ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #30 : ChapT27 ("The Inflammable;") ; เหมันต์ลวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 56


    เพราะเมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นกับคิมหันต์นิดหน่อย  การนัดหมายจึงถูกโยกย้ายมาเป็นตอนเย็นของวันนี้  ลลิตและคิมหันต์กำลังเดินกันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า The Riot ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน  นักศึกษา และคนวัยทำงานที่กลับจากที่ทำงานแล้ว  ข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆที่ดูโหลงเหลงและไม่มีใครกล้าเข้า  ลลิตอึดอัดเล็กน้อยที่วันนี้คิมหันต์ดูจริงจังและมุ่งมั่นผิดปกติ  ยิ่งเวลาเธอเงยหน้ามองแล้วเห็นว่าเพดานของห้างสรรพสินค้านี้มันยกสูงเกินจำเป็นด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เธอหงุดหงิด

    “ตกลงนายมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย  ช่วยบอกฉันก่อนจะเดินไปเดินมาได้หรือเปล่า”

    คิมหันต์ไม่เลิกสาวเท้า  เขาเพียงแค่หันมามองลลิตแล้วพูดห้วนๆ “ฉันแค่หาใครสักคนอยู่”

    “ใครล่ะ  เขานัดนายไว้ที่ไหนล่ะ” ลลิตต้องพยายามเดินให้ทันคิมหันต์  เธอขึ้นไปอยู่ข้างๆเขาแล้วแตะไหล่เขาไว้ไม่ให้เดินหนี “แล้ว...ทำไมต้องเดินหาทั่วห้างแบบนี้ด้วย  ฉันเหนื่อยแล้วนะ”

    “ฉันไม่ได้นัดเขาไว้  แล้วเขาก็ไม่ได้นัดฉันด้วยน่ะสิ” คิมหันต์ตอบอย่างหัวเสีย

    “ยังไงไม่เข้าใจ...” ลลิตวิ่งไปขวางหน้าคิมหันต์ด้วยความรำคาญ “นี่! ช่วยหยุดเดินก่อนจะได้ไหม”

    คิมหันต์พ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วตอบ “ฉันไม่รู้จะหายัยนั่นได้ที่ไหนน่ะสิ”

    “แล้วมาเดินหาในที่กว้างๆและซับซ้อนแบบนี้ยังไงก็ไม่เจอหรอก  หยุดพักแล้วคิดอะไรก่อนดีกว่ามั้ย...”

    คิมหันต์ดูไม่พอใจแต่ลลิตก็ไม่สน  เธอแค่กระชากข้อมือคิมหันต์แล้วลากเขาเข้าไปที่ร้านไอศกรีมร้านหนึ่งเท่านั้นเอง  พอทั้งคู่นั่งพนักงานบริการก็เดินเข้ามาขอเมนูทันที  แต่ลลิตเพียงแต่โบกมือไล่เธอไปแล้วตั้งต้นกระซิบกับคิมหันต์

    “เป็นไงมาไงล่ะ  ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้มั้ย”

    คิมหันต์ถอนหายใจแล้วขมวดคิ้ว “คือ...วันก่อนฉันเจอคนๆนึงที่ฉันไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่น่ะ”

    “ใครล่ะ”

    คิมหันต์ดูครั่นคร้ามที่จะตอบ  แต่ลลิตก็ยังคงเงียบและจ้องหน้าเขาอยู่  “แอนน่ะสิ”

    ลลิตเกร็งตัวชาไปชั่วขณะจนเผลอจิกขาตัวเองจนเป็นรอยไปด้วย  ความรู้สึกและสิ่งที่เธอวิตกเริ่มกลับเข้ามาเกาะกินจิตใจ  มันเป็นความกลัวคล้ายๆกับตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเบลเซบับ “อ...แอนน่ะหรอ  แล้วเธอว่าไงบ้าง”

    “ไม่มีเธอหรืออะไรทั้งนั้น...” คิมหันต์พูดโดยไม่เดือดไม่ร้อนอะไร  ลลิตทึ่งที่เขาสามารถทำใจยอมรับการสูญเสียนี้ได้  หรือบางทีเขาคงไม่เคยยึดติดจะได้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำใจยอมรับอะไรทั้งนั้น “...มีแค่ร่างที่บรรจุจิตชั่วร้ายเอาไว้เท่านั้น  เธอเข้าใจใช่มั้ย...”

