คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ChapT28 ("Blow your mind;") ; เหมันต์ลวงตา
การเผชิญหน้ากับหนึ่งในปีศาจประจำบาปดูตรึงเครียดน้อยกว่าที่ลลิตคาดเอาไว้มากนัก เพราะครั้งล่าสุดที่เธอได้พบกับปีศาจอีกตัวหนึ่ง เจ้านั่นพยายามอย่างยิ่งที่จะฆ่าทั้งลลิตและคิมหันต์ให้ตายอย่างไม่ใยดี เธอเองคงจะจินตนาการเหตุการณ์ไม่ออกถ้าตอนนั้นกวีไม่ได้เข้ามาช่วยอย่างทันท่วงที
“ความสามารถประจำตัวงั้นหรือ” คิมหันต์ที่ดูจะสนใจเรื่องนี้ที่สุดถามขึ้น “มันเป็นแบบไหนล่ะ”
แอสโมดิ้วส์พนักห้า “ถูกแล้วๆ อย่างที่รู้ ปีศาจอย่างพวกเราน่ะมีพลังที่มากมายกว่ามนุษย์หลายพันเท่า แต่พลังของเรานั้นจะขัดเกลาจนถึงขีดสุดได้ก็เมื่อมี อัตราของบาปในบริเวณนั้นอยู่อย่างหนาแน่น”
คิมหันต์ขมวดคิ้ว “ที่เธอจะบอกเราก็คือถ้ามนุษย์ในบริเวณนี้มีบาปมากสักเท่าไหร่ ปีศาจก็จะยิ่งแข็งแกร่งใช่มั้ย”
“ฮ่าฮ่า! จะว่าอย่างนั้นก็ได้! นั่นเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พวกเรามีพลังมากขึ้น!”
“จะบอกว่าพวกเธอเปี่ยมพลังได้มากกว่านี้อีกงั้นสิ?” คิมหันต์ถามอีกครั้งโดยที่คราวนี้ไม่ลืมที่จะเจือปนน้ำเสียงดูแคลนลงไปด้วย
“หึหึหึ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันเพียงแค่จะเตือนว่าชัยชนะที่แกเพิ่งจะได้มาจากเบลเซบับนั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เจ้านั่นเป็นปีศาจที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราเจ็ดตน แล้วอีกอย่างเมื่ออีกไม่นานบาปจากความตะกละตะกลามเหล่านั้นทวีความรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เจ้านั่นก็จะฟื้นคืนชีพ ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนพวกแกตามขยี้มันไม่หวาดไม่ไหว ประกอบกับเมื่อปีศาจที่เหลือถูกปลุกขึ้นมา ตอนนั้นทั้งเมืองนี้และพวกแกก็จะได้เห็นนรกของจริงเอง...”
ลลิตนึกถึงเบลเซบับที่เพิ่งจะถูกพิชิตไป เพียงแค่คิดว่าพลังของเจ้านั่นยังรั้งท้ายและทวีความร้ายกาจได้อีกเรื่อยๆเธอก็อยากจะสลบไปกองกับพื้นเดี๋ยวนี้เลย
คิมหันต์พยักหน้าเนิบราวกับว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว “เรื่องนั้นฉันเข้าใจ แถมแกยังดูเหมือนจะคืนชีพได้เร็วเอาซะมากๆด้วยสินะ ปีศาจที่จะถูกปลุกมาในไม่ช้านี้ก็คงจะทำได้แบบแกแน่ๆ”
“ฮี่ๆ! อย่าเพิ่งรีบกลัวซะซี่ ฉันยังพูดไม่ถึงส่วนที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องเลยนะ”
“หึ” คิมหันต์แค่นหัวเราะใส่ “ดูเหมือนแกจะมีความสุขมากกับการแพล่งพลายเรื่องราวของฝ่ายแกเองให้พวกฉันรู้ซะเหลือเกินนะ เพราะอะไรล่ะ? ข้อมูลเท็จ หรือว่าแกมาล้วงข้อมูลฝ่ายฉันให้พวกแกกัน?”
