คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : ChapT29 ("Swept Away;") ; เหมันต์ลวงตา
ทั้งคิมหันต์และลลิตรีบตรงไปยังโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดเวลาที่เดินทางแม้คิมหันต์จะรู้อยู่แก่ใจว่ากวีคงไม่ตายง่ายๆด้วยเรื่องแค่นี้แต่ถึงอย่างนั้นในใจเขาก็กลับรู้สึกร้อนรุ่มอย่างผิดปกติ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเกมส์ที่แอสโมดิ้วส์พูดถึง ถ้านี่คือคำท้าทายจากปีศาจคิมหันต์ก็พร้อมที่จะยอมรับคำท้านั้น
ที่โรงพยาบาลยามค่ำคืนนั้นเงียบและค่อนข้างปลอดคน นั่นจึงทำให้คิมหันต์ตรงเข้าไปถึงแผนกต้อนรับได้อย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะครับ คนไข้ที่ชื่อกวีพักอยู่ที่ห้องไหนครับ”
พนักงานต้อนรับสาวเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารแล้วมองหน้าคิมหันต์ก่อนที่จะหันไปพิมพ์อะไรสักอย่างลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจึงตอบ “อะเอ่อ...คุณกวีเหมือนจะอยู่ที่ห้อง ICU นะคะ คงเข้าเยี่ยมไม่ได้”
ลลิตแทรกตัวมาเกาะที่เค้าเตอร์ต้อนรับอย่างร้อนใจ “ถ้าอย่างงั้นแค่บอกว่าอยู่ห้องไหน ชั้นไหนก็พอค่ะ”
“เอ่อ...ชั้นสองค่ะ ห้องแรกสุดทางขวามือ”
แล้วทั้งลลิตและคิมหันต์ก็รีบวิ่งไปยังบันไดโดยที่ไม่ได้ขอบคุณหรือทิ้งท้ายอะไร และเมื่อขึ้นมาจนถึงชั้นสอง ที่แห่งนี้ดูเงียบสงัดเสียจนน่ากลัว กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วบริเวณ คิมหันต์พยายามมองหาใครก็ตามที่น่าจะถามไถ่ความได้บ้าง แล้วทันทีนั้นเอง ใครบางคนก็สะกิดเข้าที่หลังของคิมหันต์ก่อนจะเรียก “ขอโทษนะครับ”
พอหันกลับไปเขาเห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนจ้องอยู่ มีผมหยักศกใส่แว่นตาหนาเตอะและสภาพมอมแมมราวกับถูกจับคลุกขี้เถ้ามา ตามตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกแม้จะไม่มากแต่ก็เป็นหย่อมๆเกือบจะทั่วทั้งตัว คิมหันต์เคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้มาก่อนที่โรงเรียน แต่ดูเหมือนลลิตจะแปลกใจเป็นพิเศษที่ได้เจอเขาคนนี้ เธอขมวดคิ้วแล้วอ้าปากต่อว่าแทบจะในทันที “นี่นาย!”
“ขะ! ขอโทษคร้าบ!” จินต์โค้งคำนับแทบสุดตัวจนลลิตไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เธออ้าปากค้างไว้อย่างงั้น “ขอโทษที่พาทุกคนมาเดือดร้อนนะครับ! ผมนี่โง่จริงๆ โง่มากๆ ผมเดินตามเกมส์คนร้ายเสียหมด ขอโทษด้วยผมน่าจะเชื่อคุณกวี! แล้วก็...”
“เดี๋ยวนะ” คิมหันต์ขัดขึ้นก่อนที่จินต์จะพูดอะไรไปมากว่านั้น “นายเป็นใคร? แล้วอีกอย่างช่วยอธิบายมาก่อนที่จะขอโทษอะไรได้มั้ย?”
