแดเป็นนักท่องราตรีมือวางอันดับต้นๆของโซลเลยก็ว่าได้ ที่ไหนเด่นดัง ผับเปิดใหม่ สาวสวย หนุ่มน่ารัก จงแดไม่เคยพลาดเลยสักที่ เพื่อนของเขาคนนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องอื่นๆเสมอ หากจะหาตัวจงแดไม่ใช่เรื่องยากเลย พอฟ้ามืดปุ๊บจงแดก็จะเริ่มออกปฏิบัติการทันที ผิดกับตอนกลางวันที่ต้องเก็บตัวเป็นเต่าในกระดองขนาดมีเรียนยังไม่ยอมไป
“เฮ้ย!!! ไรว่ะ กับเพื่อนแค่นี้ก็ไมได้หรือไง” จงแดบ่นอุบอย่างขัดใจที่ชานยอลไม่เคยทำตามใจเขาเลย นอกจากแบกกล้องแบกเลนส์ขึ้นเขาเข้าป่าฝ่าดงเพื่อถ่ายรูปแล้ว ชานยอลก็ไม่มีสังคมที่อื่นเลยนอกจากธรรมชาติและกล้องถ่ายรูปของตัวเอง นี่ถ้าไม่มีเขาสักคนชานยอลก็คงไม่มีใครคบอีกแล้ว
“ก็ไม่อยากไปนี่หว่า พรุ่งนี้มีเรียนเช้าอีก ใครจะไปเหมือนเมิงปีนึงไปเรียนไม่ถึงสิบครั้ง ดีแค่ไหนแล้วว่ะที่ไม่โดนไทร์” ชานยอลตั้งใจกัดเบาๆ แต่จงแดกลัยยักไหล่อย่างไม่แคร์ เพราะเสน่ห์ของเขาเลยเชียวเลยทำให้เรียนผ่านมาได้ถึงปีสี่ ถ้าเขาไม่หว่านเสน่ห์กับสาวๆในคณะไว้ป่านนี้เขาคงโดนไล่ออกจากมหาลัยตั้งนานแล้วล่ะ
“เออๆ ไอคนมีความรับผิดชอบ วันๆทำเป็นอยู่สองอย่างเรียนกับเล่นกล้อง ชีวิตเมิงเนี่ยหาอะไรดีไม่ได้เลยจริงๆ”
ชานยอลเหล่มองจงแดแล้วยิ้มขำกับท่าทางที่กระแหนะกระแหนเขาของอีกฝ่าย
“แล้ววันนี้ถ่ายรูปได้เยอะป่ะวะ เห็นขึ้นไปตั้งนาน นึกว่าจะตั้งแคมป์นอนที่นั่นซะแล้ว” จงแดยังไม่วายค่อนแคะชายยอลพลางหยิบกล้องมาดูเองโดยไม่ต้องรอคำตอบที่ถามไป
“ก็เรื่อยๆ โชคดีที่พระอาทิตย์กำลังจะตกเลยได้รูปสวยๆมาเยอะเลย” ชานยอลตอบ จงแดเบ้ปากแทนการรับคำแล้วกดดูรูปที่ชานยอลถ่ายอย่างเบื่อหน่าย
ก็เหมือนเดิมไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย มีแต่รูปวิว ธรรมชาติ ต้นไม้ ท้องฟ้า พื้นดิน เขาดูรูปพวกนี้ของชานยอลจนเอียนแทบจะกลายเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปซะแล้ว
จงแดกำลังจะปิดกล้องแล้วเก็บกลับที่เดิมอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ดันเลื่อนมาเห็นรูปต่อมาซึ่งผิดวิสัยของชานยอลมากที่เขาจะถ่ายสิ่งมีชีวิตอย่างคน
จงแดจ้องมองคนที่อยู่ในกล้องแล้วเขาก็ต้องร้องออกมาเมื่อจำได้ว่าคนๆนั้นคือใคร เขารู้จักผู้ชายคนนี้ คนที่ชานยอลแอบถ่ายรูปไว้
“เฮ้ย!! เมิงไปเจอแบคฮยอนได้ไงวะ” จงแดถามเสียงดังจนชานยอลที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“แบคฮยอน...เมิงหมายถึงใครวะ กูไม่เห็นรู้จักคนชื่อนี้เลย” ชานยอลตอบอย่างงๆ จนจงแดทนในความบื้อของเพื่อนไม่ไหวต้องยกกล้องที่โชว์หน้าแบคฮยอนอยู่ให้ชานยอลดู
“คนนี้ไง เมิงแอบถ่ายรูปเขาไว้ไม่ใช่หรอ”