“สงครามนี้คงจะสนุกกว่าถ้าฉันต่อให้พวกแกมีทางสู้บ้าง เอาล่ะ...กลับมาที่เรื่องความสามารถของปีศาจอย่างพวกเรากันดีกว่า แม้ว่าความเก่งกาจของปีศาจทั้งเจ็ดตนจะไม่เท่ากัน เริ่มจากผู้ที่อ่อนแอที่สุดอย่าง ตะกละ ราคะ โลภะ เกียจคร้าน ไปจนถึงปีศาจที่ต่อกรได้ยากอ่าง ริษยา โทสะ และอัตตา แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราโดดเด่นและไม่มีใครที่แทนใครได้ จนถูกแบ่งอย่างชัดเจนเป็นเจ็ดก็คือ ‘ความสามารถประจำตน’....”
คิมหันต์รู้สึกว่าน้ำลายเริ่มเหนียวหนืดในลำคอ แม้บรรยากาศรอบกายจะถูกความมืดดึงให้เยือกเย็นเพียงใดก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายร้อนผ่าวอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ใจว่าด้วยความหวาดกลัวเป็นกังวล หรือว่าความตื่นเต้นที่จะได้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้น ยิ่งคิดถึงการเผชิญหน้ากับเบลเซบับแล้ว คิมหันต์ยิ่งแปลกใจทุกทีที่เขารอดมาได้จนถึงจุดนี้ “แล้วความสามารถของเบลเซบับคืออะไรล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” แอสโมดิ้วส์หัวเราะลั่นราวกับว่านั่นเป็นคำถามโง่ๆ ”คำถามนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากคนที่น่าจะรู้จักเจ้าหมอนั่นดีที่สุดแบบแกเลยนะ ลองนึกดูดีๆ อะไรที่ปั่นหัวพวกแกมาได้ตั้งแต่ต้น อะไรที่ทำให้พวกแกทั้งเมืองตกอยู่ในความทุกทรมาน หืมห์ นึกไม่ออกงั้นหรือฉันจะบอกให้...”
“การกิน” ลลิตพูดขึ้น “ใช่มั้ย?”
เงียบไปสักพัก แอสโมดิ้วส์ดูแปลกใจกับคำตอบของลลิต “ฉลาดนี่นา...เจ้าน่ะ” มันชี้มาทางลลิตอีกครั้ง “แต่ใช่แล้วล่ะ เจ้าพูดถูกแล้ว การกินของเบลเซบับเป็นการกินที่ทรงพลังมาก เจ้านั่นตะกละแต่ว่ามันก็ใจเย็นพอที่จะกินทีเดียวอย่างช้าๆ เจ้าคงเห็นสิ่งที่มันทำกับเมืองนี้ เปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นฤดูฝน ส่งลูกสมุนไปทั่วให้เกิดโรคระบาด แล้วพอทั้งเมืองมีแต่ศพคนตายก็ถึงคราวที่มันจะทรงพลังที่สุด อ้อ...แล้วอีกอย่างความสามารถพิเศษอีกอย่างที่มีแต่หมอนั่นที่จะทำได้...” แอสโมดิ้วส์ชะโงกหน้ามาใกล้ลลิมากขึ้นอีก “...การเปลี่ยนร่างทรง เจ้านั่นเป็นเพียงปีศาจตัวเดียวที่เปลี่ยนร่างทรงของตัวเองเป็นใครก็ได้ นั่นก็เลยทำให้เจ้านั่นตามจับตัวได้ยากที่สุดในหมู่พวกเรา เจ้าโชคดีมากที่สามารถพิชิตเจ้านั่นมาได้ครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าที่เจ้าทำไปมันจะเปล่าประโยชน์ แล้วก็....ไม่นานมันก็คงจะกลับมาแก้แค้นเจ้า”
“อ๋องั้นหรอ” คิมหันต์ขัดขึ้นทันทีที่พูดจบ “ดูเหมือนจะจงใจใช้คำว่า ‘โชคดี’ กับพวกเราเหลือเกินนะ คิดว่ายังไงล่ะ พวกเราฟลุคงั้นสิ?”
