ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #3 : ch3 "thunderclap" { } คืนชีพคัมภีร์มรณะ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


    อุณหภูมิเริ่มลงหนาวเสียจนขาสั่น  ครั้นจะก้าวต่อไปก็รังแต่จะทำให้ขาแข็งเสียจนก้าวไม่ออก  บัดนี้ขนทั่วกายของคิมหันต์ลุกชูชัน ปลายจมูกเริ่มแสบและแดง  มีน้ำมูกไหลเยิ้มออกมา  จนต้องหายใจฮืดฮาด  เนื้อตัวที่เปียกปอนเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็นๆประกอบกับเสื้อบางๆที่แนบแผ่นหลังทำให้มันเป็นดั่งเข็มนับพันเล่มที่ค่อยๆทิ่มมาที่หลังของคิมอย่างช้าๆ  เจ็บปวด  และทรมานอย่างแรง

    เฉกเช่นเดียวกับลลิตและกวี  ทั้งคู่เดินนำหน้าเขาอยู่  ลลิตดูไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ต้องตามกวีไปซึ่งไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน  ส่วนกวีนั้นนิ่งเงียบไม่แสดงอาการใดๆ  เขาไม่แสยะยิ้มมีเลศนัยน์แบบทุกที  บางทีเขาคงกำลังคิดอะไรอยู่

    ก้าวพ้นขั้นบันไดขั้นบนสุดของชั้นที่สี่ของตึก  ความหนาวเริ่มก่อตัวขึ้นทั่วบริเวณ  คิมสาบานได้ว่ามีไอเย็นพวยพุ่งออกมาจากปากตอนที่เขาหอบ  กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเริ่มขดเกร็ง  เขารู้สึกง่วงอย่างกะทันหันจนตาแทบจะปิด  แต่ก็ฝืนก้าวต่อไปแม้แรงจะเริ่มเหือดหายไปกับอากาศหนาวยะเยือกนี้ทีละน้อย

    คิมหันต์แปลว่า ฤดูร้อน  และแน่นอนคิมไม่ชอบอากาศหนาวอย่างมากเสียด้วย  เขารู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสียอย่างไม่มีสาเหตุ  บางทีอาการนี้อาจจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่คนส่วนใหญ่รังเกียจอากาศร้อนก็ได้ 

    “จะเดินไปอีกกี่ชั้นกัน” คิมเอ่ยขึ้นมาในความเงียบ  ฟันบนฟันล่างกระทบกันเบาๆ

    “ชั้นแปด” กวีหันมาตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ  เลือดที่มุมปากของเขาซึ่งเกิดจากหมัดของคิมหันต์กำลังแข็งเป็นคราบ  คิมหันต์เริ่มรู้สึกเล็กๆว่าตัวเองทำเกินไป

    “แต่ตึกมีเจ็ดชั้นนะ” ลลิตเอ่ยแทรก  คิมหันต์เพิ่งนึกได้ว่าลลิตพูดถูก  แล้วอีกอย่างเขาเริ่มตระหนักว่าอากาศเย็นกำลังทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นทุกที  ขาที่ถูกทิ่มด้วยปากกาจนปักลึกเข้าไปตอนนี้แม้จะถูกดึงออกแต่ก็ยังมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา  แรกๆมันเจ็บ  ไปจนถึงปวด  แต่ตอนนี้มันชาและแข็ง  เลือดที่ไหลออกมาเหมือนจะหยุดและจับกรังอยู่ในกางเกงนักเรียนสีดำ

    หมอนี่กำลังจะพาไปที่ไหน  หมอนี่จะก่อเรื่องอะไรอีก  กวีหัวหมอกำลังจะโกหกและพาเราไปเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรกันแน่  โกหกสินะคัมภีร์มรณะอะไรนั่น  ทุกอย่างก็แค่จัดฉากใช่มั้ย  หิมะนี่เป็นความบังเอิญหรือเปล่า  หรือบางทีหมอนี่อาจจะโยนความผิดให้เรา  คิมหันต์ครุ่นคิด ยิ่งคิดใจก็ยิ่งค่อยๆอุ่นและร้อนรุ่ม  เขาลากสังขารขาที่ปวดและชาให้เร็วขึ้น  วิ่งกระแทกเท้าแซงหน้าลลิตขึ้นมาแล้วกระชากไหล่กวีอย่างแรง

