คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ChapT8 ("Rumour") ; เสียงเพรียกจากความมืด
เสียงซุบซิบ เสียงนินทาแทบเปลี่ยนคิมหันต์ให้กลายเป็นตัวประหลาด นับตั้งแต่การจากไปของกวี เขาก็เริ่มเก็บตัวมากกว่าเดิม เขาเบื่อที่จะต้องถูกถามคำถามต่างๆนานาทุกครั้ง เบื่อที่จะต้องฟังข่าวลือน่าเกลียดน่ากลัวของกวีที่มันไม่ใช่ความจริง แม้บางครั้งเขาจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้แก้ข่าวลือและเล่าความจริงไป แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เพราะในบางครั้งความจริงก็เข้าใจยากกว่าคำโกหก
แสงอาทิตย์ยามเย็นสีส้มลอดผ่านเงาไม้และหน้าต่างส่องกระทบศีรษะของคิมหันต์ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆและพบว่านี่เป็นเวลาสี่โมงเกือบจะห้าโมง คิมชินแล้วที่จะตื่นมาพบกับห้องเรียนที่ว่างและไม่มีใครในทุกๆวัน เพราะนักเรียนคนอื่นก็รู้ดีว่าตอนหมดคาบต่อให้จะปลุกเขากี่ครั้งก็ไม่ยอมตื่น ทุกคนจึงปล่อยให้คิมนอนและตื่นขึ้นมาเอง
คราวนี้คิมเห็นว่ามีนักเรียนสามคนกำลังทำเวรอยู่ในห้องด้วย พวกเขาอยู่ห้องเดียวกับคิมชายสองหญิงหนึ่ง กำลังกวาดพื้นไปจนถึงลบกระดาน คิมเสือกเก้าอี้กลับเข้าไปในโต๊ะแล้วลุกขึ้น หยิบกระเป๋าและทำท่าจะเดินจากไป
ทว่าเสียงหนึ่งได้รั้งเขาเอาไว้ “ตื่นแล้วหรอคิม”
“อะอืม”
ทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนจะตกลงกันมาอยู่แล้วว่าจะถามอะไร คิมหันต์แทบไม่ต้องเดาเลยว่าคำถามจะเกี่ยวกับอะไร “ธารินกับกวีเขามีปัญหาอะไรกันหรอ” คนหนึ่งถาม
คิมหันต์ถอนหายใจเบาๆแล้วหันไปตอบอย่างเบื่อหน่าย “เขาไม่ได้มีปัญหาอะไร มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อ้าว ที่เจนนี่บอกว่าทะเลาะกันเรื่องผู้หญิงเนี่ยไม่ใช่หรอ” คนหนึ่งพูด ดูเหมือนพยายามจงใจยกคำพูดของหัวหน้าห้องเสียงแจ๋นมาพูดเพื่อให้คิมหันต์เล่าเรื่องให้เป็นแบบนั้นจริงๆ
“ฉันอยู่ในเหตุการณ์ ในระหว่างที่เจนนี่คุดคู้อยู่ในห้องเพราะกลัวหิมะกัด ถ้าฉันเป็นพวกเธอฉันจะหัดเชื่อให้ถูกคน” ทั้งสามคนนิ่งเงียบ สบตากันแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป คิมหันต์เห็นดังนั้นจึงเดินออกไปนอกห้อง
และทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้นอาคาร เสียงซุบซิบก็ดังเล็ดรอดออกมาอย่างน่ารำคาญ คิมหันพยายามข่มความเบื่อนี้เอาไว้และรีบเดินไปให้ไกลที่สุด
“นี่!” นักเรียนหญิงคนหนึ่งชะโงกหน้าผ่านบานประตูออกมา “ถ้าอยากให้เราเชื่อก็เล่าความจริงให้ฟังสิ!”