    ลลิตพยักหน้าค่อยๆ “ใช่ฉันรู้ดี  การคืนชีพเป็นผลอีกครั้ง  แบบเดียวกับตอนที่เราเสียจิตติไป  เพียงแต่ว่า...เราเสียเธอไปรวดเร็วและฉับพลันกว่าตอนนั้นเท่านั้นเอง”

    จริงอย่างลลิตว่า  เพราะตอนที่จิตติถูกกลืนกินโดยเบลเซบับ  มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆและแยบยล  ทว่าคราวนี้แอนกลับจากไปอย่างฉับพลันเสียจนยากที่จะทำใจยอมรับ “...เธอเปลี่ยนไปมาก  มากจนไม่ใช่เธอคนเดิม”

    “เปลี่ยนหรอ?...” ลลิตทวน “เปลี่ยนไปในทางไหนล่ะ”

    คิมหันต์ยักไหล่ “เธอต้องเห็นเอง”

    “แล้วอีกคนในร่างของเธอว่ายังไงบ้าง”

    คิมหันต์ขยับตัวคล้ายเก้าอี้ที่นั่งกำลังมีไฟลุก  เขาลุกลี้ลุกลนก่อนที่จะพูด “ฉันคุยกับเจ้านั่นไม่รู้เรื่องเท่าไหร่  มันดูดุร้ายน้อยกว่าเบลเซบับแต่ว่าฉันก็ยังไม่เข้าใจความคิดมัน  แถมมันยังบอกกับฉันว่าอยากจะเป็นพวกเรา”

    “กลลวงน่ะสิ” ลลิตโพล่ง “ต้องเป็นแบบนั้นแหงอยู่แล้ว”

    “ใช่ตอนแรกฉันก็ว่างั้น  แต่พอลองคิดดูดีๆ  มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิเจ้านั่นพูดถึงอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย  อะไรทำนองว่า “สังหารหมู่” เนี่ยแหละ  ฟังดูราวกับว่ามันรู้อะไรดีๆเลยเธอว่ามั้ย”

    ลลิตพึมพำตอนได้ยินคำว่าสังหารหมู่ “มันน่าจะเป็นพวกเดียวกับ อิลลูมิเนติ อะไรพวกนั้นด้วยสิ  แล้วทำไมมันถึงอยากจะเข้ามาเป็นพวกเราล่ะ”

    “ก็เพราะเราไม่รู้ไง  ฉันถึงอยากถามมันกับตัวอีกครั้ง”

    “อืม...เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนายรีบ” ลลิตยิ้ม

    แล้วคิมหันต์ก็พลันลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ทันที “เอาล่ะเธอเข้าใจก็ดีแล้ว  รีบไปตามจับเจ้านั่นแล้วถามให้รู้เรื่องกันดีกว่า...”

    “นายรู้แล้วหรอว่าจะหามันได้ที่ไหน”

    “ถ้าหาที่นี่ไม่เจอ  ก็คงจะอยู่ข้างนอกนี่แน่ๆ  ฉันว่าจะไปลองดูที่สวนสาธารณะน่ะ  ลลิตเธอนำทางให้ฉันได้หรือเปล่า”

    “เฮ้อ...ให้เราวิ่งเข้าไปรนหาที่แบบคราวก่อนฉันไม่เอาแล้วนะ  ฉันไม่คิดว่าคราวนี้เราจะรอดไปได้แบบคราวก่อนหรอก” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปร้านโดยที่ไม่สั่งเมนูใดๆทั้งสิ้น

     

