คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ChapT27 ("The Inflammable;") ; เหมันต์ลวงตา
เพราะเมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นกับคิมหันต์นิดหน่อย การนัดหมายจึงถูกโยกย้ายมาเป็นตอนเย็นของวันนี้ ลลิตและคิมหันต์กำลังเดินกันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า The Riot ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงานที่กลับจากที่ทำงานแล้ว ข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆที่ดูโหลงเหลงและไม่มีใครกล้าเข้า ลลิตอึดอัดเล็กน้อยที่วันนี้คิมหันต์ดูจริงจังและมุ่งมั่นผิดปกติ ยิ่งเวลาเธอเงยหน้ามองแล้วเห็นว่าเพดานของห้างสรรพสินค้านี้มันยกสูงเกินจำเป็นด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เธอหงุดหงิด
“ตกลงนายมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย ช่วยบอกฉันก่อนจะเดินไปเดินมาได้หรือเปล่า”
คิมหันต์ไม่เลิกสาวเท้า เขาเพียงแค่หันมามองลลิตแล้วพูดห้วนๆ “ฉันแค่หาใครสักคนอยู่”
“ใครล่ะ เขานัดนายไว้ที่ไหนล่ะ” ลลิตต้องพยายามเดินให้ทันคิมหันต์ เธอขึ้นไปอยู่ข้างๆเขาแล้วแตะไหล่เขาไว้ไม่ให้เดินหนี “แล้ว...ทำไมต้องเดินหาทั่วห้างแบบนี้ด้วย ฉันเหนื่อยแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้นัดเขาไว้ แล้วเขาก็ไม่ได้นัดฉันด้วยน่ะสิ” คิมหันต์ตอบอย่างหัวเสีย
“ยังไงไม่เข้าใจ...” ลลิตวิ่งไปขวางหน้าคิมหันต์ด้วยความรำคาญ “นี่! ช่วยหยุดเดินก่อนจะได้ไหม”
คิมหันต์พ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วตอบ “ฉันไม่รู้จะหายัยนั่นได้ที่ไหนน่ะสิ”
“แล้วมาเดินหาในที่กว้างๆและซับซ้อนแบบนี้ยังไงก็ไม่เจอหรอก หยุดพักแล้วคิดอะไรก่อนดีกว่ามั้ย...”
คิมหันต์ดูไม่พอใจแต่ลลิตก็ไม่สน เธอแค่กระชากข้อมือคิมหันต์แล้วลากเขาเข้าไปที่ร้านไอศกรีมร้านหนึ่งเท่านั้นเอง พอทั้งคู่นั่งพนักงานบริการก็เดินเข้ามาขอเมนูทันที แต่ลลิตเพียงแต่โบกมือไล่เธอไปแล้วตั้งต้นกระซิบกับคิมหันต์
“เป็นไงมาไงล่ะ ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้มั้ย”
คิมหันต์ถอนหายใจแล้วขมวดคิ้ว “คือ...วันก่อนฉันเจอคนๆนึงที่ฉันไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่น่ะ”
“ใครล่ะ”
คิมหันต์ดูครั่นคร้ามที่จะตอบ แต่ลลิตก็ยังคงเงียบและจ้องหน้าเขาอยู่ “แอนน่ะสิ”
ลลิตเกร็งตัวชาไปชั่วขณะจนเผลอจิกขาตัวเองจนเป็นรอยไปด้วย ความรู้สึกและสิ่งที่เธอวิตกเริ่มกลับเข้ามาเกาะกินจิตใจ มันเป็นความกลัวคล้ายๆกับตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเบลเซบับ “อ...แอนน่ะหรอ แล้วเธอว่าไงบ้าง”
“ไม่มีเธอหรืออะไรทั้งนั้น...” คิมหันต์พูดโดยไม่เดือดไม่ร้อนอะไร ลลิตทึ่งที่เขาสามารถทำใจยอมรับการสูญเสียนี้ได้ หรือบางทีเขาคงไม่เคยยึดติดจะได้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำใจยอมรับอะไรทั้งนั้น “...มีแค่ร่างที่บรรจุจิตชั่วร้ายเอาไว้เท่านั้น เธอเข้าใจใช่มั้ย...”