คิมยังคงหันหลังเดินอยู่ และสาวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น เดินไปให้ไกลที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่เมื่อตอบแล้วจะไม่มีวันจบสิ้น
คิมหันต์เดินลงอาคารมาจนมาถึงบริเวณสวนหย่อมใต้อาคารที่ล้อมรอบด้วยแมกไม้ร่มรื่น เป็นสนามหญ้ากว้างประมาณหนึ่งห้องเรียนที่ตรงกลางมีสระบัวอยู่ บันไดเล็กๆทอดไปตรงกลางของสระซึ่งตั้งไว้ด้วยศาลาไม้ที่เงียบสงบ มันมักจะเป็นที่ประจำของคิมที่จะมานั่งเพื่อปล่อยให้เวลาผ่านไป ฟังเพลง ทำการบ้าน หรือแอบเล่นโทรศัพท์โดยไม่มีใครรู้ แต่ดูเหมือนวันนี้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้เพียงลำพัง เพราะใครบางคนได้จับจองพื้นที่นี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หญิงสาวรูปร่างอวบไปจนถึงอ้วน หน้าตาอวบอิ่ม ตาตี่ แก้มแดง ผมเหยียดตรงตัดสั้นพอดีกับติ่งหูพอดี คิมหันต์รู้สึกรังเกียจเล็กๆตอนที่รู้ว่าเธอคือ “เจนนี่ หัวหน้าห้องตัวแสบ” นั่นเอง เขาเองคงจะเข้าไปต่อว่าแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอกำลังร้องห่มร้องให้อยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
เสียงสะอื้นแหลมๆแทบทำให้คิมเดินหนี แต่เธอก็เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือแล้วเจอคิมเข้า
“ไง” เจนนี่กล่าวทักทาย
“เป็นอะไรล่ะ” คิมถาม แม้จะตามมารยาทแต่เขาก็อดสงสารไม่ได้ว่าอะไรทำให้คนร่าเริงแบบนี้ร้องให้เข้า
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก” เธอปาดน้ำตา สะอื้นอีกครั้ง แล้วสูดน้ำมูก
คิมเดินไปนั่งในศาลา แต่ยังคงทิ้งระยะห่าง “ไม่มีอะไรได้ยังไงอ้ะ ก็เห็นร้องให้นี่นา”
“ก็ไม่นึกว่าคนอย่างนายจะเข้ามาถามนี่ ปกติเห็นเอาแต่หลับ เราอยู่ห้องเดียวกันยังคุยกันไม่ถึงสามคำ” เธอว่า
“อ่า...ถึงตอนนี้ฉันก็คงเป็นคนดังแล้วมั้ง จากเรื่องที่เกิดพวกเนี้ย”
“อ่า...ฉันไม่ได้เป็นคนกุเรื่องขึ้นมานะ!” เธอปฏิเสธทันควัน มันค่อนข้างมีพิรุธเพราะคิมหันต์ยังไม่ทันเข้าเรื่องเลยแท้ๆ “ฉันได้ยินมาจากรุ่นพี่อีกที”
“แล้วก็เอามาเล่าต่อทั้งๆที่มันเป็นข่าวลืออะนะ”
“เปล่า...มันก็แค่...มีคนถาม...” เธอปฏิเสธเสียงอ่อย คงไม่มีกะใจจะมาแก้ต่างให้ตัวเองในตอนที่กำลังร้องให้ และคิมก็ไม่ใจดำขนาดจะรีดเลือดจากปูตอนนี้ด้วย “พ่อแม่ฉันเลิกกันแล้วน่ะ...” แต่จู่ๆเธอก็พูดขึ้น ทำเอาคิมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
“อะไรนะ”
“อื้อ...พวกเขาเลิกกันแล้วละ พ่อเพิ่งโทรมาถามว่าจะไปอยู่กับพ่อหรือแม่ ฉันยังไม่คิด ไม่ได้เตรียมใจ...” เธอซุกหน้าใส่ฝ่ามือแล้วตั้งต้นสะอื้นอีกครั้ง คิมหันต์ยังคงนิ่งอึ้ง ในใจเริ่มมีความรู้สึกสงสาร
“เอ่อ...ไม่เอา อย่าร้องให้สิ พ่อแม่ก็แค่ทะเลาะกัน เดี๋ยวเขาก็กลับมาอยู่ด้วยกันนะ” มันช่างเป็นคำปลอบโยนที่ดูหลอกตัวเองและแทบเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับคิมเขาทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ
“ไม่หรอก...ฉันรู้อยู่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง แค่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้เท่านั้นเอง”
“แล้วเธออยากไปอยู่กับใครล่ะ พ่อหรือแม่?”