    จินต์กำลังร้องโอดโอยอยู่บนพื้น  เศษพลาสติกและชิ้นส่วนต่างๆของกล้องแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด  กวีย่างสามขุมเข้าไปหาร่างของจินต์แล้วจ่อปลายดาบเข้าที่คางของอีกฝ่าย

    “ไม่มีเลือดสักหยดหรอก  ฉันจงใจฟันให้ไม่โดนเองแหละ  และถ้าคิดจะเที่ยวถ่ายภาพใครต่อใครอีกล่ะก็  นายได้เจออะไรดีๆแน่”

    จินต์เงยหน้าขึ้นมองกวีแล้วรอยยิ้มก็แย้มบนใบหน้าช้าๆ “ว้าว! มายากลงั้นหรอ  จู่ๆคุณก็เรียกดาบนั่นมา  เท่ห์ชะมัดเลยให้ตายสิ...”

    “นายต้องการอะไรจากห้องนั้นกันแน่!...” กวีค่อยๆนั่งลงข้างๆจินต์โดยที่คราวนี้เขาเลื่อนดาบเข้ามาเสียจนชิดลำคอของอีกฝ่าย  ก่อนจะคาดคั้นอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็นๆ “บอกมา”

    “จะ...ใจเย็นสิครับแค่ผมถ่ายรูปคุณรูปเดียวเองนะ  ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่นา  แล้วกล้องนั่นมันก็แพงมากนะรู้มั้ยครับ!

    กวีชำเลืองตามองเศษชิ้นส่วนที่แตกเป็นเสี่ยงๆอย่างไม่ใยดีก่อนพูด “งั้นหรือ...ฉันว่ามันสมควรแล้วล่ะ  แล้วรู้อะไรมั้ย  ฉันไม่โง่พอจะโดนนายหรือ ผอ.สวะนั่นปั่นหัวให้ฉันระแวงในตัวคิมหันต์หรอก”

    “ม...หมายความว่าไงครับ” จินต์พยายามพูดโดยไม่ให้ลำคอขยับแล้วโดยปลายดาบบาดเอา

    “หมายความว่าฉันรู้แล้วไงว่าภาพคิมหันต์นั่นแกเป็นคนถ่าย  แล้วมันก็ยังถูกจัดฉากอีกต่างหาก  อย่าคิดว่าฉันโง่หน่อยเลย”

    “โอ้ย! แล้วผมจะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะครับ!

    “อย่าโกหกให้เรื่องมันยุ่งซี่” กวีชะโงกหน้าเสียจนตอนนี้จมูกของทั้งคู่แทบจะชนกันแล้ว “บอกฉันมาดีๆจะดีกว่า...แกก็รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับฉัน  ช่าย...ฉันตายแล้วก็กลับมาจากความตายอีกหน”

    “ครับครับงั้นก็ช่วยออกไปจากตัวผมก่อนจะได้มั้ย!” พอกวีลดดาบลงจินต์ก็ผลักเขาออกไปแล้วคลานหนีอย่างหวาดระแวง  เมื่อทั้งคู่ทิ้งระยะห่างจนเขามั่นใจว่าคงพ้นรัศมีดาบนั้นแล้วจึงลุกขึ้นช้าๆ

    “อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิว่าเหตุผลที่นายจะพูดเนี่ยมันจะไม่ทำให้ฉันต้องฆ่านายจริงๆ”

    เงียบไปนานพอสมควร  อีกฝ่ายดูจะระแวงกวีพอๆกับกลัวที่จะต้องเล่าออกมา  แต่แล้วในที่สุดเขาก็ก้มหน้าเล่า  “คือ...ผมถูกบังคับน่ะ  จากผอ.มนัสวี  ผมแค่อยากจะตั้งชมรมขึ้นเท่านั้นเอง  เขาบอกว่าจะคุยกับคุณให้พร้อมกับยกห้องปฏิบัติการเคมี  ถ้าช่วยทำอะไรบางอย่างให้  ผมเลยรับปาก  แต่ผมก็ไม่รู้มาก่อนนะครับว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้!