ลลิตพยักหน้าค่อยๆ “ใช่ฉันรู้ดี การคืนชีพเป็นผลอีกครั้ง แบบเดียวกับตอนที่เราเสียจิตติไป เพียงแต่ว่า...เราเสียเธอไปรวดเร็วและฉับพลันกว่าตอนนั้นเท่านั้นเอง”
จริงอย่างลลิตว่า เพราะตอนที่จิตติถูกกลืนกินโดยเบลเซบับ มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆและแยบยล ทว่าคราวนี้แอนกลับจากไปอย่างฉับพลันเสียจนยากที่จะทำใจยอมรับ “...เธอเปลี่ยนไปมาก มากจนไม่ใช่เธอคนเดิม”
“เปลี่ยนหรอ?...” ลลิตทวน “เปลี่ยนไปในทางไหนล่ะ”
คิมหันต์ยักไหล่ “เธอต้องเห็นเอง”
“แล้วอีกคนในร่างของเธอว่ายังไงบ้าง”
คิมหันต์ขยับตัวคล้ายเก้าอี้ที่นั่งกำลังมีไฟลุก เขาลุกลี้ลุกลนก่อนที่จะพูด “ฉันคุยกับเจ้านั่นไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ มันดูดุร้ายน้อยกว่าเบลเซบับแต่ว่าฉันก็ยังไม่เข้าใจความคิดมัน แถมมันยังบอกกับฉันว่าอยากจะเป็นพวกเรา”
“กลลวงน่ะสิ” ลลิตโพล่ง “ต้องเป็นแบบนั้นแหงอยู่แล้ว”
“ใช่ตอนแรกฉันก็ว่างั้น แต่พอลองคิดดูดีๆ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ! เจ้านั่นพูดถึงอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย อะไรทำนองว่า “สังหารหมู่” เนี่ยแหละ ฟังดูราวกับว่ามันรู้อะไรดีๆเลยเธอว่ามั้ย”
ลลิตพึมพำตอนได้ยินคำว่าสังหารหมู่ “มันน่าจะเป็นพวกเดียวกับ อิลลูมิเนติ อะไรพวกนั้นด้วยสิ แล้วทำไมมันถึงอยากจะเข้ามาเป็นพวกเราล่ะ”
“ก็เพราะเราไม่รู้ไง ฉันถึงอยากถามมันกับตัวอีกครั้ง”
“อืม...เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนายรีบ” ลลิตยิ้ม
แล้วคิมหันต์ก็พลันลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ทันที “เอาล่ะเธอเข้าใจก็ดีแล้ว รีบไปตามจับเจ้านั่นแล้วถามให้รู้เรื่องกันดีกว่า...”
“นายรู้แล้วหรอว่าจะหามันได้ที่ไหน”
“ถ้าหาที่นี่ไม่เจอ ก็คงจะอยู่ข้างนอกนี่แน่ๆ ฉันว่าจะไปลองดูที่สวนสาธารณะน่ะ ลลิตเธอนำทางให้ฉันได้หรือเปล่า”
“เฮ้อ...ให้เราวิ่งเข้าไปรนหาที่แบบคราวก่อนฉันไม่เอาแล้วนะ ฉันไม่คิดว่าคราวนี้เราจะรอดไปได้แบบคราวก่อนหรอก” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปร้านโดยที่ไม่สั่งเมนูใดๆทั้งสิ้น
จินต์กำลังร้องโอดโอยอยู่บนพื้น เศษพลาสติกและชิ้นส่วนต่างๆของกล้องแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด กวีย่างสามขุมเข้าไปหาร่างของจินต์แล้วจ่อปลายดาบเข้าที่คางของอีกฝ่าย
“ไม่มีเลือดสักหยดหรอก ฉันจงใจฟันให้ไม่โดนเองแหละ และถ้าคิดจะเที่ยวถ่ายภาพใครต่อใครอีกล่ะก็ นายได้เจออะไรดีๆแน่”
จินต์เงยหน้าขึ้นมองกวีแล้วรอยยิ้มก็แย้มบนใบหน้าช้าๆ “ว้าว! มายากลงั้นหรอ จู่ๆคุณก็เรียกดาบนั่นมา เท่ห์ชะมัดเลยให้ตายสิ...”
