ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #5 : ChapT4 ("Falling ") ; คืนชีพคัมภีร์มรณะ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


    ตอนแรกก็ความตื้อชาและต่อมาคือความเจ็บปวดสุดแสนจะคณานับ  คิมหันต์เห็นร่างตัวเองเรื่องแสงวาบอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ทุกส่วนในร่างกายจะเหี่ยวเหมือนเป็นลูกโป่งที่ถูกเจาะลม  แล้วเขาก็ล้มลงแบบที่ไม่รู้สึกว่าตัวกระแทกกับพื้น  ทุกอย่างขาวโพลนและไม่อาจมองเห็น  เขาเห็นควันครุกรุ่นออกมาตามลำตัวรู้สึกว่าอวัยวะภายในของเขาคงจะสุกได้ที่แล้วเป็นแน่แท้ 

    เขาหันไปมองลลิตที่นอนอยู่ข้างๆ  เธอสลบไปหรือเปล่าหรือว่าตายแล้ว  บางทีเธออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่างเพียงแต่ร่างกายของเธอไม่ตอบสนองเช่นเดียวกับคิมหันต์นั่นแหละ

    เขาเริ่มครางออกมาเมื่อรู้สึกถึงความแสบร้อนทั่วร่างที่เริ่มแผ่ซ่าน  ความร้อนที่ขนาดทำให้หิมะแข็งๆละลายลงได้คงลวกร่างกายของเขาไปแล้วแม้มันจะแล่นผ่านไปเพียงแค่แป๊บเดียว  หัวใจของเขาถูกเร้าให้เต้นระรัว  เต้นจนมันสัมผัสกับพื้นและส่งเสียงตึงตังในหัวใจของเขาเอง 

    คิมพบว่าธารินก็ดูท่าไม่ดี  เขาใช้ศอกดันตัวเองหนีห่างจากกวีด้วยสภาพที่โชกเลือด 

    เกิดอะไรขึ้นกวีทำร้ายเพื่อนตัวเองหรอ  เกิดอะไรขึ้นตอนที่เขาเหมือนจะชาและไม่รับรู้อะไรชั่วขณะนอกจากแสงขาวๆ  กวีทรยศ  หรือว่ามีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น  แล้วเพราะเหตุใดเขาถึงยังไม่ตายกันแน่

    คิมได้ยินเสียงของการสนทนาของทั้งสองคนดังอยู่ในหูตลอด  ด้วยความปลอดภัยของตัวเขาเอง  เขาพยายามอยู่ให้นิ่งแม้ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนอย่างบอกไม่ถูก  ฟังการสนทนาที่เขาเองก็ไม่สามารถจับใจความจริงๆของมันได้พร้อมนึกภาวนาในใจให้ลลิตฉลาดพอที่จะไม่ลุกขึ้นมาตอนนี้

    การสนทนาที่น่ารังเกียจนั่นจวนจะถึงที่สิ้นสุดเมื่อประโยคอันท้าทายของกวีถูกกล่าวขึ้น  มันเรียกให้สายตาของธารินค้างเติ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ดวงตาเบิกกว้าง  ปากที่อ้าค้างไว้เหมือนจะงับอากาศ  ช่างเป็นหน้าตาที่ไม่เข้ากับท่าทีอวดฉลาดที่พยายามปั้นมาตลอดของเขาเลย

    เมื่อบทบาทของเขามาถึง  คิมหันต์ใช้มือที่แทบไม่มีเรี่ยวแรง  ยันพื้นเพื่อต้านแรงโน้มถ่วงให้ตัวเองลุกขึ้น  ความเจ็บปวดแล่นไปทั่ว  อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเหมือนดั่งเตาไฟ  แต่เขาก็ไม่สามารถทนให้เรื่องนี้คลี่คลายโดยที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยว  ใช่เขาจะไม่ยอมเป็นแค่เบี้ยตัวเดียวในแผนการอุบาทว์ของกวีอย่างเด็ดขาด

    “ไม่จริงเป็นไปไมได้! แกทำอะไรกับพรของฉัน!” ธารินคำราม  แผ่นหลังโชกเลือกและมีมีดเสียบคาอยู่เริ่ม ทำให้เขาเจ็บปวดจนสายตาใกล้จะพร่าเลือน  กระนั้นแรงโทสะก็ดึงดันให้เขายังมีชีวิตต่อไป

    “ฉันบอกแกไปแล้วว่าแกพลาด” กวีตอบนิ่งๆ

    “แกทำอะไร!

