ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #7 : ChapT6 ("Frontbook") ; เสียงเพรียกจากความมืด

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


    พอถึงคาบคอมพิวเตอร์คิมหันต์ไม่ได้เข้าเรียน  ลลิตไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนและเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมมาเรียน  ปกติคาบคอมพ์จะเป็นคาบที่เธอกับเขาจะนั่งข้างๆกันและมองดูเขาทำอะไรบางอย่างกับหน้าจอสีดำที่เต็มไปด้วยตัวอักษรและไม่เคยสนใจในบทเรียน  ลลิตพยายามคิดในแง่ดีว่ามันไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้  เธอปล่อยให้เนื้อหาที่คุณครูกำลังพร่ำบอกผ่านหูไปเรื่อย  และเริ่มเปิดเว็ปดูไปอย่างเบื่อหน่าย  ถอนหายใจเป็นพักๆ  และเลื่อนสกอร์ผ่านไปแบบไม่ได้อะไร

    เธอล็อกอินเข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เป็นที่นิยมที่สุดในขณะนั้นอย่าง Frontbook ลลิตเข้าใจว่ามันเหมือนโถส้วมในคอมพิวเตอร์  เพราะมันมักจะถูกโพสต์ข้อความระบายอารมณ์ต่างๆ  บ้างก็บทกลอน  คำคม  คำโป้ปด  สบถด่า  หรือแม้แต่เพลงที่คนอื่นคงไม่เต็มใจที่จะฟังก็ถูกยัดเยียดไว้เต็มพรืด  ทุกกิจกรรมที่ทำในโซเชียลเน็ตเวิร์คแห่งนี้คนส่วนใหญ่ก็มักทำในห้องน้ำด้วยเหมือนกัน  ซึ่งนั่นมันจึงไม่ต่างกันเท่าไหร่ในสายตาลลิต  เว้นแต่เพียงว่าที่ Frontbook นั้นสามารถโอ้อวดความโก้หรูของตนได้ตลอดเวลาเท่านั้นเอง

    ลลิตเพิ่งจะเลื่อนสกอร์ผ่านภาพถ่ายสีหม่นๆของกาแฟชื่อดังกับกระจกที่สะท้อนให้เห็นกรอบโทรศัพท์มือถือที่มีสัญลักษณ์ผลไม้  ลลิตคิดมาตลอดว่าต่อให้โทรศัพท์คุณนั้นจะแพงและมีกล้องคมชัดสักเพียงใด  สุดท้ายแล้วมันจะถูกทำให้หม่นหมองและย่อให้เล็กลงเพื่อแสดงความหรูหราลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งเป็นสิ่งที่ลลิตไม่เข้าใจและคงไม่มีวันเข้าใจ

    แต่จู่ๆก็มีข้อความหยาดเหยียดของใครบางคนในหน้า wall ที่ทำให้ลลิตต้องชะงักเพื่อหยุดอ่าน

    Jenny  Isaradee

    เอาอีกแล้ว  นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วนะ T^T  ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมารังควานกันถึงขนาดนี้  คุณตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลาแล้วจะได้อะไรขึ้นมาฉันกลัว  กลัวจนทำอะไรไม่ได้แล้วนะ  ทุกครั้งที่มองเข้าไปในกระจกแล้วภาพคุณสะท้อนกลับมามันทำให้ฉันอยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด  ฉันไม่กล้าอาบน้ำ  ฉันได้ยินเสียงคุณเรียกฉันตลอดเวลา  ฉันรู้ว่าคุณตามฉันไปไหนมาไหนตลอด  ฉันพยายามหนีจากคุณ  ฉันย้ายออกจากโรงเรียน  ฉันเริ่มทนไม่ไหว  ฉันขอโทษ  ฉันเคยพูดจาดูถูกคุณไว้เยอะแยะ  ฉันเคยคิดร้ายต่อคุณ  ฉันผิดเอง  ฉันรู้ว่าคุณคงได้อ่านข้อความนี้แม้ว่าคุณจะตายไปแล้วก็ตาม...และมันจะเป็นข้อความสุดท้ายแล้วลาก่อน