แต่แอสโมดิ้วส์กลับหัวเราะอย่างดูแคลน “แน่ล่ะ ก็คงต้องเป็นคำนั้นเพราะพวกเจ้าเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้านั่นโดยที่ไม่รู้สี่รู้แปด ไม่รู้แม้แต่วิธีชนะ ไม่รู้ว่าเจ้านั่นทำอะไรได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธที่เจ้าถืออยู่ใช้ยังไง ที่ทำก็แค่เข้าไปห้ำหั่นอย่างโง่ๆรอคอยให้ปริศนาเปิดเผยขึ้นมาทีละชิ้น ทีละชิ้น เจ้าคิดว่าจะสู้แบบนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน ซาตานอีกหกตนน่ะหรือ? ไร้สาระ! อย่างน้อยเจ้าก็ทำกับข้าคนนี้ไม่ได้แล้วล่ะหนึ่งตน ต่อให้ข้าบอกจุดอ่อนที่ลึกที่สุดของตัวข้าให้เจ้ารู้ หรือว่าข้าจะยอมตัดแขนขาตัวเองแล้วสู้กับเจ้าด้วยแขนข้างเดียว รู้มั้ยว่าทำไม...”
ไม่มีใครตอบคำถามนั้นอยู่นาน แม้ลลิตจะรู้อยู่แก่ใจว่าปีศาจตรงหน้าพูดความจริงที่แทงใจทุกถ้อยคำ
“...เพราะเจ้าโง่เง่ากว่าพวกเราน่ะสิ”
ลลิตเกือบจะถลันเข้าไปจัดการกับมันทันทีแม้เธอจะไม่เห็นหนทางชนะก็เถอะ เธอรั้งอารมณ์ตัวเองไว้อย่างยากลำบากถึงขนาดขยี้มือตัวเองจนเขียวคล้ำ
“เอาเถอะ” คิมหันต์ตัดบทอย่างหมดความอดทน “ฉันเบื่อหน่ายกับคำถากถางอันไม่จำเป็นของแกเต็มทนแล้ว” คมมีดจากคัตเตอร์ในมือของคิมหันต์ค่อยๆเลื่อนออก คราวนี้แสงสว่างสีฟ้านวลทอประกายในสวนที่สลัวๆยามเย็น ลลิตหัวใจเต้นรัวนึกภาวนาให้คิมหันต์ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไปในตอนนี้ เธอรู้ดีว่าแม้คิมหันต์จะหยิบหอกแห่งชะตากรรมซึ่งเป็นไพ่ใบสุดท้ายมาใช้ก็คงยังเอาชนะปีศาจตนนี้ไม่ได้อยู่ดี “เราจะเข้าประเด็นกันได้หรือยัง” คิมหันต์พูดโดยจ่อมีดคัตเตอร์ที่ทอแสงเข้าใกล้ลำคอของแอสโมดิ้วส์
ขนทั่วกายของปีศาจชูชันและร้อนผ่าวราวถูกจี้ด้วยไฟ แต่มันกลับแย้มรอยยิ้มชอบใจ พร้อมพูด “ทำให้ข้ามั่นใจหน่อยว่าข้าเลือกไม่ผิดคน”
แล้วก็ ฉัวะ! ฉับพลันทันใด ทุกๆอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกันเมื่อมีดในมือของคิมหันต์เปล่งแสงสว่างถึงขีดสุดแล้วใบมืดเรียวเล็กก็พลันดีดตัวเองออกจนขยายขนาดอย่างรวดเร็ว มันยืดยาวขึ้นในเสี้ยววินาทีแล้วเปลี่ยนตัวมันเองให้กลายเป็นดาบสองคมที่สง่างามและดูมีพิศสง คมดาบถูกเฉือนผ่านลำคอของปีศาจจนกลิ้งขลุกๆตกลงบนพื้น เลือดสีดำเมื่อมคล้ายน้ำมันสาดกระจายเต็มบริเวณ แล้วร่างที่ไร้ศีรษะของแอสโมดิ้วส์ก็ล้มพับลงราวกับไร้กระดูก
ลลิตตกใจจนแทบกรี๊ด แต่ที่เธอทำได้ก็แค่ยืนมองตาค้างแล้วส่งเสียงอู้อี้จากลำคอเท่านั้นเอง
“มั่นใจหรือยังล่ะตอนนี้” คิมหันต์เดินไปแล้วแทงเข้ากลางอกของแอสโมดิ้วส์ “ฟื้นขึ้นมาสิ! ฉันรู้ว่าแกยังไม่ตาย!”
แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงแผดร้องดังลั่นในโสทประสาทของคิมหันต์ ร่างที่ไร้ศีรษะของปีศาจค่อยๆกระตุกอย่างช้าๆก่อนที่จะระเบิดกลายเป็นฝุ่นสีดำ แล้วกลับไปรวมตัวกันใหม่ข้างหน้าของคิมหันต์ ฝุ่นค่อยๆรวมตัวกันจนเกิดเป็นรูปร่าง และใช้เวลาเพียงไม่นานแอสโมดิ้วส์ตนเดิมก็กลับมายืนตรงหน้าคิมหันต์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำได้ดีนี่” มันปรบมืออย่างแสร้งๆ “เอาล่ะเท่านี้ก็ถึงเวลาฟังข้อเสนอของฉันแล้ว ข้าจะมอบทุกข้อมูลที่ข้ารู้ให้พวกเจ้าถ้าหาก...”
“คิม! อย่าไปฟังมัน” ลลิตปราม
“ถ้าหากอะไร” แต่คิมหันต์ดูไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าหากเจ้าสามารถแก้ไขปริศนาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ อ้า...ปริศนาอะไรนะที่กำลังปั่นหัวพวกเจ้าสามคนโดยไม่รู้ตัว ห้องเคมี มนัสวี เด็กสามคนที่หายตัวไป และคัมภีร์มรณะ พวกเจ้าทั้งสามเข้ามาอยู่ในเกมส์ที่ข้าสร้างให้เล่นแล้ว และถ้าหากเจ้าพิชิตเกมส์นี้ได้ ข้าจะบอกเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้ ทุกสิ่งที่ข้าจะบันดาลให้เจ้าได้ ข้าจะนำพาชัยชนะมาวางไว้เบื้องหน้าพวกเจ้า!”
“งั้นเรื่องพวกนั้นก็ฝีมือแกงั้นหรอ!” ลลิตโพล่งอย่างเดือดดาล
“ฮ่าฮ่าฮ่า เปล่าไม่ใช่ข้าทั้งหมดหรอก เห็นว่าโจทย์นี้ท้าทายความสามารถพวกเจ้าดีทีเดียว ข้าเลยอยากให้เจ้าลองแก้ให้ได้ดู ก่อนเที่ยงคืนของอีกสองวันข้างหน้า รายงานผลแก้ข้าแล้วเจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ!”
“แกทำแบบนี้เพื่ออะไร” คิมหันต์ถาม โดยไม่ลืมจ่อดาบในมือไปที่ปีศาจด้วย “หยิบยื่นโอกาศที่เราจะทำลายแกทำไมกัน?”
มันหัวเราะเบาๆแล้วเดินเข้ามาใกล้คิมหันต์ “หึหึหึ ต่อให้แกจะถามฉันด้วยคำถามนี้อีกสักพันครั้ง ที่ข้าจะตอบกลับไปก็คือคำว่า ‘ไม่มีเหตุผล’ อาจเพราะข้าน่ะเบื่อหน่ายการถูกใช้งานโดยมนุษย์อย่างพวกเจ้าเต็มทน ข้าเกลียดชังพวกที่ปลุกข้าขึ้นมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ข้าจะขัดขวางเจ้าพวกที่บังอาจหมิ่นเกียรติแห่งปีศาจของข้า ข้าจะทำให้พวกมันต้องเสียใจ และเจ้าเป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่จะต่อกรกับเจ้าพวกนั้นได้ ขอล่ะ! อย่าได้ท้วงติงความรักของข้าเลยคิมหันต์ ร่วมมือกับข้าซะ” เจ้าปีศาจไล้นิ้วเย็นๆจากบริเวณขมับของคิมหันต์แล้วเลื่อนต่ำลงมาช้าๆจนถึงบริเวณทรงอก บัดนี้ลมหายใจเย็นๆของแอสโมดิ้วส์สัมผัสกับใบหน้าของคิมหันต์
คิมหันต์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่ทว่าในความอึดอัดนั้นมีบางอารมณ์ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวและขยับตัวไม่ได้ เขาไม่รู้ว่า ณ วินาทีนั้นสมองของตัวเองทำงานผิดปกติหรืออย่างไรเมื่อเขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าของแอนโดยอัตโนมัติ
“คิม!” เสียงของลลิตดังก้องในโสทประสาทของคิมหันต์ แล้วความรู้สึก ณ วินาทีต่อมาคือ ถูกต่อยเข้าที่แก้มอย่างจัง คิมหันต์ล้มไปกองกับพื้นอย่างงุนงงแล้วโลกทั้งใบก็โคลงเคลงคล้ายกับอยู่ในเรือ
“อ...อะไรกัน” เขาทำได้ก็แต่แตะที่แก้มของตัวเองอย่างงุนงง
“ทำบ้าอะไรของนาย!” ลลิตตวาดใส่หน้าของคิมหันต์แล้วเดินเข้ามาพยุงอย่างหัวเสีย “รู้ทั้งรู้ว่าเจ้านั่นไว้ใจไม่ได้ ทำไมนายไม่เคยฟังฉันเลยนะ!”