    กวีตวัดสายตากลับมา  มองคิมด้วยความนิ่งเฉยไม่แสดงท่าที  แต่อารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอนของคิมก็พลันค่อยๆหายไป  เขาเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองใกล้เดือดในสภาวะเยือกแข็ง  เขาไม่ควรระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนตัวเอง  เอ่อ...แม้กวีจะไม่นับว่าเป็นเพื่อนก็ตาม

    “มีอะไร...” กวีถาม

    “นายเป็นอะไรหรือเปล่าคิม...หนาวมั้ย” น้ำเสียงลลิตบ่งบอกความเป็นห่วงเป็นใยได้ดี  เธอสังเกตเห็นเสื้อเปียกๆที่แทบจะแนบติดกับลำตัวของคิม  บางทีต่อให้ถอดเสื้อออกก็ยังหนาวน้อยกว่าสวมเสื้อแฉะๆที่ราดด้วยของเหลวอุณหภูมิติดลบแบบนี้

    “ไม่หรอกสบายๆ” คิมหันต์โกหก  ยิ้มแป้นเป็นคำตอบ  แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่สั่นเกร็งและมีเสียงกึกๆของกรามก็ตามที

    “เป็นการสบายๆที่เสียงสั่นมากนะยะ” ลลิตว่า

    “แหะๆ”

    ว่าไม่ทันขาดคำ  กวีก็สะบัดแขนของคิมออกแล้วเดินกระแทกเท้าหายวับเข้าไปในห้องน้ำครูข้างซ้ายมือ  ทั้งลลิตและคิมมองหน้ากันอย่างงงๆ  หรือว่าหมอนี่จะปวดฉี่ขึ้นมาแบบกะทันหันซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  แต่ไม่นานกวีก็เดินออกมาพร้อมกับหอบเอาอะไรบางอย่างมาด้วย  เขาโยนมันให้คิม  และเมื่อคิมคลี่มันออก  เขาพบว่ามันเป็นเสื้อกล้ามบางๆสีขาว  ที่ห่อมีดคัตเตอร์เล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย  คิมมองหน้ากวีแบบงงๆ  แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยืนให้มองนานนัก  เขาเดินขึ้นบันไดต่อไปอย่างไม่พูดอะไร

    “อะไรวะ” คิมพึมพำ  ทว่าลลิตกลับหัวเราะคิกๆใส่ “เป็นไรของเธอ”

    “คิก คิก เปล่าแต่มันตลกดีตอนที่หมอนั่นอุตส่าห์ถอดเสื้อให้นายใส่”

    “เฮ่ย  นี่เสื้อมันหรอ!

    “น่าจะใช่ ฮ่าฮ่า  ยิ่งนึกก็ยิ่งขำ” ลลิตหัวเราะไม่หยุด  แล้วก็เดินนำหน้าคิมและตามกวีไปติดๆ  คิมมองเสื้อในมือตัวเองแบบงงๆ  ก่อนที่เขาจะถอดเสื้อเปียกๆออกแล้วเปลี่ยนไปสวมเสื้อกล้ามบางๆนี่แทน  พร้อมกับเก็บมีดคัตเตอร์นั่นไว้ในกระเป๋ากางเกง

     

    ทั้งสามเดินมาหยุดอยู่ที่ชั้นเจ็ดที่มืดมิดและปลอดคน  คิมเพิ่งค้นพบว่าผู้คนหลบกันอยู่ในห้องเรียนที่ปิดทั้งหน้าต่างและประตูอย่างมิดชิด  ทุกกิจกรรมถูกหยุดเนื่องจากมีหิมะประหลาดที่ตกลงมาแบบไร้วี่แวว  นั่นทำให้ทั้งสามยืนอยู่บนทางโล่งๆ  ที่แม้ในเวลาปกติก็ไม่มีใครกล้ามาในสถานที่มืดๆแบบนี้แล้ว