“นายต้องการอะไรจากห้องนั้นกันแน่!...” กวีค่อยๆนั่งลงข้างๆจินต์โดยที่คราวนี้เขาเลื่อนดาบเข้ามาเสียจนชิดลำคอของอีกฝ่าย ก่อนจะคาดคั้นอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็นๆ “บอกมา”
“จะ...ใจเย็นสิครับ! แค่ผมถ่ายรูปคุณรูปเดียวเองนะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่นา แล้วกล้องนั่นมันก็แพงมากนะรู้มั้ยครับ!”
กวีชำเลืองตามองเศษชิ้นส่วนที่แตกเป็นเสี่ยงๆอย่างไม่ใยดีก่อนพูด “งั้นหรือ...ฉันว่ามันสมควรแล้วล่ะ แล้วรู้อะไรมั้ย ฉันไม่โง่พอจะโดนนายหรือ ผอ.สวะนั่นปั่นหัวให้ฉันระแวงในตัวคิมหันต์หรอก”
“ม...หมายความว่าไงครับ” จินต์พยายามพูดโดยไม่ให้ลำคอขยับแล้วโดยปลายดาบบาดเอา
“หมายความว่าฉันรู้แล้วไงว่าภาพคิมหันต์นั่นแกเป็นคนถ่าย แล้วมันก็ยังถูกจัดฉากอีกต่างหาก อย่าคิดว่าฉันโง่หน่อยเลย”
“โอ้ย! แล้วผมจะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะครับ!”
“อย่าโกหกให้เรื่องมันยุ่งซี่” กวีชะโงกหน้าเสียจนตอนนี้จมูกของทั้งคู่แทบจะชนกันแล้ว “บอกฉันมาดีๆจะดีกว่า...แกก็รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ช่าย...ฉันตายแล้วก็กลับมาจากความตายอีกหน”
“ครับครับ! งั้นก็ช่วยออกไปจากตัวผมก่อนจะได้มั้ย!” พอกวีลดดาบลงจินต์ก็ผลักเขาออกไปแล้วคลานหนีอย่างหวาดระแวง เมื่อทั้งคู่ทิ้งระยะห่างจนเขามั่นใจว่าคงพ้นรัศมีดาบนั้นแล้วจึงลุกขึ้นช้าๆ
“อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิว่าเหตุผลที่นายจะพูดเนี่ยมันจะไม่ทำให้ฉันต้องฆ่านายจริงๆ”
เงียบไปนานพอสมควร อีกฝ่ายดูจะระแวงกวีพอๆกับกลัวที่จะต้องเล่าออกมา แต่แล้วในที่สุดเขาก็ก้มหน้าเล่า “คือ...ผมถูกบังคับน่ะ จากผอ.มนัสวี ผมแค่อยากจะตั้งชมรมขึ้นเท่านั้นเอง เขาบอกว่าจะคุยกับคุณให้พร้อมกับยกห้องปฏิบัติการเคมี ถ้าช่วยทำอะไรบางอย่างให้ ผมเลยรับปาก แต่ผมก็ไม่รู้มาก่อนนะครับว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้!”