“ลลิต...”
“ไม่ต้องมาพูด! ฉันปรามนายอยู่ตั้งหลายครั้งทำไมต้องทำเป็นไม่ได้ยินด้วย! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ยอมให้เราร่วมมือกับปีศาจตัวนั้นแน่! ฉันเชื่อว่ากวีก็ต้องไม่ยอมเหมือนกัน! นายลองมองไปที่เจ้าตัวน่าเกลียดนั่นสิ นายเห็นอะไร! ร่างซีดๆของแอนไงคิม! เจ้านี่คือสาเหตุที่ทำให้แอนต้องตาย แค่นี้นายยังคิดไม่ได้อีกหรือไง!”
“แต่...ลลิตเธอต้องมองดูความจริงว่า เราไม่มีทางเข้าใกล้องค์กรนั่นเลยถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้านั่นนะ!” คิมหันต์พยายามเถียงแม้เขาจะปวดแก้มก็ตาม
“ความจริงก็คือพวกเราจะหาวิธีตามคืนคัมภีร์มรณะคืนด้วยตัวพวกเราเอง ฉันจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือใครทั้งนั้น!”
“ลลิตทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเลยนะว่าฉันต้องการอะไรเนี่ย!” คิมหันต์ตวาดกลับ
“งั้นหรอ! เธอน่ะทำอะไรด้วยตัวเองโดยพลการมาหลายครั้งแล้วรู้ตัวหรือเปล่า ครั้งแรกก็ตอนที่ปั้นเรื่องน่ากลัวแล้วทำให้คนทั้งโรงเรียนกลัวกวี ครั้งที่สองคือตอนที่นายขู่ว่าจะฆ่าแอนด้วยตัวเองเพื่อยุติการปลุกปีศาจขึ้นมา! แล้วคราวนี้นายก็ยังจะยอมร่วมมือกับซาตานอีก!”
“ลลิต! ในบางครั้งเพื่อจะให้ไปถึงสิ่งที่ต้องการเราก็ต้องเดินผ่านเส้นทางที่ไม่อยากเดินนะ อย่ามัวแต่กลัวความมืดสิ!”
“นายกำลังอ้างอยู่ คิมหันต์!”
เสียงของลลิตทั้งแหบและสั่นเครือ คิมหันต์ไม่เคยเห็นลลิตเป็นเช่นนี้มาก่อน มันดูผิดปกติมาก “ลลิตใจเย็นๆก่อน ฉันอธิบายได้...”