“อืม...จริงๆฉันอยากไปอยู่กับพ่อมากกว่าน่ะ แต่ถ้าไปกับพ่อฉันก็ต้องเปลี่ยนที่เรียน”
“ว้า...งั้นก็แย่เลย งั้นเลือกอยู่กับแม่ดีกว่าเนอะ”
“ไม่หรอก” เธอตอบแบบเศร้าๆ “บางทีได้ย้ายที่เรียนก็ดีเหมือนกันนะ เห็นอะไรเก่าๆบางทีมันก็เจ็บปวด”
“หมายถึง..?”
“ธารินน่ะ...ฉันชอบเขา เขาอาการสาหัสอยู่ตอนนี้ใช่มั้ยล่ะ ถึงจะไม่ตายแต่ก็ร่อแร่ กว่าจะกลับมาก็คงอีกนาน” เธอพูดอย่างเลื่อนลอย “หรืออาจจะไม่กลับมาเลย... แต่ต่อให้กลับมาทุกอย่างก็กลับไปเป็นแบบเดิมอยู่ดี”
“เธอชอบเขา...แล้วเขา...เอ่อ...เป็นไงบ้าง?” คิมถาม พยายามถามด้วยคำถามที่เบาที่สุดแต่ก็ยังดูแรงอยู่ดี เหมือนเอาสำลีไปบี้มด
“หึหึ” เธอหัวเราะแห้งๆ น้ำตาอาบสองแก้ม “คนแบบนั้นน่ะหรอจะชอบฉันกลับ ไม่หรอก เขาไม่สนฉันสักนิด แล้วรู้อะไรมั้ยตอนที่เกิดเรื่องกับเขา...ฉัน...ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันรู้แค่ว่าฉันเกลียดคนชื่อกวีเอามากๆ”
ใช่ ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน คิมหันต์คิดในใจ “อืมงั้นทำตามใจเธอละกันนะ เลือกทางที่เธอคิดว่าดีกว่า ยังไงเราก็ได้เจอกันใน frontbook อยู่ดีนี่”
“อ๋อ...ไม่หรอก ฉันว่าจะเลิกเล่นแล้วน่ะ”
“อ้าวเธอเนี่ยนะจะเลิกเล่น เธอเป็นคนดังของโซเชียลเน็ตเวิร์คเลยนี่นา”
“บ้า...ไม่ขนาดนั้น ฉันแค่เบื่อน่ะ เปิดไปก็เจอแต่เรื่องเก่าๆ อะไรเก่าๆ เสแสร้งแกล้งทำ ต่างๆนานา ฉันก็เลย...ไม่เอาดีกว่า”
นี่เธอกำลังว่าตัวเองอยู่หรือยังไงกัน คิมหันต์ต่อว่าเธอในใจ รู้สึกเหมือนเปลี่ยนจากความสงสารเป็นรังเกียจ ไม่ใช่เธอหรอกหรือที่ต่อว่ากวีอย่างหนักในฟร้อนต์บุค ด่าเขาทั้งๆที่เขาตายไปแล้วเนี่ยนะ เธอคงเริ่มรู้สึกผิดกับข่าวลือที่ย้อนมาทำร้ายตัวเองเธอมากว่า และอีกอย่างคนอย่างธารินก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนาด้วย ไม่ว่าเธอจะเข้าข้างเขาหรืออะไร แต่ช่วยเข้าข้างอย่างถูกวิธีได้หรือเปล่า
คิมหันต์ลุกขึ้น โบกมือลาแบบไม่พูดอะไร แล้วเดินหายไปพร้อมกับความคิดบางอย่างในหัว
มาหยุดอยู่ในห้องมืดที่ไม่มีเสียงอันใด คิมหันต์หยุดมองหน้า frontbook ของเจนนี่และอ่านข้อความที่โจมตีและสร้างข่าวเกี่ยวกับกวีอย่างหนัก บางครั้งก็มีข้อความพร่ำเพ้อถึงธารินด้วย คิมหันต์มองอย่างไตร่ตรอง เอื้อมมือขึ้นไปเปิดหน้าต่างสีดำประหลาดและลงมือพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป อะไรบางอย่างที่เขาคิดว่าคงจะเป็นบทเรียนแก่คนหมู่มากไปอย่างยาวนาน