“นะ นั่นสินะครับ” จินต์โงหัวขึ้นแล้วยิ้มแห้งๆ “ดูเหมือนเรื่องที่เราจะคุยคงยาวมาก เป็นว่าเราหาที่นั่งคุยกันก่อนจะดีหรือเปล่าครับ”
“เมื่อกี้ฉัน ตรงชั้นหนึ่งมีร้านกาแฟเงียบๆอยู่” ลลิตชำเลืองมาทางคิมหันต์เป็นเชิงถาม
“ก็ไม่เลวนะ”
พอทั้งสามมาถึงร้านกาแฟที่ตกแต่งร้านแบบทึบๆและย้อนยุคเล็กน้อย วอลเปเปอร์ของร้านทำจากขนสัตว์สีน้ำตาลพร้อมกับแขวนรูปวาดคาวบอยหรือหัวสัตว์ตลอดทางร้าน ในร้านหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟแถมยังเย็นสบาย ที่นี่มืดสลัวและดูเหมือนจะปลอดคนพอสมควร คิมหันต์จึงรีบเข้าไปจับจองที่บริเวณมุมสุดของร้านแล้วสั่งกาแฟอุ่นๆมาสามแก้วเพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียดเกินไป
“เอ่อ...ของผมเอสเปรสโซ่นะ...” จินต์ขัดขึ้นแต่พอเห็นสายตาจิกๆของลลิตแล้วก็รีบเปลี่ยนทันควัน “แต่สั่งไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ”
“นายบอกว่า ‘นายเดินตามเกมส์คนร้าย’ งั้นหรอ? นายกำลังหมายถึงใครกัน” คิมหันต์เข้าประเด็นแทบจะในทันทีที่บริกรหนุ่มเดินจากไปจากโต๊ะ
จินต์ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อยแล้วค่อยๆพูดขึ้นอย่างสุภาพ “ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ จินต์ จากห้อง 4/1 ยินดีที่ได้รู้จัก...”
“เอ่อฉันลลิตา ห้อง 5/2...” ลลิตพูด “ส่วนนี่คิมหันต์จากห้องเดียวกัน”
“นายเป็นรุ่นน้องนี่เอง...” คิมหันต์พิจารณาดูจินต์อย่างสงสัย “มิน่าล่ะดูตัวเล็ก”
“แหะๆ แต่ผมก็ถือว่าสูงนะถ้าดูจากรุ่นเดียวกัน แต่จะว่าไปคุณสองคนเป็นเพื่อนกับคุณกวีใช่มั้ยครับ” จินต์เข้าเรื่อง
“อืมม์ ใช่” คิมหันต์ตอบ
“เป็นเพื่อนกันแต่พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองประสบอุบัติเหตุร้ายแรง แต่กลับแสดงปฏิกิริยานิ่งเฉยเกินคาด...” สายตาหยั่งรู้ซึ่งพิจารณาคิมหันต์อยู่ใต้กรอบแว่นกำลังสอดส่ายไปมาระหว่างคิมหันต์และลลิต “...งั้นแปลว่าเรื่องความสามารถเหนือมนุษย์ของคุณกวีเป็นของจริงสินะครับ”
ลลิตมองหน้าคิมหันต์เลิกลักก่อนที่จะค่อยๆถอดโทเท็มบนคอออก ความคิดของจินต์ดังในสมองของเธอทันที ‘คุณกวีเป็นอมตะใช่มั้ยครับ’
คิมหันต์กระแอมเบาๆแล้วยืดตัวตอบ “ต้องยอมรับว่านายช่างสังเกตดีมากนะ แต่บางเรื่องมันค่อนข้างอธิบายได้ยาก เอาเป็นว่ามันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ฉันไม่ขออธิบายนะ”
“ตอบผมแค่ว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้วครับ” จินต์รับกาแฟจากบริกรแล้วจิบเบาๆ
‘ถ้าคุณบอกว่ากวีเป็นอมตะจริงๆ ก็แปลว่าคัมภีร์มรณะมันใช้งานได้จริงๆ เท่านี้ผมก็ได้จิกซอว์มาอีกชิ้น’ ความคิดของจินต์ฟ้องขึ้นมา
ได้ยินดังนั้นลลิตจึงรีบขัดจินต์ก่อนที่อะไรจะไปกันใหญ่ “ใช่กวีเป็นอมตะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาใช้คัมภีร์มรณะไปฆ่าใครมานะช่วยเข้าใจใหม่ด้วย”
จินต์ชำเลืองมองลลิตอย่างสงสัย ‘เธอคนนี้ถ้าไม่ฉลาดระดับอัจฉริยะ ก็คงต้องเรียนจิตวิทยามาแน่ๆ อะไรจะมองคนออกอย่างงั้น’
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย” จินต์แก้ตัว
“อืมม์ฉันเข้าใจว่านายไม่ได้หมายความแบบนั้น ความคิดคนเรามันห้ามกันได้ยาก ฉันเข้าใจ” ลลิตพูดหยั่งเชิง
ตอนนั้นเองที่จินต์หรี่ตาลงอย่างสงสัย เขาหงุดหงิดพิกลที่ถูกลลิตเดาความคิดออกหมด “นี่ผมถามตรงๆนะครับ คุณเองก็มีพลังเหนือมนุษย์เช่นเดียวกันใช่หรือเปล่าครับคุณลลิต”