“เมิงรู้จักเขาด้วย?” ชานยอลเลิกคิ้ว แปลกใจที่จงแดรู้จักคนตัวเล็กนั้นด้วย และแปลกใจที่จู่ๆก็ใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“เฮอะ!! ทำไมกูจะไม่รู้จัก แบคฮยอนออกจะดังในมหาลัยซะขนาดนั้น แต่คนอย่างเมิงไม่รู้จักเขาก็ไม่แปลกหรอก วันๆมุดหัวอยู่แต่ในห้องล้างรูปหรือไม่ก็แบกกล้องเข้าป่า ก็สมควรแล้วล่ะ” จงแดบอกเป็นการประชดกลายๆ
ชานยอลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่โดนค่อนแคะไม่หยุด ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยที่เขาจะไม่รู้จักแบคฮยอนคนดังในหมาลัย นอกจากเขาแล้วชานยอลเชื่อว่าต้องมีอีกลายคนแน่ที่ไม่รู้จักคนหน้าหวานที่ว่า
“แล้วไงล่ะ กูไม่รู้จักแบคฮยอนนี่เป็นเรื่องผิดมากเลยหรือไงวะ” ชานยอลถามกลับเคืองๆ ใจที่เต้นแรงก่อนหน้านี้ค่อยๆเปลี่ยนความเป็นความหงุดหงิดแทน
“ไม่ผิดว่ะ แต่โคตรเสียดายเลย ถ้าหากเมิงไม่มีโอกาสได้รู้จักคนน่ารักๆอย่างแบคฮยอน”
ชานยอลนึกไปถึงตอนที่เขาเจอแบคฮยอนบนเขา เขาไม่ปฏิเสธว่าแบคฮยอนน่ารักจริงๆตามที่จงแดว่า ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เผลอมองตั้งนานและแอบถ่ายรูปอีกฝ่ายไปตั้งหลายสิบรูป แต่ชานยอลไม่แน่ใจว่านิสัยของแบคฮยอนจะน่ารักแบบหน้าตาด้วยหรือเปล่า เพราะดูๆแล้วเหมือนแบคฮยอนจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองเกินไป แถมยังไม่รักษาน้ำใจใครอีก แบบที่เขาเจอนั่นก็คงจะพอตัดสินได้แล้วว่าแบคฮยอนตัวจริงไมได้ดูดีไปซะทุกอย่าง
และหากชาตินี้เขาไม่มีโอกาสได้รู้จักแบคฮยอนจริงๆ ชานยอลก็คิดว่าเขาคงไม่เสียดายหรอก
“ก็งั้นๆแหละ น่ารักแบบหาได้ทั่วไป” ชานยอลตอบปัดๆทั้งที่มันตรงข้ามกับใจเขาชัดๆ
“กัดฟันพูดป่ะวะ” จงแดกัดเพื่อนแล้วหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
“ทำไมเมิงต้องตื่นเต้นที่เห็นกูถ่ายรูปเขาไว้ด้วยวะ ถามจริงเหอะ แบคฮยอนเนี่ยเป็นคนดังมากเลยหรือไง”
“จะบอกให้เอาบุญนะโว้ย แบคฮยอนน่ะเนื้อหอมมากๆ หนุ่มๆในมหาลัยแย่งกันจีบแทบจะถวายตัวเป็นทาสรับใช้ด้วยซ้ำ”
ชานยอลถึงกับอึ้งไปที่ได้ฟังจงแดเล่าเรื่องแบคฮยอน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แบคฮยอนคนที่เขามองว่าน่ารักก็คงจะไม่ใสๆแล้วสิ
“อย่างนี้นี่เองถึงได้ดัง” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเมื่อนึกว่าแบคฮยอนเคยผ่านผู้ชายมาแล้วมากมาย แต่เขาก็ยังมองว่าคนตัวเล็กน่ารักและดูน่าทนุถนอมเหลือเกิน
“แต่มันไม่ใช่แค่นี้นะโว้ย” จงแดพูดต่อจนชานยอลคิดว่าเขาคงทนฟังต่อไปไม่ได้อีก “ใครๆต่างก็ชอบและแย่งกันจีบแบคฮยอนก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยรับรักใครเลยนะ แม่ง!!น่ารักอย่างนี้เสียดายของ”
“ไม่เคยมีแฟนเลยหรอ” ชานยอลถามอย่างไม่เชื่อ
“ตั้งแต่เห็นมาตลอดสามปี ไม่เคยมีสักคนเลยว่ะ ใจแข็งมากไม่คิดเล่นกับใครเลย ฉันว่าแบคฮยอนคงตั้งสเป็คไว้สูงล่ะมั้งเลยไม่มีใครเข้าตาสักที”