กวีไม่ตีสีหน้าอะไร เขาเพียงแต่รับฟังเงียบๆ “ว่าต่อสิ”
“ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะเอารูปภาพนั้นไปทำอะไร แต่ผมก็ถ่ายให้เขาไปแล้ว แต่เขาก็ผิดคำสัญญาผมโดยการปิดตายห้องนี้โดยไม่บอกผมก่อน เขาบอกว่ามีห้องอื่นเยอะแยะที่ผมจะเลือกเป็นที่ทำการชมรมได้ แล้วทีนี้พอเขาผิดคำสัญญาผมก็เลยไม่มีเหตุผลจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป”
กวีครุ่นคิดสักพักแล้วจึงถาม “พอจะรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงจำเป็นต้องปิดห้องเคมีด้วย”
จินต์ขมวดคิ้วแล้วพูด “คุณไงล่ะครับ” เขาชี้มาทางกวี “เขาเกลียดคุณมากๆเพราะคุณเคยเล่นงานลูกชายเขาจนเป็นเรื่องใหญ่เมื่อนานมาแล้ว พอเขาเห็นหนทางที่จะเล่นงานคุณได้บ้างเขาก็ไม่รอช้าที่จะทำ เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะปิดตายห้องชมรมของคุณเพื่อทำให้ชมรมของคุณไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ และเมื่อชมรมของคุณไม่มีทั้งห้องประจำการหรือสมาชิกสักคน คุณที่มีทิฐิก็จะไม่เข้าชมรมอะไรเลย แล้วอย่างที่รู้คนที่ไม่ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เสริมนี้จะต้องเรียนซ้ำชั้น มันเป็นการกลั่นแกล้งที่เลวร้ายมากสำหรับการที่ครูจะมีให้นักเรียน มนัสวีเป็นคนที่เล่นกับความต้องการของคนอื่น เขารู้ว่าเราต้องการอะไรที่สุดแล้วเขาก็จะหยิบยื่นสิ่งนั้นให้ แล้วพอถึงตอนนั้นมันก็เหมือนปลาที่งับเบ็ดไปแล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างใจเขา ผมรู้จักเขาดี...เพราะฉะนั้น...” จินต์เอื้อมมือมาเหมือนจะจับมือกับกวี “ผมจะช่วยคุณเอง คุณมาอยู่ชมรมถ่ายภาพกับผมนะ ทีนี้เขาก็จะทำอะไรคุณไม่ได้อีก”
“ไม่ล่ะ” กวีปฏิเสธอย่างไม่ใยดี “ฉันแค่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงต้องอยากได้ห้องเคมีห้องนี้ด้วย จากที่ฟังมามันดูเหมือนทุกอย่างที่นายแคร์ก็แค่ได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้”
จินต์ก้มหน้าเงียบราวกับว่าทุกสิ่งที่กวีพูดออกมามันแทงใจดำเขาจริงๆ “เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้”
กวีกระชับดาบในมือแล้วทันทีที่แสงสีม่วงอมน้ำเงินทอสว่าง มันก็พลันหดกลับกลายเป็นโทเท็มดังเดิม “มาถึงตรงนี้แล้วคงไม่มีคำว่าตอบไม่ได้แล้วล่ะ ถ้านายอยากรู้ความจริงเรื่องกระดาษมรณะแผ่นนั้น นายก็ต้องเล่าความจริงของนายมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก นายจะไม่มีวันได้เข้าไปในห้องๆนี้”