    ลลิตหัวใจตกวูบ  สมองตื้อชาเหมือนไม่ทำงาน  นิ้วมือชาดิกเหมือนดินสอที่งอไม่ได้  นี่มันอะไรกัน  โพสข้อความถึงคนตายหรอ  เป็นการล้อเล่นหรือเปล่า  ไม่สิไม่น่าใช่  มันเป็นข้อความของเจนนี่หัวหน้าห้องคนเก่าของลลิตที่เพิ่งย้ายโรงเรียนไปเมื่อสองวันก่อน  ลลิตยังจำได้ดีว่าในวันเกิดเหตุเจนนี่ยังคงมาเตือนเธอเรื่องรายงานสงครามโลกครั้งที่สองอยู่เลย  แต่เหตุผลอะไรกันที่ทำให้เธอโพสข้อความอย่างบ้าคลั่งแบบนี้  เกิดอะไรขึ้นกับเธอ  อะไรกันที่ทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียนออกไป

    ลลิตเอื้อมมือที่สั่นเทาเพื่อสัมผัสกับเม้าส์เบาๆ  เธอคลิกเข้าไปใน Timeline ของเจนนี่เพื่อสำรวจดูข้อความเก่าๆก่อนหน้านี้  เธอพยายามใช้มันประติดประต่อกัน

    Jenny Isaradee

    เจนนี่ต้องย้ายโรงเรียนแล้วนะทุกคน  ที่ผ่านมาเจนนี่สนุกมาก  แต่เจนนี่จนต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ :D  ขอโทษนะเพื่อนๆทุกคน 

    ข้อความนี้ย้ำเตือนว่าในระหว่างที่ลลิตมัวแต่จมกับเรื่องราวของกวี  เจนนี่ได้ย้ายโรงเรียนไปแล้วซึ่งลลิตไม่ค่อยจะใส่ใจ  แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียนกันล่ะ!?

    Jenny Isaradee

    พอพอสักทีกลัว  กลัวไม่ไหวแล้ว T^T

    Jenny Isaradee

    ฉันขอโทษ  อย่าทำอะไรเลย  เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  ฉันขอโทษที่ดูถูกคุณ!!!!

    Jenny Isaradee

    อยากตาย ไดรพ่พเพ่งเพ่รำพนเงยนดงไนดไยงด่ไดไวด่ไงวๆไงต นาดห

    Jenny Isaradee

    ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย!!

    Jenny Isaeadee

    ฉันเจอวิญญาณของคนที่ตายแล้วมองฉันจากเงาสะท้อนที่กระจกและเดินตามมา  เจนนี่รู้ว่าคงฟังดูไม่น่าเชื่อ  แต่เจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว T^T

    มันเหมือนข้อความของคนบ้า  ซึ่งคนอื่นคงเชื่อแบบนั้น  แต่ลลิตรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเจนนี่ไม่ใช้คนที่สงบปากสงบคำสักเท่าไหร่  เธอมักจะถากถางเพื่อนร่วมชั้นด้วยคำพูดของเธอมาตลอด  และที่ผ่านมาเจนนี่โจมตีกวีอย่างหนักหลังจากเขาตายไปแล้ว  เธอพร่ำบอกเพื่อนร่วมชั้นว่ากวีเป็นคนบ้าเรียนและคงแค้นเพื่อนที่ได้ดีกว่าเลยนัดธารินเพื่อไปทำร้ายบนดาดฟ้าแต่ถูกเพื่อนผลักตกลงมาแบบไม่ได้ตั้งใจและตาย

      ความเข้าใจผิดๆนี้สะพัดไปทั่วโรงเรียนและนอกโรงเรียน  ทุกคนบนโลกคงเข้าใจกวีว่าเป็นแบบนั้น  ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมชั้นของลลิต  ทุกคนมาถามเธอด้วยคำถามเดียวกันว่า “เจนนี่พูดถูกหรือเปล่า” หรือ “กวีเป็นคนแบบนั้นใช่มั้ย” ลลิตรู้สึกแค้นทุกครั้ง  แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบเพราะคำตอบของเธอนั้นเขาใจยากกว่าและเผลอๆอาจจะถูกประณามว่าเป็นคนบ้าไปด้วย

    คิมหันต์ต้องรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องนี้เป็นพันๆเท่าแน่ๆ  นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่คุยกับลลิตเลย  เขาคงไม่อยากให้ลลิตโดนเหมารวมกับเขาไปด้วย  แต่ใครจะสนล่ะ  เพื่อนร่วมชั้นโง่ๆที่เชื่อคนแค่ลมปากคน  ตัดสินและวิพากย์วิจารณ์โดยข่าวโคมลอยที่ได้ยินมานั้นใช้ได้ที่ไหน  ลลิตแค้นในใจทุกทีตอนรู้ว่าพวกนี้คงยังนินทากวีอยู่แม้เขาจะตายไปแล้ว