พูดไปแล้วจงแดเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมานิดๆ เขาเองก็เคยหลงชอบหน้าหวานๆ รอยยิ้มสวยๆของแบคฮยอนเหมือนกัน เคยพยายามจีบอยู่สักพักแต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าสนใจเขาแม้แต่นิด สุดท้ายเขาก็ล่าถอยออกมาเพราะเหนื่อยกับความพยายามที่ไม่เป็นผล อีกอย่างจงแดไม่ชอบง้อใครนาน เพราะเขาก็ถือคติหล่อเลือกได้เหมือนกัน
“พูดเหมือนกับว่าเมิงเคยไปจีบเขางั้นแหละ” ชานยอลแซว เรื่องที่ว่าแบคฮยอนยังไม่มีใครทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ชานยอลไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่เขาคิดว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่พิเศษ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถ่ายรูปแบคฮยอนเก็บไว้ ทั้งที่เขาไม่ชอบถ่ายรูปคนที่สุด
“เออดิว่ะ....กินแห้วกระป๋องใหญ่เลย” จงแดบอกเรียกเสียงหัวเราะจากชานยอลได้ทันที
“ทำใจเถอะว่ะ ถึงยังไงเมิงก็ยังมีกิ๊กในสต็อกอีกเพียบไม่ใช่หรอ”
จงแดเหล่ตามองชานยอลอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเห็นว่าเพื่อนตัวดีแอบอมยิ้มเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีพลังงานแปลกๆบางอย่างแน่นอน
“เมิงชอบแบคฮยอนหรอวะ” จงแดจัดการซักโดยไม่อ้อมค้อมจนชานยอลทำหน้าเหวอเพราะหาทางไปต่อไม่ถูก
“ชอบได้ไง เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว” ชานยอลบอกปัดแต่ใจกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกเหมือนจะต่อต้านสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป
“อย่ามาปากแข็ง ก็เมิงเป็นคนถ่ายรูปเขามาเอง แล้วกูก็รู้จักเมิงพอๆกับที่เมิงรู้จักตัวเองนั่นแหละ คนอย่างเมิงถ้าไม่คิดอะไรแล้วจะถ่ายรูปเขามาทำไม เมิงไม่ยอมเสียเวลาเปล่าหรอก”
ชานยอลรู้สึกว่าที่จงแดพูดมาโดนใจเขาหมดทุกอย่าง แค่เพียงเห็นแบคฮยอนครั้งแรกเขาก็เผลอมองตาค้าง และเขาก็มักจะเก็บสิ่งที่ชอบไว้ด้วยการถ่ายรูป เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ถ่ายรูปแบคฮยอนมาด้วย เพราะเขาอยากจะเก็บคนตัวเล็กนั้นไว้เป็นความทรงจำที่สามารถระลึกถึงได้เมื่อยามคิดถึง
ชานยอลสะบัดหัวตัวเองแรงๆแล้วตั้งใจขับรถต่อไป พยายามไม่คิดถึงแบคฮยอนที่โผล่เข้ามาเต็มหัวเขาไปหมด
“แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ยังจะมาบอกอีกหรอว่าไม่ชอบ” จงแดแอบสังเกตท่าทางของชานยอลมาตลอด และใบหูแดงๆนั่นก็พอจะบอกได้ว่าชานยอลชอบแบคฮยอนเข้าแล้วจริงๆ
“บอกว่าไมได้ชอบไงเล่า อย่ามายัดเยียดความรู้สึกตัวเองให้คนอื่นได้มั้ยวะ” ชานยอลยังคงยืนกรานคำเดิมปฏิเสธว่าไม่ชอบแบคฮยอน
“ยอมรับกับเพื่อนมันน่าอายตรงไหนวะ”
ชานยอลหันมาสบตาจงแดแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างจำยอม ความจริงแล้วเขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าชอบแบคฮยอนจริงๆ แต่ความรู้สึกอยากเจอหน้า อยากพูดคุยและถูกชะตาก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ และหากเขาได้เจอแบคฮยอนอีกครั้งความรู้สึกอาจจะชัดเจนกว่านี้
“เออ...กูยอมรับว่ารู้สึกดีกับเขา แต่ไม่แน่ใจว่าชอบหรือเปล่า”
“เมิงจะยังไม่แน่ใจอีกหรอ กูฟังธงให้เลยว่าเมิงชอบเขาแล้ว” จงแดตัดสินใจให้เสร็จสรรพโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดให้มากความ แค่มองตาเขาก็รู้แล้วว่าชานยอลรู้สึกยังไง นอกจากว่ามันจะบื้อมากจนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองนั่นแหละ
“ชอบก็ชอบ กูไม่อยากเถียงกับเมิงแล้ว”
“ฮ่าๆ ในที่สุดเมิงก็ยอมกูจนได้” จงแดหัวเราะปลดปล่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเขาดีใจที่สามารถคาดคั้นชานยอลให้ยอมรับความคิดของเขาได้สักที
“เมิงคงสบายใจแล้วสินะ” ชานยอลส่ายหน้าอย่างระอาในความเป็นเด็กของเพื่อนตัวดี
“สบายใจมากเลยว่ะ ต่อไปนี้เมิงก็เดินหน้าจีบเลยนะเพื่อน กูผิดหวังมาครั้งนึงแล้วเมิงต้องช่วยกูกู้ศักดิ์ศรีคืนมาให้ได้นะโว้ย”
ชานยอลยิ้มแหยงรู้สึกเหมือนกำลังโดนจงแดไล่ไปสมรภูมิรบยังไงยังงั้น
“ไหนเมิงบอกว่าเขาไม่เคยรับรักใครไง แล้วกูจะยังกล้าไปจีบเขาอีกหรอ”
“เมิงก็ลองดูสักครั้งก่อนสิวะ บางทีเมิงกับเขาอาจเคมีเข้ากันก็ได้ ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้หรอก” จงแดตบบ่าให้กำลังใจ ชานยอลได้แต่คิดหนักหาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้ความรู้สึกในใจเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆแล้ว ในหัวก็มีแต่หน้าแบคฮยอนลอยเต็มไปหมดจนเผลอมองจงแดเป็นแบคฮยอนไปด้วย ความรู้สึกของเขาเป็นอย่างที่จงแดบอกจริงๆ มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าเขาชอบแบคฮยอนเข้าแล้ว
แต่ชานยอลยังไม่รู้ว่าเขาจะจัดการกับความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆนี้ยังไง รุกหน้าแบบที่จงแดว่าหรือแค่แอบชอบแล้วปล่อยให้ความรู้สึกนี้ค่อยๆเลือนหายไป เพราะเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปหาคนที่ชอบตรงๆ และที่สำคัญเขากลัวที่สุดคือโดนการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
เมื่อคิดว่าแบคฮยอนจะตอบเขายังไงชานยอลก็หดหู่ขึ้นมาทันที ครั้งแรกที่เจอหน้ากันก็น่าจะรู้แล้วว่าแบคฮยอนไมได้สนใจอะไรใจตัวเขาเลย เพราะฉะนั้นก็หยุดมันไว้เพียงเท่านี้แหละ
ชานยอลไม่กล้าเสี่ยงและเขาก็ไม่อยากเจ็บตัวด้วย