“พูดเรื่องอะไรของนาย พลังเหนือมนุษย์น่ะแค่กวีคนเดียวแหละที่มี” ลลิตโกหกแม้จะรู้ว่านั่นคงไม่ได้ผลกับจินต์
“เอาเถอะครับ ผมเป็นคุณก็คงจะไม่บอกออกไปตรงๆหรอกว่าอ่านใจคนได้ เพราะมันคงน่าอายถ้าแฉตัวเองไปว่ายอมฆ่าคนเพื่อให้ได้ความสามารถแบบนั้นมา”
ลลิตสะอึกแม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้าแค่พูดลองใจ เธอขบฟันแล้วฟังความคิดของจินต์ ‘ผมรู้ว่าอย่างคุณคงไม่ฆ่าคนเพื่อของแบบนั้นหรอกและไม่ว่าคุณได้พลังนั้นมาจากไหนผมก็ไม่แคร์ แต่ขอร้องช่วยอย่าแทรกแทรงสิทธิ์ทางความคิดผมจะได้มั้ยครับ มันอึดอัดน่ะ’
“อืมม์นายชนะ ฉันอ่านใจได้ มันไม่มีเหตุผลที่ต้องปกปิดแล้วล่ะ แล้วฉันก็จะเคารพคำขอของนาย สร้อยนี่จะระงับการทำงานของพลังจิตฉัน” ลลิตสวมโทเท็มกลับเข้าดังเดิม “เพียงแต่ว่าถ้าฉันสงสัยว่านายโกหกหรือเปล่า ฉันจะใช้พลังนี้เค้นความจริงออกมาได้ทุกเมื่อโอเคมั้ย”
“เข้าใจล่ะครับ สร้อยนั่นเป็นอันเดียวกับที่เปลี่ยนเป็นดาบได้สินะครับ” จินต์ร้องทักออกมาอย่างสนใจ
นั่นเป็นครั้งแรกที่ลลิตเพิ่งตระหนักว่าโทเท็มที่กวีให้มาของเธอสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ แต่เหตุใดกวีถึงไม่เคยสอนวิธีใช้งานมันให้เธอเลย บางทีในบางสถานการณ์มันอาจจะดูมีประโยชน์กว่านี้ถ้ามันเปลี่ยนเป็นอาวุธอะไรสักอย่างได้ อย่างธนู มีด ดาบ หรือ โล่อะไรทำนองนั้น
คิมหันต์เริ่มพูดโดยไม่สนใจกาแฟตรงหน้าเลย “นายรู้เรื่องเยอะมากถ้าเทียบกับคนอื่นๆบนโลก จำไว้ให้ดีนะว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
“ผมว่าคงยากนะครับ ต่อให้เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับยังไง ไม่นานคนบนโลกก็จะหาวิธีใช้มันจนเจอ มนุษย์จะถูกผลักดันด้วยความต้องการมากล้นในตัว ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามีคนใกล้ตัวผมตอนนี้ได้ใช้มันไปแล้ว”
“เธอกำลังพูดถึง คนร้าย ที่เธอบอกสินะ” ลลิตถาม
“ฉันไม่แนะนำให้กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นคนร้ายมั่วซั่วถ้ายังไม่มีหลักฐานหรอกนะ” เสียงเรียบๆที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังของวงสนทนา กวีในสภาพล่อแล่เต็มที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาอยู่ในชุดผู้ป่วยสีเขียวอ่อนเนื้อตัวถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลที่ซับเลือดแดงๆเอาไว้ ไม่ต้องบอกแต่ก็พอเดาไว้ว่ากวีคงจะหนีการปฐมพยาบาลออกมาโดยพละกาลแน่ๆ
“คุณกวี!” จินต์ดูตกใจที่สุดในกลุ่มจนเผลอร้องออกมา เพราะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กวียังอยู่ในสภาพที่สลบเหมือดและเละเทะเหมือนผักเปื่อย แต่ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้วเคลื่อนไหวได้แล้ว แม้จะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ก็ตาม
“โย่วเพื่อน! สภาพดูไม่จืดอีกแล้วนะ” คิมหันต์โบกมือทักทาย
“เหอะ” กวีเพียงแค่หัวเราะหนักๆใส่ทีเดียวเท่านั้น
พอจินต์เห็นว่ากวีกำลังเดินมานั่ง เขาก็รีบยืนขึ้นแล้วโค้งตัวคำนับแทบจะหัวโขกพื้นพลางพูดเสียงดัง “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พาคุณกวีมาเดือดร้อน เป็นเพราะผมแท้ๆ! ถ้าไม่ได้คุณกวีช่วยเอาไว้ผมคงตายไปแล้ว! ขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษจริงๆ!”