    เธอเลื่อนสกอร์ต่อไปหวังว่าจะได้เบาะแสอะไรมากขึ้น  เธอยังไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าข้อความที่เจนนี่โพสมาทั้งหมดนั้นต้องการสื่ออะไร

    ภาพของเจนนี่ที่ใบหน้าทรุดโทรมและอิดโรยปรากฏขึ้นบนหน้าจอ  ลลิตค่อยๆเปิดมันขึ้นมา  มันเป็นภาพของเธอที่ถ่ายระยะใกล้ให้เห็นสภาพห้องหวานแววแต่สัลวกับดวงตาช้ำๆที่บวมเต่งเหมือนคนไม่ได้นอน  แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น  มันอยู่ตรงพื้นหลังที่มืดสลัวเผยให้เห็นอะไรบางอย่างที่แทบหยุดลมหายใจของลลิต

    หัวใจเธอตกวูบเมื่อเห็นว่าร่างที่บิดงอของใครบางคนกำลังยืนมองดูเจนนี่จากมุมมืดสุดมุมห้อง  ลำตัวบิดหักและโชกเลือด  ข้อต่อทุกส่วนเบี้ยวผิดองศา  ศีรษะที่บุบ  กับดวงตาที่คล้ายจะถลนออกมา  แม้จะเลือนรางแต่ลลิตสามารถอธิบายลักษณะได้แน่ชัด  มือเธอสั่น  สายตาค้างเติ่ง  รู้สึกว่าสมองไม่แสดงภาพใดให้เห็นแล้วนอกจาก  สภาพศพอันน่าอเนจอนาถของกวี  เธอยังคงได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในจมูก  เศษสีขาวๆและอวัยวะที่เหมือนจะทะลักออกมาจากร่างกายเหมือนถุงน้ำแกงที่ถูกโยนจากความสูงเจ็ดชั้น  ทุกอย่างเหมือนย้อนเวลาให้เกิดขึ้นอีกครั้ง  น้ำตาเริ่มรื้นอยู่ในเบ้า  และสิ่งแรกที่เธอทำทันทีที่นึกออกก็คือส่งเสียงร้องลั่นออกมาจากคอหอย

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!” โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  เธอผละตัวออกจากคอมพิวเตอร์และรีบวิ่งออกไปจากห้องก่อนที่อาเจียนที่จุกอยู่ที่คอจะพุ่งออกมาซะก่อน 

     

    เธอโก่งคออาเจียนอยู่บนอ่างล้างมือตรงห้องน้ำหญิง  กระจกสะท้อให้เห็นห้องน้ำสลัวๆและเกือบจะมืดซึ่งไม่มีใครอยู่  น้ำตาซึมออกมาจากเบ้าเรื่อยๆและเธอต้องสูดหายใจและปาดมันออกเพื่อทำให้ตัวเองไม่ดูเหมือนคนที่เพิ่งจะร้องให้มา  เธอพยายามทำใจให้เข้มแข็งมาตลอด  พยายามไม่สติแตกกับสิ่งที่เห็น  เธอประคองความเจ็บช้ำนี้มาได้หลายวันแล้ว  แต่เธอก็ทำมันหล่นทันทีที่เห็นภาพนั้น  ความกลัวระคนความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาใส่จิตใจ  ตัวยังคงสั่นอยู่  รู้สึกอยากเข้าไปร้องให้กับใครสักคนที่เข้าใจ 

    แต่ดูเหมือนทั้งโลกคงจะไม่เข้าใจเธอเลย..

    ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ! เสียงจากโทรศัพท์ทำให้เธอต้องสะดุ้งโหยง  มีข้อความถูกส่งมา  ลลิตค่อยๆเปิดดูและอ่านในใจ

    อยากรู้เรื่องก็เจอกันที่นี่หกโมงครึ่ง

    ใครส่ง?ใครเป็นคนส่งมา  เบอร์นี้เธอไม่รู้สึกคุ้นสักนิด  มันมาจากใครกัน

    ลลิตบันทึกเบอร์ประหลาดนั้นไว้ในเครื่องและกดโทรออกไปทันทีที่ทำได้  รอสักพักให้เสียงรอสายดังขึ้น  และทันใดนั้นเองประตูห้องน้ำก็เหวี่ยงปิดขังให้เธออยู่ในความมืดสลัวของห้องน้ำยามเย็นที่ไมได้เปิดไฟ  ลลิตมองอย่างครั่นคร้ามไปยังท้ายของห้องน้ำที่มืดจนแทบมองไม่เห็น  มีอะไรบางอย่างส่งเสียงร้องอยู่ที่นั่น