    “พอกันสักทีพวกนาย!” ลลิตที่ลุกขึ้นตามคิมหันต์มาติดๆตวาดลั่น  เดินอย่างทุลักทุเล เข้าไปประคองร่างกายบอบช้ำของธาริน “เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “อย่ามายุ่งกับฉัน!” ธารินตวาด  ใช้มือปัดลลิตออกไปจากตัว

    ทว่าลลิตคว้าขอมือเขาไว้ได้  เธอบิดมันอย่างแรงและไม่ปราณี  อีกฝ่ายร้องลั่นออกมา  ลลิตใช้จังหวะนั้นเข้าไปสำรวจแผลที่แผ่นหลัง  เธอรู้สึกหวาดเสียวเมื่อเห็นเลือดกระเฉาะออกมายามที่ธารินเริ่มดิ้นรน  ลลิตขบฟันพลางหรี่ตามองไปยังกวี  ชายหนุ่มผู้เลือดเย็นที่นั่งอยู่บนราวรั้วเหล็กสนิมกรัง “ไม่คิดว่านี่มันเกินไปสำหรับเพื่อนนายบ้างหรอ” เธอถาม

    กวีไม่ตอบ  เขาตีหน้านิ่งไม่ไหวติง

    “จะบอกว่าเขาทำตัวเองงั้นสิแต่มันเป็นความตั้งใจของนายนายอยากให้มันเป็นแบบนี้  นายล่อให้เขามาติดกับ!” ลลิตเพิ่มเสียงขึ้นมา  ข่มเสียงไม่ให้สั่นด้วยความโกรธยามที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าเลย

    “เธอ...ไม่ได้รู้อะไรเลย  เธอไม่รู้จักมัน” ธารินหอบหายใจ

    “รู้สิทำไมจะไม่รู้  กวีเด็กหนุ่มเรียนดี  หยิ่ง  มองคนด้วยหางตา ขวางโลก  ปากดี  เลว  หลงตัวเอง  ไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเอง! แค่นี้ฉันรู้จักดีพอหรือยัง!” เธอบอก

    “ออกไปให้พ้นหน้าฉัน” ธารินกล่าวอย่างสิ้นแรง 

    “ไม่!

    “ลลิตอย่าเข้าไป  ออกมา” คิมพยายามร้องห้าม  เขาไม่เห็นด้วยอย่างแรงที่จะปล่อยให้เพื่อนตัวเองเข้าไปพยุงร่างของคนที่คิดจะย่างสดเขาด้วยสายฟ้าหลายล้านโวลต์  แต่ลลิตคงคิดอีกแบบ  คิมหันต์รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะเสียเลือดและตายในไม่ช้า

    “อดทนไว้ก่อนนะ” ลลิตกระซิบ  สติของธารินจวนเจียนจะดับ  ตาของเขาเริ่มคล้อยปิด  ลมหายใจรวยรินกลับมีเพียงไอบางๆที่พวยพุ่งออกมา 

    “อย่า...มายุ่งกับ...ฉัน” ธารินดึงดัน  แม้เสียงนั้นจะเริ่มไม่ได้ยิน  เลือดยังคงไหลออกมาก็ตามที

    ลลิตหอบเอาหิมะ  ที่ยังละลายไม่หมดมาโปะที่ปากแผลเอาไว้  ระวังไม่ให้มีดแทงลึกเข้าไปกว่าเดิม  แต่อากาศกำลังจะกลับกลายเป็นความร้อนอบอ้าวของช่วงบ่าย  น้ำแข็งเริ่มใช้การไม่ได้  ครั้นจะห้ามเลือดต่อไปก็ป่วยกาล

    “คิมช่วยหน่อย” ลลิตร้องเรียก

    “โอเค โอเค” คิมหันต์รีบเข้าไปพยุงปีกโดยเร็ว  เขารู้สึกรังเกียจแปลกๆยามที่สัมผัสตัวเปื้อนเลือดของคนที่เคยคิดจะฆ่าเขา  ไม่สิ  ไม่ใช่แค่เคย  ตอนนี้อาจจะกำลังคิดอยู่ก็ได้