กวีไม่แม้แต่จะหยุดมอง เขาเดินไปยังเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างทุลักทุเลพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้น ที่ฉันช่วยนายเอาไว้เพราะนายอาจจะเป็นหนึ่งในคนร้ายซึ่งยังต้องไปรับโทษอยู่ดี และต่อให้นายไม่ใช่นายก็ติดค้างคำขอโทษคนอื่นอยู่ด้วย”
จินต์นิ่งนึกไปสักพักว่าเขาติดค้างคำขอโทษอะไรจากใคร และเมื่อเขานึกขึ้นได้ก็รีบหันไปโค้งคำนับใส่คิมหันต์ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเต็มอัตรา “ผะ...ผมขอโทษคุณคิมด้วยนะครับ”
“ขอโทษเรื่อง?” คิมหันต์ถามกลับอย่างงุนงง
“คือเรื่องมันออกจะซับซ้อนนิดหน่อยนะครับ คุณคิมพอจะจำตอนที่คุณเข้าไปคุยกับผอ.มนัสวีที่ห้องเคมีได้หรือเปล่าครับ ตอนนั้นมนัสวีสั่งให้ผมบันทึกภาพถ่ายคุณตอนกำลังแตะมือกับถังแก๊สน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าเขาจะอยากได้ภาพนั้นไปทำอะไร เพียงแต่ว่าผมคิดว่านั่นคงเป็นการจัดฉากอะไรสักอย่าง”
คิมหันต์นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาคุยกับมนัสวีในห้องปฏิบัติการณ์เคมีแล้วพูด “เข้าใจละ มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“ผมผิดเองที่ตอนนั้นผมดันหลงเชื่อว่าถ้าผมถ่ายภาพนั้นมาได้ เขาจะให้ผมตามที่ตกลงกันไว้ แต่ปรากฏว่าเขากลับดันผิดสัญญา” จินต์มุดหน้างุดเพื่อหลบสายตาของทั้งสามคน
ลลิตประติดประต่อเรื่องราวในหัวจนนึกขึ้นมาได้ว่า นั่นคงจะเป็นเวลาเดียวกับที่เธอแอบเข้าไปซ่อนตัวในห้องเคมีเพื่อดูว่าผอ.มนัสวีกำลังจะทำอะไรกับคิมหันต์ เธอได้ยินความคิดอันไม่ชอบมาพากลของมนัสวี แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดออกไปในตอนนี้เพื่อให้จินต์ชี้แจงต่อไป
“แล้วเขาจะเอาภาพฉันตอนนั้นไปทำอะไรกัน” คิมหันต์พึมพำ
“ทำให้ฉันกับนายเกิดการเข้าใจผิดกันน่ะสิ” กวีเปรยห้วนๆ จนทั้งสามคนที่เหลือแสดงสีหน้าตกใจ “มนัสวีไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่ ฉันรู้ดีว่าเจ้านั่นพยายามจะกลั่นแกล้งฉันทุกวิถีทาง ยิ่งตอนนี้ลูกชายของหมอนั่นหายตัวไป มันคงสงสัยฉันเอามากๆจนพยายามป้ายความผิดใส่ฉัน เริ่มจากการที่ทำให้ฉันไม่มีจุดยืนจนต้องพึ่งพาหมอนั่น และทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องเสียเพื่อนตัวเองไปและไม่มีใคร แต่นั่นก็นับว่าเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์มาก”
พอได้ยินเช่นนั้นจินต์ก็รู้สึกเกลียดมนัสวีมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาน่าจะมองออกตั้งแต่แรกว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายกวีอยู่ เขาไม่น่าปล่อยให้ความต้องการของตัวเองปิดบังเหตุผลไปเลยในตอนนั้น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“คือเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับอะไรกัน ใครพอจะสรุปคร่าวๆให้ฉันตามทันได้บ้าง” ลลิตถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ผมเองครับ ผมคงต้องเล่าเองในเมื่อทุกเหตุการณ์มันผ่านทางผมหมด” จินต์อาสาขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “มันเริ่มมาจากเรื่องของผมกับเพื่อนสนิทผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘ริศา’ ผมรู้จักกับเธอมานานมาก จนเธอเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มรู้จักกับ ‘สายฟ้า’ ลูกชายของผอ.มนัสวีนั่นแหละครับ สองคนนั้นคบกันในฐานะคนรัก ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่พักใหญ่ๆ แต่เรื่องราวมันเริ่มเลวร้ายขึ้นตอนที่อยู่ดีๆทั้งคู่ก็เกิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย...”