    มันพื้นที่เล็กๆตรงสุดขั้นบันได  ที่ตรงหน้าเป็นประตูเหล็กที่ถูกล็อคด้วยแม่กุญแจอันใหญ่  มันเป็นสถานที่ปิดตายที่ไม่เคยมีใครเข้าไปตั้งนานแล้ว  คิมไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่หลังประตู  แต่ลลิตเข้าใจว่าคงเป็นชั้นดาดฟ้าของอาคารเรียนที่เอาไว้เก็บของ  กวีเดินไปและก้มลง  ทำอะไรสักอย่างกับแม่กุญแจ  รู้สึกเขาจะใช้ปากกาแงะเข้าไปในรูกุญแจและทันใดนั้น  กลอนก็ถูกสะเดาะเบาๆเป็นเสียงกริ๊ก 

    แอ๊ด...! ประตูถูกแง้มออกช้าๆ  และความหนาวเหน็บก็ทวีคูณสักสิบเท่าได้  คิมตัวชาไปเสี้ยววินาทีเมื่อประตูเปิดออก  ตอนแรกเขาเข้าใจว่าหลังประตูเหล็กนั่นเป็นตู้เย็นที่เอาไว้เก็บของ  แต่ไม่ใช่  อุณหภูมิข้างนอกนั่นไม่ได้ต่างจากตู้เย็นเลย  ซ้ำร้ายที่ยังมีเกล็ดหิมะโปรยลงมา  หิมะกองบนพื้นสักสองสามเซนติเมตรได้  นั่นแปลว่ามันตกมานานพอสมควรแล้ว  คิมพบว่าที่แห่งนี้เป็นดาดฟ้าเก่าๆที่ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กสนิมเขรอะสูงราวๆเอว  พื้นดินบางส่วนที่ยังไม่ได้ถูกหิมะคลุมไว้นั้นดำและมีตะไคร่จับหนา  มันเก่าและถูกทิ้งร้างไว้อย่างเนิ่นนาน  และดูเหมือนจะมีเพียงกวี และใครบางคนที่ยืนรออยู่แล้วเท่านั้นที่เคยเข้ามา

    คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าคิมเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงและหล่อเหลา  ผมสีดำชี้ขึ้นกับสายตาคมๆใต้กรอบแว่น  เขาดูฉลาดและภูมิฐาน  ริมฝีปากดูคล้ายกับจะอมยิ้มตลอดเวลา  ผิวที่ออกไปทางขาวเหลืองดูซีดลงในสภาวะเย็นเยียบ  เขาหันมามองหน้ากวีและยิ้มทักทาย “ไง  นึกแล้วว่าต้องตามมา”

    ลลิตใจเต้นระรัวตอนที่สองคนนี้เอ่ยคำทักทาย  เธอจำหน้าเด็กหนุ่มอีกคนได้  เขาเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนมาหลายปีซ้อน  เขาเรียนเก่งเสียจนลลิตเองยังเทียบไม่ติด  ไม่สิเขาแทบจะเก่งที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้  หมอนี่ชื่ออะไรนะ  สายตาอมภูมิและท่าทีเป็นมิตรแบบนี้มันคุ้นตาเหลือเกิน  ดูคล้ายกับว่าเธอเคยเดินผ่านเขามาหลายทีแต่ก็ไม่เคยใส่ใจจะถามชื่อ

    ไม่แปลกที่กวีกับธารินจะรู้จักกันและดูจะมีความคิดความอ่านที่ตรงกันเหลือเกิน  สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันและยังอยู่ห้องเดียวกันด้วย  ทั้งสองคนเรียนเก่งและหน้าตาดี  เขาเป็นดั่งดาราในหมู่นักเรียนด้วยกัน  และดูเหมือนแผนการนี้จะเริ่มเข้าเคล้าเมื่อทั้งสองมาพบกัน