“นาย...นายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” คิมหันต์ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าตัวเองจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ สภาพที่จนตรอกอย่างสุดๆ อับอาย พ่ายแพ้ และสูญเปล่า อีกทั้งคนตรงหน้าก็ดูเหมือนจะสะใจเอามากๆด้วย
“จะให้ฉันอธิบายจากจุดไหนก่อนละ เริ่มจาก...ฉันเรียกพวกเธอมาทำไมที่นี่ก่อนละกัน” กวีกล่าว “ฉันเป็นคนส่งข้อความเข้าไปนัดหายลลิตเอาไว้และล่อเธอให้เข้ามาที่นี่ ฉันจับเธอไว้ก่อนและยังไม่อธิบายอะไรมาก บอกแค่ว่าเรียกคิมหันต์มาให้ได้ก่อนก็พอแล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
“จากนั้น ฉันก็บังคับให้ลลิตพิมพ์ข้อความเพื่อกลั่นแกล้งนาย แต่เธอดันหัวดีไปหน่อยและไปพิมพ์คำว่า ช่วยด้วย ฉันก็เลยต้องคว้ามาพิมพ์เอง อ้อนายอาจจะไม่เข้าใจแต่ฉันเองละ Gaspius_k ที่ทักนายไป” เขาแสยะยิ้มอย่างสะใจ
“แกเองสินะ” คิมหันต์ครางในลำคออย่างเดือดดาล
“แล้วฉันก็ออกไปซ่อนตัว ปล่อยให้ลลิตเป็นฝ่ายจับตัวแกมาให้ฉัน ฉันคอยพูดอยู่จากในมุมมืดและจับตาดูพวกแกไปด้วย และเผื่อแกอยากจะใจร้อนทำร้ายฉันแกก็จะได้ฆ่าเพื่อนแกตายแบบไม่รู้ตัว”
คิมหันต์หัวเราะ “เกมส์จิตวิทยาอีกแล้วใช่มั้ย บอกแล้วว่ามันไม่ได้ผลกับฉัน ฉันรู้ว่าแกไม่กล้าฆ่าใครหรอก”
“อ๋อหรอ...ก็จริงอยู่ฉันอาจจะไม่ฆ่าใคร แต่ฉันกว่าแกเลือดเย็นกว่าที่ฉันประเมินไว้เยอะ เริ่มจาก...การผลักโรงเรียนแห่งนี้จมสู่ความหวาดกลัวที่แกได้ทำมาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนหน้านี้”
“อะไรนะ!” ลลิตอุทานอย่างตกใจ มองหน้าคิมกับกวีสลับกันไปมา
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือใคร ใครเป็นคนแฮ็ครหัส Frontbook ของเจนนี่ห้อง2 เพื่อโพสข้อความน่ากลัวว่าฉันหลอกหลอนเธอ ใครเป็นคนเลือกใช้เธอเป็นเครื่องมือเพราะเธอมีเพื่อนห้าพันกว่าคน ใครเป็นคนตัดต่อรูปภาพสวะๆที่กระจายไปทั่วเน็ตเวิร์ค แล้วสาเหตุจริงๆที่เด็กผู้หญิงคนนั้นย้ายโรงเรียนไปคืออะไรกันแน่” ทั้งสองคนได้แต่ตาค้างกับสิ่งที่กวีกำลังเฉลย “นายน่าจะรู้ดีอยู่กว่าใครใช่มั้ย TK.”