    ลลิตก้าวช้าๆเข้าไปในความมืด  มือกำโทรศัพท์แน่น  เธอกลัวจนตัวสั่น  แต่ก็ยังก้าวเดินไปทั้งๆที่รู้ว่าโง่

    มีโทรศัพท์มือถือถูกแขวนไว้ท้ายสุดของห้องน้ำมันกำลังสั่นและร้องอย่างบ้าคลั่ง  ลลิตรู้ดีว่านี่คือโทรศัพท์ที่เธอตามหา  เธอมองไปยังผนังห้องน้ำที่ถูกมุงด้วยกระเบื้องสีขาว  ซึ่งบัดนี้มันถูกขีดเขียนไว้ด้วยเลือดสีแดงคล้ำแห้งกรัง

    กลับมาจากความตาย  และฉันจะเอาชีวิตพวกแกคืนทั้งสองคน!

    และแทบไม่ต้องรอให้สมองประมวลผล  ลลิตออกตัววิ่งสุดกำลังกลับไปยังทางเข้าของห้องน้ำ  เผลอปล่อยโทรศัพท์ตัวเองตกพื้นไปแบบไม่ใยดี  แม้ทางเข้าจะห่างจากท้ายห้องน้ำแค่สามสิบเมตร  แต่ลลิตรู้สึกว่ามันไกลราวกับเป็นกิโล  เธอวิ่งเพื่อหนีจากความมืดประหลาดที่แผ่ซ่านทั่วแผ่นหลัง  และลามเลียเธอตรงท้ายทอยแบบไม่คิดชีวิต  ถีบประตูห้องน้ำให้เปิดออกแบบไม่ต้องคำนวณ  วิ่งไปตามทางเดินที่ปลอดคนและถูกฉายด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น  ซึ่งนั่นบอกว่า มันใกล้เวลานัดหมายของเธอเต็มทีแล้ว!

     

    ลลิตกลับมาที่ห้องคอมพิวเตอร์ที่ปลอดคน  นักเรียนกลับบ้านไปกันจนหมดเหลือเพียงห้องที่ถูกเปิดไฟทิ้งไว้กับใครบางคนที่เหมือนจะรออยู่ก่อนแล้ว

    คิมหันต์หันมามองลลิตที่เข้ามาในห้อง  เขาแย้มรอยยิ้มทักทาย  ลลิตรู้สึกปลอดโปร่งไปชั่วขณะ  แต่จู่ๆเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก็เหมือนจะกระชากเธอให้จมสู่ความตื่นกลัว  ลลิตรู้สึกอยากจะเข้าไปร้องให้ใส่คิมหันต์และไม่ต้องอธิบายอะไรที่เกิดขึ้น  แต่เธอไม่อ่อนแอพอจะทำแบบนั้นแน่  เธอก้าวเข้าไปไปหาเขาและมองดูจอคอมพิวเตอร์ที่คิมหันต์เปิดเอาไว้

    เขามาทำรายงานจริงๆและคงไม่มาทำอย่างอื่น  เพรามันเต็มไปด้วยตัวหนังสือยิบย่อยของแหล่งข้อมูล  แซมด้วยภาพประกอบหลากหลายที่ลลิตไม่มีกะใจจะสนใจเลยแม้แต่น้อย  แต่เธอจะมาเป็นภาระเพื่อนตัวเองไม่ได้  จะยังไงแม้ว่าเธอจะกลัวและรังเกียจสถานที่แห่งนี้ขนาดไหน  เธอจะต้องไม่แสดงอาการใดๆและช่วยคิมอย่างเต็มที่จนกว่างานจะเสร็จ

    หน้าต่างคอมพ์ถูกสลับอย่างรวดเร็วไปยังเว็ป Frontbook ที่ลลิตเริ่มรังเกียจ  สกอร์ถูกเลื่อนลงมาและหยุดอยู่ที่โพสต์ของใครบางคน