    “อดทนไว้นะ  จะพาไปส่งห้องพยาบาล” ลลิตบอก

    “ขอพรสิ!  นายยังมีพรอีกข้อ  ขอเพื่อรักษาตัวเอง” คิมหันต์พูดขึ้นมา  เขาไม่รู้ว่าตัวเองเอาความคิดนี่มาจากไหน  ความคิดที่สงสารอสรพิษร้าย  คิดจะเอาพิษของมันมารักษาตัวมันเอง  จะบ้าหรอทำอย่างกับถ้ามันหายดีแล้วมันจะสิ้นฤทธิ์  ไม่แว้งกัดเขากลับสักวัน 

    แต่ทำไมล่ะ  ทำไมเขาต้องสงสาร  ทำไมเขาต้องเป็นห่วงธารินด้วย  หมอนี่คิดจะฆ่าเขาอย่างเลือดเย็นแท้ๆ  สายตาลลิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  เธอมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะไม่ปล่อยให้ธารินตาย  ทั้งเธอยังออกปากต่อว่ากวีเองด้วย  อะไรที่ทำให้เธอเชื่อว่าการช่วยธารินเป็นสิ่งที่ถูกต้องกันแน่  หรืออาจเป็นเพราะเธอคิดว่าที่ธารินหลงผิดทำเรื่องต่างๆลงไปเป็นเพราะคัมภีร์มรณะนั่นที่ชักชวน

    คิมหันต์คิดไม่ตกกับเรื่องนี้  เขายังคงคิดอีกว่าจริงๆแล้วกวีเชื่อมั่นในตัวลลิตถึงชวนมาที่นี่  กวีไม่ได้ตั้งใจจะพาลลิตมาสู่ความตาย  แต่เขามองเกมส์ออกว่าลลิตจะไม่ตายและจะคอยรองรับเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้  ความอบอุ่น  อ่อนโยน  และมุ่งมั่นของลลิตเป็นสิ่งที่กวีต้องการ  หรือพูดง่ายๆก็คือกวีมั่นใจอย่างถ่องแท้ว่าลลิตจะต้องช่วยเหลือธารินยามที่เขาจนตรอก  ให้อภัย  และพาเขาออกห่างจากเรื่องนี้  เพราะคิมหันต์คิดว่ากวีไม่เคยตั้งใจจะฆ่าใครจริงๆ  อย่างมากก็แค่ทำร้ายและสอนบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้เขาคนนั้น

    แล้วทำไมกวีไม่ทำเอง  ไม่เข้าไปพยุงและพาเพื่อนรักตัวเองไปรักษา  กล่าวขอโทษและโยนความผิดไว้ข้างหลัง  หรือเขากลัวเกินกว่าจะยอมให้เพื่อนตัวเองอยู่ใกล้กับคนอย่างเขาต่อไป  เขากลัวว่าสักวันหนึ่งตัวกวีเองจะเป็นฝ่ายที่ทำร้ายเขาก่อนและทำให้เขาจากไปตลอดกาล  ก็คงคล้ายๆกับว่าไม่มีใครอยากอยู่กับคนที่มีเครื่องมือเปื้อนเลือดแบบนั้นหรอก  บางทีกวีอาจจะตั้งใจจะทำให้เขาเองไม่มีเพื่อนไปตลอดกาลก็เป็นได้

    แต่คิมหันต์อาจจะคิดมากไป  เขาสลัดความคิดออกจากหัวแล้วเริ่มออกแรงพยุงเมื่อรู้สึกว่าทั้งคู่เพิ่งจะเดินมาได้แค่สองเมตรเท่านั้น

    “อดทนไว้นะ  นายจะแพ้ไม่ได้” คิมหันต์ช่วยพูด  ปั้นน้ำเสียงให้เข้มแข็ง

    “เปล่า...ฉัน...ฉันไม่ได้แพ้” รอยยิ้มแห่งชัยชนะผุดพรายขึ้นบนมุมปากของธาริน  “ฉัน...ชนะ” และก็เป็นรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่แสงสีแดงเลือดนกจะปรากฏใต้เท้าของทั้งสามคน  คิมหันต์หัวใจตกวูบเมื่อรู้ว่าพรถูกขอแล้ว  วงเวทย์อักขระน่ากลัวหมุนวนอยู่ชั่วขณะราวกับว่ามันเป็นช่วงเวลาในมิติอีกโลกหนึ่ง  มันหมุนอยู่อย่างนั้นสองสามวินาทีและหายไป