คิมหันต์หัวใจตกวูบ ตัวชาจนรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นรูปปั้นหินไปสักพัก เขากำหมัดแน่น ไม่ตอบอะไร
“ไม่จริงใช่มั้ยคิม...” ลลิตยังคงหลอกตัวเอง เธอเข้าไปเขย่าตัวคิม
“ใช่...ฉันเอง” คำตอบหนึ่งดังออกมาเบาๆ แทบทำให้ลลิตตกใจจนสลบ
“ฉันนี่แหละเป็นคนทำ” คิมหันต์ตอบอย่างว่างเปล่า พยุงตัวลุกขึ้นและพูดออกมา “ฉันเป็นคนแฮ็ครหัสฟร้อนต์บุคของเจนนี่ ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเธอย้ายโรงเรียนไปด้วยสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การหลอกหลอน ฉันเป็นคนที่ตัดต่อภาพน่ากลัวนั่นและปล่อยให้มันแพร่กระจายไป ทุกอย่างเป็นฝีมือของฉันเองและอย่างที่นายเข้าใจ ฉันคือคนที่ผลักให้โรงเรียนนี้จมสู่ความหวาดกลัว...” คิมหันพูด เดินไปตรงบริเวณที่ผนังถูกเขียนด้วยอักษรเลือด
คิมแค่นหัวเราะแล้วพูดต่อ “แล้วยังไงล่ะ มันได้ผลใช่มั้ยล่ะ ทุกคนกลัว ทุกคนไม่กล้าหยิบยกเรื่องของนายมาพูด ทุกคนยำเกรงและไม่กล้าทำอะไรนาย”
“มันไม่ยากหรอกที่นายจะทำเป็นเก่งอยู่หลังหน้าจอเหลี่ยมๆแล้วเที่ยวบงการใครต่อใคร ที่ยากมันคือการออกมาทำมันด้วยตัวเองต่างหาก” กวีพูด
คิมยังคงหันหลังไม่หันมาสบตา “อ๋อ...และถ้าเผื่อนายไม่รู้นะ ฉันเข้าข้างนาย ฉันกำลังทำให้นายตายไปแบบไร้มลทิน!”
“ก็ตามใจนายถ้านายจะเรียกความหวาดกลัวนั่นว่าไร้มลทิน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”
ความเงียบปกคลุม ลลิตรู้สึกตื้อชาจนไม่รู้ว่าต้องเข้าข้างใคร ความหวาดกลัวที่เธอได้เจอมามันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งสินะ ทั้งภาพ ทั้งตัวอักษรที่เธอหวาดกลัวเป็นฝีมือของคนใกล้ตัวเธอทั้งนั้น เธอรู้สึกสับสนไม่รู้ว่านี่คือความโกรธหรืออะไรที่แย่กว่านั้นหรือเปล่า เธอเคยคิดว่าคิมหันต์เป็นคนที่ไม่มีด้านมืด เขาเป็นคนดีใจกว้าง มองคนเก่ง มองโลกในแง่ดี และกล้าหาญ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นดั่งดาบสองคม ความใจกว้างของคิมทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวกวีเสียจนเกินไป จนความคิดนั้นมันคัดค้านทันทีที่คนอื่นพูด เขาจึงเริ่มหาทางออกโดยการใช้อำนาจตัวเองบงการความคิดของทุกๆคน และเปลี่ยนให้ทุกอย่างตกอยู่ใต้ความหวาดกลัว เพื่อที่เขาจะได้ควบคุม เพื่อที่เขาจะได้อยู่เหนือความกลัวทั้งหลายที่เขาก่อมันขึ้นมา
และอย่างที่กวีพูด การกดให้คนอื่นอยู่ในความกลัวไม่ใช่การเปลี่ยนความคิด ทุกคนแค่ไม่กล้าคิดเพราะกลัวเท่านั้นเอง มันเป็นการลวงตาอย่างถ่องแท้ ถ้าเพียงแค่คิมบอกให้เธอรู้ถึงแผนการนี้ เธอย่อมจะช่วยให้เขาพบกับการแก้ปัญหาที่ดีกว่า แล้วทำไมเขาไม่บอก! ทำไมเธอไม่ยอมปรึกษาเธอบ้าง เธอพร้อมจะช่วยเขาตลอดแต่ทำไมเขาไม่เคยพูดกับเธอเลยหลังจากเรื่องนั้นเกิดขึ้น