    กวีไม่ตีสีหน้าอะไร  เขาเพียงแต่รับฟังเงียบๆ “ว่าต่อสิ”

    “ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะเอารูปภาพนั้นไปทำอะไร  แต่ผมก็ถ่ายให้เขาไปแล้ว  แต่เขาก็ผิดคำสัญญาผมโดยการปิดตายห้องนี้โดยไม่บอกผมก่อน  เขาบอกว่ามีห้องอื่นเยอะแยะที่ผมจะเลือกเป็นที่ทำการชมรมได้  แล้วทีนี้พอเขาผิดคำสัญญาผมก็เลยไม่มีเหตุผลจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป”

    กวีครุ่นคิดสักพักแล้วจึงถาม “พอจะรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงจำเป็นต้องปิดห้องเคมีด้วย”

    จินต์ขมวดคิ้วแล้วพูด “คุณไงล่ะครับ” เขาชี้มาทางกวี “เขาเกลียดคุณมากๆเพราะคุณเคยเล่นงานลูกชายเขาจนเป็นเรื่องใหญ่เมื่อนานมาแล้ว  พอเขาเห็นหนทางที่จะเล่นงานคุณได้บ้างเขาก็ไม่รอช้าที่จะทำ  เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะปิดตายห้องชมรมของคุณเพื่อทำให้ชมรมของคุณไม่สามารถอยู่ต่อไปได้  และเมื่อชมรมของคุณไม่มีทั้งห้องประจำการหรือสมาชิกสักคน  คุณที่มีทิฐิก็จะไม่เข้าชมรมอะไรเลย  แล้วอย่างที่รู้คนที่ไม่ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เสริมนี้จะต้องเรียนซ้ำชั้น  มันเป็นการกลั่นแกล้งที่เลวร้ายมากสำหรับการที่ครูจะมีให้นักเรียน  มนัสวีเป็นคนที่เล่นกับความต้องการของคนอื่น  เขารู้ว่าเราต้องการอะไรที่สุดแล้วเขาก็จะหยิบยื่นสิ่งนั้นให้  แล้วพอถึงตอนนั้นมันก็เหมือนปลาที่งับเบ็ดไปแล้ว  ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างใจเขา  ผมรู้จักเขาดี...เพราะฉะนั้น...” จินต์เอื้อมมือมาเหมือนจะจับมือกับกวี “ผมจะช่วยคุณเอง  คุณมาอยู่ชมรมถ่ายภาพกับผมนะ  ทีนี้เขาก็จะทำอะไรคุณไม่ได้อีก”

    “ไม่ล่ะ” กวีปฏิเสธอย่างไม่ใยดี “ฉันแค่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงต้องอยากได้ห้องเคมีห้องนี้ด้วย  จากที่ฟังมามันดูเหมือนทุกอย่างที่นายแคร์ก็แค่ได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้”

    จินต์ก้มหน้าเงียบราวกับว่าทุกสิ่งที่กวีพูดออกมามันแทงใจดำเขาจริงๆ “เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้”

    กวีกระชับดาบในมือแล้วทันทีที่แสงสีม่วงอมน้ำเงินทอสว่าง  มันก็พลันหดกลับกลายเป็นโทเท็มดังเดิม “มาถึงตรงนี้แล้วคงไม่มีคำว่าตอบไม่ได้แล้วล่ะ  ถ้านายอยากรู้ความจริงเรื่องกระดาษมรณะแผ่นนั้น  นายก็ต้องเล่าความจริงของนายมาก่อน  ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก  นายจะไม่มีวันได้เข้าไปในห้องๆนี้”