    “นึกแล้วไม่มีผิดต้องเป็นนาย  ธาริน” กวีเอ่ยขึ้น

    ธารินหรอ  ใช่แล้ว!  สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนไม่ผิดแน่  ธาริน  เด็กหนุ่ม ม.4 นักเรียนดีเด่นของโรงเรียนที่คว้ารางวัลมากมายมาขึ้นหิ้งให้โรงเรียน  พร้อมกับผลการเรียนที่แทบไม่จำเป็นต้องพิมพ์เลขอื่นเลยนอกจากเลข 4 ทั้งรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา  ที่พลอยทำให้สาวๆทั้งโรงเรียนหลงใหล ต้องไม่มีใครไม่รู้จักธารินแน่ๆถ้าอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน

    “ใครวะ” แต่ลลิตก็พลันสะอึกตอนที่คิมแสดงท่าทีว่าไม่รู้จักธาริน  ใช่สิ...หมอนี่ไม่เคยรู้อะไรอยู่แล้ว

    “ขอบคุณสำหรับหนังสือนะกวี” เขาก้าวห่างรั้วเหล็กเก่าๆและเดินเข้ามาหากวีใกล้ๆ “แล้วก็เอ่อ...สวัสดีครับ  ผมชื่อธาริน  ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาโค้งให้กับลลิตและคิมหันต์  ทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงงแต่ลลิตก็ถอยหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ

    “ถอยไปไกลๆได้มั้ยธาริน  เดี๋ยวเหยื่อก็กลัวแกหรอก” กวีเอ่ย

    ลลิตรู้สึกถึงความรังเกียจเจอปนในน้ำเสียงของกวี  เหยื่อหรอ  หมอนี่หมายความว่าไง  นี่ไม่ตลกเลยนะ

    “ฮะฮะขอโทษทีคุณลลิตา  แล้วก็เอ่อ...คิมหันต์ใช่มั้ย” ธารินว่าต่อดันแว่นขึ้นบนดั้งโด่งๆและหันหลังเดินไปยืนเกาะราวรั้ว “หิมะฉันสวยหรือเปล่ากวี  นายคิดว่าไง”

    “น่ารำคาญชะมัด  พาลทำให้เป็นหวัดเอา” กวีตอบแบบรังเกียจๆ  ยกมือขั้นมาอังกับเกล็ดหิมะที่โปรยลงมา

    “ฝีมือคุณหรอ ธาริน  คุณทำหรอ” ลลิตเอ่ยถาม  เธอพยายามข่มน้ำเสียงให้ดูปกติที่สุด  แม้เธอจะเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นทุกทีที่นึกสภาพอันน่าอนาถของแมวที่ถูกใครบางคนสับเป็นชิ้นๆ

    นิ่งเงียบไปชั่วขณะ  ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบ  อากาศยังคงลงหนาวขึ้นทุกที  คิมที่งุนงงกำลังถูกแขนของตัวเองอยู่  พลางหอบหายใจเอาไอเย็นออกมาทางปาก

    “ครับ  ผมเอง” แล้วธารินก็ยืนกราน 

    หัวใจลลิตแทบจะกระโจนออกมาจากอก  เธอรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเอาอะไรมาตีที่หัวใจ  มันตื้อชาและเจ็บแปลบๆ  หมอนี่เป็นฆาตกรเป็นฝีมือหมอนี่  แล้วทำไมกวีนายถึงยังยืนคุยกับไอ้คนพรรค์นี้ได้อย่างใจเย็น

    “แกทำอะไรของแกรู้ตัวหรือเปล่าหือ!” คิมหันตวาดลั่น

    “รู้สิครับ  ผมแค่ลองอะไรสนุกๆเท่านั้นเอง  ก็กวีเขาบอกจะให้ลองเล่นดู  นักวิทยาศาสตร์น่ะต้องทดลองนะ  หรือไม่จริง” ธารินเอ่ย  แม้น้ำเสียงจะดูเป็นมิตรแต่เนื้อหานั้นดูน่ารังเกียจเหลือเกิน  หมอนี่เห็นชีวิตสัตว์เป็นการทดลองหรอ