    แล้วทันใดนั้นเองชัยชนะที่ธารินพูดถึงก็ส่งเสียงโก่งกางกึกก้อง 

    แต่เปล่ามันไม่ใช่เสียงของชัยชนะ  มันเป็นเสียงของแผงกั้นรั้วเหล็กสนิมเขรอะที่หลุดร่วงลงไปทั้งแผง  ราวกับเวลาหยุดหมุนคิมหันต์ตวัดสายตากลับไปมองร่างกวีที่ค่อยๆร่วงหล่นตกจากราวรั้วเหล็กโดยไม่มีสิ่งใดรองรับนอกจากความสูงของตึกเจ็ดชั้น  พร้อมๆกับหน้ากระดาษเปรอะเลือดของคัมภีร์มรณะซึ่งกำลังกระจายออกมาและถูกลมหอบใหญ่พัดกระจัดกระจาย

    โดยไม่ต้องนัดหมายทั้งลลิตและคิมต่างทิ้งร่างของธารินให้นอนลงบนพื้นทันที  เขาสิ้นสติไปทันทีที่พรถูกขอ  พรข้อสุดท้ายถูกใช้พรากทั้งเขาและเพื่อนรักให้จากไปจากโลกนี้พร้อมกัน

    โดยมีแรงโน้มถ่วงเป็นอัตราเร่ง  ความตายจึงเป็นผลลัพธ์เดียวที่คิมหันต์คิดออกในสมการนี้  เขามองด้วยสายตาที่กลวงเปล่าไปยังร่างที่ร่วงตกสู่พื้นของกวี  มันเนิ่นนานราวกับเป็นปียามที่กวีลอยอยู่เหนือพื้น

    และหัวใจของทั้งคู่ก็แทบหยุดเต้น  เมื่อมองเห็นร่างของกวีกระแทกกับหลังคาตรงชั้นสองอย่างรุนแรง  ข้อต่อทุกส่วนบิดเบี้ยวผิดองศา  ส่งเสียงน่าหวาดเสียวจนได้ยินมาถึงข้างบนนี้  เลือดสดๆสาดกระจายติดหลังคา  และร่างที่แทบจะไร้วิญญาณเหมือนผักก็กระแทกสู่พื้นโลกอย่างแรง  มองจากมุมนี้ทั้งคู่เห็นเพียงรอยหยดของสีน้ำจากพู่กันที่จุ่มเลือดเท่านั้น

    แผ่นกระดาษจากคัมภีร์ลอยคว้าง  ลมแรงโหมพัดกระหน่ำราวกับซ้ำเติม  มันพัดให้กระดาษนับร้อยแผ่นกระจายและวนขึ้นไปยังท้องฟ้า  และหอบมันหายไปทั่วทุกทิศทาง

    คิมหันต์รู้สึกกว่าวิญญาณตัวเองก็เหมือนจะลอยออกไปด้วย  โลกช่างเคว้งคว้างและไม่มีสิ่งใด  อากาศที่น่าสับสนทำให้เขาแทบจะช็อกกับภาพที่เห็นซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาจะจะแบบนี้ 

    มันน่าสลดหดหู่เหลือเกินเมื่อรู้ว่าการช่วยเหลือของเขาส่งไปไม่ถึงใครสักคน  และดูเหมือนลลิตจะรู้สึกเช่นเดียวกันแต่นับเป็นพันเท่า  เธอก้มตัวคุดคู้อยู่บนพื้นแฉะๆ  แผ่นหลังสั่นสะท้านคลอด้วยเสียงสะอึกสะอื้น  เป็นเสียงสะอื้นที่ขาดห้วงหายไป  บ้างก็เงียบบ้างก็ดัง  มันคงจุกกับสิ่งที่เห็น  คิมก็คงจะร้องให้ไปแล้วหากเขาไม่รู้สึกตื้อชากับสิ่งที่เห็นแบบนี้