    จินต์เงียบไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดสิ่งที่กวีเสนอมาให้  ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรแม้กวีจะดูน่ากลัวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูน่าไว้ใจมากว่ามนัสวีเยอะทีเดียว  จินต์ค่อยๆนั่งขัดสมาธิแล้วตั้งต้นเล่าเรื่อง “ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง  เธอเป็นผู้หญิงครับ  ชื่อว่า ริศาผมสนิทกับเธอมาตั้งแต่อนุบาลไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด  จนพักหลังมานี้เธอคบกับ สายฟ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผอ.มนัสวี  แล้วเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน  จากที่เป็นเด็กชอบอ่านการ์ตูน  ดูหนัง  มีงานอดิเรกคือเล่นดนตรี  เธอกลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการพร่ำเพ้อถึงสายฟ้า  ตามเขาแจจนไม่เป็นอันทำอะไร  ผลการเรียนตกต่ำและกลายเป็นคนที่ไม่คบใครเลยแม้แต่ผม  ใช่ครับผมถูกแทนที่...” จินต์เงียบไปสักพัก  โดยที่ระหว่างนั้นกวีพยายามนึกหน้าเด็กที่ชื่อริศาให้ออก  ซึ่งภาพที่เขาพอจะขุดมาจากความทรงจำได้  ก็คือเด็กสาววัยรุ่นอายุคราวเดียวกับเขาที่ชอบไปไหนมาไหนกับสายฟ้า  และทุกที่ที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันริศาก็จะอยู่ในสภาพเกาะเกี่ยวแขนขาของฝ่ายชายจนดูน่าเกลียด

    “จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังมานี้ทั้งเธอแล้วก็สายฟ้าได้หายตัวไป  ตอนแรกผมคิดเพียงแต่ว่าคงจะเลิกคบริศาโดยสิ้นเชิง  เพราะเธอคงจะเปลี่ยนไปคนละคนจนถึงขั้นหนีตามผู้ชายจนเสียการเรียน  แต่สิ่งที่ผมได้รู้มากลับต่างออกไป  เมื่อทั้งสองคนหายตัวไปนานเกินรอ  มนัสวีก็แจ้งตำรวจให้ออกตามหา  แต่จากการสืบแล้วไม่มีร่องรอยของการหนีตามกันเลย  ของทุกอย่างในห้องนอนทั้งคู่ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรหายไป  ดูราวกับว่าจู่ๆทั้งสองคนก็สลายไปเป็นอากาศธาตุอย่างนั้นแหละ  แล้วที่แย่ที่สุดก็ตรงที่ตำรวจขอพักคดีนี้ไว้จนกว่าจะพบเบาะแสใหม่ๆ  ทำให้คนที่ต้องตามสืบเป็นผมและมนัสวี...”

    “พวกเราเลยพยายามสืบทุกวิถีทาง  จนผมพบเข้ากับสิ่งของอย่างเดียวที่หายไปและตำรวจหาไม่พบ  มันคือกระเป๋านักเรียนของริศา  ผมเทียบหนังสือเรียนแต่ละวิชาในกระเป๋าของเธอกับตารางเรียน  แล้วพบว่าวันสุดท้ายที่เธอมาเรียนคือวันไหน  และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ  กระเป๋านั้นยับเยินและมีร่องรอยของการถูกกรีดด้วยของมีคมอยู่  มันถูกทิ้งในโรงเรียนนี้แถมยังมีกลิ่นและร่องรอยของสารเคมีอยู่ด้วย  แล้วส่วนที่แย่ที่สุดคุณรู้มั้ยอะไร....” จินต์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง  มันคือแผ่นกระดาษเอสี่ที่ขยำจนเป็นก้อนและเมื่อจินต์คลี่มันออก  กวีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันคือวงเวทย์จากคัมภีร์มรณะที่ถูกทาด้วยเลือดที่ยังคงไว้ซึ่งความสดแม้จะแห้งไปแล้วก็ตาม “...ผมรู้จักกระดาษแผ่นนี้ดี  แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันจะใช้ได้จริงๆ  หรือว่านี่เป็นเลือดของใครกันแน่  ถ้าเกิดว่ามันเป็นความจริงอย่างที่บอกสายฟ้าหรือว่าริศาอาจจะตายไปแล้ว...”

    กวีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่กับเรื่องราวที่ได้ยินมาริศา  สายฟ้า มนัสวี จินต์ ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกันแน่

    จินต์อ้าปากพูดต่อ “...ที่ผมต้องการก็แค่อยากรู้ว่ากระดาษพวกนี้ใช้ได้จริงๆหรือเปล่า  แล้วก็ผมจะต้องเข้าไปสำรวจอย่างละเอียดในห้องนี้ให้ได้  เพราะเบาะแสจากกระเป๋านักเรียนของริศาก็ชี้มายังที่แห่งนี้  ไหนจะเรื่องที่มีแก๊สรั่วไหลออกมาจนต้องปิดตายห้องอีก  คุณคิดว่าแก๊สพวกนั้นมีไว้แค่ขู่เราอย่างนั้นหรอ  ไม่หรอก...”

    “ใช่ถ้าที่นั่นมีศพซ่อนอยู่จริง  แก๊สพวกนั้นก็คงมีไว้ดับกลิ่นศพ” กวีบอก

    “ใช่ครับ...แต่ผมไม่สามารถหาทางเข้าไปในนั้นได้เลย  ผมได้เข้าไปครั้งเดียวก็ตอนที่ไปแอบถ่ายภาพคุณคิมหันต์  แล้วผมก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปอีกเลย  ผมเลยต้องการเวลาเล็กน้อยในการลอบเข้าไปในห้องนั้นแล้วค้นหาอย่างละเอียด  คุณไม่คิดว่ามันแปลกหรอที่ห้องเคมีโดนปิด  ริศาหายตัวไป  สายฟ้าก็หายตัวไป  ไหนจะกระดาษแผ่นนั้นอีก!

    การสนทนาเริ่มตรึงเครียด  และยิ่งกวีตั้งข้อสันนิษฐานมากเท่าไหร่  ขนทั่วกายก็พลันลุกเกรียว “นายกำลังสงสัย...มนัสวี...?”

    จินต์พยักหน้าอย่างมั่นใจจนความเกลียดชังสะท้อนออกมาจากดวงตา “ครับ”

     

    ทั้งคิมหันต์และลลิตเดินจนมาถึง The Maze สวนสาธารณะที่ถูกจัดแต่งให้เป็นเขาวงกตอันร่มรื่น  แต่ ณ ตอนนี้มันใกล้เวลาโพล้เพล้เต็มที  ผู้คนเริ่มเบาบางและความเงียบงันก็เริ่มปลกคลุมสวนแห่งนี้  พระอาทิตย์อัศดงย้อมพุ่มไม้ให้กลายเป็นสีปนเขียวดูปวดตา  อีกไม่นานก็คงจะมืดและสวนแห่งนี้ก็จะวังเวงและน่ากลัว

    “เดินตามมาล่ะ  ระวังหลงด้วยนะ” ลลิตกำลังเดินนำคิมหันต์อยู่ไม่ห่าง  เธอเองก็มุ่งมั่นไม่แพ้กับคิมเช่นกัน

    “เธอคิดว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้างล่ะ”

    “ก็ที่นึง” ลลิตตอบสั้นๆ  แล้วเมื่อทั้งคู่เลี้ยวขวาตรงหัวมุมพุ่มไม้  ทั้งสองก็เข้ามาถึงใจกลางของสวนสาธารณะ  มันเป็นบึงที่มีศาลากลางน้ำสีขาวตั้งอยู่ใจกลาง  มีสะพานโค้งทอดเข้าไป  ในบึงถูกตกแต่งด้วยพืชน้ำ  และดูเหมือนตรงศาลาจะมีใครรออยู่ก่อนแล้ว

    แสงอาทิตย์ที่สาดย้อนเข้ามาทำให้ทั้งคู่มองใครคนนั้นไม่ถนัด  และจนกระทั่งคนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วคิมหันต์จึงตระหนักว่านี่แหละคือคนที่เขาอยากพบ “แก...”

    ลลิตสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่คิมหันต์เรียกคนตรงหน้าว่าแก  แม้เธอผู้นี้จะดูแตกต่างออกไปแต่ว่าเค้าโครงเดิมๆของเด็กสาวน่ารักผู้บูชาความรักก็ยังคงอยู่  ดวงตาที่เคยกลมโตสดใสตอนนี้ดุร้ายและขุ่นมัวด้วยอายไลน์เนอร์สีดำรอบขอบตา  ผมสีน้ำตาลเข้มก็ถูกย้อมจนดำสนิทและแห้งกร้านราวไม้กวาด  มันถูกมัดเป็นแกะสองข้างด้วยสายรัดผมทรงหนาม  แอนที่ไม่ใช่แอนปรากฏตัวในชุดแบบโกธิคสีดำที่มีสีแดงผสมเข้ามาเล็กน้อย  ถุงน่องสีดำถูกดึงขึ้นสูงตรงเท้าหุ้มไว้ด้วยรองเท้าหนังดำมันวาวที่มีหนามเหล็กสะท้อนรับแสงอาทิตย์เป็นอย่างดี  ลลิตไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแอนจะเปลี่ยนไปในทิศทางนี้  “เธอคือ...”

    “กำลังรออยู่นานเลยนะคิม  อ้อส่วนเธอฉันรู้จัก ฉันรู้จักฉันรู้จักเธอจากความทรงจำเด็กคนนี้  เธอคือศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่งของแม่นี่นั่นเอง!” แอสโมดิวส์จ้องมองลลิตอย่างสนใจ  แต่ลลิตไม่ชอบที่จะต้องถูกเรียกด้วยชื่อนั้น

    “เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ซะหน่อย!” ลลิตพูด

    “อ๋อรู้สิรู้...ฉันเข้าใจความรู้สึกของมันมากกว่าที่มันเข้าใจซะอีก  ถึงจะรับรู้มาจากศพของมันก็เถอะนะ” เสื้อของมันถูกเลิกขึ้นสูงจนมาถึงบริเวณหน้าท้องซีดๆที่มีแผลเหวอะช้ำเลือดช้ำหนองที่ยังไม่ได้รับการรักษา  จริงๆถ้าคนธรรมดามีแผลฉกรรจ์เช่นนี้ก็คงจะติดเชื้อตายไปแล้ว  แต่สำหรับปีศาจตัวนี้คงไม่ใช่

    “พอเถอะ!” คิมหันต์เข้ามาปรามอย่างหัวเสีย “ฉันมาเพื่อขอฟังเงื่อนไขเธออีกที”

    แอสโมดิวส์ยิ้มกว้างในใบหน้าของแอน “ยังจะต้องฟังอะไรอีกเล่า  ก็ตอบตกลงมาเลยซี่!

    “ไม่! จนกว่าเธอจะบอกจุดประสงค์จริงๆของเธอมา!

    มันหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แหม...เปลี่ยนมาเรียกฉันว่า เธอแล้วฉันชอบแฮะมันทำให้ฉันนึกถึงตอนที่แกเรียกยัยร่างทรงนี้  อ้อ...ฉันจำมาจากความทรงจำยัยนั่นน่ะ”

    ลลิตรู้สึกเกลียดปีศาจตัวนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว  มันช่างชอบหยิบยกประเด็นที่แอนได้ตายไปแล้วขึ้นมาพูดเสียจนสนุกปาก  มันคงกำลังนึกว่าถ้อยคำพวกนี้จะทำให้คิมหันต์เจ็บปวดได้  แม้คนที่ฟังแล้วจะเจ็บปวดจะเป็นเธอเองก็ตาม “เลิกพูดเสียๆหายๆกับแอนได้แล้ว!” ลลิตกระแทกเสียง

    มันชะโงกหน้ามามองลลิตใกล้ๆเหมือนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด “หือม์  อ่อนไหวงั้นรึ?  โถโถโถโถโถ! เธอควรจะเกลียดชังเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือ  ในความคิดฉันน่ะนะ”

    “ฉันไม่มีเหตุผลจะต้องเกลียดแอน...”