    “เขาก็พูดถูกนา...” กวีเห็นพ้อง  ตาของเขาหรี่เล็กเสียจนดูเหมือนเป็นขีดเล็กๆ  แววตาชั่วร้ายสะท้อนแสงสีแดงออกมาชั่วขณะที่เขาแสยะรอยยิ้ม  มันช่างทำงานประสานกันและทำให้เขายิ่งดูเหมือนซาตานมากขึ้น

    “แล้วตอนนี้ผมก็ยังเหลือพรอีกสองข้อ  และผมก็กำลังคิดอยู่ว่าจะใช้มันทำอะไรดี  จนกระทั่งกวีพาเหยื่อมา” ธารินเอ่ย  ก้าวเข้ามาหาลลิต  แต่ลลิตเบิกตาด้วยความตกใจ  หมอนี่น่ากลัวเหลือเกิน  เธอกระถดตัวหนีและก้าวถอยหลัง  ทว่าๆเธอก้าวไปจนหลังติดกับประตูเหล็ก  เธอเอื้อมมือไปจับที่โยกแต่พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้

    “บ้าจริง” ลลิตสบถ

    “นี่ก็ฝีมือแกด้วยสินะกวี  เป็นหนึ่งในแผนของแก” คิมหันต์พูดอย่างเจ็บใจ

    “นี่ธาริน  ฉันขอเสนอได้ป้ะ...”

    “ว่าไง”

    “นายขอพรแต่ละข้อฆ่าสองคนนี้  แล้วนายก็จะได้พรเพิ่มอีก หกข้อต่อหนึ่งศพ  นายสามารถใช้พรฆ่าคนได้แบบไม่ต้องลงมือด้วยนะ  มือนายจะได้ไม่เปื้อนเลือดไง” กวีพูด

    “หุบปากเลยนะไอ้กวีเดี๋ยวฉันจะต่อยหน้าแกให้ยับเลยถ้าขืนแกกล้าพูดจาทุเรศๆแบบนั้นอีก!” คิมหันต์ตะโกนอย่างเดือดดาล

    “เกรงว่าจะไม่ใช่กวีที่เป็นต้นคิดนะคุณคิม  ผมก็กำลังคิดแบบเดียวกันอยู่  แต่ผมมีความคิดที่ดีกว่านั้น  ผมกำลังคิดว่าจะฆ่าคุณสองคนยังไงดี  โดยขอพรแค่ครั้งเดียว”

    คิมหันต์สัมผัสได้ถึงอันตราย  เขากระเถิบไปชิดกับลลิตและลลิตก็พลันเกี่ยวแขนเขาไว้อย่างหวาดกลัว  เธอตัวสั่นเทิ้ม  แต่ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวหรือเพราะสภาพอากาศ

    “เอาล่ะ  ฉันจะคอยดูแกลงมือละกันพ่อคนเก่ง” กวีเยาะ  เดินไปข้างหลังของธารินและรอคอยเพื่อนรักของตัวเองลงมือฆ่า

    “เหมาะเหม็ง   องศาได้  ตรงนี้น่าจะโอเคแล้ว  ผมจะขอพรละนะ” ธารินหลับตา  แต่หัวใจของคิมและลลิตเต้นรัว  เขารู้สึกกลัวระคนงุนงงในคราวเดียวกัน  แต่ดูเหมือนความกลัวจะมีมากกว่า  ลลิตกอดแขนของคิมแน่น  แน่นเสียจนเขารู้สึกปวดแขน

    ธารินหลับตาไปสักห้าวินาที  แล้วทันใดนั้นรอบกายของเขาก็ปรากฏแสงสีแดงขึ้น  มันเปล่งออกมาจากพื้นดินเป็นภาพวงกลมที่สลักเสลาเอาอักขระประหลาดเอาไว้รอบๆ  คิมหันต์รู้แน่ชัดว่าพรได้ถูกขอไปอีกครั้งนึงแล้ว  และเขาก็ถึงเวลาที่จะตายในไม่ช้า  หัวใจของเขาเต้นรัว  มันสั่นและกระโดดอยู่ในอก  ร่างกายของเขารู้สึกถึงความกดดัน  เขารู้สึกเหมือนมันกดให้เขาล้มลงกับพื้น  เขาหลับตาพริ้ม  เป็นชั่ววินาทีที่ยาวนานและทรมานเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย

    วาบ! แสงย่อมเกิดก่อนเสียง  เมื่อจู่ๆท้องฟ้าก็พลันเปล่งแสงเหนือบริเวณดาดฟ้าเก่าๆ  มันสว่างจ้าเหมือนถูกอาบด้วยแสงแฟลชถ่ายรูป  ทว่ากลับกินเวลายาวนานกว่านั้น  มันสว่างอยู่ราวสองวินาที  และทันใดนั้นเองขนทั่วกายของคิมก็พลันลุกชูชัน  หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่ววินาทีที่เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท

    เปรี้ยง! ความคิดบางอย่างแล่นมาในหัว  เขารู้ว่าไม่ควรยืนอยู่ใกล้ลลิตอีกต่อไป  แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเธอได้ในเสี้ยววินาทีสายฟ้าสว่างจ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ร่าง  กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายของเขาลงไปยังพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะ  กระจายไปทั่วบริเวณ  ส่งเสียงแปลบปลาบ  และทิ้งให้ทุกอย่างตกอยู่ในกลิ่นไหม้ๆและความเงียบงัน

    ร่างของลลิตและคิมหันต์ล้มพับลงไปกับพื้นโดยมีควันพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย  กระแสไฟฟ้าทำให้น้ำแข็งบนพื้นละลายเป็นหย่อมๆ  และมีเสียงจี๊ดๆจากกระแสไฟที่แล่นไปตามราวรั้วเหล็ก  ใช้เวลาสักห้าวินาทีก่อนที่กลิ่นไหม้และควันจะค่อยๆจางลง

    “ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ!” ธารินระเบิดเสียงหัวเราะลั่นมองดูร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงของทั้งสองคน  เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกตอนที่สายฟ้าฟาดลงมา  เขารู้สึกว่าการคำนวณของเขาถูกต้องอย่างแรง  เมื่อเขาพูดจาขู่ให้ลลิตและคิมเกิดความกลัวจนต้องยืนอยู่ใกล้ๆกันมากขึ้น  และกลับได้ผลดีเกินคาดเมื่อลิลกอดแขนของคิมเอาไว้อย่างแนบแน่นและไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย  ตอนนั้นเอาเขาได้ขอพรให้สายฟ้าฟาดลงมาที่ร่างของลลิต  และทั้งคู่ก็ถูกฟ้าผ่าไปพร้อมๆกัน  เขาสามารถฆ่าคนสองคนได้ด้วยพรข้อเดียว  และเขายังเหลืออีกข้อสำหรับการทำอะไรบางอย่างที่อยากได้  เมื่อเขาใช้เลือดของคนที่เขาฆ่าทั้งสองคนแต้มลงบนคัมภีร์ที่กวีถือไว้  เขาจะได้พรมาอีกหกข้อ  รวมเป็นเจ็ดข้อ  และที่ต้องทำก็แค่กรีดเลือดจากร่างกายไหม้เกรียมของสองคนนั้น

    ธารินก้าวเดินไปยังร่างของคิมหันต์ช้าๆและหยิบมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง  หมายมั่นอย่างแรงกล้าที่จะกรีดเลือดมันออกมาชโลมบนคัมภีร์มรณะ “ฉันขอคัมภีร์ได้มั้ยกวี”

    ฉึก! แต่จู่ๆความเจ็บปวดก็พลันแล่นปราบที่แผ่นหลังอย่างรุนแรง  แรงเสียจนธารินต้องทรุดตัวลงไปกับพื้น  ในสองวินาทีแรกเขางุนงงกับสิ่งที่เกิด  ก่อนที่สติจะมาพร้อมๆกับความเจ็บปวด  เขาพบว่ามีมีดเสียบทะลุแผ่นหลังของเขาและปักคาอยู่อย่างนั้น  มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมานสุดแสนจะพรรณนา  ความรู้สึกโกรธแล่นมาในหัว  เขาตวาดใส่ใครบางคนที่ยืนแสยะรอยยิ้มใส่เขาอย่างเลือดเย็น