จินต์เงียบไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดสิ่งที่กวีเสนอมาให้ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรแม้กวีจะดูน่ากลัวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูน่าไว้ใจมากว่ามนัสวีเยอะทีเดียว จินต์ค่อยๆนั่งขัดสมาธิแล้วตั้งต้นเล่าเรื่อง “ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง เธอเป็นผู้หญิงครับ ชื่อว่า ‘ริศา’ ผมสนิทกับเธอมาตั้งแต่อนุบาลไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนพักหลังมานี้เธอคบกับ ‘สายฟ้า’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผอ.มนัสวี แล้วเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เป็นเด็กชอบอ่านการ์ตูน ดูหนัง มีงานอดิเรกคือเล่นดนตรี เธอกลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการพร่ำเพ้อถึงสายฟ้า ตามเขาแจจนไม่เป็นอันทำอะไร ผลการเรียนตกต่ำและกลายเป็นคนที่ไม่คบใครเลยแม้แต่ผม ใช่ครับผมถูกแทนที่...” จินต์เงียบไปสักพัก โดยที่ระหว่างนั้นกวีพยายามนึกหน้าเด็กที่ชื่อริศาให้ออก ซึ่งภาพที่เขาพอจะขุดมาจากความทรงจำได้ ก็คือเด็กสาววัยรุ่นอายุคราวเดียวกับเขาที่ชอบไปไหนมาไหนกับสายฟ้า และทุกที่ที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันริศาก็จะอยู่ในสภาพเกาะเกี่ยวแขนขาของฝ่ายชายจนดูน่าเกลียด
“จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังมานี้ทั้งเธอแล้วก็สายฟ้าได้หายตัวไป ตอนแรกผมคิดเพียงแต่ว่าคงจะเลิกคบริศาโดยสิ้นเชิง เพราะเธอคงจะเปลี่ยนไปคนละคนจนถึงขั้นหนีตามผู้ชายจนเสียการเรียน แต่สิ่งที่ผมได้รู้มากลับต่างออกไป เมื่อทั้งสองคนหายตัวไปนานเกินรอ มนัสวีก็แจ้งตำรวจให้ออกตามหา แต่จากการสืบแล้วไม่มีร่องรอยของการหนีตามกันเลย ของทุกอย่างในห้องนอนทั้งคู่ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรหายไป ดูราวกับว่าจู่ๆทั้งสองคนก็สลายไปเป็นอากาศธาตุอย่างนั้นแหละ แล้วที่แย่ที่สุดก็ตรงที่ตำรวจขอพักคดีนี้ไว้จนกว่าจะพบเบาะแสใหม่ๆ ทำให้คนที่ต้องตามสืบเป็นผมและมนัสวี...”
“พวกเราเลยพยายามสืบทุกวิถีทาง จนผมพบเข้ากับสิ่งของอย่างเดียวที่หายไปและตำรวจหาไม่พบ มันคือกระเป๋านักเรียนของริศา ผมเทียบหนังสือเรียนแต่ละวิชาในกระเป๋าของเธอกับตารางเรียน แล้วพบว่าวันสุดท้ายที่เธอมาเรียนคือวันไหน และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ กระเป๋านั้นยับเยินและมีร่องรอยของการถูกกรีดด้วยของมีคมอยู่ มันถูกทิ้งในโรงเรียนนี้แถมยังมีกลิ่นและร่องรอยของสารเคมีอยู่ด้วย แล้วส่วนที่แย่ที่สุดคุณรู้มั้ยอะไร....” จินต์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือแผ่นกระดาษเอสี่ที่ขยำจนเป็นก้อนและเมื่อจินต์คลี่มันออก กวีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันคือวงเวทย์จากคัมภีร์มรณะที่ถูกทาด้วยเลือดที่ยังคงไว้ซึ่งความสดแม้จะแห้งไปแล้วก็ตาม “...ผมรู้จักกระดาษแผ่นนี้ดี แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันจะใช้ได้จริงๆ หรือว่านี่เป็นเลือดของใครกันแน่ ถ้าเกิดว่ามันเป็นความจริงอย่างที่บอกสายฟ้าหรือว่าริศาอาจจะตายไปแล้ว...”
กวีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่กับเรื่องราวที่ได้ยินมาริศา สายฟ้า มนัสวี จินต์ ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกันแน่
จินต์อ้าปากพูดต่อ “...ที่ผมต้องการก็แค่อยากรู้ว่ากระดาษพวกนี้ใช้ได้จริงๆหรือเปล่า แล้วก็ผมจะต้องเข้าไปสำรวจอย่างละเอียดในห้องนี้ให้ได้ เพราะเบาะแสจากกระเป๋านักเรียนของริศาก็ชี้มายังที่แห่งนี้ ไหนจะเรื่องที่มีแก๊สรั่วไหลออกมาจนต้องปิดตายห้องอีก คุณคิดว่าแก๊สพวกนั้นมีไว้แค่ขู่เราอย่างนั้นหรอ ไม่หรอก...”
“ใช่ถ้าที่นั่นมีศพซ่อนอยู่จริง แก๊สพวกนั้นก็คงมีไว้ดับกลิ่นศพ” กวีบอก
“ใช่ครับ...แต่ผมไม่สามารถหาทางเข้าไปในนั้นได้เลย ผมได้เข้าไปครั้งเดียวก็ตอนที่ไปแอบถ่ายภาพคุณคิมหันต์ แล้วผมก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปอีกเลย ผมเลยต้องการเวลาเล็กน้อยในการลอบเข้าไปในห้องนั้นแล้วค้นหาอย่างละเอียด คุณไม่คิดว่ามันแปลกหรอที่ห้องเคมีโดนปิด ริศาหายตัวไป สายฟ้าก็หายตัวไป ไหนจะกระดาษแผ่นนั้นอีก!”
การสนทนาเริ่มตรึงเครียด และยิ่งกวีตั้งข้อสันนิษฐานมากเท่าไหร่ ขนทั่วกายก็พลันลุกเกรียว “นายกำลังสงสัย...มนัสวี...?”
จินต์พยักหน้าอย่างมั่นใจจนความเกลียดชังสะท้อนออกมาจากดวงตา “ครับ”
ทั้งคิมหันต์และลลิตเดินจนมาถึง The Maze สวนสาธารณะที่ถูกจัดแต่งให้เป็นเขาวงกตอันร่มรื่น แต่ ณ ตอนนี้มันใกล้เวลาโพล้เพล้เต็มที ผู้คนเริ่มเบาบางและความเงียบงันก็เริ่มปลกคลุมสวนแห่งนี้ พระอาทิตย์อัศดงย้อมพุ่มไม้ให้กลายเป็นสีปนเขียวดูปวดตา อีกไม่นานก็คงจะมืดและสวนแห่งนี้ก็จะวังเวงและน่ากลัว
“เดินตามมาล่ะ ระวังหลงด้วยนะ” ลลิตกำลังเดินนำคิมหันต์อยู่ไม่ห่าง เธอเองก็มุ่งมั่นไม่แพ้กับคิมเช่นกัน
“เธอคิดว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้างล่ะ”
“ก็ที่นึง” ลลิตตอบสั้นๆ แล้วเมื่อทั้งคู่เลี้ยวขวาตรงหัวมุมพุ่มไม้ ทั้งสองก็เข้ามาถึงใจกลางของสวนสาธารณะ มันเป็นบึงที่มีศาลากลางน้ำสีขาวตั้งอยู่ใจกลาง มีสะพานโค้งทอดเข้าไป ในบึงถูกตกแต่งด้วยพืชน้ำ และดูเหมือนตรงศาลาจะมีใครรออยู่ก่อนแล้ว
แสงอาทิตย์ที่สาดย้อนเข้ามาทำให้ทั้งคู่มองใครคนนั้นไม่ถนัด และจนกระทั่งคนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วคิมหันต์จึงตระหนักว่านี่แหละคือคนที่เขาอยากพบ “แก...”
ลลิตสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่คิมหันต์เรียกคนตรงหน้าว่าแก แม้เธอผู้นี้จะดูแตกต่างออกไปแต่ว่าเค้าโครงเดิมๆของเด็กสาวน่ารักผู้บูชาความรักก็ยังคงอยู่ ดวงตาที่เคยกลมโตสดใสตอนนี้ดุร้ายและขุ่นมัวด้วยอายไลน์เนอร์สีดำรอบขอบตา ผมสีน้ำตาลเข้มก็ถูกย้อมจนดำสนิทและแห้งกร้านราวไม้กวาด มันถูกมัดเป็นแกะสองข้างด้วยสายรัดผมทรงหนาม แอนที่ไม่ใช่แอนปรากฏตัวในชุดแบบโกธิคสีดำที่มีสีแดงผสมเข้ามาเล็กน้อย ถุงน่องสีดำถูกดึงขึ้นสูงตรงเท้าหุ้มไว้ด้วยรองเท้าหนังดำมันวาวที่มีหนามเหล็กสะท้อนรับแสงอาทิตย์เป็นอย่างดี ลลิตไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแอนจะเปลี่ยนไปในทิศทางนี้ “เธอคือ...”
“กำลังรออยู่นานเลยนะคิม อ้อส่วนเธอฉันรู้จัก ฉันรู้จัก! ฉันรู้จักเธอจากความทรงจำเด็กคนนี้ เธอคือศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่งของแม่นี่นั่นเอง!” แอสโมดิวส์จ้องมองลลิตอย่างสนใจ แต่ลลิตไม่ชอบที่จะต้องถูกเรียกด้วยชื่อนั้น
“เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ซะหน่อย!” ลลิตพูด
“อ๋อรู้สิรู้...ฉันเข้าใจความรู้สึกของมันมากกว่าที่มันเข้าใจซะอีก ถึงจะรับรู้มาจากศพของมันก็เถอะนะ” เสื้อของมันถูกเลิกขึ้นสูงจนมาถึงบริเวณหน้าท้องซีดๆที่มีแผลเหวอะช้ำเลือดช้ำหนองที่ยังไม่ได้รับการรักษา จริงๆถ้าคนธรรมดามีแผลฉกรรจ์เช่นนี้ก็คงจะติดเชื้อตายไปแล้ว แต่สำหรับปีศาจตัวนี้คงไม่ใช่
“พอเถอะ!” คิมหันต์เข้ามาปรามอย่างหัวเสีย “ฉันมาเพื่อขอฟังเงื่อนไขเธออีกที”
แอสโมดิวส์ยิ้มกว้างในใบหน้าของแอน “ยังจะต้องฟังอะไรอีกเล่า ก็ตอบตกลงมาเลยซี่!”
“ไม่! จนกว่าเธอจะบอกจุดประสงค์จริงๆของเธอมา!”
มันหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แหม...เปลี่ยนมาเรียกฉันว่า ‘เธอ’ แล้วฉันชอบแฮะ! มันทำให้ฉันนึกถึงตอนที่แกเรียกยัยร่างทรงนี้ อ้อ...ฉันจำมาจากความทรงจำยัยนั่นน่ะ”
ลลิตรู้สึกเกลียดปีศาจตัวนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว มันช่างชอบหยิบยกประเด็นที่แอนได้ตายไปแล้วขึ้นมาพูดเสียจนสนุกปาก มันคงกำลังนึกว่าถ้อยคำพวกนี้จะทำให้คิมหันต์เจ็บปวดได้ แม้คนที่ฟังแล้วจะเจ็บปวดจะเป็นเธอเองก็ตาม “เลิกพูดเสียๆหายๆกับแอนได้แล้ว!” ลลิตกระแทกเสียง
มันชะโงกหน้ามามองลลิตใกล้ๆเหมือนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด “หือม์ อ่อนไหวงั้นรึ? โถโถโถโถโถ! เธอควรจะเกลียดชังเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือ ในความคิดฉันน่ะนะ”
“ฉันไม่มีเหตุผลจะต้องเกลียดแอน...”