“ตอนนั้นเองทั้งผมและมนัสวีต่างพยายามสืบหากันคนละไม้ละมือ แต่ก็กลับไร้เบาะแสอะไรทั้งนั้น พอการสืบสวนดำเนินมาถึงทางตัน มนัสวียิ่งดูเหมือนจะเพ่งเล็งคุณกวีเป็นพิเศษอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่คุณเคยทำร้ายสายฟ้าจนเป็นเรื่องมาเมื่อนานมาแล้ว และการที่คุณมีเรื่องกับเพื่อนสนิทของคุณเมื่อเทอมที่แล้วเลยทำให้คุณดูไม่น่าไว้วางใจที่สุด ไหนจะหลักฐานเรื่องคัมภีร์มรณะที่มนัสวีพยายามใส่ร้ายว่าคุณกวีเป็นคนนำของพวกนี้เข้ามาอีก เขาจึงพยายามสร้างทางออกให้มีคนรับผิดในเรื่องราวเหล่านี้...”
“และในระหว่างนั้นผมก็ได้พบกับเบาะแสอย่างหนึ่ง มันคือคัมภีร์มรณะที่ถูกใช้แล้วซึ่งมันยัดไว้ในกระเป๋านักเรียนของริศา ซึ่งตอนนั้นสันนิษฐานได้ว่าอาจจะมีใครบางคนถูกฆาตกรรมไปแล้ว กระเป๋าของริศามีร่องรอยถูกกรีดและยังมีกลิ่นสารเคมีติดอยู่แถมยังตารางเรียนคาบสุดท้ายของวันก่อนที่เธอจะหายตัวไปยังเป็นคาบเคมีที่เรียนในห้องปฏิบัติการณ์นั้น ผมก็เลยสงสัยและอยากเข้าไปดูในห้องนั้นมากที่สุด แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่ามันเป็นห้องของคุณกวีและมนัสวีก็กำลังจะสั่งปิดมันด้วยสาเหตุที่ต้องการจะหาเรื่องบีบคั้นคุณกวี ผมก็เลยต้องตกลงกับมนัสวีเพื่อให้เขายกห้องๆนั้นให้ผม...”
“มนัสวียื่นข้อเสนอว่าถ้าหากผมเก็บภาพคิมหันต์ในห้องเคมีมาได้เขาจะยกห้องเคมีห้องนั้นให้ชมรมผม ผมตกปากรับคำเพราะความที่อยากจะสืบเรื่องราวนี้โดยไม่เคลือบแคลงเลยว่ามนัสวีจะอยากได้ภาพนั้นไปทำอะไร จนสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยในตัวมนัสวีก็เริ่มเผยออกมาทีละน้อย หนึ่งก็คือเขาพยายามป้ายความผิดให้คุณกวีอย่างน่าสงสัย สองก็คือเขาพยายามกันทุกคนให้ออกห่างจากห้องปฏิบัติการณ์เคมีนั้นราวกับว่าซ่อนอะไรไว้อยู่ และสามเขาผิดข้อตกลงที่ให้กับผมไว้โดยการปิดตายห้องเคมีนั้นโดยไม่บอกกล่าวก่อน....”
“จนเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมานี้ ผมพบกับคุณกวีเข้า แล้วเราก็ลักลอบเข้าไปในห้องนั้นด้วยกัน แต่สิ่งที่ตามมาก็คือเราถูกขัดขวางด้วยแรงระเบิดจนทำลายห้องเคมีเสียพินาศ น่าสงสัยใช่มั้ยล่ะครับทุกเรื่องเลย”
คำบอกเล่าจากปากของจินต์ทิ้งให้ทั้งวงสนทนาตกอยู่ในความตรึงเครียด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนลลิตต้องพูดขึ้นเอง “พูดถึงการหายตัวไป ในห้องฉันก็มีนักเรียนที่หายตัวไปเหมือนกันนะ”
“มีด้วยรึ” คิมหันต์ถามอย่างแปลกใจ
“มีสิ นายไม่ค่อยสนใจห้องเรียนอยู่แล้วเลยอาจจะไม่สังเกต แต่เด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘นัยนริน’ ก็หายตัวไปเหมือนกัน แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผอ.มนัสวีก็ดูเหมือนจะอยากพบเด็กคนนั้นด้วย บางทีเธออาจจะเกี่ยวข้องอะไรก็ได้นะ”
“นัยนรินหรอครับ” จินต์ถามอย่างแคลงใจ “เธอเป็นคนยังไงหรอ”
“อ๋อนิสัยดีมากเลยล่ะ” ลลิตตอบยิ้มๆ “คุยสนุก เรียนเก่ง หน้าตาใช้ได้ด้วย”
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยฟังข้อสันนิษฐานของผมหน่อยได้หรือเปล่าครับ” จินต์ขอขึ้นอย่างสุภาพ
คิมหันต์และลลิตพยักหน้าตอบ แล้วจินต์ก็ตั้งต้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ผมลองคิดดูนะครับ ว่าการที่สายฟ้าและนัยนรินคบกันทั้งๆที่ยังอยู่แค่ม.สี่ มันคงเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่ออย่าง มนัสวีรับไม่ได้ ยิ่งถ้ามีเราเพิ่มปัจจัยบางอย่างเข้าไป เหตุที่มนัสวีจะรังเกียจความสัมพันธ์ของลูกชายตัวเองกับผู้หญิงอื่นก็ยิ่งมีมาก ถูกมั้ยครับ”
“แล้วปัจจัยที่พูดถึงนี่คืออะไร” คิมหันต์ถาม
“อย่างเช่น...” จินต์กระแอมแล้วดันแว่นตาขึ้นจนสะท้อนกับแสงไฟ “ความต้องการทางเพศ”
“อะไรนะ!” ลลิตโพล่งออกมา
“อาจจะฟังดูตลกนะครับ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ยิ่งในวัยอย่างพวกเราด้วยแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดคิดเท่าไหร่ถ้าสายฟ้าเกิดมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับนัยนรินแล้วมนัสวีเกิดรู้เข้า เมื่อถึงตอนนั้นคนเป็นพ่อย่อมต้องบีบบังคับให้ลูกชายตัวเองหยุดแน่ๆ และถ้าสายฟ้าไม่ยอม ด้วยความรักลูกตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตามนัสวีอาจจะจัดการที่ต้นเหตุซึ่งก็คือนัยนรินเอง...”
คิมหันต์รู้สึกว่าบรรยากาศเย็นๆในห้องกาแฟเริ่มร้อนอบอ้าว กาแฟตรงหน้าไม่มีไอลอยกรุ่นขึ้นมาอีกแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงน้ำสีน้ำตาลข้นที่เย็นชืดและไร้รสชาติ “เป็นเรื่องราวที่วิปลาสมาก”
“มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่มนัสวีจะซ่อนลูกชายตัวเองเอาไว้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้าง จากนั้นจึงลงไม้ลงมือกับนัยนริน ผมไม่รู้ว่ามนัสวีจะใช้วิธีไหนกับเธอ อาจจะขู่บังคับ ทรมาน แต่ในกรณีที่ผมคิดเอาไว้...”