    “แกหักหลังฉัน! กวี!” เขาตวาดอย่างเดือดดาล  เลือดสดๆเริ่มไหลรินออกมาจากแผ่นหลัง  และเขาเริ่มรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้

    “เปล่าๆ  ไม่ได้หักหลัง  แต่แทงหลังต่างหาก  ฮะฮะฮะ  อ้าวไม่ขำหรอ โทษทีๆ  แกนี่ไม่ฉลาดสมกับที่เป็นนักเรียนดีเด่นเอาซะเลย  สุดท้ายก็วิ่งเต้นอยู่ในแผนของฉัน” กวีพูด  ย่างก้าวมาใกล้กับร่างของธารินที่เริ่มอาบด้วยเลือด

    ธารินใช้ศอกดันตัวเพื่อหนีห่างจากกวี  เขาหนีไปจนหลังที่มีมีดปักอยู่เกือบจะติดกับราวรั้วเหล็ก  หอบหายใจอย่างเจ็บปวด  ในขณะที่กวีก้าวมาใกล้เรื่อยๆ “ฉันเป็นคนแนะนำให้แกรู้จักกับคัมภีร์มรณะนั่น  แล้วแกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่ายๆหรอ  ปล่อยให้แกใช้ของที่ไม่ใช่ของๆแกน่ะหรอ  เฮ่อะว่าเข้าไปนั่นฉันรู้ว่านิสัยแกเป็นยังไงธาริน  แกชอบทดลอง  กระหายความรู้  แกฉลาดเกินไปและดูเหมือนแกจะอิจฉาฉันเอามากๆเลยด้วย”

    “หึอย่างแกน่ะหรือ  คนแบบแกน่ะหรือที่ฉันจะอิจฉา!

    “ก็คนแบบฉันน่ะสิ  ที่เรียนชนะแกมาทุกๆปี  แกเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าแกไม่ชอบเป็นที่สองรองจากใคร  แต่ขอโทษที่ฉันเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด  แกแค้นฉันมากขนาดไหนฉันดูออก  ดวงตาใต้แว่นหนาเตอะของแกมันสะท้อนความเกลียดชังออกมา  แกคบกับฉันเพราะเห็นฉันเป็นศัตรูมาโดยตลอด  คอยจับตาดูฉันใกล้ๆและดูว่าฉันจะทำอะไร  แกจะคอยทำตามและทำให้เหนือกว่าฉัน  ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า”

    “แก...” ธารินไม่สามารถตอบได้  ไม่รู้ว่าเพราะน้ำมันท่วมปากหรือว่าความเจ็บปวดทำให้เขาตื้อชา  แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ากวีพูดความจริงในทุกๆถ้อยคำ

    “เร็วๆนี้แกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากเหนือกว่าฉันเอามากๆ  ก็ดีฉันก็เลยสนองแกด้วยคัมภีร์มรณะ  ฉันแนะนำให้แกรู้จักกับมัน  และดูเหมือนแกจะอยากใช้มันเอามากๆเลยล่ะ”

    “หึแกโง่เองมากกว่าที่ยกมันให้ฉันใช้  อย่าพูดเหมือนว่าทุกอย่างอยู่ในแผนการของแกหน่อยเลย” ธารินเถียง

    “ต้องขอโทษจริงๆที่มันอยู่ในแผนการฉันจริงๆว่ะเพื่อน” กวีนั่งยองๆลงใกล้ๆกับธาริน “แกก็รู้ว่าถ้าภายในหนึ่งปีคัมภีร์นี้ไม่ถูกใช้จะเกิดอะไรขึ้น  และบังเอิญว่ามันจวนเจียนจะถึงเวลาครบปีแล้ว  ฉันก็เลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับมัน  แล้วฉันก็มาเจอแก  ฉันหลอกให้แกใช้และหวังว่าแกจะไปลองฆ่าใครดูสักคน  และฉันก็รู้ว่าแกมีนิสัยชอบทดลอง  เห็นได้ชัดจากการทดลองขอพรให้หิมะตกเพื่อดูว่าคัมภีร์นี้ใช้ได้จริงมั้ย  แต่แกกลับโง่กว่าที่ฉันคิดเรื่องการใช้เหยื่อ”