“นายน่าจะบอกฉัน” ลลิตพูดขึ้น “นายน่าจะพูดให้ฉันฟังบ้างว่านายกำลังทำอะไรอยู่ นายไม่คุยกับฉันเลยตั้งแต่กวีตายไป! แล้วนายก็แอบไปทำเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่บอกกันหรอ! นายไม่ไว้ใจกันหรือยังไง”
“ฉันขอโทษลลิต” น้ำเสียงของคิมอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหันกลับมามองแววตาที่โกรธเกรี้ยวของเธอ “ฉันแค่ไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ มันน่าเจ็บปวดจะตายที่ต้องมายุ่งกับคนที่จมอยู่กับความทุกข์ เธอน่าจะไปคบกับคนอื่นนะลลิต ฉันคงดูเศร้าและแย่กว่าที่เธอจะมาคุยด้วย ฉันขอแบกเรื่องนี้ไว้ด้วยตัวเองดีกว่า”
“ถ้านายพูดคำว่าจะขอรับไว้เองอีกที! ฉันจะลุกขึ้นไปต่อยหน้านาย...” ลลิตครางออกมาจากลำคอ “นายคิดว่าที่ผ่านมาฉันลืมมันได้หรอ ฉันอยากเข้าไปปรับทุกข์กับนายขนาดไหน แต่นายก็เอาแต่ปิดกั้น ในระหว่างที่นายพูดว่าจะแบกรับไว้คนเดียว ฉันก็ต้องแบกมันคนเดียวเหมือนกัน! นายเล่นไม่บอกอะไรกับฉันเลย มันยิ่งทำให้ฉันจมลงกว่าเดิมนะ!” ลลิตตะโกน
“ก็ฉันอยากให้เธอลืมๆมันไปซะนี่!” คิมตะโกนกับ “ฉันไม่อยากให้เธอมาเกี่ยว เราไม่ควรรู้จักกันตั้งแต่แรกแล้วรู้หรือเปล่า เราน่าจะเป็นแค่คนรู้จักกันก็พอ ฉันยอมแบกรับมันไว้คนเดียวยังดี...”
ผัวะ! ตอนแรกควรจะเป็นลลิตที่เดือดดาลเข้าไปต่อยหน้าคิม แต่ไม่ใช่กลับเป็นกวีที่ฟังอยู่นานแล้ว ทั้งคู่เซล้มไปด้วยกันเพราะแรงต่อย ลลิตอ้าปากค้าง
กวีพยุงตัวลุกขึ้นอย่างสุขุมแล้วพูด “ในฐานะคนที่ฟังอยู่นาน แกมันน่ารำคาญวะ เอาแต่พูดว่าจะแบกไว้คนเดียวจะแบกไว้คนเดียว ทำอย่างกับแกแบกไหว แล้วอีกอย่างแกเพิ่งพูดจาเลิกคบกับเพื่อนของแกไป ให้ฟังยังไงมันก็ไม่แมน”
คิมหันต์นิ่งเงียบ เช็ดมุมปากของตัวเองแล้วลุกขึ้น
กวีเดินไปสมทบกับลลิต เธอหัวเราะเบาๆแล้วตบไหล่เขา “ขอบใจนะกวีที่ทำแทน ตอนนี้ฉันพอจะเรียกนายว่าเพื่อนได้เปล่า”
กวีไม่ตอบ หัวเราะหึหึแล้วกอดอก คิมหันต์มองทั้งคู่อย่างรู้สึกผิด เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นตัวร้ายทั้งๆที่เขาอยากจะทำตัวเป็นฮีโร่มาตั้งแต่ต้น เขาทำร้ายลลิตอย่างไม่รู้ตัวทั้งๆที่ต้องการปกป้องเธอ เขาเข้าใจผิดคิดว่าความหวาดกลัวจะเปลี่ยนความคิดคนอื่นได้ แต่มันไม่ใช่เลย เขาทำได้แค่ทำให้ความจริงยังคงปิดบังต่อไปเท่านั้น เมื่อรู้ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจแล้วเอ่ย “ลลิต กวี...ฉันขอโทษ”
“ไม่รับย่ะ!” ลลิตปฏิเสธทันควัน
“อ้าวทำไมล่ะ!”