    “ดูที่เจนนี่โพสต์ล่าสุดสิ” คิมหันต์  ลลิตสะดุ้งโหยง  คิดในใจว่านี่เธอยังไม่หยุดคลั่งเรื่องนั้นอีกหรือ

    “ไหนๆ” เธอต้องปั้นน้ำเสียงให้ดูเหมือนตัวเองสนใจหัวข้อสนทนานี้  ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆจอแล้วอ่าน

    Jenny  Isaradee

    ฉันต้องปิดโปรไฟล์ตัวเองแล้วล่ะ ฉันขอโทษ

    “คิดว่าไง” คิมหันต์ถาม

    “เธอกลัวน่ะสิ” ลลิตตอบ

    “ไม่ใช่หรอก  รู้สึกผิดต่างหาก  หวังว่านะ...เจนนี่พูดจาดูถูกกวีหลักจากเขาตายไปแล้ว  แล้วเธอก็เที่ยวปล่อยข่าวมั่วๆ” เขาพูด  จดจ่ออยู่ที่หน้าไทม์ไลน์ของเจนนี่  เลื่อนขึ้นเลื่อนลง  ไม่แม้แต่จะมองหน้าลลิต

    “อืม...ฉันรู้แล้วละ  โดนแบบนี้มันก็สมควรอยู่”

    “หวังว่ายัยนั่นจะสำนึกบ้างนะ”

    “นายคิดว่าเธอจะโดนอะไร  เธอกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า  เรียกร้องความสนใจหรือจริงๆแล้วเธอต้องการอะไร” ลลิตเริ่มหัวเสีย  เธอยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมคิมหันต์ถูกดูฉุนเฉียวและไม่สนใจเธอแม้กระทั่งตอนพูด  รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังบ่นให้อากาศฟังยังไงยังงั้น

    “ไม่รู้สิ  ฉันหวังในเธอเข้าจริงๆนะ” เขาตอบ

    ลลิตถอนหายใจ  เธอพูดสิ่งที่อยากพูด “มีคนว่ามาว่า...เหตุการณ์ร้ายแรงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆนึงไปตลอด  ทั้งทัศนคติ  ความคิด  นิสัยใจคอ  แล้วรู้อะไรหรือเปล่า...ฉันไม่ค่อยอยากให้นายเป็นคนนั้นนะ”

    “หมายถึง...”

    “พอเถอะ  กลับมาใช้ชีวิตธรรมดาได้แล้ว  อย่าสนใจเสียงคนอื่น  กวีตายไปแล้ว  เรารู้แค่ว่าเขาตายเพื่อสิ่งที่เขาต้องการรักษาก็พอ  คัมภีร์มรณะก็กระจายหายไปหมดแล้ว  ไม่มีใครรู้วิธีใช้มันอีกแล้ว  ความตั้งใจเขาสำเร็จแล้วนะคิม  ธารินก็ยังไม่ตายด้วย  เราก็แค่ปล่อยให้เรื่องและข่าวลือมันผ่านไป  เรามัวทุกข์อยู่กับเรื่องที่คนทั้งโลกไม่มีวันเข้าใจไม่ได้หรอก...”

    คิมหันต์นิ่งเงียบไม่ตอบ  เขาปิดหน้าต่าง frontbook และเริ่มทำรายงานต่อ  โดยไม่พูด  ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น  นั่นยิ่งทำให้ลลิตรู้สึกอยากเอาหัวโขกจอคอมพิวเตอร์ยิ่งกว่าเดิม

    “โอเค  จะเสร็จแล้วละ  ที่ไม่ได้เข้าเรียนก็เพราะหลบไปทำเจ้านี่มา  เหลือสารบัญเดี๋ยวฉันขอทำแปปนะ” คิมพูด  แต่ลลิตรู้ดีว่าเขาจงใจเปลี่ยนเรื่อง  ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่เลว

    “นี่นายทำคนเดียวหมดเลยหรอ” ลลิตถาม

    “อื้อ  ก็อาคารเค้าจะปิดตอนทุ่มนึง  นี่ก็หกโมงครึ่งแล้ว  ขืนรอเธอมาช่วยก็ไม่ทันการเอาพอดี  นะแม่คนหัวโบราณ”

    หกโมงครึ่งงั้นหรอ  เวลานัดงั้นสินะ  มาเร็วเกิดคาด  จริงด้วย! โทรศัทพ์มือถือเธอตกอยู่ที่ห้องน้ำ  จะมีใครเอาไปหรือเปล่านะ