    “คำพูดฉัน...คำพูดฉันเปลี่ยนใจใครไม่ได้เลย” เธอร้องอย่างรวดร้าว

    “คำพูดเธอเปลี่ยนใจเขาได้  แค่เขาไม่รับฟังเท่านั้นเอง” คิมหันต์ตอบ  เข้าไปโอบร่างที่สั่นเทิ้มของลลิต  ทั้งคู่นั่งอยู่บนชั้นแปดแห่งโศกนาฏกรรม  มองร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงของธาริน  ก่อนที่แสงสีส้มยามเย็นจะทอลงมา  และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขึ้นมาบนชั้นนี้และนำตัวทั้งคู่ไป

     

    เมื่อต้องเดินผ่านจุดเกิดเหตุลลิตที่หยุดร้องให้แล้วหลับตาปี๋  คิมหันต์ก็ไม่อยากหันไปมองเช่นกัน  เขาเห็นมามากพอแล้ว  และแค่ได้กลิ่นคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนเขาก็พอจินตนาการภาพออกแล้ว  ซึ่งไม่ต้องพูดถึงของจริง

    ทั้งคู่ถูกนำตัวมายังห้องเรียนห้องหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกยืมใช้เป็นสถานที่สอบปากคำก่อน  มันถูกปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้และมีเจ้าหน้าทีตำรวจเดินขวักไขว่ไปมา  นักเรียนถูกกันออกจากบริเวณนี้หมดแล้ว  นายตำรวจคนหนึ่งพาทั้งคู่มานั่งและบอกให้รอห้านาทีและเขาก็หายตัวเข้าไปในห้อง  ทิ้งให้ทั้งคู่นั่งนิ่งอยู่ในความเงียบและแสงสลัวยามเย็น

    “เราต้องปกป้องเขานะ” คิมเอ่ยขึ้นในความเงียบ  สายตากลวงๆของลลิตจ้องมองเขาเหมือนมองอากาศที่ว่างเปล่า

    “ใคร”

    “กวี”

    “เพื่ออะไร” เป็นสิ่งที่ลลิตเองยังรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูด  เธอกำลังจะใจดำห้ามเพื่อนตัวเองไม่ให้ออกปากปกป้องคนที่ตายไปแล้ว  แม้เขาจะผิด  แม้เขาจะบงการเรื่องทุกอย่าง  แต่ลลิตเองยังรู้สึกไม่ถูกนักที่จะคัดค้าน

    “เขาพยายามช่วยพวกเรา  เขาเบนความสนใจให้ธารินฆ่าเขาแทนที่จะเป็นเรา”

    “แต่ธารินก็ฆ่าเราไปครั้งนึงแล้วนะ” ลลิตบอก

    “เปล่า...หมายถึงครั้งที่สอง  เขามองเกมส์ออกว่าตัวเองต้องตาย  ว่าเธอจะต้องเข้าไปช่วยพาธารินไปรักษาได้ตรงเวลาแน่ๆ  เขาถึงพาเรามา  เขาเชื่อใจเธอนะ”

    “ไม่...เขาไม่ได้เชื่อใจเราเลย  เราเป็นแค่หมากของเขา  นายก็เห็นที่เขาพูดนะคิม” ลลิตว่า 

    “ฉันเห็น...แต่  ฉันเห็นลึกกว่านั้น  มันมีความหมาย  เขากำลังกีดกันเพื่อนตัวเองออกห่างจากเรื่องเหล่านี้  เขากำลังไล่ธารินออกจากมนตราของคัมภีร์บ้าๆนี่  กวีรู้ว่าในเมื่อไล่ตัวเองออกจากเรื่องคัมภีร์ไม่ได้  เขาก็ต้องไล่คนอื่นไปให้ไกลที่สุด”

    “นายคิดไปเองทั้งนั้นคิม  นายกำลังเชื่อใจเขาอยู่นะ”  น้ำเสียงลลิตยังบ่งถึงความระแวงแคงใจ

    คิมหันครั่นใจอยู่ชั่วขณะ  แต่เขาก็ยังมุ่งสุ่งโต่งไปยังสิ่งที่เขาคิด  คิมจับไหล่ของลลิตเอาไว้แน่นแล้วพูด

    “ฟังนะลลิต...ฉันไม่รู้ว่าในสายตาเธอ  เห็นเขาเป็นยังไง  แต่ในฐานะที่ฉันเคยโดนเขาพยายามฆ่าถึงสองครั้งแล้ว...” คิมสูดหายใจลึก “หมอ...นี่...ไม่...เคย...มี...เจตนา...ฆ่า”

    “เอ่อ...”