ผ่านไปกว่าสัปดาห์ชานยอลก็ยังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเรียนและกิจกรรมในคณะเหมือนเดิมเป็นปกติ ยิ่งวันนี้เขายิ่งเครียดเป็นพิเศษเพราะอาจารย์วิชาภาพถ่ายเพิ่งสั่งงานใหม่ล่าสุดมาสดๆร้อนๆ งานที่ว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยถนัดด้วยสิ ชานยอลยอมแลกกับการอยู่ป่าหนึ่งเดือนเลยเพื่อไม่ต้องทำงานชิ้นนี้ แต่ความเป็นจริงเขาไม่อาจเลือกได้ เพราะนี่เป็นคะแนนและเขาก็ต้องทำส่งถ้าไม่อยากลงเรียนวิชานี้ใหม่ในปีหน้า
ชานยอลกุมขมับหลังจากที่พยายามคิดแล้วคิดอีกว่าจะขอให้ใครช่วยทำงานชิ้นนี้ดี เขาต้องการคนเพื่อมาเป็นแบบในการถ่ายภาพ น้อยครั้งนักที่ชานยอลจะถ่ายรูปคนเพราะเขาชอบที่จะถ่ายรูปวิวทิวทัศน์และธรรมชาติมากกว่า งานชิ้นนี้เลยถือว่าเป็นงานหนักที่สุดตั้งแต่เขาเคยทำมาเลยก็ว่าได้
ชานยอลคิดหนักเพราะเขาไม่รู้จะหาใครมาช่วยเป็นแบบให้ เขามีเวลาแค่สองสัปดาห์เท่านั้นสำหรับงานชิ้นนี้และชานยอลยังไม่รู้จริงว่าเขาจะต้องทำอย่างไร
หรือให้แม่มาเป็นแบบให้ บ้าน่า...แม่ไม่ชอบถ่ายรูปต้องไม่ยอมมาเป็นแบบให้แน่ๆ
ชานยอลเค้นสมองอีกครั้ง คิดว่าที่ผ่านมาเขาเคยถ่ายรูปใครบ้าง ที่เขาถ่ายเพราะอยากถ่ายด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะโดนบังคับอย่างที่เพื่อนสาวๆในคณะเคยขอให้เขาไปถ่ายรูปให้ตามงานอีเว้นท์
แล้วใบหน้าหวานของใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว คนที่ชานยอลไม่กล้าที่จะเข้าหาแต่แอบคิดถึงตลอดเวลาจนเก็บเอาไปฝันในเวลานอน
ชานยอลไม่คิดนานเขารีบต่อโทรศัพท์หาจงแดทันที ถ้าเขาอยากเจอแบคฮยอน จงแดน่าจะเป็นตัวช่วยได้ดีที่สุด ไหนๆหมอนั่นก็เชียร์ให้เขาจีบคนหน้าหวานอยู่แล้ว
“จงแด...กูมีอะไรให้เมิงช่วยหน่อยว่ะ กูอยากเจอแบคฮยอน จะไปหาเขาได้ที่ไหนวะ”
“คาปูชิโน่ ได้แล้ว” แบคฮยอนส่งเครื่องดื่มให้กับลูกค้าที่ยืนรออยู่ โดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าคนซื้อที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่แทบทะลุเลย
“เจอกี่ครั้งนายก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ” ลูกค้าคนเดิมยังยืนอ่อยอิ่งอยู่แม้ว่าจะได้รับของที่สั่งไปแล้ว จุดประสงค์ของเขาก็คือยืนมองหน้าหวานๆของคนตัวเล็กเท่านั้น
“ได้ของแล้วก็เชิญออกไปสักทีสิ ยืนนานๆเกะกะขวางทาง” แบคฮยอนบอกอย่างเบื่อหน่าย เขาโดนแบบนี้ทุกวัน วันละหลายๆรอบแต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีพวกหน้าหม้อมาวอแวกับเขา
“ให้ฉันรอจนนายเลิกงานมั้ยล่ะ เราจะได้ไปหาอะไรดื่มต่อไง”
“กลับบ้านไปกินนมนอนเถอะ” แบคฮยอนว่าจนอีกฝ่ายหน้าชา เมื่อเห็นว่าแบคฮยอนไม่มีทีท่าเล่นด้วยเลยเขาจึงได้ยอมล่าถอยออกมาอย่างไม่พอใจ