    “หึหึ...ใช่  ฉันใช้ศพแมว  ขอโทษทีที่ทำให้แกผิดหวัง” ธารินตอบอย่างสะใจแต่ก็หอบหายใจรวยรินลงทุกที

    “ฉันไม่ได้บอกแกว่าวิญญาณที่ใช้สังเวยต้องเป็นวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น  เพราะฉะนั้นการใช้วิญญาณของแมวจึงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่  อาจจะแสดงผลก็แค่ชั่วคราว  และไม่นานหิมะนี้ก็จะเริ่มหยุดตก  พรทุกข้อที่แกขอก็จะเสื่อมสภาพไป  ฉันก็เลยหิ้วเหยื่อมาให้แกฆ่าถึงสองราย  ซึ่งดูเหมือนแกจะทำพลาดไปนิด”

    “ดูเหมือนแกนั่นแหละที่พลาดนะ  เพราะฉันยังเหลือพรอีกข้อนึง แกคงคิดไม่ถึงละสิ  ว่าฉันจะฆ่าสองคนนั้นได้โดยไม่เสียพรไปสองข้อ  และฉันยังสามารถใช้พรที่เหลือเพื่อฆ่าแกได้ตลอดเวลา!” ธารินพูดอย่างมั่นใจ  เขาส่งเสียงหัวเราะปนมากับเสียงหอบ

    “นั่นก็นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของฉันมาก  แต่ว่านายไม่กล้าใช้พรที่เหลือเพียงน้อยนิดเพื่อฆ่าฉันหรอกใช่มั้ยล่ะ  ฉันว่านายเก็บพรกากๆของนายไว้รักษากระดูกสันหลังที่พิการของตัวเองดีกว่า  โชคดีนะ” กวีพูดลุกขึ้นและไปยืนพิงราวรั้วเหล็กเอาไว้ราวกับท้าให้ธารินฆ่าเขา

    “หึ! ฉันสามารถฆ่าแกได้แม้กระทั่งในตอนนี้  ฉันจะขอให้รั้วที่แกพิงอยู่หักและแกก็จะตกลงไปกระแทกกับพื้นโลกจากความสูงบนเจ็ดชั้นนี่  ต่อให้พรของฉันจะใช้ไม่ค่อยได้ผล  แต่ยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี  ใช่มั้ยล่ะแล้วฉันก็จะใช้เลือดของไอ้สองคนนั้นที่ฉันฆ่าไปแล้วเพื่อขอพรและรักษาตัวเอง  และฉันก็ยังได้พรจากการที่ฆ่าแกได้ด้วย  หึหึไม่ว่ามองมุมไหนฉันก็ไม่เห็นว่าฉันจะเป็นคนแพ้แกเลยนี่หว่า!” ธารินว่า

    “เออนั่นก็จริง  ในกรณีที่แกมั่นใจว่าสองคนนั้นมันตายจริงล่ะก็นะ” กวีพูดอย่างมั่นใจพลางหรี่ตามองไปยังร่างของคิมหันต์และลลิต

    “ว่าไงนะ!” ธารินพึมพำอย่างไม่เชื่อหู

    กวีหัวเราะและดันตัวนั่งบนราวรั้วเหล็กเก่าๆที่น่าหวาดเสียว

     “เอาล่ะ!” เขาผายมือออก “ได้เวลาตื่นจากความตายแล้วสหายเอ๋ยลุกขึ้นมาเพื่อมีชีวิตต่อไปเฉกเช่นแฟร็งเกน สไตน์ที่คืนชีพเมื่อยามถูกฟ้าผ่าลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตัวเองให้เสร็จเถิดเหล่าเบี้ยของฉัน!” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×