“ฆาตกรรม” กวีพูดแทรก
“ครับ...และการฆาตกรรมที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดก็คือ การสังเวยคนตายกับคัมภีร์มรณะ เท่านี้มนัสวีก็จะกำจัดเสี้ยนหนามอนาคตของลูกชายตัวเองพร้อมกับครอบครองพรวิเศษสามข้อใช่มั้ยครับ จากนั้นผมไม่รู้ว่ามนัสวีจะขอพรอะไรไป แต่เขาอาจจะทำการซ่อนศพของนัยนรินไว้ที่ไหนสักแห่ง ในที่นี้ผมคิดว่าเป็นห้องเคมี แล้วจากนั้นจึงปั้นเรื่องเพื่อปิดตายห้องเคมีนั้นจากสายตาทุกคน...”
“แล้วก็ปั้นเรื่องต่างๆนานาเพื่อป้ายความผิดใส่คุณกวี ไม่นานเขาอาจจะใช้พรสามข้อของตัวเองเพื่อทำให้คุณกลายเป็นคนร้ายโดยสิ้นเชิงก็ได้นะครับคุณกวี”
“แต่ฉันก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี” กวีตอบ “ถ้าเรื่องนี้มี นัยนรินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะ สิ่งที่นายคิดคงจะแตกต่างออกไปจริงมั้ย”
“ครับ...ตรงนั้นผมก็ยังหาเหตุผลดีๆมารองรับไม่ได้เหมือนกัน” จินต์ยอมรับ
“ฉันขอค้านนะ” ลลิตขัดขึ้น “คือฉันมีความสามารถในการจำแนกว่าใครเป็นมนุษย์ธรรมดา ใครคือผู้มีพรวิเศษ และใครบ้างที่ครอบครองพรวิเศษอยู่ ถ้าเกิดว่าคนๆนั้นคือมนุษย์ธรรมดาฉันก็จะอ่านใจเขาได้ แต่ถ้าไม่ก็แปลว่าคนๆนั้นเป็นพวกที่เหลือ ฉันเคยลองอ่านใจมนัสวีดูครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าฉันอ่านใจเขาได้ปกติ เท่านี้คงพอจะยืนยันแล้วว่าเขาไม่ได้ครอบครองพรวิเศษใช่หรือเปล่า?”
และพอได้ยินเช่นนั้นจินต์พลันนิ่วหน้าเครียด ซุกใบหน้าลงบนฝ่ามือแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ...ผมยังคิดไม่ดีพอสินะครับ ขอโทษด้วย”
“ไม่หรอกที่นายพูดมันก็มีเหตุผลอยู่” คิมหันต์ปลอบ “อย่าลืมสิว่านายกำลังสืบเรื่องที่เหนือธรรมชาติอยู่นะ พลังพวกนี้สามารถบิดเบือนความจริงได้เสมอนั่นล่ะ ที่เราต้องทำคือประติดประต่อทุกอย่างให้ดีขึ้น จะว่าไงดีเราคงต้องหาโอกาสไปที่ห้องเคมีนั้นเพื่อสืบดูจริงๆจังๆแล้วล่ะ”
“ฉันต้องบอกหรือเปล่าว่าที่นั่นถูกระเบิดจนเละไปแล้ว” กวีขัดขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา คล้ายจะบอกว่าคิมหันต์ไม่รอบคอบ
“งั้นนั่นคงเป็นการทำลายหลักฐาน เห็นชัดเลยว่าคงมีอะไรซ่อนอยู่ที่ห้องนั้นจริงๆ” คิมหันต์ครุ่นคิด
“เอ่อ...คือ ฉันมีอย่างนึงที่ยังไม่ได้บอกพวกนาย...” ลลิตพูดขึ้นมา ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมายังเธอ “คือฉันได้ยินเสียงความคิดของคนๆนึงในห้องเคมีนั้นด้วยล่ะ”
“จริงหรือครับ” จินต์ดูมีประกายแห่งความหวังมากขึ้นทันทีที่ได้ยิน
“เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงที่ฟังดูทรมานมาก เธอถูกซ่อนไว้ในห้องนั้นแล้วดูเหมือนว่าอยากจะถูกพบเจอเอาซะด้วย ฉันพยายามหาเธอนะแต่ว่าไม่พบอะไรเลย มีก็แต่ความว่างเปล่า มันน่ากลัวมาก แถมยัง...”
ทุกคนไม่พูดขัดขึ้นเพราะรอให้ลลิตเล่าจนจบ
“ตอนนั้นฉันถูกมือที่มองไม่เห็นทำร้ายเอาด้วย ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เราคงเข้าไปพัวพันกับอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะนะ”
ความคิดเห็น