ปีนี้แบคฮยอนเปลี่ยนที่ทำงานพิเศษมาสามครั้งแล้ว ไม่ใช่เพราะเขามีปัญหากับที่ทำงานแต่เพราะต้องการหนีคนที่ชอบเข้ามาวุ่นวายกับเขา แต่ก็หนีไม่เคยพ้นสักที พอย้ายที่ทำงานได้ไม่นานก็จะมีคนตามมาก่อกวนแบบนี้เสมอ แบคฮยอนรู้จุดประสงค์ของคนพวกนั้นดีว่าต้องการอะไรจากเขา เขาเคยได้ยินผู้ชายหลายคนในคณะคุยกันเรื่องเขา เรื่องที่ว่าเขาทั้งน่ารักและดูหยิ่งจนน่าหมั่นไส้ ทุกคนที่เข้าหาแบคฮยอนแค่ต้องการตัวเขาเท่านั้น เขาไม่เคยรู้สึกถึงความจริงใจจากคนพวกนั้นได้เลย เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ปิดใจแน่นหนาไม่เคยยอมให้ใครเข้ามา และเขาก็ไม่คิดจะเปิดมันง่ายๆด้วย
“เอ่อ...มะม่วงปั่นหนึ่งแก้วครับ” ลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มและก็เป็นอย่างเดิมแบคฮยอนรับเงิน ทำเครื่องดื่ม ไม่คิดที่จะมองหน้าลูกค้าเลยสักนิด
ชานยอลจับตามองทุกท่วงท่าของคนตัวเล็กอย่างตั้งใจ เขาเผลอมองแบคฮยอนเนิ่นนานแม้เครื่องดื่มที่สั่งจะเสร็จแล้ว และแบคฮยอนกำลังเรียกเขาอยู่ตอนนี้
“คุณ...มะม่วงปั่นได้แล้วนะ” แบคฮยอนบอกนิ่งๆเมื่อเห็นว่าลูกค้าตัวสูงดูจะใจลอยจนไม่สนใจของที่สั่งเอาไว้
“ขอบคุณครับ” ชานยอลรับแก้วมะม่วงปั่นมาแบบงงๆ เขาแค่มองแบคฮยอนไปแป๊บเดียวเองยังไม่ทันได้ทำอะไรอย่างที่ตั้งใจไว้เลยด้วยซ้ำ
แบคฮยอนสังเกตเห็นว่าคนตัวสูงลังเลอะไรบางอย่างราวกับว่าต้องการจะทำอะไรอีก แต่เขาก็ไม่สนใจนอกจากทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ชานยอลหันรีหันขวางพยายามเรียบเรียงคำพูดที่จะบอกแบคฮยอน กว่าเขาจะรวบรวมความกล้าเข้ามาในร้านได้ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว นี่เขายังต้องมาทำสมาธิเพื่อที่จะคุยกับแบคฮยอนอีกหรอ
คงเพราะแบคฮยอนปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยในครั้งแรกที่เจอกัน ชานยอลเลยรู้สึกหวั่นใจจนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กอีก แต่ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้คงไม่ดีแน่ ยิ่งยืนทำโง่นานเท่าไหร่แบคฮยอนก็คงจะมองเขาติดลบมากขึ้นเท่านั้น
เอาก็เอา...ลองเสี่ยงดูสักครั้งแบบที่จงแดบอกก็แล้วกัน
ชานยอลหันกลับไปเผชิญหน้ากับแบคฮยอนแล้วเขาก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาทันที
“แบคฮยอน...คบกับฉันนะ”
.........................................................................................................................................................
มาอัพแล้วหลังจากที่เปิดเรื่องทิ้งไว้สักพัก วันนี้ตั้งใจว่าจะอัพอยู่แล้วมีเวลานดหน่อยเลยจัดการซะเลย
ไรท์ไม่มีอะไรจะพูดมาก เอาไว้คุยกันเยอะๆในตอนถัดไปก็แล้วกัน หวังว่าเนื้อเรื่องจะถูกใจทุกคนนะคะ
ถึงจะเป็นเรื่องที่สอง แต่ไรท์ก็ยังต้องการกำลังใจเหมือนเดิมนะ ยิ่งมากยิ่งดีไรท์ไม่ขัดศรัทธา เต็มใจรับเสมอ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
ความคิดเห็น