“ไม่รับจนกว่านายจะบอกว่าขอโทษเรื่องอะไร อย่างเจาะจงด้วย!” เธอบึ้งปากและเชิดหน้า
“เอ่อ...ผมขอโทษที่มีอะไรก็ไม่ยอมบอกคุณลลิต ผมขอโทษที่กุเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ผมขอโทษที่เข้าใจผิดคิดว่าคุณกวีตายไปแล้ว แล้วผมก็ขอโทษที่เมื่อกี้บอกเลิกคบคุณไปทั้งๆที่ผมยังอยากเป็นเพื่อนกับคุณอยู่”
“เป็นฉันฉันไม่ทนฟังจนจบประโยคหรอก” กวีกระซิบข้างหูลลิต แต่เธอกลับหัวเราะคิกคัก
“โอเคๆ ฮะฮะฮะ ฉันไม่โกรธอะไรนายแล้วละ! เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่มั้ย”
“จ้า...กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจ้า!” คิมเกาหัวอย่าเคอะเขิล เดินเข้าไปใกล้ๆลลิตแล้วแลบลิ้น
“เออ ขอบใจนะกวี” คิมหันไปพูด “ไม่รู้ว่านายกลับมาได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าค่อยตอบวันหลังก็ได้ ขอบใจที่ทำให้ตาสว่างนะเพื่อน ยินดีต้อนรับกลับมา” คิมเอื้อมมือมาตรงหน้าเหมือนรอให้อีกฝ่ายจับตอบ
“เพื่อนหรออืม...ถ้านายกล้าพอจะมีปีศาจร้ายที่มีชีวิตอมตะมายืนข้างๆนาย แถมยังต้องคอยระวังหลังตลอดเวลา ฉันก็เต็มใจนะ” กวีพูด ยิ้มแสยะและเอื้อมมือมาจับตอบ ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบคิมหันต์รู้สึกอิ่มเอมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนอย่างกวีมาเป็นเพื่อนกับเขามันช่างเป็นอะไรที่วิเศษเหลือเกิน
“เดี๋ยวๆๆ!” ลลิตโพล่งขึ้นมาเสียงดัง “ยังไม่ใช่เพื่อนฉันจนกว่าจะคืนกระเป๋าตังค์ของฉันเมื่อตอนนั้นคืน!”
กวียักไหล่และหยิบเอากระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลของลลิตขึ้นมาให้เธอ เธอคว้ามันเอาไว้และแนบไว้ที่กลางอกอย่างคิดถึง “ขอบใจ แต่ยังไม่หมดแค่นี้! เนื่องในโอกาสที่นายทำให้ฉันตกใจเมื่อกี้ แถมยังดึงให้พวกเราไปเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ฉันเกรงที่จะต้องเรียนว่า...”
“ลลิต...ใจเย็นน่า...” คิมพยายามปราม แต่เธอไม่สนใจ
“ฉันเกรงที่จะต้องเรียนว่า ฝากนายทำรายงานของพวกเราให้เสร็จด้วยนะ! อิอิแล้วเจอกันวันจันทร์หน้า!”
ความคิดเห็น