“อธิบายหรอ! อ๋อ..อธิบายสินะ ด้วยคำโป้ปดมดเท็จของนายหรือเปล่า... ในตอนแรกฉันคิดว่ากวีเป็นคนลึกลับและดูเลวร้ายมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับเป็นนายที่ไม่เคยเปิดใจกับพวกเราเลย ฉันไม่รู้จักตัวตนของนายสักนิด ฉันไม่เข้าใจว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่! บางทีนายอาจจะเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดในกลุ่มเราเลยก็ได้!” ลลิตกำลังไกลห่างกับคำว่าใจเย็นไปทุกที คิมหันต์รู้ดีว่าถ้าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ลลิตกับเขาคงจะต้องตัดขาดกันเป็นแน่
“ขะ...ขอร้องเถอะลลิต ใจเย็นๆลงก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แกล้งพวกเจ้านี่มันสนุกจริงๆ” แต่จู่ๆแอสโมดิ้วส์ที่ทนฟังมาสักพักแล้วก็แผดเสียงหัวเราะลั่น มาเดินมาตรงหน้าลลิตที่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธแล้วดีดนิ้ว เปราะเดียว
ชั่ววินาทีนั้นลลิตสะดุ้งโหยง พร้อมหอบหายใจเฮือกใหญ่ราวกับขาดอากาศหายใจ แล้วแววตาของเธอก็เปลี่ยนไปจากโกรธเกรี้ยวกลายเป็นแววตาที่งุนงงและสับสน แล้วมองคิมหันต์อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ฉ...ฉันพูดบ้าอะไรลงไปเนี่ยคิม” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือราวกับจะร้องให้
คิมหันต์รีบเข้าไปพยุงร่างที่สั่นเทิ้มของลลิตแล้วกระซิบเบาๆ “ไหวนะลลิต เธอดูไม่ปกติสุดๆ”
“ฉันขอโทษคิม ฉันไม่น่าพูดเลย”
คิมหันต์อึดอัดเสียจนอยากจะอ้วก เขาเพิ่งจะโดนด่าด้วยประโยคที่ค่อนข้างจะแรงแล้วก็ได้รับคำขอโทษแทบจะในทันที ในเวลาอันสั้นเขาไม่มีโอกาสที่จะซึมซับทั้งความเจ็บปวดหรือโล่งใจแม้แต่น้อย ที่ทำได้ก็แค่ยืนแข็งทื่อเหมือนหุ่นไม้ด้วยความรู้สึกที่อึดอัด “ม...ไม่เป็นไร”
“และนั่นคือสิ่งที่มีแต่เพียงข้าที่ทำได้” แอสโมดิ้วส์พูดขึ้นมาราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการนำเสนอผลงานอะไรสักอย่างของมัน “ความสามารถที่บงการจิตใจมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบของข้าทำให้ข้าเป็นปีศาจที่ทรงพลังตนหนึ่งในนรก แม้อาจจะไม่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถ้าหากข้าเข้าใจถึงจุดอ่อนไหวที่ลึกที่สุดในใจของเจ้าข้าก็จะน่ากลัวที่สุดในใจเจ้าเช่นกัน”
“น่ารังเกียจ” คิมหันต์เพียงแต่พูดห้วนๆอย่างไร้อารมณ์
“ข้าสามารถบิดเบือนตรรกะ เหตุผล แรงจูงใจของมนุษย์ได้ เรียกได้ว่าข้าเป็นได้ทั้งคิวปิดและจอมมารได้ด้วยพลังของข้า ข้าสามารถดึงตรรกะของมนุษยออกมาใช้แทนอารมณ์ หรือขุดอารมณ์ออกมาใช้แทนเหตุผลก็ได้ แล้วในขณะเดียวกันข้าสามารถดึงเอาความในใจลึกๆของมนุษย์ออกมาเป็นคำพูดได้ด้วย อย่างที่ข้าสาธิตให้เจ้าดูเมื่อครู่นี้ไง”
ลลิตก้มหน้างุดทันที เธอได้แต่เพียงหวังว่าคิมหันต์คงจะไม่ติดใจอะไรกับความในใจลึกๆของเธอที่ถูกบีบให้พูดมันออกมา แม้เธอจะรู้สึกโกรธเจ้าปีศาจที่น่ารังเกียจนี้แต่ว่าเธอจะโทษมันได้ก็ไม่เต็มที่เสียทีเดียว เพราะทุกความในใจนั้นก็เป็นของเธอทั้งหมดและไม่ได้ปรุงแต่งสักนิดเดียว