“ฉันไม่สนทั้งนั้นแหละว่าแกจะว่าร้ายแอนหรือใคร แต่แกช่วยพูดจาให้มันรู้เรื่องกว่านี้หน่อย หยุดนอกประเด็นได้แล้ว!” คิมหันต์พูดขึ้น ทุกหน่วยเสียงบ่งบอกถึงการขู่เต็มอัตรา
“หึก็ได้ๆ” แอสโมดิวส์ยักไหล่ “เรื่องนี้คงจะยาวและเข้าใจยากหน่อยน้า...เพราะมันเกี่ยวกับพลังวิเศษส่วนตัวของปีศาจแต่ละตัวน่ะนะ หึหึหึหึ”
เคร้ง! กวีตวัดดาบสุดแรงอีกครั้งเพื่อตัดแม่กุญแจอันใหญ่เสียจนเหล็กบิ่นออกในที่สุด เศษแผ่นไม้ที่ถูกแกะออกจากประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการณ์เคมีตกเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด นี่คงเป็นเวลาหนึ่งทุ่มนิดๆแล้วและนักเรียนและคุณครูทุกคนในโรงเรียนคงจะกลับออกไปกันหมดแล้ว กวีใช้โอกาสนั้นลอบเข้าไปในห้องเคมีพร้อมกับจินต์เพื่อสำรวจหาอะไรบางอย่างภายใน
เมื่อประตูเลื่อนถูกเลื่อนออก กลิ่นเหม็นและฉุนของสารเคมีไวไฟก็พลันทะลักเข้ามาในระบบหายใจ จินต์ถึงกับสำลักลมหายใจตัวเองจนต้องไอ กวียกมือขึ้นมาปิดจมูกโดยอีกมือยังคงถือดาบและชูไว้เบื้องหน้า ในห้องทั้งมืดและขุ่นมัวไปด้วยแก๊สอัดแน่นอยู่เต็มห้องจนทำให้ที่แห่งนี้ดูเหมือนมีหมอกลงหนา
“ระวังด้วย ถ้าเกิดมีความร้อนเกิดขึ้น เราได้ระเบิดเป็นชิ้นๆแน่” กวีกระซิบเตือนจินต์
“ครับ” จินต์รีบเข้าไปเปิดดูที่ตู้เก็บของอย่างรวดเร็วโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟฉาย “คุณกวีครับ...คุณสงสัยใครเป็นพิเศษหรือเปล่ากับเรื่องนี้” เขาถามขึ้นในความเงียบ
“ทุกคนน่าสงสัยหมด รวมไปถึงนาย” กวีตอบอย่างเย็นชา
“งั้นหรือ...เอตู้ฝั่งนี้ไม่มีอะไรอยู่เลย...”
แกร่กๆ มันเป็นเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน ตอนนี้ข้างนอกมืดสนิทแล้ว ในห้องไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากความมืดและแสงเล็กๆจากไฟฉายของจินต์ กวีหยุดนิ่งเพื่อฟังเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างบน
“แมวล่ะมั้ง” จินต์ว่า
“ระวัง!” กวีตะโกนลั่น
และทันใดนั้น กลิ่นเหม็นไหม้ก็เข้าเล่นงานทั้งคู่อย่างรุนแรง แสงสว่างวาบสีส้มสาดมาที่หางตาของกวีแล้วเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ตู้ม! ทุกสิ่งทุกอย่างก็ระเบิดตูมด้วยเพลิงสีส้มร้อนแรง ห้องทั้งห้องสั่นครืน เปลวไฟโหมกระพรือเผาทั้งสารเคมีและชั้นวางของ เกิดเปลวไฟเล็กประทุขึ้นเพราะสารเคมีแล้วไฟก็ลามไปทั้งห้องอย่างรวดเร็ว อาคารทั้งอาคารสั่นครืนแล้วทิ้งให้ห้องปฏิบัติการณ์เคมีจมอยู่ในกองเพลิงสีแดง
ความคิดเห็น