    “เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแทงธารินไม่ให้ถึงตาย  เพื่อหยุดเขา  แต่ไม่ได้ฆ่า  เพื่อให้เขาใช้ทางเลือกเพียงทางเดียวเพื่อรักษาตัวเขาเองและสั่งสอนว่าคัมถีร์ไม่เคยมอบชัยชนะให้ใคร  เชื่อฉันสิลลิต  กวีเป็นคนดี”

    “ฉัน...ฉัน...” ลลิตนึกถึงบางอย่างที่ถูกฉกชิงไป  กระเป๋าสตางค์แสนรักของเธอที่ถูกกวีคว้าไป  มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่  อะไรที่กวีเห็นเข้าแล้วแต่เขาไม่ได้พูดออกมา  มันเป็นความลับอย่างเดียวของเธอที่ตายจากไปกับคนที่ล่วงรู้แล้ว  และตอนนี้มันก็หายไปแล้วด้วย  มันอยู่ในศพของกวีหรือเปล่า  หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเอามันไป  แล้วถ้ามีคนอื่นเห็นความลับจะแพร่งพรายไหม  และในเมื่อกวีเห็นมันเข้าแล้วทำไมเขาถึงไม่พูดออกมา  ทำไมเขาถูกเงียบและเก็บไว้  เขาไม่อยากจะทำร้ายเธอหรอกหรือ

    “ก็ได้...ฉันจะโกหกให้”

    “ขอบใจนะลลิต  แต่ถ้า...วันนึงเธอรู้ว่าฉันคิดผิดละ  ถ้าที่ฉันคิดมันไม่ใช่”

    “ถึงวันนั้น...ฉัน...ก็ยังคงเชื่อนาย” ลลิตยิ้ม  เป็นรอยยิ้มแรกในชั่วโมงแห่งความกดดัน

    “จ้า...” คิมหันต์รับ  ยิ้มตอบอย่างพองโต

    “เออว่าแต่  เขาให้มีดคัตเตอร์นายไว้ใช่มั้ย” ลลิตเอ่ยขึ้น

    “เออใช่  จริงสิ!” คิมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่หนักๆมาตลอดทาง  รู้ตัวว่าแผลเริ่มหายเจ็บและบวมเล็กน้อย  แต่เขาไม่ค่อยสนใจ  เขาเลื่อนให้ใบมีดโผล่ออกมาจากด้ามจับ  เห็นกระดาษแผ่นเล็กๆที่ถูกสอดเอาไว้  เขาน่าจะเปิดดูตั้งแต่แรกที่ได้มาแท้ๆ

    มันเป็นข้อความ  ตัวเลข  กลุ่มอักขระ  สัญลักษณ์มากมายเรียงกันเป็นตัวแปลแปลกประหลาด  คิมหันต์ใช้เวลาสักพักก่อนที่จะนึกออกว่านี่คงเป็นข้อความที่มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านได้

    ใช่มันเป็นภาษาCขั้นสูง  ผสมไปกับเลขฐาน 2 ที่คอมพิวเตอร์ใช้ประมวลคำสั่ง 

    มันถอดออกมาเป็นข้อความได้ว่า

    ถ้าฉันพลาดฆ่าฉันซะ

    ใช่แล้ว...เขาคิดถูก  คิมหันต์คิดถูกทุกอย่าง  กวีตั้งใจมอบหน้าที่สังหารตนให้กับคิมตั้งแต่แรก  เขาคิดว่าคิมเข้าใจเขาและเด็ดเดี่ยวพอที่จะทำ  เขาตั้งใจเขียนข้อความนี้ให้คิมหันต์อ่านเพราะรู้ว่ามันเป็นภาษาที่เขาอ่านออกเก่งกว่าภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ 

    และกวีคงจะรู้เหมือนกันว่าคิมหันต์จะเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขา  เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเข้าใจกวีอย่างถ่องแท้...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×