“ถ้าแกทำได้ถึงขนาดนั้น ทำไมไม่บงการให้พวกเรารับใช้แกเสียเลยล่ะ หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงจิตใจของคนที่บงการเรื่องทั้งหมดซะ มันจะไม่ง่ายกว่าหรือไง” คิมหันต์ถาม
“หึหึหึ ถ้าข้าทำแบบนั้นพวกเจ้าก็จะเป็นแค่ซอมบี้ที่รับแต่เพียงคำสั่งของข้าเท่านั้น ไม่ๆๆนั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย ข้าต้องพึ่งความสามารถของเจ้ามากกว่าที่เจ้ารู้ แล้วรู้อะไรมั้ยมันจะเป็นการสนุกกว่าถ้าหากทุกการกระทำมันออกมาจากอารมณ์อันอ่อนไหวของพวกเจ้าเอง ส่วนอันหลังข้าจะทำแบบนั้นแน่ๆถ้าหากพวกเจ้าสืบได้ว่าคนๆนั้นคือใคร”
“หลังจากเรื่องทั้งหมดที่แกทำกับเพื่อนฉัน ยังจะคิดว่าฉันจะยอมเป็นพวกแกอยู่อีกงั้นหรือ” คิมหันต์ยกดาบขึ้นทาบกลางใบหน้าของแอสโมดิ้วส์
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างมีชัย “คิดสิ”
“หึ งั้นก็คิดถูกแล้ว ฉันจะขยี้ทุกบททดสอบของแกให้สิ้นซาก แล้วจะทำให้แกศิโรราบแทบเท้าของฉันให้ได้ ก่อนจะถึงวันนั้นเตรียมข้อมูลดีๆมาให้พวกเรา ระหว่างนี้ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว”
แล้วเจ้าแอสโมดิ้วส์ก็สลายกลายเป็นฝุ่นล่องลอยหายไปในอากาศ เมื่อความตรึงเครียดมลายลง ลลิตก็พลันล้มพับลงกับพื้นทันที “ฉ...ฉันไม่เคยรู้สึกอ่อนแออะไรขนาดนี้มาก่อน”
คิมหันต์เปลี่ยนดาบตัวเองให้กลายเป็นมีดคัตเตอร์ดังเดิมแล้วนั่งลงข้างๆลลิต “ไม่ต้องใส่ใจหรอก ทุกคนย่อมมีความในใจนั่นแหละ เธอไม่ได้ตั้งใจเอามันออกมาพูดฉันก็ไม่ถือหรอก...”
ลลิตซุกใบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเองแล้วพูด “แต่ยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ฉันคิด ฉันปฏิเสธไม่ได้หรอก ความคิดฉันมันรุนแรงไปเกินกว่าที่จะคิดกับเพื่อนอย่างนาย”
“ถ้านั่นเป็นความคิดที่เลวร้ายที่สุดในใจเธอมันก็ดูเบามากเลยล่ะ เธอเป็นคนดีมากนะลลิต บางทีฉันอาจจะผิดอย่างที่เธอว่าจริงๆ” คิมหันต์ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมามือให้ลลิตจับ “ลุกขึ้นเถอะ เราต้องเล่าเรื่องนี้ให้กวีฟัง ฉันไม่ได้คุยกับหมอนั่นมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว”
“อะอืม...ฉันก็มีเรื่องอยากจะคุยกับหมอนั่นเหมือนกัน”
‘นี่กวี...ฉันมีเรื่องจะ...’
‘ขอโทษนะคะ คุณเป็นคนรู้จักของเด็กผู้ชายที่ชื่อกวีหรือเปล่าคะ’ เสียงปลายสายที่คงจะไม่ใช่กวีถามขึ้นทันที
‘อะเอ่อ...นี่ใครครับ’
‘ถ้าใช่กรุณารีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยนะคะ คือคุณกวีประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาก ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ’ เสียงนั้นดูร้อนรนและตื่นกลัว
‘อ..อะไรนะครับ เกิดอะไรขึ้นครับ’
‘คุณกวีโดนระเบิดจากสารเคมีค่ะ เขาเอาตัวบังเด็กผู้ชายคนหนึ่งไว้เลยรอดมาหวุดหวิด แต่คุณกวีบาดเจ็บสาหัสค่ะ'
ความคิดเห็น