    จะปลีกตัวไปยังไงดีโดยที่คิมหันต์ไม่เดือดร้อน  เขาจะต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  เธอยอมแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียวดีกว่าจะให้คิมต้องมาทุกข์ด้วย  อย่างน้อยเธอก็ยังอยากได้เพื่อนคนเดิมกลับมาและยอมจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนไป  และไม่ว่าอะไรรอเธออยู่ในความมืด  เธอจะต้องชนะมัน  เธอจะต้องรู้ทุกเรื่องที่ต้องรู้และก้าวข้ามเรื่องพรรค์นี้  ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งอีกแล้วนับตั้งแต่รู้จักกับคัมภีร์มรณะ

    “เอ่อ...โทษทีดันลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องน้ำ  ขอตัวไปเอาได้มะ แหะๆ”

    “อ้อ ไปดิๆ  แต่กลับมาไวๆนะทางมันมืดเดี๋ยวโดนขังไม่รู้ด้วยละ”

    ลลิตรีบวิ่งออกจากห้องคอมพ์  พื้นรองเท้าสัมผัสกับความมืดที่เปลี่ยนแปลงจนน่าใจหาย  ก่อนหน้านี้ยังเป็นท้องฟ้าสีแดงอยู่เลย  แต่ตอนนี้มันเริ่มเป็นสีม่วงไปจนถึงดำแล้ว  ลลิตยังคงต้องเตรียมใจเล็กน้อยและเริ่มวิ่งไปให้ถึงเร็วที่สุด 

    แค่เอาโทรศัพท์  แค่เอาโทรศัพท์! เธอท่องมันในใจตลอดที่วิ่งไปบนทางเดินมืดๆ  ไฟเริ่มทยอยปิดราวกับไล่เธอ  เธอยังคงวิ่งต่อไปจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำหญิงที่เธอลืมโทรศัพท์ไว้

    เธอก้าวเข้าไปและรู้สึกดีใจที่มันยังไม่ล็อค  แต่ก็รู้สึกเสียใจเล็กๆเมื่อเธอเปิดไฟสลัวๆของห้องน้ำหญิงยามค่ำคืนขึ้น  แสงไฟนีออนทอดยาวไปสุดทาง  เผยให้เห็นข้อความเลือดที่ถูกทาเอาไว้และยังไม่เลือนหายไปจนบัดนี้  ลลิตวิ่งพื้นห้องน้ำที่ลื่นและแฉะ  เธอรู้สึกว่าพื้นเหนียวผิดปกติ  เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

    เอาอีกแล้ว  คิดไปเองอีกแล้ว  อย่าคิดสิ  ไม่มีจริงหรอก  ผีไม่มีจริง!

    และก้าวสุดท้ายก็นำเธอมาที่สุดทางเดิน  โทรศัพท์เครื่องเดิมห้อยต่องแต่งและไม่ส่งเสียงอะไร  เธอค่อยๆก้มลงเก็บเธอโทรศัพท์ของเธอโดยไม่พยายามมองไปรอบๆบรรยากาศที่น่ากลัว

    ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง!

    คล้ายกับเสียงรัวกลองไล่  ลลิตอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ก็รู้สึกกลัวแม้กระทั่งเสียงร้องตัวเอง  เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าไฟนีออนกำลังไล่ปิดทีละดวงอย่างรวดเร็ว 

    ความมืดคลืบคลานเข้ามา  หัวใจเต้นรัวราวกับกลอง  ขาสั่น  ขนทุกส่วนในร่างกายลุกชั้น  น้ำตารื้นเหมือนจะร้องให้ 

    พรึ่บ! และชั่วอึดใจความมืดก็เข้าปกคลุมทุกอย่าง  ลลิตได้แต่ถอยหลังไปให้ติดกับกำแพงและหวังอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่ไปชนกับอะไรเข้า

    ตี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ!! เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของโทรศัพท์ที่ห้อยอยู่แทบทำให้เธอหยุดลมหายใจตัวเอง  ลลิตสะดุ้งโหยง  แสงไฟสีฟ้ากะพริบเผยให้เห็นเงาของใครบางคนทีเดินเข้ามาใกล้เธอ

    ใบหน้าและเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกินทำเอาลลิตรู้สึกว่าความตายอาจจะหอมหวานเสียยิ่งกว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเขาคนนี้

    “คิดถึงฉันหรือเปล่า...ลลิตา” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×