    “ฉันไม่สนทั้งนั้นแหละว่าแกจะว่าร้ายแอนหรือใคร  แต่แกช่วยพูดจาให้มันรู้เรื่องกว่านี้หน่อย  หยุดนอกประเด็นได้แล้ว!” คิมหันต์พูดขึ้น  ทุกหน่วยเสียงบ่งบอกถึงการขู่เต็มอัตรา

    “หึก็ได้ๆ” แอสโมดิวส์ยักไหล่ “เรื่องนี้คงจะยาวและเข้าใจยากหน่อยน้า...เพราะมันเกี่ยวกับพลังวิเศษส่วนตัวของปีศาจแต่ละตัวน่ะนะ หึหึหึหึ”

     

    เคร้ง! กวีตวัดดาบสุดแรงอีกครั้งเพื่อตัดแม่กุญแจอันใหญ่เสียจนเหล็กบิ่นออกในที่สุด  เศษแผ่นไม้ที่ถูกแกะออกจากประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการณ์เคมีตกเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด  นี่คงเป็นเวลาหนึ่งทุ่มนิดๆแล้วและนักเรียนและคุณครูทุกคนในโรงเรียนคงจะกลับออกไปกันหมดแล้ว  กวีใช้โอกาสนั้นลอบเข้าไปในห้องเคมีพร้อมกับจินต์เพื่อสำรวจหาอะไรบางอย่างภายใน

    เมื่อประตูเลื่อนถูกเลื่อนออก  กลิ่นเหม็นและฉุนของสารเคมีไวไฟก็พลันทะลักเข้ามาในระบบหายใจ  จินต์ถึงกับสำลักลมหายใจตัวเองจนต้องไอ  กวียกมือขึ้นมาปิดจมูกโดยอีกมือยังคงถือดาบและชูไว้เบื้องหน้า  ในห้องทั้งมืดและขุ่นมัวไปด้วยแก๊สอัดแน่นอยู่เต็มห้องจนทำให้ที่แห่งนี้ดูเหมือนมีหมอกลงหนา

    “ระวังด้วย  ถ้าเกิดมีความร้อนเกิดขึ้น  เราได้ระเบิดเป็นชิ้นๆแน่” กวีกระซิบเตือนจินต์

    “ครับ” จินต์รีบเข้าไปเปิดดูที่ตู้เก็บของอย่างรวดเร็วโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟฉาย “คุณกวีครับ...คุณสงสัยใครเป็นพิเศษหรือเปล่ากับเรื่องนี้” เขาถามขึ้นในความเงียบ

    “ทุกคนน่าสงสัยหมด  รวมไปถึงนาย” กวีตอบอย่างเย็นชา

    “งั้นหรือ...เอตู้ฝั่งนี้ไม่มีอะไรอยู่เลย...”

    แกร่กๆ มันเป็นเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน  ตอนนี้ข้างนอกมืดสนิทแล้ว  ในห้องไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากความมืดและแสงเล็กๆจากไฟฉายของจินต์  กวีหยุดนิ่งเพื่อฟังเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างบน

    “แมวล่ะมั้ง” จินต์ว่า

    “ระวัง!” กวีตะโกนลั่น

    และทันใดนั้น  กลิ่นเหม็นไหม้ก็เข้าเล่นงานทั้งคู่อย่างรุนแรง  แสงสว่างวาบสีส้มสาดมาที่หางตาของกวีแล้วเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น  ตู้ม! ทุกสิ่งทุกอย่างก็ระเบิดตูมด้วยเพลิงสีส้มร้อนแรง  ห้องทั้งห้องสั่นครืน  เปลวไฟโหมกระพรือเผาทั้งสารเคมีและชั้นวางของ  เกิดเปลวไฟเล็กประทุขึ้นเพราะสารเคมีแล้วไฟก็ลามไปทั้งห้องอย่างรวดเร็ว  อาคารทั้งอาคารสั่นครืนแล้วทิ้งให้ห้องปฏิบัติการณ์เคมีจมอยู่ในกองเพลิงสีแดง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×